สวัสดีครับบบบทุกท่าน กระทู้นี้เป็นการรีวิวครั้งที่สองแต่ถ้าเต็มรูปแบบก็ถือเป็นครั้งแรกของผมเลยครับ (เคยรีวิวสั้นๆตอนไปดูซากุระที่ญี่ปุ่นครั้งนึง) ปกติเป็นคนชอบไปเที่ยวละก็ไปเที่ยวเองซะส่วนใหญ่ ได้แต่เข้ามาอ่านเก็บข้อมูลไปเที่ยวในนี้บ่อยมากก ก.ไก่ล้านตัววว รอบนี้ขอเข้ามาเป็นคนรีวิวเองบ้างครับ

เนื่องจากทริปที่ไปมาล่าสุดช่วงสงกรานต์สดๆร้อนๆวันที่ 6-16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา เป็นการไปเที่ยวประเทศตุรกี!!! ซึ่งตอนก่อนไปก็ได้เข้ามาหาข้อมูลใน Pantip พบว่ารีวิวเที่ยวประเทศตุรกียังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เลยอยากเอาข้อมูลมาแชร์กันครับ

เกริ่นเล็กน้อย ทำไมถึงอยากไปตุรกี?? ตอนแรกไม่มีเหตุผลไรมากครับ แค่ภรรยาเพิ่งย้ายงาน ยังไม่ผ่าน probation บริษัทไม่สามารถออกจดหมายรับรองการทำงานให้ได้ เลยต้องไปประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า --" ประเทศที่เข้าตาละยังไม่เคยไปก็มีอยู่ 3 ที่ คือ มัลดีฟส์ รัสเซีย ละก็ ตุรกี (เช็คข้อมูลได้ที่ link นี้ ครับ https://2baht.com/thai-passport-visa-countries/) มีวันหยุดยาวเกินกว่าจะไปแค่ มัลดีฟส์ เลยตัดไปที่แรก ละก็ไม่รู้ทำไมผมยังไม่ค่อยอินกับรัสเซีย สุดท้ายหวยเลยออกที่ตุรกีครับ


อีกคำถามที่ต้องเจอคือ ไปตุรกีตอนนี้ไม่กลัวหรอ??? กลัวสิครับบบบ 5555 คนรอบข้างเตือนแล้วเตือนอีก ก่อนจะกดจองตั๋วก็นั่งคิดนอนคิด กลิ้งไปกลิ้งมากันหลายรอบ จนเอาวะ!! เป็นไงเป็นกัน ลองสักตั้ง กดจองเสร็จสรรพ ข่าวระเบิดในตุรกีก็มีมาเป็นระลอกๆ และถี่ขึ้นเรื่อยๆ T T ก่อนวันเดินทางนี่มีช่วงจะยกเลิกทริปประมานสองสามครั้งครับ เช็คค่าเจ็บตัวถ้าเปลี่ยนตั๋วไปประเทศอื่น กับค่าโรงแรมบางที่ ที่ refund ไม่ได้ก็บาดเจ็บเป็นหมื่นเลยกัดฟันไปลุยต่อด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ มีการส่งข้อความไปถามความปลอดภัยกับทางสถานทูตไทยในเมือง Ankara ก็ได้ข้อมูลว่าเมืองที่เราแพลนไปเที่ยวส่วนใหญ่ (ยัง) ปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สถานทูตได้ให้เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน 24 ชม. ในตุรกีไว้ด้วย ก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อยครับ


เกริ่นสุดท้าย กระทู้นี้ผมเน้นรูป (ใส่พิกัดถ่ายรูปมาให้ด้วยครับ) เน้นรีวิวสถานที่เที่ยวและความสวยงามของประเทศตุรกีนะครับ ไม่ได้เน้นข้อมูลเจาะลึกเรื่องรายละเอียดการเดินทาง เช่ารถ จองตั๋ว บลา บลา บลา… แต่ใส่ข้อมูลไว้บ้างพองาม ถ้าใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามมาได้ครับ ถ้ามีข้อมูลก็จะตอบให้หมดครับ **ที่สำคัญ**ไม่ได้เน้นประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปของประเทศตุรกีและสถานที่สำคัญแต่ละแห่ง (เพราะก็ไม่ได้มีความรู้ครับ กลัวจะให้ข้อมูลผิด 55 ถ้าสนใจความเป็นมาของประเทศตุรกีและสถานที่สำคัญต่างๆค้นข้อมูลจากอากู๋น่าจะเป๊ะกว่าครับ)

จบการเกริ่นนำที่ไม่ค่อยมีสาระแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณล่วงหน้าที่จะเลื่อนอ่านต่อไปครับบบบ กราบบบ


Remark

ตลอดทริปถ่ายภาพด้วยกล้อง Sony A7 Mark II กับเลนส์ 3 ตัว FE 16-35 F4, Canon EF 70-200 F4 L USM (ต่อผ่าน adapter) และมือหมุน Canon FDn 50mm F1.4 แล้วก็มีถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอด้วย GoPro HERO 4 Silver บ้างครับ




/// ก่อนเดินทาง ///


รอตั๋วโปรอยู่สองอาทิตย์ไม่มีตุรกีออกมาให้ตะครุบเลยตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินจากสารการบิน Emirates ครับ

BKK-Istanbul/Istanbul-BKK ราคาดีที่สุดที่ได้ในตอนนั้นคือประมาณ 28,000 บาท ไปต่อเครื่องที่ดูไบ ระยะเวลาต่อเครื่อง 1.15 ชม. ก็สวยเลยทีเดียวครับ รีบๆนิดหน่อย แต่ก็ดีกว่านั่งรอต่อเครื่องนานครับ


Tip: ตั๋วโปรตุรกีส่วนใหญ่ที่เห็นมีแต่เป็น multi-city ครับ เพราะหลังๆโปรยุโรปออกมาเยอะมาก ก็ต้องไปพ่วงยุโรปประเทศอื่นด้วย เช่นบินลง Istanbul กลับจาก Vienna ราคาหมื่นปลายๆ ซึ่งติดเรื่องขอ Schengen Visa เลยตัดไปครับ ถ้าใครแพลนไปตุรกีแล้วต่อยุโรปประเทศอื่นด้วย อาจจะหาตั๋วโปรง่ายกว่าและก็ได้ราคาดีกว่าครับ ถ้าไปกลับ BKK-Istanbul-BKK ถูกสุดที่เคยเห็นประมาณ 24,000 ครับ


หลังจากหาข้อมูลเมืองท่องเที่ยวต่างๆของตุรกีก็แพลนเมืองที่จะไปเที่ยวกันประมานนี้ครับ


ดูแล้วถ้าจะขับรถเที่ยวตลอดทริปคงเสียเวลาและก็จะเหนื่อยกับการขับรถมากเกินไป เลยบินภายในประเทศ 2 เที่ยวคือจาก Istanbul - Izmir และก็จาก Nevshehir - Istanbul ใช้บริการ Turkish Airlines ค่าตั๋วไม่แพงครับ เที่ยวละประมานหนึ่งพันบาทที่เหลือก็ขับรถหมด ยกเว้นในเมือง Istanbul ใช้บริการขนส่งสาธารณะซึ่งสะดวกกว่าขับรถแน่ๆ สรุปแพลนเที่ยวตุรกี 9 วันก็เป็นตามนี้ครับ


Day 1: 09.30 BKK - 13.00 Dubai 14.15 - 17.55 Istanbul 21.00 - 22.15 Izmir

Day 2: Izmir - Selcuk เย็นๆขับไปนอน Bodrum

Day 3: เที่ยว Bodrum ทั้งวัน เย็นๆขับไป Pamukkale

Day 4: เที่ยว Pamukkale บ่ายแก่ๆขับไป Antalya

Day 5: เที่ยว Antalya ค่ำๆขับไปนอน Konya

Day 6: เที่ยว Konya เที่ยงๆขับไป Cappadocia

Day 7: Cappadocia

Day 8: Cappadocia ทุ่มครึ่งบินไป Istanbul

Day 9: Istanbul

Day 10: Istanbul บินกลับ 19.25 Istanbul - 01.00 Dubai 03.00 - 12.15 BK


Tip: Flight จาก Istanbul ไป Izmir มีทุกชั่วโมง แต่เผื่อเวลาเยอะหน่อยเพราะต้องรับกระเป๋าและออกมาเช็คอินใหม่เพื่อต่อเครื่องบินภายในประเทศ ซึ่งอยู่คนละ terminal กัน เดินไกลพอสมควร และก็เผื่อเวลาซื้อ sim card ในสนามบิน Istanbul ด้วยครับ




/// Day 1 ///


วันแรกเป็นวันแห่งการนั่งเครื่องบินครับ เดินทางยาวนานออกจากสุวรรณภูมิแต่เช้า 9 โมงครึ่ง เครื่อง delay ประมาน 20 นาที เวลาต่อเครื่องที่ดูไบจาก 1.15 ชม.เหลือแค่ 50 นาที ออกมาจากเครื่องได้ก็โกยยยเลยครับ ต้องมาผ่านจุดตรวจกระเป๋าอีก เห็นแถวยาวๆก็เริ่มร้อนลน โชคดี gate ไม่ไกล วิ่งถึง gate เค้ากำลัง boarding กันพอดีเลย แฮ่กๆๆ ถึง Istanbul ก็หาที่ซื้อ sim card เพื่อให้มี internet ใช้กันตลอดทริป สำคัญมากเพราะต้องใช้ search เส้นทาง หาข้อมูลเพิ่มเติมและหาสถานที่เที่ยวกันตลอด (ซึ่งในกรณีของภรรยาผมคือมีไว้อัพรูปขึ้น facebook แบบ real time ครับ 55) ถึง Izmir สี่ทุ่มกว่าเวลาที่นู่นนะครับ ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง ที่ไทยก็ปาเข้าไปตีสองกว่าละ เช็คอินนอนที่ Tav Airport Hotel เลยครับ airport hotel ที่นี่ดีมาก คืออยู่ในตัวอาคารเดียวกับ terminal เลย รับกระเป๋าออกมาเดินนิดเดียวก็ถึงละ บินมายาวๆก็ไม่ต้องเหนื่อยลากกระเป๋านั่งรถไปที่พักครับ แถมโรงแรมใหม่ สะอาด ห้องพักขนาดกำลังดี ไม่เล็กมาก มีอาหารเช้าบริการ ภรรยาผมประทับจิตมากครัชชช ^ ^


