วังเวียง | ในระยะที่ไกลออกไป นี้จะพาคุณเดินทางไปกับเรากับเวลาสั้น 3 วัน 2 คืน และการขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลาดผาห้อม ระยะทาง 25 กิโลเมตร ที่ทำให้เห็นวังเวียงในมุมที่ไม่คุ้นเคย


วังเวียงมันก็เพียงแค่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองกั้น

มันไม้ได้ไกลไปกว่าหลายๆ จังหวัดในบ้านเราเลย

ใจต่างหากที่ทำให้อะไรๆไกลกว่าระยะจริง


นั่งหลังตรงเหมือนกำลังนั่งรถไฟชั้นพัดลม แล้วออกเดินทางไปพร้อมกันกับเราเลยนะ

(เดินทาง 26-28 / 06 / 2558)

.....................................................

โดยรถไฟ

.....................................................

23.05 น. ตามเวลาในตารางรถไฟ ตั๋วนั่งชั้นพัดลม ขบวนรถเทียบชานชลาช้ากว่าที่แจ้งไว้ 40 นาที จำนวนคนขึ้นกับจำนวนคนค้าขายดูเหมือนจะไม่ต่างกัน เวลานี้เป็นเวลาที่เราควรจะเข้านอนแล้วสิ แต่วันนี้พื้นที่ที่ซื้อมาทำได้เพียงวางก้นในแนวราบและตั้งหลังในแนวดิ่ง หลับๆตื่นๆ รถไฟวิ่งจอดไม่บ่อยแต่ตื่นบ่อย ราวตีสามที่นั่งเริ่มว่าง หลับสลับตื่นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ที่นั่งข้างๆเป็นที่วางหลังได้แล้วแต่ความยาวของสองที่นั่ง ก็ไม่พอกับความยาวทั้งหมดของตัวผม ที่กระทัดรัดแค่ 162 เซนติเมตร ไม่มีความสบายใดๆในการนอนคืนนี้ ไม่เป็นไร ตั้งใจมาลำบากอยู่แล้วนี่นา

หลับยาวแค่ไหนไม่รู้ตื่นมาอีกทีอีกสิบนาทีจะตีห้า ปลุกเพื่อนแล้วมาลุ้นว่า รฟท. จะถึงตรงเวลาเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่าครั้งนี้ก็เป็นเช่นครั้งนั้น นับเป็นข้อดีอีกหนึ่งข้อที่ควรมอบโล่ให้ รฟท. โล่ที่ว่าจะสลักชื่อรางวัลว่า “มารับสายแต่ถึงที่หมายตรงเวลานะจ๊ะ"



DAY 1

.....................................................

แค่ด่านกั้น

.....................................................

ระยะทางสถานีรถไฟหนองคาย ห่างจากด่านไทย-ลาว ไม่น่าเกิน 1 กิโลเมตร ครั้งนี้เป้ไม่หนักและนอนงอขามาเป็นชั่วโมง อีกทั้งเวลาที่ด่านเปิดตั้งหกโมงเช้า ทำให้เราเลือกใช้เวลาไปกับการเดิน เพื่อทดแทนเวลารอคอย แถมยังประหยัดค่ารถสามล้อ (สกายแลป)ไปตั้งคนละ 30 บาทเชียว เดินเพลินๆ ไปเดี๋ยวเดียวก็ถึงด่านมี 7-eleven ให้ฝากท้องที่นี่ได้เลย กินมื้อเช้าเสร็จพร้อมๆ กับด่านเปิดพอดี

เช้าวันศุกร์ในช่วงฤดูฝน เอ๊ะ!! รึฤดูร้อนกันแน่ คนไม่เยอะผ่านด่านไทยมาได้ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ซื้อตั๋วรถข้ามสะพานไปฝั่งลาว ยื่นพาสปอร์ตเพื่อซื้อบัตรผ่านด่านเป็นการ์ดแข็งสีเขียว ราคา 45 บาท (ปกติ 5 บาท แต่เรามาก่อนเวลาเปิดทำการจึงคิดเพิ่มอีก 40 บาท)

"ไม่มีพรมแดนไม่มีเส้นแบ่งกำแพงใดๆ จะอยู่ที่ไหนก็พี่น้องกันอยู่ดี มีเพียงพวกเราไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ คิดให้ดี โลกนี้ไม่มีคนอื่นเลย เนื้อเพลง “สิ่งสมมุติ" ของพี่เล็ก Greasy Cafe ชวนให้ลองคิดดูอีกทีว่า "วังเวียงมันก็เพียงแค่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองกั้น มันไม่ได้ไกลไปกว่าจังหวัดอื่นๆในประเทศไทยเลย ใจเราต่างหากที่ทำให้อะไรไกลกว่าระยะจริง"



.....................................................

สุดสายสิบสี่

.....................................................

หลังจากผ่านด่านลาวมาได้ มิตรภาพจากพี่น้องชาวลาวก็เรียงแถวเข้ามาถามไถ่ไปไหนต่อ พร้อมเสนอราคา ใครพอใจจ่ายก็เดินตามแยกย้ายกันไป พวกคนเดินทางชั้นกระจอกอย่างเรามีปลายทางเป็นที่หมาย มีรถเมล์เป็นที่พึ่ง เราสองคนเดินมุ่งหน้าไปยังรถเมล์คันสีเขียวที่จอดอยู่ทางด้านขวามือ ห่างจากด่านมาประมาณ 50 เมตร รถยังไม่ออกเลยมีเวลาที่จะเดินไปเดินมารอบๆ ถึงได้รู้ว่ารถสายนี้คือรถเมล์สาย14 เดินทางจากขัวมิตรภาพ(ขัว=สะพาน)

ไปสุดสายที่สถานีขนส่งตลาดเช้า ข้อดีของการไปรถเมล์คือราคาถูก 6,000 กีบ (30.-) ต่อหนึ่งคน แม้รถจะมีรอบในการออกรถแต่ช่วงเวลาเช้าในฤดูที่นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นด้วย คนขับรถอาจรอผู้โดยสารนานสักหน่อย รถสาย 14 นี้ จะวิ่งรับส่งคนไปตลอดทาง 20 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จอดที่สถานีสุดท้ายคือในสถานีขนส่งตลาดเช้า


.....................................................

สู่สายเหนือ

.....................................................

