Grand United Hotel

วันสุดท้ายของการเดินทาง ตื่น 7:30 มาทานอาหารเช้าและ check out ออกจากโรงแรม ระหว่างทางไปจุดหมายต่อไป นั่งมองวิถีชีวิตผู้คน คนส่วนใหญ่ที่นี่จะนุ่งโสร่งกันประมาณร้อยล่ะ 60 ที่เหลือจะเป็นพวกคนรุ่นใหม่ที่เริ่มแต่งตัวตามแฟชั่นกันบ้างแล้ว ผู้คนที่ไปทำงานมักหิ้วปิ่นโตกันไปด้วยนึกถึงวิถีชีวิตบ้านเราสมัยก่อน รถสีนิยมของที่นี่คือสีขาวและยี่ห้อที่นิยมคือโตโยต้า และแท็กซี่ส่วนมากมักเป็นรถแวนคันเล็กๆ ทุกคันจะมีแอร์แต่คนขับมักไม่เปิดแอร์จะเปิดกระจกแทน ถ้าเปิดแอร์จะเป็นอีกราคานึง อีกเหตุผลนึงที่ชอบขับรถเปิดกระจกกันคือ คนพม่านั้นชอบเคี้ยวหมาก เดี่ยวก็ต้องคอยบ้วนปรี๊ด ๆ ไปตลอดทาง สามล้อรับจ้างก็มีแต่บ้านเขาจะเป็นแบบพ่วงข้าง ได้อารมณ์เวลารถสวนกันในซอยแคบๆ ^^


รถโค้ชพาเราออกจากย่างกุ้ง มาเมืองสิเรียม เพื่อมายังเมืองสิเรียมใช้เวลาประมาณ 45 นาที เมืองสิเรียมเมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าของโปรตุเกสในสมัยโบราณ ตั้งแต่ในสมัย นายพล ฟิลิป เดอ บริโต ยี นิโคเต จนมาสิ้นสุดเมื่อปี พ.ศ. 2156 ร่วมสมัยพระเจ้าทรงธรรมกรุงศรีอยุธยา เราจมองเห็นเศษซากกำแพง สไตล์ ลูซิตา เนียนบาโรก Lusitanian Baroque ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำอิระวดี ปัจจุบันเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรม ชาวเมืองส่วนใหญ่ทำงานในโรงกลั่นน้ำมันหรือไม่ก็เป็นลูกจ้างในโรงเบียร์ ประชากรส่วนมากเป็นชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย เพราะในสมัยที่พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ สิเรียมเป็นศูนย์กลางของเมืองท่าและยังเป็นแหล่งผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง และอังกฤษต้องเกณฑ์แรงงานอินดียมาทำนา แล้วพากันมาปักหลักทำมาหากินกันจนถึงปัจจุบันนี้ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำที่จะข้ามไปยังวัดเจดีย์กลางน้ำ คราคร่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายดอกไม้สำหรับบูชาพระ และรับฝากรองเท้าที่นี่เพราะห้ามใส่รองเท้าขึ้นเกาะ



วัดเจดีย์กลางน้ำ , พระเจดีย์เยเลพญา (Kyaik Hwaw Wun Pagoda) เมืองสิเรียม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระเจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ ตามตำนานเล่าว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยมอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยพระสงฆ์รูปหนึ่งฝันว่าที่แห่งนี้มีเจดีย์สวยงาม แล้วได้ไปทูลกษัตริย์ในสมัยนั้นเพื่อขอให้สร้างเจดีย์กลางน้ำแห่งนี้ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าหากมีน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น ว่ากันว่าหากมีงานพิธีจัดขึ้นที่นี่ สามารถจุคนได้ถึง 2 หมื่นคน เป็นพระเจดีย์กลางน้ำ มีเรือรองรับนักท่องเที่ยว หลายลำเรียงรายจอดอยู่ ภายในศาลริมน้ำจะมีแม่ค้าเอาดอกไม้ ธูปเทียน พวงมาลัย ธง-ฉัตรมาขาย ก่อนลงเรือต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นเรือ จะมีเด็กมานวดเท้าให้พร้อมกับขอค่าทริบ มีชาวพม่ามานมัสการเดินตามริมน้ำจำนวนมาก ระหว่างประตูขึ้นไปจะพบยักษ์สีเขียว 2 ตน ที่ประตูทางเข้า นั่งขนาบอยู่ซ้าย-ขวา คนพม่าเชื่อกันว่าหากนำมือไปลูบตามตัวยักษ์เช่น ลูบหลังแล้วจึงมาลูบหลังของตัวเอง อาการปวดหลังก็จะหายไป หากปวดที่จุดอื่นก็ให้ลูบตัวยักษ์ที่จุดนั้นแล้วมาลูบร่างกาย ตัวเองจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ ประตูทางเข้า ไม้ฉลุทาสีทองสวยมาก นมัสการพระพุทธรูปเก่าแก่ทรงเครื่องจักรพรรดิประดิษฐานบนบัลลังก์ไม้แกะสลักปิดทองคำทองเปลวที่มีความงดงาม