Tip: Sim card รอบนี้ผมใช้ของ Turk Telekom ครับ ไม่ได้หาข้อมูลอะไร คือเจอ counter แรกก็พุ่งเข้าไปซื้อเลย ซื้อกันคนละ Sim ราคาประมาน 1200 บาท (ตอนซื้อซิมจ่ายเป็นเงิน USD ซึ่งที่สนามบินคิดเรทค่อนข้างโหดครับ) สำหรับหนึ่งเดือน โทรเบอร์ในประเทศฟรีไม่มีจำกัด ใช้ data ได้ 3GB ครับ ตกต่อวันก็ 120 บาทถือว่าคุ้มครับ แนะนำเลย เพราะโทรหากันฟรีด้วย เผื่อหลงหากันไม่เจอหรือบางทีแยกกันเดิน สะดวกดีครับ


Tip: ตุรกีใช้เงินสกุล TL ซึ่ง 12 บาท = 1 TL ก่อนไปพยายามหาแลกที SuperRich หลายสาขา ไม่มีเลยครับ บางสาขามีแต่หมด สุดท้ายได้มาแค่ 55 TL ><" ที่เหลือเลยแลกเป็นยูโรมาครับ ที่ตุรกีร้านส่วนใหญ่รับเงินยูโรด้วย แต่ rate ที่จ่ายตามร้านจะคิดแพงครับ แนะนำให้เอาเงิน (Euro หรือ USD ก็ได้) ไปแลกเป็นเงิน TL ตามที่แลกเงินซึ่งมีให้เห็นค่อนข้างเยอะก่อน แล้วเอาค่อยเอาเงิน TL มาใช้จ่ายจะคุ้มกว่ามากครับ ส่วนบัตรเครดิตที่รูดไป rate charge มาประมาน 12.80 บาท ครับ




/// Day 2////


วันนี้เอาจริงละครับ คันเท้าอยากขับรถตะลุยตุรกีสุดๆละ 555 รีบตื่นมากินอาหารเช้าที่โรงแรม check out เรียบร้อยก็ไปรับรถที่เช่าไว้ ซึ่ง counter ที่เช่ารถก็อยู่ในสนามบินเลยครับ จองรถไว้กับบริษัท Circular Car Hire ค่าเช่ารถที่นี่ไม่แพง แต่มีค่า one way surcharge คือค่าคืนรถต่างสถานที่ซึ่งแพงกว่าค่าเช่าอีกครับ T T เลยประหยัดงบค่าเดินทางด้วยการเช่ารถ เกียร์ manual ครับ ซึ่งพอเป็น manual เนี่ย ภรรยาผมยิ้มเลยฮะ ขับไม่เป็นจ้า ไม่สามารถช่วยขับได้นะจ้ะ รับผิดชอบขับคนเดียวตลอดทริป หึๆๆ (ค่าเช่ารถ 7 วัน สี่พันกว่าบาท ส่วนค่า one way surcharge เจ็ดพันกว่าบาท โอ๊ะโอ!!)


Tip: ผมเช่ารถกับ www.economycarrentals.com ซึ่งเคยใช้บริการหลายครั้งแล้วเวลามายุโรป เช็คแล้วถูกที่สุดครับ แต่เคยเจอของ Europcar ถูกกว่าครั้งนึงเพราะมีโปรโมชั่นจองผ่าน mobile site


Tip: ถ้าบริษัทเช่ารถถามว่าจะเหมาจ่ายค่า Toll มั้ย ซึ่งจะเป็นช่อง HGS บอกว่าไม่เอา เพราะตั้งขับตั้งแต่ Izmir ไปคืนที่ Nevsehir ระยะกว่า 1,300 กม. ยังไม่เจอ Toll เลย (อยากใช้เจ้าช่อง HGS มากกกก น่าจะเหมือนช่อง EasyPass บ้านเราครับ) ผมเดาว่ามันน่าจะมีแต่ใน Istanbul หรือ Ankara รึเปล่า แล้วทำไมบริษัทรถเช่าไม่บอกเราฟะ!!! จ่ายไปตั้ง 200 บาท - -"


Tip: การขับรถในตุรกีไม่ยากครับ พวงมาลัยซ้ายอาจจะงงๆนิดหน่อยช่วงแรกแต่แปปเดียวก็ชินครับ ส่วนใหญ่ขับนอกเมือง รถไม่เยอะ ก็ไปเรื่อยๆชิลๆ สะดวกกว่าใช้บริการสาธารณะ (นอกเมืองเห็นมีแต่รถบัสเล็กที่หน้าตาคล้ายรถตู้ขนาดใหญ่ครับ) เพราะไม่ต้องรอตามตารางเวลาแล้วก็จะไปเที่ยวจุดไหนก็ได้ ตอนเที่ยวในแต่ละเมืองก็สะดวก ที่จอดรถหาไม่ยากเลย ยกเว้นใน Istanbul นะครับ วุ่นวายนรกแตก เสียงแตร์ดังทั้งวัน หลีกเลี่ยงโดยด่วนน กราบเลยครับ _/|\_


หลังจากรับรถเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่เมือง Selcuk จุดหมายหลักเราคือ Ephesus ที่ยิ่งใหญ่อลังการครับ ขับมาประมาณ 1 ชม. ก็ถึง ตามแพลนเราจะไปแวะเที่ยว Artemis Tapinagi ก่อน แล้วค่อยไปต่อ Ephesus ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานกว่าครับ


Artemis Tapinagi หรือ The Temple of Artemis เป็นมหาวิหารหินอ่อนแบบกรีกใหญ่โตที่คนสมัยนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อถวายเทพเจ้า Artemis ครับ จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า ตั้งอยู่ในเมือง Epesus (ซึ่งปัจจุบันก็คือ Selcuk นั่นเอง) มหาวิหารนี้โดนทำลายแล้วก็สร้างใหม่ไปสามรอบด้วยกัน จนสุดท้ายไม่ได้กลับมาสร้างใหม่อีกเป็นครั้งที่ 4 เพราะเป็นยุคสมัยที่เริ่มมานับถือศาสนาแทนการนับถือเทพครับ


ขับไปตาม Google Maps หา Artemis Tapinagi ไม่เจอ แต่เห็นมีรถทัวร์จอดอยู่ด้วย 1 คัน เลยคิดว่ามันต้องใช่แล้วแหล่ะ มีทัวร์มาเที่ยวต้องเป็นสถานที่สำคัญแน่ๆ 55 เดินไปถามทางคนแถวนั้น โดยเอารูปในมือถือให้ดู แล้วเค้าก็ชี้ๆบอกให้เดินไปอีกทางนึง (คนตุรกีที่ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ก็จะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษนะครับ) เดินไปสักพักเจอสิ่งนี้


(พิกัด 37.9509,27.3677)


วิธีใช้พิกัดคือ copy - paste ตัวเลขลงในช่อง search ของ Google Maps ได้เลยครับ


เราก็นึกว่าใช่ แต่เอ๊ะ.. ทำไมมันไม่เหมือนรูปที่ดูมาเลย เดินเข้าไปข้างในเป็นทางเข้าปรากฏว่าเสียเงินด้วย เพราะมันเป็น Museum ถามคนขายตั๋วเค้าบอกว่าที่นี่คือ Basilica of Saint John ไม่ใช่ Artemis Tapinagi แต่อย่างใด


Tip - ทุกสถานที่เจ๋งๆของเค้าจะเก็บค่าเข้าแบบนี้หมดเลย แนะนำให้ซื้อเป็น Turkey Museum Pass ไปเลย ราคา 175 TL คุ้มกว่าซื้อแยกมากครับ เพราะแต่ละที่ค่าเข้าราคาประมาณ 25-45 TL แต่มีให้เข้าเป็นสิบที่เลยครับ ช้ำใจมาก อย่างปราสาทปุยฝ้าย ที่ Pamukkale ก็เสียค่าเข้าซึ่งสามารถใช้ museum pass ได้เหมือนกันครับ ดังนั้นซื้อเถอะ ผมไม่ได้ซื้อขาดทุนไปหลายเลย บางอันก็เลยเสียดายตัง (บวกงก) ไม่เข้าซะงั้น 55


สรุปอันนี้ก็ไม่ได้เข้าครับถ่ายรูปข้างหน้ามารูปนึงพอ แล้วก็ search ทางใน Google Maps ใหม่ ดูไปดูมาเหมือนปักหมุดไปผิดที่ ออกมาตั้งต้นที่ถนนใหญ่ใหม่ ขับรถไปอีกนิดก็เจอละครับ

(พิกัด 37.9494, 27.3638)


รถสีส้มๆนี้น่าจะเป็นของร้านขายของที่ระลึกครับ น่ารักดี ที่นี่ปรากฏว่าไม่เสียค่าเข้าครับ เอาล่ะไปดูกันเลย Artemis Tapinagi ที่ตามหากันมาครึ่งชั่วโมง



หาาา!!! มีแค่นี้ (มิน่าไม่เก็บค่าเข้า) มีแค่นี้จริงๆครับ มันเหลือแต่ซากแล้ว ใครอยากเห็นรูป before ว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหนลอง search หาดูได้ครับ แต่ก็ยังหลงเหลือกลิ่นอายของความอลังการจากในอดีตได้เป็นอย่างดี (ปลอบใจตัวเองรึป่าวนะ 55) ยังไงซะคนที่มาที่นี่ก็ควรแวะมาหน่อยนะครับ หนังสือหรือเว็บเมืองนอกเค้าก็แนะนำให้มา ถ่ายรูปสักพักก็มีคนเอาหนังสือมาให้ดูครับ ว่ารูปก่อนที่มันจะเหลือแค่เสานี้ มันมีหน้าตาเป็นยังไงมาก่อน คุยไปคุยมาก็ขายของสิครับ ภรรยาคันๆอยาก shopping ก็อุดหนุนไปเรียบร้อยตามระเบียบ 25TL นางบอกว่าคุ้มมากๆ หนังสือทำดีมากๆๆๆ 55 จ้ะ!!!