สถานีตลาดเช้ามีขนาดเล็กพอที่เราจะมองเห็นโดยรอบได้โดยไม่ยากนัก ผมกับเพื่อนเดินไปเพื่ออ่านป้ายหน้ารถที่เขียนว่า สถานีสายเหนือ เราเจอมันในเวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ และจุดที่จะมองเห็นได้ง่ายคือมันจอดอยู่ช่วงหน้าห้องน้ำในสถานีตลาดเช้านั่นเอง ราคา 5000 กีบ (20.-) เป็นราคาตั๋วตลอดสาย รถยังรอคนเหมือนเดิม ผมเดินไปหาของกินและเจอสาลีต้ม (สาลี=ข้าวโพด) เป็นที่จดจำมาจากการเดินทางปีก่อน ข้าวโพดที่ลาวเหนียวนุ่มหวาน มีร้านที่ต้มร้อนๆใส่ถุงขายในรถเข็นอยู่ด้านข้างห้องน้ำ(เอาน้ำในห้องน้ำต้มเปล่าวะ?) มันคือของกินเล่นระหว่างเดินทางชั้นดีควรลิ้มลอง

จากสถานีตลาดเช้า-สถานีขนส่งสายเหนือ ระยะทางเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ไม่ไกลมาก รถอาจติดไฟแดงบ้าง 25-30 นาที ก็พาเรามาสุดสายที่สถานีสายเหนือแล้ว

.....................................................

ตู้หนึ่งก็ถึงวังเวียง

.....................................................

ถึงสถานีสายเหนือเกือบ 9.00 น. ตรงดิ่งเข้าไปซื้อตั๋ว เลือกรถตู้เพราะอยากถึงวังเวียงไวสักหน่อย ราคาตั๋วคนละ 50,000 กีบ ( 200 บาท) แทบไม่อยากจะเชื่อคนเกือบเต็มรถ แต่ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับยังว่าง สมดังที่ตั้งใจหวังไว้ อยากดูวิวระหว่างทางเวียงจันทน์-วังเวียงสักหน่อย เพราะครั้งที่ผ่านๆ มา หลับล้วนๆ การเดินทางในลาวบ่อยครั้งที่กระเป๋าเราจะต้องถูกเอาไปวางไว้บนหลังคา ผมเตรียมถุงผ้าร่มใบใหญ่มากพอ ที่จะใส่กระเป๋าผมและเพื่อนให้รอดพ้นจาการเปียกฝน และเจ้าตู้สี่ล้อคันนี้แหละที่จะพาเราไปสู่กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว


.....................................................

ลืมปี้

.....................................................

คนขับรถรูปร่างค่อนข้างสมบูรณ์ ความสูงขนาดกระทัดรัด พาเราขับรถออกมาจากท่ารถได้ไม่ถึงสิบนาที

คนขับ: ฮัลโหล..£&@(@(/:...เอ้า!!ลืม!!!! โอ๊ย...ลืม ปี้!!!!!

ผู้โดยสารไทยสองคน: มองหน้ากัน แต่เอียงหูฟัง

คนขับวางสายแล้วหันมาบอกผู้โดยสารว่า

คนขับ: เดี๋ยวขอกลับไปเอาปี้ก่อนเด้อ...ลืมปี้!!!

ปี้(ภาษาลาว)=ตั๋ว

ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน ขำออกมาพร้อมกัน



..........................................................................................................

การจราจรทางวัวน่ากลัวกว่าการจราจรทางรถ

.........................................................................................................

เวียงจันทร์แม้จะเป็นเมืองหลวงแต่ถนนที่นี่ก็ยังอุดมไปด้วยฝุ่น บ่อ หลุม บางช่วงผมไม่แน่ใจว่านี่มันถนนราดยางหรือถนนราดหลุม หลุมถี่มาก แถมด้วยฝีมือการขับรถของพี่คนขับที่ยุกยิกๆ รับโทรศัพย์บ่อยๆ จอดรับคนทั้งๆที่ไม่มีที่จะให้นั่งอยู่แล้ว ไหนจะต้องระวังวัวที่เดินอ้อยอิ่ง ทิ้งน่อง ส่ายตูดไปมา วัวนี่ก็เป็นมีชีวิตที่อยู่เหนือการควบคุมจริงๆนะ ช่วงแรกๆที่เจอก็เดินเรียงแถวกันอยู่ริมถนน พอเริ่มไกลออกมาก็ชักจะขยายพื้นที่ การครอบครองมากขึ้น เริ่มมีการจับกลุ่มยืนบ้าง นอนบ้าง ขวางถนนโดยไม่สนใจรถสวนไปมาซะอย่างนั้น บางทีก็โลกสวยคิดไปว่าเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว(เหรอ?)

ผมกับเพื่อนดูวิวได้สักพัก แดดกำลังดี การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอบนรถไฟค่อยๆดึงหนังตาเราลงมาอีกครั้ง รู้สึกตัวขึ้นมาก็ควักเอาขนมที่ตุนมาจากฝั่งไทยมากิน หลับ ตื่น ดูสองข้างทาง กิน วนเวียนอยู่แบบนี้ หลับนานเท่าไหร่ไม่รู้เลย แต่แรงเบรคกระทันหันกระชากผมและเพื่อนตื่นจากภวังค์รถยังเคลื่อนที่ไปด้านหน้าแม้คนขับจะเหยีบเบรคอยู่ เสียงผู้โดยสารจากด้านหลังกรี้ด ภาพข้างหน้าฝูงวัวครอบครัวใหญ่วิ่งจากบ้านหลังหนึ่งตรงเข้ามาที่ถนน ผมกับเพื่อนยังไม่หายเซื่อขี้ตา เบรค!! …… คนจากข้างหลังตะโกนคล้ายจะให้คนขับกระทืบย้ำที่เบรคลงไปอีก วัวคงตกใจจากหมาที่เห่าไล่มันจึงวิ่งออกมาที่ถนนแล้วมาเจอรถอีก

ปึ๊ก!!….เสียงรถตัวกับวัวปะทะกันในช่วงเวลาที่รถชะลอจวนจะหยุดนิ่ง วัววิ่งไปข้างหน้าต่อได้ คนขับลงไปดูรถดีที่ทั้งวัวและรถไม่เป็นอะไร แล้วเราก็เดินทางกันต่อ

.....................................................

ผ่านเมืองที่คิดถึง

.....................................................

ตั้งแต่เริ่มเดินทางมาผมนึกถึง “เมืองหินเหิบ" อยู่บ่อยๆ ผมรู้จักและจำชื่อนี้ได้จากการเดินทางมาลาวครั้งก่อน ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้จากคนการถามคนขับรถตู้ ผมนึกถึงชื่อ บ้านโนนหินเห่ หมู่บ้านของหนูหิ่น การ์ตูนไทยที่มีเอกลักษณ์จนเอาไปทำภาพยนต์รวมถึงสติ๊กเกอร์ในไลน์ด้วย รถจะวิ่งบนขัวปูนหรือสะพานปูนและจะมองเห็นสะพานไม้เก่าขนานกันไกลออกไปอยู่ทางด้านซ้ายมือ พี่คนขับเล่าว่าที่นี่มีที่พักนะ แต่ไม่มากเท่าวังเวียง ที่นี่คงเป็นเพียงแค่เมืองผ่าน แต่คนที่เป็นภูมิแพ้สะพานอย่างผมและเพื่อนวางเป้าหมายในใจว่าครั้งหน้าจะมาเยือนสักครั้งแน่ๆ มัวแต่ดูสะพาน รูปไม่ได้ถ่ายจ้า

.....................................................