วัดส่วนมากจะทำกระจกกั้นองค์พระเอาไว้สิ่งของที่นำมาบูชาพระจะเหมือน ๆ กันแทบทุกวัดคือ มะพร้าว กล้วย ดอกไม้ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือใบชัยชนะ ในส่วน สำคัญที่สุด ของพระเจดีย์เยเลพญาจะอยู่ที่มุขที่ยื่นไปในน้ำด้านหลังพระเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานของพระอุปคุต ตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นพระอุปคุตที่ได้รับนิมนต์ขึ้นมาจากใต้สมุทรเพื่อป้องกันพระยามารทำลายการฉลองเจดีย์ พอเห็นท่านผอมแห้งจึงไม่ศรัทธาไม่น่าจะปราบมารได้จึงปล่อยช้างตกมันมาทำร้ายเป็นการทดสอบ พระอุปคุตสแสดงฤทธิ์ปราบช้างได้ พระเจ้าอโศกจึงถวายภัตตาหารแต่ใกล้จะเลยเวลาฉันแล้ว และท่านได้กล่าวกับพระอาทิตย์ว่าหยุดก่อนเถิดท่านพระอาทิตย์ เราเพิ่งปฎิบัติกิจเสร็จและยังไม่ได้ฉันอาหารเลย ว่ากันว่าพระอาทิตย์ก็หยุดเพื่อรอพระอุปคุตฉันอาหารจนเสร็จ พระอุปคุตจึงมองพระอาทิตย์ไปด้วยฉันอาหารไปด้วย นัยว่าห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้เคลื่อนเกินศีรษะไม่ให้เลยเวลาฉันเพล ดังนั้นจึงนิยมสร้างเป็นรูปพระสงฆ์ล้วงบาตรเงยหน้ามองพระอาทิตย์ ชาวพม่าเชื่อกันวันพระอุปคุตจะบันดาลให้มีกินมีใช้ไม่ขาด และมีโชคลาภ อธิษฐานขอพรท่านเรียบร้อยแล้วก็ให้ยกก้อนหินที่วางอยู่ด้านหน้าท่าน 2 ครั้ง หากท่านรับคำอธิษฐานของเรา ผู้ยกหินเองจะรู้สึกได้ว่าการยกก้อนหินทั้ง 2 ครั้ง จะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน แต่หากไม่พบความแตกต่างก็ถือว่าจะไม่ได้ตามคำขอ


กลับจากวัดเจดีย์กลางน้ำ แวะทานอาหารเที่ยง ที่ภัตตาคาร Polo Club เป็นมื้อสุดท้าย ตัวภัตตาคารเป็นตึกสูงหลายชั้น อยู่ชั้น 6 มื้อนี้จัดเต็มด้วย กุ้งล็อบเสตอร์ และเป็ดปักกิ่ง และปลาแม่น้ำ ทานกันเต็มคราบ แวะซื้อชาซองที่คนพม่าชอบกินกัน แต่เป็นแบบ 3 in 1 ถุงล่ะ 100 บาท รสชาติคล้ายๆชาเย็นบ้านเราแต่นวลกว่า