ไปกันต่อเลยนะครับ จบจากที่นี่ในเวลาไม่เกิน 15 นาที ขับไปต่ออีก 5 นาที ก็จะถึง Ephesus กันแล้ว เย้!! ที่นี่ต้องเสียเงินค่าเข้า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 40 TL (เป็นเงินไทยก็ 500 บาทแล้วครับ)


Ephesus นี่เป็นสถานที่ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากมาตุรกีเลยก็ว่าได้ เมือง Ephesus กำเนิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาลในยุคกรีก เป็นเมืองที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดจนกลายเป็นมหานครหลวงในสมัยโรมันแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย


ที่นี่มีทางเข้า 2 ฝั่งนะครับ (มารู้เอาตอนหลังจากที่หลงออกผิดฝั่งไปแล้ว --") ใครเข้ามาจากฝั่งไหนเดินกลับฝั่งเดิมนะครับ เพราะมันอยู่คนละฝากกันเลย เดินมาออกผิดฝั่งต้องเดินย้อนกลับเข้าไปใหม่เท่านั้นครัชชช แล้วตั๋วที่ซื้อมันเป็นแบบใช้ได้ครั้งเดียว จะกลับเข้าไปใหม่ต้องติดต่อที่จุดจำหน่ายตั๋วให้ออก free pass อีกอันให้ครับ เดินอ้อมด้านนอกไกลมากกกก ไม่งั้นก็ต้องใช้บริการ taxi ที่มาจอดรอพร้อมแผนที่อธิบายเสร็จสรรพ แสดงว่ามีคนเดินออกผิดบ่อยสินะ เราไม่ได้โง่หรอก 55


อันนี้เป็นภาพต้นๆระหว่างทางไปจุดมุ่งหมายหลัก ซึ่งก็คือ Library of Celsus ครับ



สังเกตุว่านักท่องเที่ยวดูไม่ค่อยหนาแน่น เจอคนไทยประปราย เจอทัวร์คนจีนแค่กรุ๊ปเดียว บางจุดถ่ายรูปมาไม่ติดคนเลย (แต่ติดแมว 55) ถือว่าโชคดีมากๆ สวรรค์ของคนชอบถ่ายรูปเลยครับ



มาถึงแล้วครับ Library of Celsus สวยงามอลังการตามที่คิดไว้เลย เห็นแบบนี้ก็ปรบมือรัวๆๆ เอ้ยยย กดชัตเตอร์รัวๆๆ สิครับจะรออะไร วันแรกเห็นอะไรก็ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจไปหมด แถมวันนี้อากาศดีฟ้าโปร่งถ่ายรูปไปเป็นร้อย แต่ข้อเสียคือกลับมานั่งเลือกรูปตาแฉะครับ แหะๆ



เดินต่อมาอีกสักพักใหญ่ๆก็จะเจออีกที่ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ Great Theatre หรือโรงละครในสมัยก่อนครับ ที่นี่จุคนได้ประมาน 30,000 คน อารมณ์ประมาน Colosseum ที่ Rome แต่ว่าอลังการไม่เท่า คนน้อยมากจริงๆ ปกติเห็นคนมาเที่ยวถ่ายรูปติดคนมาเพียบเลย นี่ไม่ได้รอจังหวะอะไรเลยนะครับ ถ่ายมาแทบไม่ติดคน ยิ้มเลยสิครับงานนี้



ส่วนตัวชอบมาก แต่ก็ชอบน้อยกว่า Library of Celsus นิดนึง อยู่ที่นี่สักพักก็เดินต่อครับ วันนั้นแดดแรงมากๆ อากาศ 20 ต้นๆแต่ร้อนครับ ร้อนเพราะแดด ช่วงที่เดินในร่มก็เย็นสบายใส่เสื้อยืดตัวเดียวชิลกำลังดีครับ


อีกสักรูปกับ Great Theater




เดินไปเดินมาเจอเจ้าแมวเหมียวนอนพริ้มอยู่บนเสา น่ารักเชียว ตั้งแต่เดินเข้ามานี่เจอแมวเป็นสิบตัวแล้วครับ แมวเยอะมากๆ ถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย



เดินต่อไปสักพักก็เจอป้ายทางออกครับ จ้ำไปทันทีเพราะตอนนี้หิวน้ำกันมากๆครับ (แนะนำให้ติดน้ำเข้ามาด้วยขวดนึง จะยืดชีวิตได้อีกนาน) ปรากฏว่าไม่ใช่ที่เดิมครับ อยู่กันคนละทิศเลยอย่างที่อธิบายไปตอนต้น แวะพักซื้อน้ำซื้อไอติมกิน แล้วก็ขอเจ้าหน้าที่กลับเข้ามาข้างในอีกรอบนึง เจ้าหน้าที่แอบดุ ถามว่าแล้วทีแรกจะออกมาทำไม ฮืออ TT


คราวนี้ก็สนุกเลยครัชช ต้องเดินย้อนกลับทางเก่ายาวๆไป แต่ก็ดีไปอีกอย่างได้มีโอกาสเก็บรูปเพิ่มเติม เดินผ่าน Library of Celsus อีกรอบ เจอคนไทยนั่งเซลฟี่อยู่ อ้าววว ภรรยาตรูเองนี่หว่า (>,<)



เดินมาใกล้ทางออกแล้วครับ เห็นนักท่องเที่ยวยืนอ่านประวัติ/รายละเอียดของสถานที่แต่ละจุดอยู่ (ซึ่งผมแทบไม่ได้อ่านมัวแต่ถ่ายรูปครับ - -")


Tip - ใครอยากทราบรายละเอียดของแต่ละจุดอย่างเจาะลึก สามารถเช่า Audio Guide ได้ที่ทางเข้า Museum ซึ่งมีบริการแทบทุกแห่งเลยครับ มีหลายภาษาให้เลือก แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าเข้าครับ (ส่วนผมไม่ได้เช่าเลย แหะๆ)



จบแล้วสำหรับ Ephesus ไม่ได้ลงรูปเยอะมาก ให้ไปเห็นด้วยตาตัวเองกันบ้างดีกว่าครับ ^^ต่อไปอีกจุดหมายนึงใน Selcuk ก็คือ Şirince หมู่บ้านเก่าแก่เล็กๆบนเขา ขับจากตัวเมืองไปประมาณ 30-40 นาทีได้ ระหว่างทางจะผ่านที่อยู่อาศัยของคนที่นี่ก่อน ดูแล้วแห้งๆฝุ่นๆและก็ดูร้างๆ ฟีลลิ่งตอนนั้นเหมือนอยู่ในอัฟกานิสถาน ขับรถตามตัวผู้ก่อการร้ายอะไรยังงั้นเลย (ดูหนังมากไปหน่อยละ) แปะคลิปมาให้ดูบรรยากาศกันเล่นๆครับ



ขับต่อมาจะเป็นทางขึ้นเขาครับ ไปกันแบบช้าๆ รถเครื่องยนต์เล็กด้วย ค่อยๆไต่กันขึ้นไป


มาถึงแล้วครับหมู่บ้าน Şirince ขับเข้ามาแล้วไปหาที่จอดรถข้างในได้เลย (มีคนเรียกจอดตั้งแต่ต้นทางไม่ต้องสนใจนะครับ เดี๋ยวต้องเดินไกล) ที่นี่เหมือนเป็นเมืองเล็กๆเมืองนึงเลยบรรยากาศน่ารักมากๆ ไม่เสียดายเวลาที่ต้องขับรถขึ้นเขามาเกือบๆ 40 นาทีครับ



ตามทางมีร้านอาหาร ร้านชาตกแต่งน่ารัก และก็มีร้านขายของที่ระลึกเพียบ!!