ไม่รอเลยไม่นาน

.....................................................

รถวิ่งมาไกลเท่าไหร่(ไม่รู้) มองด้านหน้าเป็นทางชัน รถเลี้ยวขวาเพื่อให้เราเข้าห้องน้ำ ประมาณ 26 กิโลเมตร คือระยะทางข้างหน้านี้เป็นช่วงที่จะมีโค้งและทางชันบ้างแล้ว คนขับตอบคำถามผม รถวิ่งมาสักพัก เริ่มมีชาวบ้านปูผ้าใบที่ริมถนนขายของ มีกล้วย หน่อไม้ ผักต่างๆ กองขายเป็นระยะ ถนนไม่ได้มีรถสวนไปมามากมายนัก เห็นบางคนถึงกับนอนข้างๆ กองของที่เอามาขาย คงเพราะความไม่คาดหวังที่อาจทำให้เขาหลับระหว่างรอคนซื้อได้ มานึกดูบางครั้ง

ที่เราต้องรอคอยอะไรนานๆ ยิ่งรอเหมือนยิ่งนาน แต่กับอะไรที่เราไม่ได้ใส่ใจกับการรอคอยก็ดูเหมือนว่าเวลารอนั้นสั้นไม่กี่นาที ความคาดหวัง ความจะเอาให้เป็นอย่างใจคงเป็นส่วนหนึ่งของการรอคอย หากตัดมันออกไปได้ เราอาจได้พบความสุข ณ ปัจจุบัน แค่ไม่รอก็เลยไม่นาน



.....................................................

บ้านท่าเรือ

.....................................................

โค้งแล้วโค้งเล่า หลับแล้วหลับอีก ตื่นมาช่วงโค้งท้ายๆ รถเลี้ยวซ้ายเริ่มเป็นถนนตรงในแนวราบ ฝั่งขวามือต้นไม้ข้างถนนเป็นเส้นบังระยะสายตากับแม่น้ำ เนินดินกระจัดกระจายในแม่น้ำนั้นชวนให้คิดถึงวิวที่สังขละบุรีบ้านเราเหลือเกิน "บ้านท่าเรือ" เสียงคนหลังรถตะโกนบอก รถจอดที่สามแยกที่มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากปลาอยู่รอบๆบริเวณนั้น เมืองนี้น่าจะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าสนใจไม่เบา แปะไว้ก่อนคราวหน้าพี่จะมาหานะ


.....................................................

ใกล้ระยะที่คุ้นเคย

.....................................................

ราวๆ 30 กิโลเมตรจะถึงวังเวียง ใจผมเริ่มอยากให้ถึงที่หมายซะที เพราะสองชั่วโมงกว่ากับการนั่งซบเพื่อนทีซบคนขับทีแบบนี้เล่นเอาปวดหลังปวดตูดไม่ใช่เล่น ดูวิวไป มองไปไกลเพื่อมองหาซุ้มประตูยินดีต้อนรับสู่วังเวียงเพราะนั่นเป็ เครื่องหมายแสดงว่าการเดินทางโดยรถตู้นี้จะสิ้นสุดลง แต่ก็เพลินไปกับสองข้างทางที่เป็นนาข้าวผืนใหญ่ มีคนทำนาอยู่ไกลๆ

รถตู้ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงก็พาเรามาหยุดที่ท่ารถตู้ข้างๆ ลานกว้างที่คุ้นตา ใช่แล้วลานกว้างที่ว่านั้นคือสนามบินเก่า และเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเรามาถึงวังเวียงแล้ว เราสองคนเดินข้ามสระโคลนบนถนน เพื่อจะเดินลัดสนามบินเก่านั้นเข้าไปที่ตัวเมืองวังเวียง แต่ดิ่งไปที่ร้านกาแฟรสเข้มข้น ที่ขายในตู้สังกะสีสี่เหลี่ยมสีแดง(เหมือนตู้ PEPSI ขายของในบ้านเรา) ตรงลานกว้างๆ นั้นก่อน จากการสังเกตุของเพื่อนทำให้รู้ว่ากาแฟที่นี่ใส่เกลือด้วย ไม่ได้เอ่ยถามไปว่าเกลือนั้นสำคัญยังไง เดินต่อเข้าซอยมาแวะกินเฝอตามเสียงเรียกร้องของท้องเพื่อน และเป้าหมายที่เราควรเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่พักก่อน

จำปาลาว บังกะโล คือที่พักของเราคืนนี้ จองที่นี่ทางเพจในเพจเฟซบุ๊ก เพราะกลัวว่าจะไม่ได้พักอย่างที่ตั้งใจ

.....................................................

สุข 250

.....................................................

นักเดินทางอย่าหยุดอยู่กับที่นาน ใครสักคนเคยกล่าวไว้ (ใครวะ!!??) เราจัดการกับชีวิตด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพร้อมเปียกแล้วออกไปล่องห่วงยางกัน ให้วารีบำบัดอาการร้าวปวดที่ก้นและหลังซะหน่อย ร้านเช่าห่วงยางที่อยู่ตรงสามแยกทางเลี้ยวลงไปสะพานไม้ เป็นเป้าหมายแรกของการมาถึงครั้งนี้ และขอตั้งชื่อว่า “ความสุข 250 บาท" กับ 6 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อการรับชมที่เพลิดเพลินขอวาดรูปให้ดูเลยนะ

.....................................................

สุขในซอง

.....................................................

สมาชิกที่ร่วมสุข 250 บาท ครั้งนี้มีเพียงปลาร้าสองตัวในไหกิมจิ รถคันเล็กแบบรถกะป๊อบ้านเราพาคนไทยโคราชสองคนและคนเกาหลีอีกหนึ่งจำนวน ไปที่ท่าน้ำใกล้ออแกนิคฟาร์ม เป็นจุดเริ่มต้นของการล่องห่วงยางในระยะทาง 4 กิโลเมตร กิจกรรมง่ายๆอย่างการวางตูดหย่อนลงบนห่วงยาง แล้วปล่อยให้แรงน้ำค่อยๆ พาเราเคลื่อนที่ไป เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราสามารถซึมซับกับบรรยากาศสองข้างทางได้อย่างช้าๆ ช้ามาก ช้าซะจนบางที ต้องออกแรงเอามือพายเพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแบบรู้สึกได้บ้างว่าเราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าจริงๆ