เจดีย์โบดาทาวน์ , เทพทันใจนัดโบโบยี ,เจ้าแม่กระซิบอะมาดอว์เมี๊ยะ เมืองย่างกุ้ง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จุดหมายต่อไปคือ เจดีย์โบตาทาวน์ สร้างโดยทหารพันนายเพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่พระสงฆ์อินเดีย 8 รูป ได้นำมาเมื่อ 2,000 ปีก่อน ในปี 2486 เจดีย์แห่งนี้ถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ากลางองค์จึงพบโกศทองคำบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์ พบพระพุทธรูปทอง เงิน สำริด 700 องค์ และจารึกดินเผาภาษาบาลีตัวหนังสือพราหมณ์อินเดียทางใต้ต้นแบบภาษาพม่า ภายในเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีสันงดงาม และมีมุมสำหรับฝึกสมาธิหลายจุดในองค์พระเจดีย์ ภายในประดิษฐาน นัตโบโบยี หรือ พระเทพทันใจ เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าและชาวไทย วิธีการสักการะรูปปั้นทพทันใจ (นัตโบโบยี) เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปรารถนาก็ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะ นัตโบโบยี จะชอบมาก จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ (แต่แนะนำให้เอาเงินบาทดีกว่าเพราะเราเป็นคนไทย) แล้วเอาไปใส่มือของนัตโบโบยีสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี แค่นี้ท่านก็จะสมความปราถนาที่ขอไว้ จากนั้นนำท่านข้ามฝั่งไปอีกฟากหนึ่งของถนน เพื่อสักการะ เทพกระซิบ ซึ่งมีนามว่า อะมาดอว์เมี๊ยะ ตามตำนานกล่าวว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว ซึ่งการขอพรเทพกระซิบต้องไปกระซิบเบาๆ ห้ามคนอื่นได้ยิน ชาวพม่านิยมขอพรจากเทพองค์นี้กันมากเช่นกัน การบูชาเทพกระซิบ บูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้


ช้างเผือก เมืองอินเส่ง ย่างกุ้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ระหว่างทางไปวัดดอว์จีซึ่งเป็นศาสนสถานที่สุดท้ายที่เราจะไปกัน ทางทัวร์ก็แวะให้ชมช้างเผือก ที่เป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองของพม่า มีสีขาวเผือกตลอดทั้งตัว มีลักษณะทั้ง 9 ประการตรงตามตำราโบราณ ซึ่งหาชมได้ยาก ช้างที่นี่จะเข้างานตามเวลาราชการเข้า 8 โมงครึ่งเลิก 4 โมงครึ่ง โดยถูกล่ามโชว์ตัวไว้ที่โรงเลี้ยงช้าง หลักเลิกงานก็ปล่อยเข้าป่าในบริเวณนั้นไปหากิน เช้ามาก็ไปตามกลับมา

ปัจจุบัน ประเทศพม่ามีช้างเผือกทั้งสิ้น 8 ช้าง อยู่ที่เนปิดอว์ 5 ช้าง และอยู่ที่โรงเลี้ยงช้างเผือกเขตอินเส่ง กรุงย่างกุ้ง 3 ช้าง มีชื่อดังนี้

ช้างที่ 1 ชื่อ Rajagaha Thiri Pissayagaja Raja อยู่ที่ Insein Township, Yangon

ช้างที่ 2 ชื่อ Theingi Malar อยู่ที่ Insein Township, Yangon

ช้างที่ 3 ชื่อ Rati Malar อยู่ที่ Insein Township, Yangon

ช้างที่ 4 ชื่อ Bhaddawady อยู่ที่ Uppatathanti, Nay Pyi Taw

ช้างที่ 5 ชื่อ Nandawady อยู่ที่ Uppatathanti, Nay Pyi Taw

ช้างที่ 6 ชื่อ Ngwe Saddan อยู่ที่ Uppatathanti, Nay Pyi Taw

ช้างที่ 7 ชื่อ Haymawady อยู่ที่ Uppatathanti, Nay Pyi Taw

ช้างที่ 8 เพศเมียยังไม่มีชื่อ เป็นลูกของ Bhaddawady อยู่ที่ Uppatathanti, Nay Pyi Taw, เกิดเมื่อวันที่ 27 พ.ย.54 เวลา 09.45 น. สูง 3 ฟุต 1 นิ้ว, Trunk 4 ft 1 inch in circum-ferance