จุดหมายของเราที่หมู่บ้านนี้อย่างหนึ่งคือไปถ่ายรูปมุมสูงเห็นบ้านสีขาวหลังคาสีส้มน้ำตาลไล่เรียงลงมาตามระดับไหล่เขาครับ จากที่หาข้อมูลคือเดินไปทางเดียวกับทางไปโบสถ์ แต่ก่อนจะไปเดินขอแวะกินข้าวเอาแรงกันก่อนดีกว่าาา


ก่อนมาตุรกีนี่มีคนขู่ไว้เยอะมากกก ว่าให้ทำใจกับอาหารที่นี่ พกมาม่ามาเยอะๆเลย --" คนตุรกีส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามจึงไม่มีเนื้อหมูขายนะครับ มื้อนี้ถือเป็นมื้อแรก เราก็พยายามเลือกสั่งเมนูที่ชื่อที่ดูธรรมดาๆก่อน ภรรยาผมบอกยังไม่หิวมาก เห็นเมนูผัดผัก (เมนูเขียน fried vegetables เลยครับ) ดีใจรีบสั่งเลย คิดว่าน่าจะดีแน่ๆ แต่นแต๊นนน ผัดผักบ้านเค้าหน้าตาแบบนี้ครัชชช



กินแล้วเอิ่มมมม แปลกมากก ผักเค้าคือมะเขือม่วง มันฝรั่ง พริกหยวก กองอยู่บนน้ำมัน แล้วก็ราดน้ำข้นๆสีขาวคล้ายๆน้ำสลัดแต่รสชาติก็ไม่ใช่ จิ้มกันไปได้ไม่กี่คำ ก็ขอผ่านครับบบ


อีกจานผมสั่ง Grilled Chicken ค่อยดูโอเคหน่อยครับ



เสิรฟ์มาพร้อมข้าว คล้ายๆข้าวมันไก่บ้านเรา รสชาติไม่ได้อร่อย แต่ก็กินได้มากกว่าจานแรกเยอะครับ 55


อิ่มแล้ว (หรอออ?) ก็ไปกันต่อเลยครับ ตามหาจุดชมวิวถ่ายรูป มุมที่เป็น signature ของหมู่บ้านนี้



เดินขึ้นมาเรื่อยๆสักพักก็มาถึงละครับ โบสถ์เก่าแก่ของหมู่บ้าน ข้างในโล่งๆมีภาพวาดประดับอยู่นิดหน่อย เหมือนกำลังซ่อมแซมอยู่ แวะเข้ามาแปปๆ และเราก็ไปต่อกัน


(พิกัด 37.9429, 27.4321)


คือเดินไปจนสุด มันไม่มีจุดชมวิวอย่างเป็นทางการครับ เลยตัดสินใจเข้าร้านอาหารซึ่งเล็งละว่าวิวสวย สั่งชา สั่ง Chocolate Pancake กิน (ซึ่งพอเห็นหน้าตาแล้วแถวบ้านเราเรียกเครปครับ)



แล้วก็ถ่ายรูปชมวิวกันตามประสา นี่ครับรูปที่อยากได้ แต่เอ… มุมนี้มันก็ไม่ได้สวยอะไรมากมายนิหว่า สงสัยเราจะไปไม่ถึงจุดที่เค้าถ่ายกัน ><"


(พิกัด 37.9429, 27.4321)


ที่เห็นบ้านดูเป็นระเบียบขนาดนี้ไม่ใช่บังเอิญนะครับเคยอ่านมาว่ารัฐบาลเค้าพยายามจะอนุรักษ์สภาพเดิมๆของหมู่บ้านไว้ แค่จะซ่อมหลังคาหรือทำอะไรกับบ้านก็ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลก่อน บ้านทุกหลังทาสีขาวแล้วหลังคาสีน้ำตาลเหมือนกันหมดเลยครับ


ป้าคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของร้าน กำลังปิ้งแป้ง Pancake กับเตาอยู่ครับ เตาถ่านจริงๆเลย (มิน่า Pancake มันถึงดูไหม้ๆนิดหน่อย 555) ได้ฟีลมากๆ



เดินกลับลงมาระหว่างทางก็เจอคุณป้าอีกคนนั่งร้อยมงกุฎดอกไม้ขายอยู่ อันละ 5 TL น่ารักดีครับ (แต่ไม่ได้ซื้อ)



บรรยากาศในเมือง จริงๆเก็บมาเยอะกว่านี้แต่มีภรรยาอยู่ในรูปด้วยเลยไม่ได้เอามาลงครับ ^ ^



อันนี้เหมือนเป็นร้านขายไวน์ครับ จริงๆเค้าบอกไวน์ที่หมู่บ้านนี้อร่อย แต่ผมไม่ใช่คนชอบดื่มไวน์ประกอบกับมีเวลาไม่มากแล้วเลยไม่ได้แวะชิม ใครมาเที่ยวก็ลองแวะชิมกันดูได้นะครับ



จบหมู่บ้าน Şirince กันเพียงเท่านี้ครับ เห็นผมพิมพ์น้อยๆอย่างนี้ไม่ใช่ว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีอะไรนะครับ จริงๆมันน่ารักมาก มาเดินเล่นเพลินๆ แวะทานข้าวกลางวันที่นี่ นั่งจิบชานิดหน่อย ก็ปาไปครึ่งวันเลยทีเดียวครับ


จากนี้เราจะเดินทางต่อไปยังเมือง Bodrum (ใช้เวลาขับรถประมาณ 2.5 ชม.) ถ้าศึกษาหาข้อมูลประเทศตุรกีจะพบว่าตุรกีเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่หลากหลายมาก แต่ละเมืองก็มีจุดเด่นกันไปคนละแบบ มาทริปนี้เราก็อยากได้ฟีลเมืองที่หลากหลายของประเทศตุรกี พอรู้ว่าติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยก็เลยปักหมุดว่าต้องไปอย่างน้อยหนึ่งเมืองแน่นอน จินตนาการภาพแบบ Santorini ไว้เลยครับ ไปดูน้ำทะเลสีฟ้าเขียว ตัดกับบ้านเรือนสีขาวหาไปหามาก็มาเจอเมือง Bodrum นี่แหล่ะครับ น่าจะใกล้เคียงสุด เลยแวะมาเที่ยวที่นี่กัน


มาถึงนี่ก็เย็นมากแล้ว (ประมาณ 6 โมงกว่าๆ) โรงแรมที่พักคืนนี้ขอนอนดีหน่อย เราเลือกพัก Leka Hotels เพราะที่ดูมาใน Agoda มันเป็นโรงแรมเดียวที่บรรยากาศสวย ขาวไปหมดทั้งโรงแรม ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถ เพราะไกลจาก City Center นะครับ นี่คือรูปหน้าโรงแรมครับ ถ่ายด้วยกล้อง GoPro



ขับมาซื้อขนม/น้ำกินเล่นที่ Migros เจอเจ้าหมู Golden ตัวนี้ยืนรอเข้าประตูอยู่ แต่ประตูไม่ยอมเปิดเลย 55 น่าฉงฉานน (ที่ตุรกีคนเลี้ยง Golden เยอะมากกก)



ขับต่อมาอีกหาดที่ติดกัน ก็เจอครอบครัวมาปิกนิกริมชายหาด บรรยากาศดีมากๆเลย ช่วงที่มานี่พระอาทิตย์จะตกประมานทุ่มครึ่ง เลยรู้สึกว่ามีเวลาเที่ยวและถ่ายรูปเยอะหน่อยครับ


(พิกัด 37.0301, 27.4405)


บรรยากาศสงบๆ มีผู้คนนั่งเล่นประปราย



หลังจากนั้นก็ไปนั่งทานอาหารค่ำกันริมทะเลครับ บรรยากาศดีเลย เค้าตั้งโต๊ะบนหาด ประดับไฟสวยงาม (แต่อาหารตุรกีก็นะ ยังไงก็ไม่ถูกปากเอาซะเลย TT)



สักพักก็กลับโรงแรม พักผ่อนนอนเอาแรง เตรียมลุยสำหรับวันพรุ่งนี้ครับ นี่แค่วันแรกหรอเนี่ย?!?! เที่ยวกันซะหมดแรงเลยครับ 55




/// Day3 ///


ตื่นเช้ามาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโรงแรมก่อน check out ครับ เห็นคนน้อยๆคุยไปคุยมา เจ้าหน้าที่บอกว่าตอนนี้เราเป็นแขกคนเดียวของโรงแรมเพราะเค้าเพิ่งเปิดเมื่อวานวันแรกสำหรับ season นี้ โชคดีมากที่มาได้จังหวะตอนเค้าเปิดพอดี ^^



ช่วงที่เรามาเที่ยวกัน ที่นู่นเค้ายังไม่เข้าหน้า summer คนเลยยังไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ครับ ซึ่ง Bodrum ก็จัดเป็นเมืองตากอากาศขึ้นชื่อเมืองนึงของตุรกีเลยทีเดียว ถ้าช่วง summer นี่บรรยากาศจะคึกคักมากเลยครับ ถามเจ้าหน้าที่รร. เรื่องข้อมูลท่องเที่ยวนิดหน่อยบอกว่าเราแพลนไปเที่ยวหาด Camel Beach ไว้ ปรากฎว่าเค้าบอกหาดยังไม่เปิดช่วงนี้ เนื่องจากสภาพยังไม่อำนวยครับ เซ็งเบย แต่ก็คิดว่ายังไงจะลองไปกันดู พอออกมาจากโรงแรมนี่เก็ทเลยว่าที่เค้าบอกสภาพอากาศไม่อำนวยมันคืออัลไล โอ๊ยย ลมแรงมากกกก มากกกที่สุด หัวเหอกระจุยหมด เดินแปปเดียวผมภรรยานี่เป็นสังกะตังเลยครับ 55 แล้วบางช่วงนี่รู้สึกว่าตัวจะปลิวได้เลย ซึ่งน้ำหนักแต่ละคนก็ไม่ใช้น้อยๆนะ >//<


บรรยากาศริมทะเลมีเรือจอดเต็มเลยครับ ดูแล้วอากาศแบบนี้คงไม่มีใครออกเรือเท่าไหร่ ตอนแรกว่าจะหา boat trip สั้นๆเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่ดูสภาพแล้วก็ไม่น่าจะไหวครับ คลื่นก็แรง ล่องเรือตอนนี้มีอ้วกแตกแน่นอน เหอๆ



มีขายของทะเลสดกันบ้างแต่ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ครับ เห็นอาหารทะเลแล้วก็นึกถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดบ้านเรา น้ำลายสอเลยครับ มาไม่กี่วันก็คิดถึงอาหารไทยซะแล้ว TT


(พิกัด 37.0315, 27.4296)



มีคนตกปลาประปราย



เรือลำนี้สวยดีครับ เลยถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก



เดินเลียบท่าเรือมาเรื่อยๆก็เจอเรือเป้าหมายของภรรยาผมละครับ ชีเดินเล็งอยู่นานอยากจะขึ้นไปถ่ายรูปวิวบนเรือ ซึ่งเรือลำนี้กำลังจะถูกคุกคาม!!!