ละอองฝนเล็กๆ โปรยลงมาให้เรารู้สึกเย็นสบาย สลับกับแสงแดดอุ่น(จนร้อน)ในบางช่วง การเทสาดลงมาของฝนเม็ดใหญ่กระแทกตัวกระแทกน้ำ ช่วยทำให้บรรยากาศกิจกรรมความสุขนี้ไม่ธรรมดาจนเกินไป ภูเขาข้างขวามือบางช่วงสูงจนเราต้องแหงนหน้ามอง มีม่านหมอกที่เคลื่อนที่ไปมา บังภูเขาที่ซ้อนกันอยู่ด้านหลังชวนให้น่าสนใจและเฝ้ามองมากขึ้น

บางทีการเติบโตของเมืองก็ค่อยๆล้อมเราให้เราได้พบกับธรรมชาติที่แท้จริงน้อยลงเรื่อยๆ การได้มาเอาหลังแช่น้ำเชิดหน้ามองฟ้าท้าฝนแบบนี้ทำให้นึกถึงประโยคที่กลุ่มเพื่อนชอบคุยล้อกัน "ถ้าแม่รู้ว่ามาตากฝนแบบนี้แม่ตีตายแน่ๆ" ผมคือคนหนึ่งที่ถูกสอนไม่ให้ตากฝน แม่ไม่ถึงกับห้ามแต่แม่มักบอกว่าอย่าตากฝนเดี๋ยวเป็นหวัด ผมเป็นเด็กดี เชื่อฟังเรื่องนี้(น่าจะเรื่องเดียว) ไม่ค่อยกล้าตากฝน ไม่ใช่กลัวฝนแต่เกลียดการกินข้าวต้ม นอนซม กินยา และแล้วเหตุการณ์เดินป่าที่ต้องเปียกฝนตั้งแต่หัวยันกางเกงในครั้งหนึ่งก็เปลี่ยนความคิดของผมไปตลอดกาล เพราะฝนครั้งนั้นไม่สามารถทำให้ผมป่วยได้ ผมสนุกกับการได้ตากฝนมากขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เพราะห่วงยางยังคงเคลื่อนที่ไปช้าบ้าง ไวบ้าง เราคือคนตัวเล็กๆ เมือเทียบกับห่วงยาง เรือ แม่น้ำซอง ภูเขาตลอดเส้นทาง และเทียบกับโลกทั้งใบ ชมวิวและคิดถึงอะไรเรื่อยเปื่อย คุยเรื่องนั้น เล่าเรื่องนี้ ทุกความคิดล้วนเป็นความสุข ความสุขใน(สายน้ำ)ซอง

มื้อคํ่าวันแรกเราเต็มที่กับชีวิตด้วยหมูกะทะที่ทั้งร้านอัดแน่นไปด้วยประชากรเกาหลี นี่สินะสมชื่อ หมูย่างเกาหลี หรือ เกาหลีย่างหมูกันนะ ตบท้ายด้วยโรตีกรอบๆ นมข้นหวานชุ่มๆ โรยน้ำตาลเข้าไปอีก เราเดินไปดูและจองที่พักฝั่งตรงข้ามสะพานชื่อ OTHER SIDE VIEW เอาไว้ แล้วกลับที่พัก บรรยากาศช่วงที่มีฝนตกๆหยุดๆแบบนี้ สามทุ่มนี่อากาศเย็นสบาย เสียงฝนเคาะหลังคา เคล้าเสียงฝรั่งตาน้ำข้าวเดินกระแทกเท้าที่พื้นบ้าน เข้ากันดี หลับไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มเลย


DAY 2

.....................................................

เช้าช้าๆ

.....................................................


การตื่นมาตอนเช้าแล้วได้ดูวิวกว้างๆ เมฆหมอกรวมตัวเป็นผ้าห่มคลุมภูเขาทั้งใบ ต้นไม้เขียวอิ่มชุ่มน้ำ เสียงลูกหมาที่เพิ่งคลอดใต้ถุนบ้านพักเมื่อวานร้องเสียงเล็กแหลม เสียงล้อจักรยานบดผ่านถนนผ่านไปเงียบๆ เราใช้ตามองดูภาพข้างหน้า หูฟังเสียงรอบข้างโดยละเอียด หลังการเสพเช้าช้าๆ วันนี้ที่สดชื่นไม่แพ้หญ้าใบเขียวข้างล่างนั้นแน่ๆ ถึงเวลาย้ายที่นอนและการเดินทางที่เพิ่งจะคุยกันเมื่อคืนเราเอากระเป๋าไปไว้ที่ OTHER SIDE VIEW BANGALOW ที่นี่เรื่องความสะอาดไม่ได้มาตราฐานแต่หักลบกับสนามหญ้ากว้างหน้าที่พัก และวิวภูเขาด้านหลัง อีกทั้งการเดินไปมาต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำซอง เราจึงมองข้ามความสะอาดของที่พักไป

จากนั้นเราเดินหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เราเลือกรถเกียร์ธรรมดา เช่ามาในราคา 40,000 กีบ เจ้าของร้านเอาพาสปอร์ตเป็นการประกันรถและให้แผนที่ที่วาดด้วยลายเส้นคร่าวๆ มาหนึ่งใบ และลากเส้นบอกถึงเส้นทางไป “ผาห้อม" จุดหมายที่เราตั้งใจจะไปในวันนี้ เป็นที่รู้กันในมวลมิตรว่าผมตาบอดสี และมีทักษะการขี่ที่น่าหวาดเสียว ความรักชีวิตของเพื่อนจึงเลิกที่จะเป็นผู้ขี่ ขี่ออกมาจากร้านได้ไม่ไกลเราเจอปั๊มทางด้านขวามือเลยแวะเติมทันที น้ำมันเต็มถัง(22,000 กีบ)

ขี่รถออกมาจากปั๊มไม่ไกล อาหารเช้ามื้อที่เราหวังไว้คือข้าวเหนียว ของปิ้งย่าง กับกาแฟเย็นๆ ที่ตลาดเช้าวังเวียง เราจอดรถหน้าร้านกาแฟที่อยู่บริเวณลานจอดรถเพราะครั้งก่อนที่เรามาเราปั่นจักรยานไปจอดบริเวณปากทางเข้าตลาดเลย โดนเก็บค่าจอดด้วย ครั้งนี้ไม่ได้แอ้มเราแน่ๆ จอดเสร็จก็ส่งสัญญาณกับเจ้าของร้านกาแฟว่าเดี๋ยวเรากลับมากินกาแฟแล้วเดินต่อไปด้านในตลาด เรามาสายพอสมควร แม่ค้าที่วางของขาย แบบแบกับดินคงกลับไปแล้วหลายคน คนบางตา พอจะมีของป่าอย่างค้างคาว นกต่างๆ ให้เห็นอยู่บ้าง


.....................................................