วัดเจ้าดอจี (Marble Buddha) เมืองย่างกุ้ง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วัดเจ้าดอจี Marble Buddha ซึ่งเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปทำจากหินอ่อนองค์ใหญ่ที่สุดของประเทศพม่าประดิษฐานอยู่ พระพุทธรูปสร้างในสมัยนายพลตานฉ่วย มีการขุดพบหินอ่อนก้อนใหญ่ที่สุดที่ยะไข่ จึงได้มีการแกะสลักบางส่วน และจัดส่งมาที่ย่างกุ้งแกะสลักโดยช่างชาวเมืองมัณฑะเลย์ นำมาแกะสลักจนแล้วเสร็จโดยพระพุทธรูปมีสีขาวสะอาดไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งพระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกา ยกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาท ซ้าย ขวา ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหลังพระพุทธรูป พระหินอ่อนจะถูกนำเก็บไว้ในห้องกระจกติดแอร์ เพราะคุณสมบัติของหินอ่อนหากโดนอากาศร้อนจะทำให้เนื้อหินแตกร้าวได้ เสียดายมีกระจกกั้นทำให้ถ่ายภาพออกมาไม่ชัดเจน




ตลาดสก็อต หรือ ตลาดโบโจ๊กอองซานมาร์เก็ต (Bogyoke Aung San Market) เมืองย่างกุ้ง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตลาดสก๊อต Scot Market เป็นตลาดเก่าแก่ของชาวพม่าตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป้นตลาดโบโจ๊กอองซานเพื่อให้เกียรติ์ท่านนายพลอองซาน สร้างขึ้นโดยชาวสก๊อตในสมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เป็นลักษณะอาคารเรียงต่อกันหลายหลัง สินค้าที่จำหน่ายในตลาดแห่งนี้มีหลากหลายชนิด เช่น เครื่องเงิน ที่มีศิลปะผสมระหว่างมอญกับพม่าภาพวาด พระพุทธรูปไม้หอมแกะสลัก อัญมณี หยกพม่า ผ้าทอ ผ้าปักพื้นเมือง เสื้อผ้าสำเร็จรูป แป้งทานาคา เป็นต้น ตลาดสก็อต ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารการรถไฟของประเทศพม่าในกรุงย่างกุ้ง ตลาดสก็อต เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 – 17.00 น. **หากท่านซื้ออัญมณีหรือสินค้าที่มีราคาสูงควรขอใบเสร็จรับเงินด้วยทุกครั้ง เนื่องจากศุลกากรอาจขอตรวจสอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศุลกากรเป็นกรณี**

ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ shopping อะไร เลยเดินเล่นเดินเลยไปหลังตลาดเห็นมีร้านกาแฟสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ แต่ไม่ค่อยเห็นคนพม่าเลย เลยลองสั่งกาแฟคาปูชิโน่มากินสักหน่อย รสชาติหนักไปทางนมทั้งนั้น ถึงว่าทำไมคนพม่าไม่ค่อยกินกาแฟกัน พอเดินมาอีกหน่อยมีพม่านั่งกินชากันเต็มไปหมด เป็นโต๊ะเตี้ยๆ นั่งเก้าอี้เตี้ยๆคุยกัน

ถึงเวลาเดินทางกลับแล้ว ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกท่านทีไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็มารู้จักกันในทริปนี้ ขอบคุณบริษัท smiling holiday ที่บริการอย่างมืออาชีพพาเราไปและกลับโดยสวัสดิภาพ และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาเยี่ยมชม review เรื่องยาวอีกเรื่องนึงของผม พบกันใหม่กับ review ครั้งหน้าน่ะครับ ^^

ย่างกุ้ง - หงสา - สิเรียม - อินแขวน สักการะ 3 ใน 5 สถานที่มหาบูชาของพม่า ตอนที่ 1

ย่างกุ้ง - หงสา - สิเรียม - อินแขวน สักการะ 3 ใน 5 สถานที่มหาบูชาของพม่า ตอนที่ 2


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด






สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.13 น.

ความคิดเห็น