ภรรยาผมเดินวนๆอยู่สักพักก็ไปคุยกับเจ้าของเรือ ขอขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือได้มั้ย เค้าก็อนุญาติแบบไม่มีอิดออดเลยครับ คนตุรกีส่วนใหญ่ friendly และก็ใจดีนะ ถ่ายรูปกันพองามทั้งกล้องใหญ่ GoPro จัดทั้ง Selfie วีดีโอแบบรีบเร่ง เพราะก็แอบเกรงใจเค้าอยู่เหมือนกัน อิอิ ได้รูปที่ต้องการ ก็กล่าวขอบคุณและอำลา เสร็จแล้วเค้าก็ให้นามบัตรมา บอกอยากรู้อะไรเกี่ยวกับการล่องเรือก็เมลมาถามเค้าได้ หรือถ้ามีคนรู้จักมาเที่ยวสนใจล่องเรือก็ติดต่อเค้านะ เจ้าของน่ารักมากครับ



เดินไปถึงจุดนึงเราก็เปลี่ยนจากเดินริมทะเล มาซอกแซกตามถนนตามตรอกเล็กๆกันบ้าง สัมผัสบรรยากาศบ้านสีขาวทั้งตัดกับกรอบหน้าต่างสีน้ำเงิน ทุกบ้านช่างพร้อมใจกันทาสีหมือนกันหมด เท่าที่ลองค้นข้อมูลเมืองนี้มาแวบๆ ที่เมืองนี้รัฐบาลเค้าก็จัดระเบียบคุมโทนสีบ้านเหมือนกันครับ ซึ่งผมคิดว่ารัฐบาลเค้าบริหารจัดการการท่องเที่ยวและดูแลสถานที่ท่องเที่ยวได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ประทับใจครับ ปรบมือรัวๆๆ


(พิกัด 37.0306, 27.4308)


เดินกันจนเมื่อยแล้วเราก็วกกลับมาทางเดิมที่ถนนเลียบท่าเรือเพื่อหาข้าวกลางวันกินกัน แอบเล็ง Domino Pizza ไว้แล้วครับ ซึ่งภรรยาก็เห็นด้วยเพราะไม่ได้ enjoy อาหารตุรกีเท่าไหร่ อิ่มท้องกันแล้วเป้าหมายต่อไปคือ Bodrum Castle ปราสาทสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันดัดแปลงมาเป็น Museum of Underwater Archaeology ด้วย เคยเห็นคนลงรูปวิวเมืองนี้จากบนประสาทแล้วคิดว่ายังไงก็ต้องขึ้นไปดูให้ได้ครับ ลุยยยย


เดินกลับมาทางเดินที่มีร้านขายปลา ก็เห็นปราสาทอยู่ริบๆ



ระหว่างทางไปปราสาทมีสะพานทอดไปในทะเลยาวสำหรับขึ้นเรือ มีเรือจอดเต็มซ้าย ขวา สวยดีครับ


(พิกัด 37.0317, 27.4294)


และแล้วเราก็เดินมาถึง Bodrum Castle ซึ่งก็ต้องเสียเงินอีกตามเคย ขึ้นมาสักพักชะโงกลงไปเห็นน้ำทะเลเมดิเตอเรเนียนสีเทอร์คอยซ์ (Turquoise) สวยและใสปิ๊งงงง ห้ามใจไม่อยู่เกือบกระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นละครับ 55



ปราสาทนี่ต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ สักพักเริ่มเหนื่อย ยิ่งสูงลมก็ยิ่งแรง เกือบจะถอดใจกันละครับ จนมาเจอวิวนี้



ทำเอาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง กดไม่ยั้ง แช๊ะไปหลายสิบ (แต่ใช้ได้รูปเดียว - -") เมืองที่เห็นจะเป็นคนละฝั่งกับท่าเรือที่ผมเดินมานะครับ เป็นฝั่งโรงแรมที่พักกันเมื่อคืน เพราะจากดาดฟ้าโรงแรมมองมาทางขวาก็จะเห็น Bodrum Castle ด้วยครับ มุมนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ


และนี่คือเบื้องหลังการถ่ายทำ ภรรยาผมเอา GoPro แอบถ่ายผมซะงั้น ท่าไม่สวยแต่ทุ่มเทนะครัชชช ...จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง... 555 ภรรยาร้องเพลงนี้แซวตลอดเวลาเจอท่าถ่ายรูปฮาๆของผม



เดินมาอีกจุดนึงเปลี่ยนเอาเลนส์ซูมเทเลจากระยะไกลมาใช้บ้าง ได้รูปนี้มาครับ



เดินวนไปวนมาถ่ายรูปวิวหนำใจก็เดินลงครับ ไม่ค่อยได้ดูในปราสาทเท่าไหร่ ข้างบนนี่ลมแรงจนน่ากลัว ยืนริมกำแพงไม่ได้เลยครับ หวาดเสียวจะปลิวตกลงไปจริงๆ ลมแรงจนหน้าชาและรู้สึกมึน เหมือนตัวมันโคลงๆตลอดเวลา


ออกจากปราสาทก็เดินกลับไปเอารถที่จอดไว้ พอดียังไม่ได้เปลี่ยนเลนส์กลับ เลยเอาเทเลยิงหนุ่มใหญ่คนนี้ซะเลย กำลังทำอะไรสักอย่างกับเรืออยู่ดูเก๋าๆดีครับ



แถวนี้นี่คนเยอะพอดู แต่ก็ยังไม่ถึงกับพลุกพล่านครับ


(พิกัด 37.0354, 27.4323)


จากนี้เราก็มุ่งหน้าไป Camel Beach ครับ ผมไปโม้กับภรรยาไว้ว่าวันนี้จะพาไปขี่อูฐที่หาดนี้ให้ได้ ภรรยาตื่นเต้นใหญ่ ถึงแม้พนักงานที่โรงแรมบอกว่ามันปิดเราก็ไม่เชื่อกันครับ ทำตัวเป็นคนคิดบวกขึ้นมาทันที 555 เอาหน่าไม่ใช่ summer แต่มันก็น่าจะมีอูฐอยู่แถวนั้นให้ขี่สักตัวม่ะ ขับจากตัวเมืองไปครึ่ง ชม. กว่าก็ถึงครับ


แต่หาทางเข้าหาดไม่เจอเลยมาจอดรถไว้แถวนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นพื้นที่ของร้านอาหาร แต่ก็ดูร้างๆพิกล ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะเตรียมลุยทะเลกันเต็มที่



เดินไปที่หาดอย่างตื่นเต้น... แล้วก็ ผ่างงงง!!!! หาดสงบมากกกกก สงบเกินไป อย่าว่าแต่คนเลยครับ คือมันไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณนี้เลยจริงๆ ปิดแบบจริงจังมาก เชื่อแล้วครับ ไปก็ได้ บัยยยยย


(พิกัด 37.0114, 27.3276)



จบเมือง Bodrum หันมามองหน้ากันแบบงงๆนิดหน่อย 55 ไม่เป็นไรครับ เสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยรีบมุ่งหน้าไป Pamukkale กันต่อ หวังว่าจะไปเก็บรูปปราสาทปุยฝ้ายทันตอนพระอาทิตย์กำลังตกครับ


แวะเติมน้ำมันรอบแรก นอกเมืองนี่เค้าขับรถแทรกเตอร์กันเยอะมากเลย เจอตลอดทางครับ



มาถึง Pamukkale ตอนหกโมงเกือบๆทุ่มละครับ แสงกำลังสวยเลย แต่กว่าจะหาทางเข้าเจอก็ปาไป 19.20 ซึ่งมันปิด 19.30 เค้าเลยไม่ให้เข้าไปละครับ ถึงเข้าก็คงไม่คุ้มค่าเข้าด้วย เลยได้แต่เก็บรูปด้านนอกแทนครับ



ด้านล่างเป็นสวนสาธารณะและก็มีบ่อน้ำ อารมณ์เหมือนสวนลุมบ้านเราเลยครับ มีเป็ดว่ายน้ำอยู่เต็มเลย และก็มีเรือเป็ดให้ถีบชิลๆกันด้วยครับ


(พิกัด 37.9186, 29.1223)


วันนี้ไม่มีที่ไปละครับ หาไรกินแล้วก็รีบกลับโรงแรมนอน พรุ่งนี้กะมากันตั้งแต่มันเปิดตอนแปดโมงเลยครับ จะได้คนน้อยๆ


Tip: อยู่ตุรกีมาสองวันเต็มๆก็เรียนรู้ว่าคนที่นี่ hard sell มากกกก คือจะเรียกซื้อของ เรียกเข้าร้าน หรือกระทั่งเดินเข้ามาประชิดตัวเพื่อขายของ ขายแพคเกจอะไรตลอดเวลา ใจแข็งไว้นะครับทุกคน 55





/// Day 4 ///


วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปเก็บแสงสวยๆที่ Pamukkale ครับ


Pamukkale แปลว่า Cotton Castle หรือว่าปราสาทปุยฝ้ายที่คนไทยชอบเรียกกันนั่นเองครับ เป็นเมืองที่โด่งดังเพราะมีภูเขาหินปูนสีขาว ซึ่งเป็นเนินเขาหินปูนธรรมชาติที่เกิดจากแคลเซียมในธารน้ำแร่ไหลผ่านลงมาจากภูเขา เอ่อท้นมาบนผิวดิน และเกิดการตกตะกอนจับตัวกันเป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามหน้าผา กลายเป็นภูมิประเทศสวยงามแปลกตามากมาย ดูเผินๆเหมือนหิมะเลยครับ


ที่นี่ก็มีทางเข้าสองทางนะครับ คือจอดรถด้านล่างแล้วเดินเท้าขึ้นมา หรือขับรถมาจอดด้านบนดูวิวมุมสูงแล้วเดินลงไปก็ได้ครับ แต่หลักการเหมือนเดิมคือเข้าทางไหนออกทางนั้นนะครับไม่งั้นเดินขาลาก เพราะทางเดินรถมันจะอ้อมเขาครับ แล้วบัตรก็ใช้เข้าได้ครั้งเดียวครับ