งดงามเพราะบางวัน

.....................................................

น้ำมันเต็มถัง ข้าวเต็มท้อง กาแฟในถุงหิ้วพร้อม ผู้หญิงขี่ ผู้ชายซ้อน พร้อมออกเดินทาง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมและเพื่อนจะได้เดินทางไกลออกจากตัวเมืองวังเวียงโดยรถมอเตอร์ไซค์ เราออกมาจากตลาดเช้าได้ไม่เท่าไหร่ ภูเขาลูกใหญ่สูงและยาวกวักมือเรียกเราให้จอดรถลงมาซะดีดี

รั้วลวดหนามที่ถูกเลื้อยพันด้วยต้นไม้หรือหญ้าอะไรสักอย่างกำหนดที่ยืนให้เราระหว่างถนนกับลานกว้างและภูเขาทิวยาวข้างหลังรั้วนั้น ก้อนเมฆลอยไปช้าๆ อากาศไม่ได้แจ่มใส แต่เราสดชื่นกับภาพข้างหน้านี้เหลือเกิน ดูจากแผนที่ ถนนเป็นเส้นตรง "แกขี่ได้" เพื่อนแสดงความไว้ใจ ผมก็รู้สึกว่าไม่น่ากลัวอะไร ขี่ไม่ไวอยู่แล้วด้วย รถก็ไม่เยอะ


ด้วยความเร็วสูงสุดที่ผมอนุญาตให้มือบิดเร่งเข็มไมล์รถคือ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้สามารถมองความงามของสองข้างทางได้อย่างปลอดภัย เร่งเครื่องมายังไม่ทันที่ลมเย็นจะพัดให้หน้าแห้งจากละอองฝน วัดเล็กๆบนเนินเขาข้างถนนลูกนั้น ต้นไม้เขียวๆ บ้านหลายหลังเรียงไล่อยู่รอบๆ เนินเขาที่กำหนดตั้งเป็นวัดไว้

ถนนที่ตัดตรงไปที่ภูเขาข้างหลังทำให้เห็นระยะโดยรวมที่มองเห็นถูกบันทึกด้วยกล้องที่เราเตรียมมา ถ่ายรูปไปพร้อมทักทายและแจกขนมเด็กๆ ทั้งเด็กน้อยและคุณตาดูเหมือนไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นเต้นพอใจกับวิวที่เรากำลังชื่นชมอยู่นี่ซะแล้ว ความงามเพียงเพราะได้พบเห็นบางวัน การเห็นทุกวันจะทำให้ภาพนั้นๆ เริ่มเป็นธรรมดาไป อาจเป็นเหตุผลของความงามที่จางคลายนี้

.....................................................

เกียร์ชีวิต

.....................................................

เลี้ยวเข้าไปไหว้พระที่วัดบนภูเขานั้นสักหน่อย ซอยที่เลี้ยวเข้าไปดูไม่น่าจะใช่ถนนลูกรัง น่าจะเรียกว่าถนนแม่รัง ก้อนหินใหญ่มาก กระเด้งกระดอน ช่วงสั้นๆ ก็ถึงประตูรั้ววัด เดินเข้าไปกราบพระที่ศาลา พื้นที่วัดไม่ใหญ่มาก เราพบเพียงหลวงตาที่เก็บใบไม้อยู่หน้าศาลา บนเนินวัดนี้ไม่เห็นวิวที่สวยงามเท่าจากการมองจากระยะที่ถนนนัก บางทีความงามอาจต้องการระยะที่เหมาะสมในการมองด้วยเช่นกัน ผมต้องทรงตัวและประคองรถ

ผ่านถนนเส้นนี้ออกไปที่ถนนเส้นเดิม "ใช้เกียร์สองแก" เพื่อนบอกผมเมื่อรู้สึกว่ารถดูไม่มีกำลังในการวิ่งขึ้นเนิน มันอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับใครต่อใครกับแค่การขี่มอเตอร์ไซค์ แต่สำหรับผมก็มีเรื่องให้ต้องได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกันอยู่เสมอ ช่วงต่างๆในชีวิตไม่ได้ใช้เกียร์ในการกำกับขับเคลื่อน แต่ก็ต้องมีการเร่งการผ่อน แต่ละจังหวะนั้นเราเป็นคนตัดสินใจ ลองผิดลองถูกเองเช่นกัน เกียร์รถมีแค่1-4 แต่เกียร์ชีวิตคงมีมากกว่านั้น ละเอียดกว่านั้น แต่ที่เกียร์รถกับเกียร์คนควรมีเหมือนกันคือ เกียร์ว่าง ที่มีไว้บ้างก็ส่งผลดี

.....................................................

กว้างไกลสุดปลายนา

.....................................................

แผ่นดินผืนใหญ่ที่คนพากันขีดเส้นแบ่งเป็นร่องเป็นหลุมแล้วเรียกใหม่ว่า “นา" มันกว้างซะจนเราแอบคิดสงสัยว่าจะเคยมีการทำนาผิดแปลง เพราะเกิดจากการจำพลาดหรือเปล่า และความกว้างนี้ก็ชักชวนให้เท้าทำหน้าที่เบรครถแล้วลงมาเฝ้ามองดูเงียบๆ ผืนนาถูกเตรียมดินไว้พร้อมปลูก คงรอเพียงปริมาณน้ำฝนที่พอเหมาะกว่านี้ อีกไม่นานจะมีต้นกล้าที่พร้อมเติบโตเป็นต้นข้าวรวมตัวกันเป็นทุ่งสีเขียว ความสูงของต้นข้าวคงกั้นขอบคันนาที่เรามองเห็นตอนนี้จนดูเหมือนว่านานี้เป็นผืนใหญ่กว้างไกลสุดสายตาเป็นทิวเขายาวๆ ที่เราที่เราไม่อาจแยกได้ว่าเขาแต่ละลูกแยกกันที่จุดไหน เหมือนระยะทางที่เราผ่านมาความยาวถนนก็เท่ากับความยาวภูเขาเช่นกัน

.....................................................

คำถามที่เป็นคำตอบ

.....................................................

ดูเหมือนว่าเราสองคนจะยังไปไม่ถึงไหน เพราะความเร็วที่ไม่เร็วของรถและความถี่ของการแวะชมสองข้างทาง การจราจรทางวัวยังมีให้เห็นเป็นระยะ ระหว่างนั่งบนเบาะของเจ้าสองล้อเครื่อง ใจผมนึกถึงการจะได้พบกับสะพานข้ามแม่น้ำที่มีวิวเป็นภูเขาตั้งชันอยู่ข้างๆปลายแม่น้ำ “บ้านผาตั้ง" คือชื่อหมู่บ้านนั้น ร้านเช่ารถเล่าว่า พอถึงสะพานที่บ้านผาตั้ง อีก 3 กิโลเมตรก็ถึงผาห้อมแล้ว ภูเขาด้านข้างซ้ายมือยังกวักเรียกเราให้หยุดรถและลงมาใช้เวลาหายใจร่วมกันอยู่ตลอด



ขี่มาไกลเท่าไหร่ไม่รู้ระยะทางและระยะเวลา ระยะของภูเขาห่างจากถนนออกไปกว่าระยะที่ผ่านๆมา ลานกว้างที่ลาดต่ำกว่าพื้นถนนไปทางซ้ายมือ นำสายตาไปที่ ภูเขาสองลูกที่มองแล้วคล้ายสาวหน้าอกโตนอนหงายอยู่ เพื่อนชักชวนให้เลี้ยวรถลงไปจอด มันเป็นระยะที่ดูกว้างไกล ไม่มีรั้วกั้นเรา



สุดลานกว้างนั้นเป็นแม่น้ำสายยาวที่คงขนานกับถนนมาแต่เพิ่งมาถึงในระยะที่เราจะมองเห็นมัน เกาะแก่งกลางแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำสายกว้างยาวนี้ไม่อ้างว้างจนเกินไป มีชาวบ้านจับคู่กันหาปลาอยู่ไกลๆ “จะสุขส่ำได๋" (จะสุขขนาดไหน?) คำพูดติดปากที่ผมมักพูดออกมาในช่วงเวลาที่มีความสุข เป็นคำที่หลุดออกมาจากเด็กชายชาวลาววัย ม.1 เมื่อหลายปีก่อน จากการสนทนาบนสะพานข้ามแม่น้ำอู เมืองงอยใหม่ สปป.ลาว ถึงความสุขของวิถีชีวิตของคนหาปลายามเย็น

เรายืนมองวิวจากด้านบนลานนี้เลาะเรื่อยลงไปที่ริมแม่น้ำ ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซต์สวนทางกับเรา "สะบายดี" เขาเอ่ยคำทักทายและยิ้มให้เรา เราตอบกลับไปด้วยคำเดียวกัน ที่ริมแม่น้ำเรามองดูโดยไร้การสนทนาอยู่สักครู่ “มือถือน่าจะเก็บโอโซนส่งไปได้เนาะ" เพื่อนผมเปิดประตูความเงียบด้วยประโยคของน้องที่ทำงานเขา ก็ชวนให้คิดเหมือนกันนะว่า ถ้ามันทำได้จริงๆ จะเป็นยังไง แต่โอโซนที่ส่งไปจะสดชื่นเท่าจุดที่หายใจเข้าไปตรงนี้หรือเปล่าหนอ?

"จะสุขส่ำได๋" ผุดในความคิดผมอีกครั้ง

ไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบหรอกเพราะคำถามนี้ก็เป็นคำตอบในตัวของมันเองแล้วล่ะ

.....................................................

ผ่านความคิดถึง

.....................................................

เราขี่เจ้าสองล้อสี่จังหวะมาหลายช่วง ฝนเม็ดเล็กบ้าง เม็ดใหญ่บ้าง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของเราแย่เลย กลับทำให้บรรยากาศดี บนยอดเขาดูชุ่มชื้นมากขึ้น รถมุ่งหน้ามาผ่านโค้งแล้วมาพบสะพาน ชำเลืองตาไปอ่านป้ายที่หัวสะพานที่เขียนว่า “ขัวน้ำซอง" เลยทำให้รู้ว่าไกลออกมาราวยี่สิบกว่ากิโลเมตรนี้ ยังเป็นเขตสายน้ำซองอยู่ มุมมองบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ไม่แตกต่างอะไรกับการมองจากบนรถบัสหรือรถตู้ในหลายครั้งที่เคยเลยผ่านเพื่อไปหลวงพระบาง

แค่พบก็ดีใจแล้วที่นี่ "บ้านผาตั้ง" ผมผ่อนคันเร่งเพื่อจะได้มองสองฝั่งสะพานได้อย่างละเอียดขึ้น ด้านซ้ายเป็นสายน้ำเลื้อยยาวแล้วเลี้ยวหายไปใกล้ๆภูเขาที่ตั้งเด่นข้างหน้า ผมไม่รู้สึกอยากจอดเพื่อหยุดดูภาพความงามที่คิดถึงนี้ ไม่รู้ว่าพอใจกับการได้ผ่านความคิดถึงแบบนี้ไปอีกครั้ง หรือเพราะขากลับเราก็จะได้พบกันอีกแน่นอนก็อาจเป็นได้


.....................................................

ปลายทาง

.....................................................

จุดเริ่มต้นของการมาผาห้อมครั้งนี้ เริ่มที่ผมตื่นเต้นกับการได้เจอนกฮูกตัวที่มีขาข้างเดียวตัวหนึ่งที่พี่เจ้าของบ้านพักจำปาลาวเลี้ยงไว้เมื่อกลางปีก่อน ทำให้ความสงสัยถึงที่มาของเจ้านกนี้ถูกบอกเล่าและเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักชื่อ ตลาดผาห้อม

ไม่ไกลจากผาตั้งนัก การถูกขนาบข้างด้วยภูเขาทำให้เราเหมือนถูกล้อมเอาไว้ และนั่นก็เป็นที่มาของผาห้อมหรือผาล้อม ร้านค้ามุงหลังคาสังกะสีกระจายอยู่สลับปนกับบ้านบางหลังรวมกันยาวประมาณสองร้อยเมตรริมถนนนี้ถูกเรียกว่า ตลาด มีของขายธรรมดาอย่างผักนานาชนิด รู้จักก็มาก ไม่รู้จักก็มี เห็ดรูปร่างแปลกๆ หินที่คล้ายเพชร เหล้าดองยาในขวดหลายขนาดน้ำมันเลียงผาแก้อาการฟกช้ำ นวดทาสารพัดสรรพคุณตามคำโฆษณาชวนซื้อของป้าคนขาย ปูตัวเป็นๆ จากลำธารสายเล็กด้านหลังร้านค้านี้ นกสวยงามแปลกตาหลายตัวถูกขังรวมกันในกรง ผมนึกอยากถ่ายภาพเจ้าตัว ที่คล้ายหนูแต่ขนาดใหญ่กว่ามาก ก้มลงกดชัตเตอร์สองสามครั้ง เงยหน้ามาเจอคนขายที่ดูเหมือนว่าจะสังเกตุเราอยู่ตั้งแต่เรามาหยุดที่หน้าร้าน

“ตัวอ้น ดูได้แต่ถ่ายรูปไม่ได้" คนขายตอบคำถามพร้อมบอกกติกาของเธอกับผม ผมยิ้มแห้งๆแล้วรีบเดินผ่านไป