ผมมาเริ่มจากด้านบนนะครับ เจอเจ้าหมาโกลเด้นป้วนเปี้ยนอยู่แถวทางเข้า ทีแรกนึกว่าเป็นของคนที่มาเที่ยว แต่ไปๆมาๆคงไม่ใช่ น่าจะเป็นเจ้าถิ่นแถวนี้มากกว่า เพราะมันมาเดินนำตั้งแต่ทางเข้าจนพามาถึงจุดนี้ เสร็จแล้วมันก็ไปหานักท่องเที่ยวคนอื่นต่อ น่ารักแสนรู้มากเลยครับ

(พิกัด 37.9228, 29.1239)


คุ้มกับที่ตื่นมาแต่เช้า คนน้อยมากกก



บริเวณนี้เมื่อก่อนก็น่าจะมีน้ำไหลผ่าน แต่ช่วงหลังเห็นว่าน้ำน้อยลง เลยกลายเป็นสีขาวแห้งๆแบบนี้ ถ้าได้มาเห็นช่วงที่มีน้ำเต็มหมดคงจะฟินนนนมากครับ แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ^ ^



ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงนักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเดินกันขึ้นมาไม่ขาดสายเลยครับ



ที่นี่ห้ามใส่รองเท้าเดินนะครับ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีน้ำขังอยู่เป็นเวลานาน ลื่นมากครับ และก็คงควบคุมเรื่องความสะอาดไปในตัวด้วย



ส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวเองจะเดินขึ้นมาจากข้างล่างนะครับ มากันเพียบเลย เอาเลนส์เทเลส่องซะหน่อย!!



พยายามหามุมตามภาพที่เห็นใน postcard แต่ไม่เจอเลยไปถามคนที่ร้านขายของที่ระลึก เค้าบอกให้ลงไปดูด้านล่าง เลยกะจะขับรถไปจอดด้านล่างแล้วเข้าไปใหม่กัน เพราะจากด้านบนเดินลงไปไม่สะดวก มันจะไปเดินสวนกับคนส่วนใหญ่ครับ ซึ่งทางเดินส่วนที่ไม่ลื่นคือตามขอบๆค่อนข้างแคบ แจ้งเจ้าหน้าที่ด้านบนไว้ว่าจะขอไปด้านล่าง เจ้าหน้าที่ก็ใจดีมากบอกจะโทรบอกเจ้าหน้าที่ด้านล่างไว้ให้ด้วยครับ เยี่ยมมมเลยก่อนลงไปด้านล่างก็แวะถ่ายรูปแถวนี้ก่อน เพราะนอกจาก Pamukkale แล้วบริเวณนี้ก็มีสถานที่เที่ยวอีกอันคือ เมืองโบราณ Hierapolis ซึ่งถูกเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกร่วมกันครับ


(พิกัด 37.9248, 29.1253)


จากรูปด้านบนที่ไกลลิบๆนั่นก็คือ โรงละครครับแลดูหน้าตาก็คล้ายๆโรงละครที่ Ephesus เราสองคนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าขอมองดูอยู่ห่างๆจากจุดนี้ก็พอครับ 55 (ขี้เกียจเดินนั่นเอง)


ส่วนไอ้เจ้าซากปรักหักพังนี่ก็น่าจะเป็นส่วนนึงของเมือง Hierapolis ….รึป่าว ไม่แน่ใจจริงๆครับ



มาเข้าจากทางด้านล่างบ้างละครับ พอเริ่มสายปุปแดดก็แรงขึ้นมากกก จากตอนเช้า 14 องศาตอนนี้ 20 องศาละครับ ดูพยากรณ์อากาศตอนบ่ายนี่ไปถึง 26 องศาเลยทีเดียว จุดนี้ภรรยาผมเลยขอนั่งรอละครับ บอกว่าถ้าสวยกว่าข้างบนค่อยโทรมาเรียกนะ ตึ่งง!!!



ด้านล่างมีบ่อน้ำแร่ที่เค้ากันบริเวณไว้สำหรับเล่นน้ำโดยเฉพาะ และพื้นที่ส่วนอื่นก็ห้ามลงไปเล่นน้ำเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ให้ดีที่สุด ด้านล่างเลยคนเยอะกว่าด้านบนเพราะมีเด็กๆเหมือนมาทัศนศึกษาแล้วก็เตรียมชุดกันมาเปลี่ยนเล่นน้ำสนุกสนานน่าดูเลยครับ


(พิกัด 37.919, 29.1229)


แดดแรงๆแบบนี้พี่เห็นก็ชักจะอยากเริ่มเล่นน้ำขึ้นมาบ้างเหมือนกันละเว่ยเฮ้ยยย



Pamukkale ก็มีเท่านี้ครับ เที่ยวที่เดียวจบ เตรียมขับไปเมือง Antalya กันต่อเลย


ระหว่างทาง ภรรยาผมติดกาแฟวันนี้ยังไม่มีกาแฟเข้าปากก็เริ่มอยากหาร้านชิลๆแวะจิบชากาแฟสักหน่อย เจอเมืองทางผ่านเห็นมีป้าย university ด้วยก็รีบเลี้ยวฟ๊าบบบเข้าไปเลยครับ ดูแล้วน่าจะเป็นเมืองใหญ่หาร้านกาแฟได้ไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงหายากมากๆ วนๆอยู่ 4-5 บล็อก ผมก็เจอร้านกาแฟชิลๆที่ภรรยาต้องการแล้วครับ….ใช่หราาา?? ไม่มีตัวเลือกมากครับ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ก็หันไปบอกภรรยาอย่างสุภาพว่า แหลกๆไปเหอะครับที่รัก ^_^


(พิกัด 37.1534, 29.6872)


มาตุรกีสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือชาตุรกีครับ เค้าจะใส่แก้วทรงแบบนี้เหมือนกันทุกที่ อร่อยดีครับ ทานทุกวันเลย ^^



ขับมาอีกชม. กว่า ก็มาถึงเมือง Antalya แล้ว คืนนี้เราฝากท้องมื้อเย็นกับที่ซุกหัวนอนไว้ที่นี่ครับ Goodmam Hotel & Bistro



มื้อนี้ผมทาน Kebab อร่อยดีครับ (แต่ kebab ร้านนี้เค้าไม่ได้ห่อๆมาเหมือนร้านขาย kebab ที่เห็นทั่วๆไปครับ) แฟนผมสั่งสปาเกตตี้มาทานก็ รสชาติก็ใช้ได้เลยครับ อาหารตามร้านอาหารจานนึงก็ประมาน 20-30 TL ครับ



Check in กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยก็ออกมาเดินเล่นในเมืองกันครับ วันนี้ตั้งใจไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกแถว Yat Limani Marina หวังว่าจะไม่แป้กแบบที่ Pamukkale นะ >_<


เดินผ่านร้านค้ามากมายแล้วก็จะมีร้านพรม ซึ่งเจอทุกเมืองครับ สวยดีจัดอีกซักแชะ



จากโรงแรมเดินประมาน 10 นาทีก็มาถึงท่าเรือในเวลาโพล้เพล้พอดี พระอาทิตย์จวนเจียนจะลับขอบฟ้าเต็มทีละครับ รีบเดินกึ่งวิ่งเล็งจุดถ่ายรูปมุมสูงเพื่อให้ทันแสงสวยๆ


(พิกัด 36.8837, 30.7027)


แล้วก็ได้ภาพท้องฟ้า twilight ตอนพระอาทิตย์ตกอย่างที่คิดไว้เลย น้ำตาจิไหล ขอแชร์นะครับบบบ


(พิกัด 36.8837, 30.7027)


จัดไปอีกรูป ฟินนนน ขอจบวันนี้ด้วยรูปนี้นะครับ คืนนี้ผมนอนหลับฝันดีละครับ






/// Day 5 ///


เริ่มเช้าวันใหม่ ซึ่งวันนี้ขอบอกว่าฟ้าเน่ามากกก เน่าไม่พอฝนยังอาจะจะตกอีก พยากรณ์อากาศบอกฝนจะตกช่วง 11 โมง เมื่อคืนเลยรีบมาจองเรือไว้ กะออกเรือแต่เช้า 8 โมง ล่องเรือ 2 ชม. น่าจะรอดจากฝนได้ ไปล่องเรือแบบฟ้าเน่านี่ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ แต่ก็ช่างมันครับ ดีกว่าไม่มีไรทำ ก็เดินดุ่มๆๆจากโรงแรมไปที่ท่าที่เรือนัดกับเค้าไว้



เป้าหมายการล่องเรือวันนี้คือไปชม Duden Waterfall ครับ



นั่งเรือมาเกือบ ชม. ก็ถึงน้ำตกแล้วววว ถ้าฟ้าเปิดและฝนไม่ตกคงสวยมาก ตอนนี้ไม่กล้าหยิบกล้อง Sony ขึ้นมาถ่ายเลย ฝนตกตลอด ดีที่มี GoPro มาด้วย เลยได้เก็บรูปและบรรยากาศมาบ้างครับ



เห็นเล็กๆแบบนี้ เข้าไปใกล้ๆน้ำตกลงมาแรงมาก มีทั้งฝนและละอองน้ำจากน้ำตก เปียกกันเลยทีเดียวครับ


หลังจากนี้ก็วนเรือกลับ ผู้ช่วยกัปตัวก็เตรียมอาหารเช้าให้เสร็จพอดี หูยยย น่ากินมาก แต่ดูแล้วกินเป็นกันไม่กี่อย่าง ><"



ตอนเรากลับเพิ่งเจอเรือลำอื่นออกไปครับ



กลับมาถึงท่าเรือฟ้าเริ่มเปิดซะงั้น อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาตุรกี สรุปพยากรณ์อากาศเปลี่ยนเป็นฟ้าเปิดบางส่วนและไม่มีฝนแล้วครัชชช จะแหกขี้ตาตื่นมาเพื่อ???