ในวันที่สังคมกับการถ่ายภาพแทบไม่ถูกจำกัดหรือตั้งกติกาใดๆ การกระทำที่เป็นความเคยชิน ผมเองหลงลืมสิทธิส่วนบุคคลไปมากเท่าไหร่แล้ว เราบันทึกภาพตามความพอใจของเรา จนละเลยต่อการเคารพต่อผู้ถูกถ่าย ต่อสิ่งของ ของผู้เป็นเจ้าของที่เรากำลังจะเก็บเป็นความทรงจำส่วนตัวด้วยกล้อง ผมมาทบทวนเรื่องนี้ในช่วงที่หลบฝนในร้านขายของชำ เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล เสียงครกตะโกนคุยกับสากดังมาจากด้านใน

กลิ่นเหม็นไหม้จากการเผาตัวกระรอกป่า นกหลายตัวในกรงหนึ่งใบที่มีมากกว่าหนึ่งกรงกระโดดไปมา เต่าที่พยายามป่ายปีนกรงแคบอย่างช้าๆ ปูหลายร้อยตัวกองทับกันในตะแกรงสี่เหลี่ยมปิด เห็นภาพเหล่านี้ก็ตื่นเต้นในวินาทีแรกๆ แต่พอเดินดูไปเรื่อยๆ จิตใจกลับกลายเป็นหดหู่ อิสรภาพของนก ตัวอ้น เต่า ปู อยู่แค่ประตูกรงเล็กๆ เท่านั้นและป่าก็ใกล้มากที่ตาเล็กๆของพวกมันจะมองไปถึงพื้นที่อิสระที่เคยเป็นของพวกมันมาก่อน

การขาดอิสรภาพทำให้เรามองเห็นอิสรภาพที่เรามีอยู่ชัดเจนขึ้น บางครั้งมนุษย์อย่างเราก็ชอบสร้างกรงขังตัวเอง สานทีละน้อยด้วยนานากติกา นานวันยิ่งสานถี่ หนา และล้อมเราจนยากต่อการหลุดออกมา มีเพียงกุญแจดอกสำคัญเพียงดอกเดียวที่จะปลดปล่อยเราออกจากสิ่งที่สร้างขึ้น สิ่งนั้นมีชื่อว่า “ใจ" เราเท่านั้น



.....................................................

ปลายทางที่แท้จริง

.....................................................

หลังจากเดินดูตลาดผาห้อมจนทั่ว ฝนหยุดตก เราพยักหน้าแทนคำพูดว่า กลับกันเถอะ ดูเหมือนเวลายังไม่ผ่านไปถึงครึ่งเช้า เราขี่รถมาจอดที่เชิงสะพานปูนผาตั้ง และเดินไปยืนมองวิวสองข้างทางบนสะพานโดยละเอียดอีกครั้ง หมู่บ้านที่ถูกโอบด้วยถนน วัด แม่น้ำ ภูเขา ผายมือต้อนรับการมาถึงของเรา


ทางขึ้นวัดอยู่ติดกับเชิงสะพานปูน บันไดไม่กี่สิบขั้น ราวจับเป็นตัวพญานาคสะบัดหางนำทางเราเข้าไปสู่ลานด้านบน ทำเลที่ตั้งของ วัดอยู่บนเนินเขา โบถส์ ศาลาหน้าตาไม่แตกต่างจากวัดที่บ้านเรานัก ลานหญ้ากว้างสีเขียวอ่อนจูงมือเราเดินเข้าไปดูหอระฆังความสูงสามชั้น กับซุ้มประตู ภูเขาที่ซ้อนสลับกันคลอเคลียด้วยไอฝนอยู่ข้างหลัง ทำให้ภาพตรงหน้าพิเศษขึ้นมาทันที



ในศาลาพระกำลังฉันเพล มีชาวบ้านเดินตามเราขึ้นบันไดมากลุ่มหนึ่งแล้วเดินหายไปด้านหลังศาลา ด้วยความสงสัยผมเลยเดินตามไปดู พบซุ้มประตูวัดและมีบันไดทางลงมีราวจับเป็นรูปพญานาคเหมือนด้านหน้าคล้ายเลื้อยนำทางเราลงไปยังหมู่บ้านข้างล่างนั้น ผมขอชื่นชมความงามจากด้านบนนี้ต่อไปก็พอ บ้านเรือนที่สร้างกระจายมีต้นไม้ขึ้นในบางจังหวะเรื่อยไปจนถึงภูเขาผาตั้งลูกนั้น สุดสายเป็นทิวเขาสูงยาว มิติในการมองเห็นงดงามเกินกว่าจะอธิบาย



ทำให้นึกถึงประโยคเด็ดจากหนัง The secret life of MittyBeautiful things don't ask for attention

"ความงามที่แท้จริงนั้น..ไม่เรียกร้องความสนใจ"



ผมชอบมองภาพจากที่สูง มันทำให้เราได้มองเห็นภาพรวมของสถานที่นั้นๆ อาจจะไม่มีรายละเอียดมากมายแต่เราก็จะเห็นมันแตกต่างไปจากมุมที่มองจากแนวระนาบเดียวกัน หลายคนเคยบอกว่า ถ้าปัญหาที่เจอมันใหญ่ ก็อย่าไปยืนขวางปัญหาไว้ เดินออกมาแล้วมองมันจากระยะที่ไกลออกมา ความใหญ่โตของปัญหาขนาดจะไม่เท่าเดิม หรือถ้าไม่มีแรงที่จะเดินออกมาให้เฝ้ามองปัญหา มันจะเปลี่ยนแปลงและคลี่คลาย นั่นหมายถึงมันจะผ่านไปอย่างแน่นอน



ถ้าผาห้อมเปรียบเหมือนใครคนหนึ่งที่มีคนแนะนำให้ผมมาทำความรู้จัก ผาตั้งอาจเปรียบได้กับคนที่ผมรู้จักเพียงชื่อ เราต่างเดินสวนทางกันไปมาแต่ว่าเราไม่รู้จักกัน หลังจากได้ทำความรู้จักกันผ่านการเฝ้ามองดู ปลายทางที่แท้จริงของการเดินทางสั้นๆครั้งนี้อาจไม่ใช่การไปถึงผาห้อม อย่างที่ตั้งใจ แต่มันคือการได้พบ ผาตั้งที่เราตั้งใจผ่านไปตั้งแต่แรกต่างหาก


.....................................................

สุขซ้ำซาก

.....................................................