ผมทำคลิปวีดีโอ Boat Trip ไว้สั้นๆด้วย เผื่อรูปข้างบนยังไม่เห็นบรรยากาศพอ



กลับไปนอนเอาแรงที่โรงแรมชั่วโมงนึงค่อย check out แล้วออกมาเที่ยวในเมืองกันต่อ


เจอรถม้าตุรกีจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่เยอะเลย สีสันสดใส ออกแนวแขกๆ น่ารักดีครับ


(พิกัด 36.8866, 30.7055)


ก๊อกน้ำสาธารณะที่นี่ไม่เหมือนยุโรปนะครับ ดื่มไม่ได้มีไว้ให้ล้างมือเฉยๆ



มาเดินเล่นตรงแถวสวนสาธารณะเลียบอ่าวครับ คนที่นี่ก็มานั่งเล่นกันเยอะพอสมควรเลย


(พิกัด 36.8856, 30.6979)


มีคนปีนลงไปนั่งตามขอบหน้าผาเต็มเลย



พยายามหามุมถ่ายรูปตามที่เล็งมาจาก Pinterest หายังไงก็ไม่เจอ เดินหาเดินถามคนแถวนั้นจนภรรยาผมรำคาญ เลยได้รูปนี้มาแทน ไม่ได้ใกล้เคียงเลยครับ --"


(พิกัด 36.8837, 30.7025)


บรรยากาศในเมือง มีนักดนตรีเปิดหมวกประปราย



เสร็จจากในเมืองก็จะไปต่อกันที่ Köprülü Kanyon Milli Park ซึ่งคงคล้ายๆกับอุทยานแห่งชาติบ้านเราเห็นใน Tripadvisor แนะนำมาว่าสวย ไม่ไกลจากตัวเมืองและถ้ามีเวลาพอก็อาจจะล่องแพยางได้ด้วยครับ


ปักหมุดเรียบร้อยก็ไปกันเลยครับ ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆน่าจะถึง ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปนิดหน่อย


ภาพนี้ออกจากเมืองมาสักพัก ยังไม่ได้ขึ้นเขาครับ


แล้วก็ขับกันต่อ


(พิกัด 37.1684, 31.046)


ขับไปชั่วโมงครึ่งก็แล้วก็ไม่มีวี่แวว National Park ที่จะไปกันเลย ป้ายก็ไม่มี เอ๊ะ...มันชักจะยังไงพิกล


(พิกัด 37.1013, 31.0629)


รถก็ขับสวนน้อยลงไปเรื่อยๆ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มีเลยครับ จอดรถถามคนแถวนั้นสองสามครั้งก็สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ที่คุยรู้เรื่องคนนึงบอกให้เราขับต่อไป 75 km. หาา!! หันมามองหน้ากัน ดูเวลาแล้วก็คิดว่าคงไม่ทันแล้ว ถึงที่นั่นจะเย็นเกินไป แล้วถ้าดึกๆต้องขับกลับมาทางเดิมคงน่ากลัวไม่ใช่น้อย ข้างทางบางช่วงเป็นเหว ถนนก็ไม่มีไฟเลย ตัดสินใจวกรถกลับดีกว่าครับ เง้อออ เสียเวลาไปกลับเกือบ 4 ชม.


(พิกัด 37.1013, 31.0629)


ระหว่างทางกลับเจอวิวสวยๆก็เลยจอดรถลงไปถ่ายรูปซะหน่อย เสียเวลาหลงทาง ก็ถือว่าได้เห็นวิวสวยๆมาเป็นค่าตอบแทนครับ ^ ^


(พิกัด 37.1013, 31.0629)


พอลงมาข้างล่างมีสัญญาณโทรศัพท์เลยลอง search ทางดูใหม่ ปรากฏว่าปักหมุดไปผิดอัน คือปักตรง Köprülü Kanyon Milli Park จริง แต่ตรงนั้นไม่มีทางเข้าครับ มันกินพื้นที่ใหญ่มาก ต้องปักไปตรง Köprülü Kanyon Restoran หรือ Antalya Rafting Koprulu Canyon ถึงจะเจอทางเข้าหลักครับ --" จบข่าว!!


เสียเวลาไปหลายชั่วโมง ตอนนี้เรารีบมุ่งหน้าไปอีกจุดหมายนึงคือเมือง Side เพื่อให้ทันไปถ่ายรูปและชมวิวก่อนพระอาทิตย์ตกครับ จอดรถได้ก็วิ่งงงงงเลยครับ เพราะจุดที่ต้องการไปถ่ายรูปอยู่ริมทะเล ไกลจากจุดจอดรถไปประมาน 10-15 นาทีครับ ไปถึงแสงใกล้หมดพอดี รีบกดชัตเตอร์ด่วนๆ


(พิกัด 36.7645, 31.386)



เมือง Side ก็นับเป็นเมืองโบรานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งนึงของตุรกีครับ วิวซากเมืองโบราณที่มีฉากหลังเป็นทะเลพอดีก็ได้ฟีลลิ่งไปอีกแบบนะครับ



จบจากเมือง Side หนทางอีกยาวไกลเลยครับ คืนนี้จะไปนอนที่เมือง Konya ต้องขับรถไปอีก 3 ชั่วโมงครึ่ง


ถึง Konya เกือบห้าทุ่ม คืนนี้เรานอน Ibis Konya ซึ่งโรงแรมที่นี่ตกแต่งสวยดีครับ แนวเก๋ๆและ modern ขนาดห้องก็ไม่เล็กมาก เตียงนุ่มดี แต่เป็น size queen ครับ ต้องนอนเบียดกะภรรยานิดนึง อิอิ ^^





/// Day 6 ///



อรุณสวัสดิ์เมือง Konya วันนี้ตื่นสายกันหน่อยเพราะเมื่อวานขับรถค่อนข้างเหนื่อยมากๆๆๆครับ (ขับรถมากกว่าเที่ยวอีกเพราะหลงทาง 555) เมืองนี้เป็นเมืองที่เราหาข้อมูลเที่ยวกันน้อยที่สุดเลย ^^" เพราะไม่อยากขับรถพรวดเดียว 7 ชม. จาก Antalya ไป Cappadocia ครับ เลยหาที่แวะพักแวะเที่ยวสักหน่อยน่าจะดีกว่า




เนื่องจากทำการบ้านมาน้อย เลยต้องตื่นมาค้นๆข้อมูลใน Internet กันอีกนิสสส สุดท้ายลงเอยไปเที่ยวหมู่บ้าน Sille ครับ


(พิกัด 37.9277, 32.4194)


หมู่บ้าน Sille เป็นหมู่บ้านโบราณเล็กๆติดกับเมือง Konya เป็นเพียงไม่กี่หมู่บ้านในตุรกีที่อยู่อาศัยโดยชาวกรีก พูดภาษากรีกและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบท่ามกลางชาวเติร์กที่รายล้อมอยู่ได้เป็นเวลายาวนานกว่า 800 ปีครับ



เดินเล่นในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ดูแล้วปัจจุบันน่าจะมีคนอาศัยอยู่ไม่เยอะแล้วนะครับ รกร้างยังไงชอบกล มีบ้านเก่าๆพังๆเหมือนโดนจรวดยิงหรือปืนกลถล่มอยู่เต็มไปหมด ได้บรรยากาศสงครามดีครับ (อันนี้ก็จินตนาการบรรเจิด)



จริงๆเมืองนี้มี spot น่าสนใจหลายจุดเลย ได้แผ่นพับแนะนำที่เที่ยวมาจากเจ้าของร้านอาหารแถวนั้น แต่สารภาพตามตรงว่าเช้านี้ขี้เกียจครับ ><" แทบไม่ได้แวะที่ไหนอย่างจริงจังเลย เดินทอดน่องปล่อยอารมณ์ตามใจฉันมาก จะมาติสต์แตกอะไรตอนเน้!!! 555



เจอเด็กตุรกีเลยขอเค้าถ่ายรูป แหมม...เก๊กท่าให้ถ่ายกันซะเท่เลย เด็กที่นี่ส่วนใหญ่หน้าตาดีครับ ^^ ฝรั่งผสมแขกนิดๆ



โซฟาตัวนี้ไม่รู้วางทิ้งหรือเอาไว้นั่งเล่นหน้าบ้านจริงๆแฮะ



วันนี้แพลนหลวมมากกก เสร็จจากนี่ก็ไป Cappadocia ต่อละ วันนี้เลยเดินเล่นถ่ายรูปกันชิลๆนะครับ



เดินกันไปจนถึงโบสถ์ Greek Orthodox Church of Agia Eleni ครับ ชาวกรีกที่อยู่หมู่บ้านนี้สมัยก่อนก็นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งพอชาวกรีกอพยพไปหมด ชาวโรมันและชาวเติร์กส่วนใหญ่นิยมนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าครับ (ปัจจุบันน่าจะมากกว่า 90% ของคนตุรกีที่นับถือศาสนาอิสลาม)



ที่เมือง Sille ก็มีโรงแรมและร้านชากาแฟไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่พอสมควรเลยครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ถนนเส้นหลัก โดยรวมผมชอบบรรยากาศหมู่บ้านนะครับ ชิลๆแบบดิบๆดี (งงมั้ยเนี่ย)ใครมีเวลาผ่านทางนี้อยู่แล้ว แนะนำแวะมาเดินเล่นสัก 2-3 ชั่วโมงครับ



หันไปอีกทีภรรยาเดินเข้าร้าน นั่งสั่งกาแฟกินเรียบร้อยแล้วครับ ดูแลตัวเองได้ดีเยี่ยม!!!