หลังจากสบตาครั้งสุดท้ายกับผาตั้ง เราขี่รถช้าแบบปกติและยังมองสองข้างทางเพื่อเป็นการบอกลากัน




เวลาใกล้เที่ยงการได้แวะกินข้าวที่ Organic farm เป็นของคู่ควรในขณะนั้น ข้าวเหนียวนุ่มๆ ลาบปลารสดี ต้มผักรวมร้อนๆ กับน้ำลูกหม่อนเย็นสดชื่น ระหว่างกินข้าวอยู่รถที่บรรทุกคน ห่วงยาง คายัค มาส่งที่ท่าน้ำข้างล่างไม่ขาดสาย ผมกับเพื่อนเริ่มคิดถึงความสุข 250 บาท เมื่อวานอีกครั้ง จากความตั้งใจว่าจะไปบ้านท่าเรือ เรากลับเลี้ยวรถกลับบ้านพักแล้วเปลี่ยนชุดพร้อมเปียกชุดเมื่อวาน คงไม่ต้องอธิบายกันอีกแล้วว่าความสุขซ้ำซากจากการปล่อยตัวเองล่องไปบนสายน้ำซองอีกครั้งแบบนี้จะสุขส่ำได๋



DAY 3

.....................................................

เช้าที่ลา

.....................................................

เช้าสุดท้ายที่วังเวียงของการเดินทางครั้งนี้ หลังอาหารเช้าเราปล่อยเวลาไหลผ่านไปในร้านกาแฟพูบาน แวะซื้อเสื้อที่ระลึกแล้วเดินกลับไปเอากระเป๋าที่บ้านพัก ระหว่างข้ามสะพานไม้เพื่อไปที่ท่ารถ มือที่จับกับราวสะพานที่สร้างจากไม้ไผ่ธรรมดา ดูเหมือนเป็นการจับมือเพื่อบอกลาว่าเราอาจไม่ได้พบกันอีก อีกไม่นานสะพานไม้ข้ามแม่น้ำซองที่เรากำลังยืนอยู่นี้จะถูกแม่น้ำพัดพาไปในช่วงฤดูน้ำหลาก จะมีการสร้างใหม่ทุกปีด้วยความร่วมมือของที่พักบางแห่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวเพื่อต้อนรับการมาของนักเดินทางรุ่นต่อๆ ไป ครั้งหน้าที่จะมาที่นี่ผมคงได้พบสะพานที่อาจไม่แตกต่างกันนี้ แต่มันจะไม่ใช่สะพานอันเก่าอย่างแน่นอน

เราเดินไปบริเวณสนามบินเก่า จุดเดียวกันกับวันที่เราลงรถในวันที่มาถึง ท่ารถตู้วังเวียง-เวียงจันทน์ ขายตั๋วให้เราราคา 200 บาท (หากซื้อร้านที่ขายทัวร์ เดย์ทริปต่างๆ เขาจะขายให้ในราคา 240 บาท) หากเป็นเมื่อก่อนในช่วงการเริ่มต้นออกเดินทาง การกลับบ้านเปรียบของผมคงเหมือนดอกไม้ที่โดนแดดเผา เริ่มเหี่ยวเฉา และจากการเดินทางที่บ่อยขึ้น การเติบโตของวัย และความไม่เป็นอย่างใจหลายๆ เรื่องที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น การจากลามันกำลังบอกเราว่า เรา“อาจจะ"ได้พบกันอีก และความที่ไม่รู้ว่า “เมื่อไหร่" และ "นานแค่ไหน" ก็ทำให้การพบเจอยิ่งทวีคุณค่าเสมอ


3 ชั่วโมงต่อมารถตู้จอดส่งเราที่ขนส่งสายเหนือ รถเมล์เพื่อต่อไปที่ขนส่งตลาดเช้าจอดรอเราอยู่แล้ว ไม่ช้าก็มาถึงตลาดเช้า เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนมาแต่ไกล “สะพาน สะพาน" ดูเหมือนการเดินทางขากลับวันนี้จะฉึบฉับรวดเร็วปานจะส่งเราไปให้ทันซื้อตั๋วรถไฟขากลับ แวะ Duty free ซื้อของฝากเล็กน้อยและทำให้ได้รู้ว่าที่นี่ให้แลกเงินในราคาสูงเลยทีเดียว(ช่วงที่ผมไปทั่วๆไปให้ 240 กีบแต่ที่นี่ให้ 250 กีบ)

จากนั้นข้ามแดนตามลำดับเหมือนเดิม เรายกกระเป๋าจากเครื่องตรวจสัมภาระฝั่งไทยขึ้นบ่า เดินออกจากด่านตรงมาราว 100 เมตร ซ้ายมือคือท่ารถ หนองคาย-อุดร (50 บาท/คน) รถวิ่งไม่เร็วเกินไป ผมกับเพื่อนได้นั่งเบาะหลังสุด สี่ที่นั่งเพื่อเราสองคนเราต่างนั่งชิดริมหน้าต่างซ้ายและขวา อยู่ในโลกออนไลน์สักพักแล้วละสายตาจากมัน ไม่มีบทสนทนาระหว่างเรา การมองออกไปข้างนอกหน้าต่างของเราสองคนเวลานี้อาจเป็นการเปิดใจคุยกับความทรงจำที่เพิ่งผ่านมาของตัวเองอยู่ก็อาจเป็นได้



.....................................................

รถด่วนขบวนที่รอ

.....................................................

หนึ่งชั่วโมงนิดๆ รถตู้เทียบท่าที่ บขส.อุดร (ใกล้เซ็นทรัลพลาซ่า) เวลาที่นาฬิกาข้อมือกระดิกบอกว่าไม่มีเวลากับการดื่มด่ำความช้าอีกต่อไป เพราะรถไฟกำลังจะออกแล้ว ผมวิ่งไปซื้อข้าวเพื่อนไปเจรจาค่ารถสามล้อ ไม่ถึงห้านาทีสามล้อวิ่งมาถึงสถานีรถไฟ หน้าสถานีรถไฟมีร้านขายอาหารเยอะแยะเหมือนตลาดโต้รุ่งไม่มีเวลาให้โชว์ช้าเลยจริงๆ ตรงเข้าไปซื้อตั๋ว เพื่อนซื้อน้ำดื่ม วิ่งขึ้นรถไฟพร้อมกัน ยังไม่ทันได้นั่งที่ตัวเองดี เสียงประตูรถไฟปิด ล้อเริ่มเคลื่อนที่ไปตามรางเหล็ก วางกระเป๋านั่งลง ผ่อนหายใจ นึกขอบคุณความช้าของรถไฟไทย ที่เอื้อประโยชน์ครั้งนี้ต่อเรา

การเดินทางค่อยๆผ่านไปแต่ละวินาที ผ่านแล้ว ผ่านอีก เริ่มต้นที่การจากมาและจบลงด้วยการกลับไป ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้น


แล้วพบกันใหม่...ในวันที่กะเป๋ามีตังค์

...............................................................................................................................................................
ติชม พูดคุยกันที่เพจ ฝุ่นบนเป้ ได้นะครับ

DustOnTheBackPack

 วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.13 น.

ความคิดเห็น