เสร็จจาก Sille เที่ยงๆ ก็ขับรถไปลุยกันต่อที่ Cappadocia เลยครับ เมืองนี้เป็นไฮไลท์ของทริปเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาอยู่เมืองนี้นานที่สุด 2 วัน 2 คืนเต็มๆครับ วันที่ผ่านๆมาต้องเก็บกระเป๋าย้ายที่นอนทุกคืน (มันก็แอบเหนื่อยเหมือนกันนะเฟ้ย ><)พอถึง Cappadocia แล้วก็ขับรถเข้าตัวเมือง Goreme เพื่อเข้า Check in เก็บสัมภาระที่โรงแรมกันก่อนเลยครับ


Goreme เป็นเมืองมรดกโลกที่มีภูมิประเทศแปลกตา มีหินรูปทรงประหลาดปูดขึ้นมาเต็มไปหมดเลย (ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า fairy chimney กันครับเลยไม่รู้จะแปลว่าไงดี) ซึ่งหินเหล่านี้เกิดจากการทับถมของลาวาเมื่อนานนนนมาแล้ว พอเวลาผ่านไปลมกับฝนก็กัดเซาะจนกลายเป็นรูปร่างอย่างที่เห็นครับ ^ ^



อั้ยย่ะะะ!!!! มาถึงแล้วโรงแรมถ้ำที่ภรรยาผมเฟ้นหาอยู่สามวันสามคืน ที่นู่นก็ดี ที่ดีก็งาม กว่าจะมาลงตัวกันที่ Koza Cave Hotel ได้ เห้อออ



ภายในโรงแรมน่ารักมากมาย ถ้ามาหน้าร้อนน่าจะมีดอกไม้สีสันสวยงามประดับเยอะเลยครับ



ที่พักเมืองนี้ภรรยาผม condition เยอะนิดนึงครับคือต้องนอนสองคืนและเป็นเมืองไฮไลท์ก็อยากจะนอนดีๆเกร๋ๆ ตัวโรงแรมจะต้องเป็นถ้ำจริงๆ สวย สะอาด ห้องนอนกว้าง ห้องน้ำใหญ่ ต้องมีอ่าง อ่างต้องสวย อาหารเช้าดี บลาๆๆ เห้ยยย!! จะอะไรกันนักหนาวะ นี่คิดในใจครับ ที่กล่าวออกไปคือ ไม่เป็นไรเธอค่อยๆเลือกไปละกันนะ เหอะเหอะ



ชี happy ละครับ ได้ครบอย่างที่ต้องการแล้ว



วิวจากดาดฟ้าโรงแรม เห็นทัศนียภาพทั่วเมืองเลย



ฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่ร้านอาหารจีนครับ ที่เมือง Goreme มีร้านอาหารจีนและอาหารเกาหลีด้วย!! ดีใจฝุดๆ พอเห็นนี่อื้อหืออ พี่ทิ้งทุกอย่างแล้วเดินตรงไปสั่งข้าวผัดกุ้งกินทันที รสชาติไม่ได้อร่อยมากแต่ก็ช่วยชีวิตจากอาหารตุรกีได้ดีเลยทีเดียว ร้านอยู่ตรง downtown หาไม่อยากเลยครับ พรุ่งนี้มาจัดกิมจิร้านเกาหลีแน่นอน 555


จบวันนี้เบาๆเพราะพรุ่งนี้มีเรามีภารกิจใหญ่หลวงคือการไปขึ้นบอลลูนครับ!!! จองล่วงหน้าผ่านทางโรงแรมเรียบร้อย มา confirm เวลากับเจ้าของโรงแรมอีกที เค้าบอกว่าบริษัทบอลลูนจะมารับตอน ตี 5.15 สงสัยคืนนี้ต้องงดภารกิจอื่นๆแล้วเข้านอนเร็วหน่อยละครับ แฮร่ ^,^





/// Day 7///


วันนี้ตื่นกันตั้งแต่ก่อนตีสี่ ตื่นเต้นรีบออกมายืนรอกันตอนตี 5.10 แต่บริษัทบอลลูนมารับสายยย!!!! สายไปหนึ่งนาทีครับ มาตี 5.16 อิอิ ไม่โกรธก็ได้ >,<


เราใช้บริการ Hot Air Balloon Flight จาก บริษัท Urgup ซึ่งหาข้อมูลจาก Internet กันเองครับ จริงๆทางโรงแรมก็มีแนะนำมาให้ 2 ที่ แต่สีบอลลูนไม่สวย!! (ภรรยากล่าวไว้ ส่วนผม...เริ่มเบะปากมองบนละครับ) หาไปหามาจนเจอ Urgup นี่แหละครับ ราคาโอเค จำนวนคนต่อ 1 บอลลูนก็ไม่มากจนเกินไป ได้คะแนนรีวิวจาก Tripadvisor เยอะอีกต่างหาก ที่สำคัญ บอลลูนมีสีสันคัลเลอร์ฟูลลล ผ่านครับ!!!


จากรร.เราก็แวะรับคนที่รร.อื่นอีก 2-3 ที่แล้วก็ขับไปที่ออฟฟิศก่อนเพื่อชำระค่าบอลลูน ที่นั่นเค้าก็เตรียมขนมปัง ชา กาแฟ กับคุกกี้อีกนิดหน่อยเอาไว้ให้ทานรองท้องกันด้วยครับ


พอสักประมานหกโมงเช้าก็ได้เวลานั่งรถไปจุดขึ้นบอลลูนกันซะที เยสสส!!



บนบอลลูนจะมี Pilot 1 คนคอยบังคับทิศทางและการขึ้นลงบอลลูนอยู่ครับ



ตะกร้าเรามีกัน 9 คนครับ ตะกร้าจะถูกกั้นไว้เป็นสองฝั่ง เข้าใจว่าทำไว้เพื่อ balance น้ำหนัก กันคนยืนเทกันไปข้างใดข้างหนึ่งครับ


เริ่มลอยขึ้นแล้นนน >,<



ขึ้นไปบนนั้นบรรยากาศมันสวยยยยยจนบรรยายไม่ถูกเลยจริงๆครับ



แต่อย่าทำเป็นเล่นไป...ก้มหน้ามองลงมาตรงๆก็แอบหวาดเสียวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย นักบินบอกว่าบอลลูนจะขึ้นสูงสุดที่ระดับประมาน 1500 เมตรเหนือพื้นดินครับ



ใครมาเที่ยวตุรกีคือห้ามพลาดจริงๆนะครับ ของผมเสียค่าขึ้นบอลลูน 110 ยูโรต่อคน (แต่ถ้าจ่ายบัตรเครดิตคิด 120 ยูโร) ใช้เวลาประมานชั่วโมงนึง ถือว่าคุ้มค่ามากครับ



บอลลูนมีหลากสีหลายลายแตกต่างกันไปตามบริษัทครับ แต่รู้สึกว่าบอลลูนดูมีปริมาณน้อยกว่าในรูปที่เคยเห็น คงเพราะช่วงนี้การท่องเที่ยวในตุรกีมันซบเซาลงเนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ คนที่นี่บ่นกันอุบเลยครับว่านักท่องเที่ยวน้อยจิงๆ



ถ่ายรูปกับกัปตันสักนิด



รูปบอลลูนเยอะนิดนึงนะครับ หนึ่งชั่วโมงที่อยู่บนนั้นนี่กดชัตเตอร์รัวๆๆๆไปหลายร้อยเลยครับ คัดออกไม่ถูก ลงแม่มหมดทุกมุมเลยละกัน 555



บอลลูลมันจะขึ้นสูงบ้างลงต่ำบ้างแล้วแต่เค้าบังคับครับ แล้วก็จะหมุนไปเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นภาพวิวจากทุกมุมครบ 360 องศากันเลยทีเดียวครับ



พอใกล้ลง จะเห็นมีรถขับตามมารอรับบอลลูน ซึ่งจุดที่ขึ้นกับจุดที่ลงเป็นคนละที่กันเลย เค้าจะถือ walkie talkie สื่อสารกับคนข้างล่างตลอดครับ



Landing นิ่มมากกก เจ้ารถกระบะที่ลากอะไรอยู่สักอย่าง บอลลูนเราจะไปจอดลงตรงนั้นล่ะครับ มากันเป็นทีมงาน 3-4 คนคอยดึงให้ตะกร้ามันไปวางลงตรงนั้นพอดีครับ



ปิดท้ายด้วยการเปิด Champagne ฉลองพร้อมมอบ Flight Certificate ให้ด้วยครับ แชมเปญรสชาติดีจัง เมากันแต่เช้า ได้ข่าวว่ายังไม่ตื่นดีเลย 55



Tip: บริษัทบอลลูนมีให้เลือกเยอะมากกก ราคาก็ vary ตั้งแต่ 100 ไปจนถึง 250 euro ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของบริษัท จำนวนคนต่อ 1 บอลลูน และก็จำนวนชั่วโมง ซึ่งแนะนำว่า 1ชม. ก็เพียงพอครับกำลังดีเลย ถ้า 2 ชม. นี่หลังๆอาจจะหลับอยู่บนนั้นได้ ทุกบริษัทขึ้นเวลาเช้าตรู่ไล่เลี่ยกันหมดประมาน 6-6.30 ถ้าไปหลายวันก็จองขึ้นตั้งแต่วันแรกเลยนะครับ กันเหนียวเผื่อเจออากาศไม่ดี บอลลูนขึ้นไม่ได้ก็มีครับ สอบถามข้อมูลจองผ่านโรงแรมที่เราพักก็สามารถช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ระดับนึงครับ Have a nice flight!!
กลับจากบอลลูนก็มากินอาหารเช้าต่อที่โรงแรม (กลับมาที่โรงแรมยังไม่ 8 โมงดีเลยครับ) คืนแรกมีแขกพักอยู่แค่สองห้อง (คืนที่สองเหลือเราอยู่ห้องเดียว) อาหารเช้าเค้าเลยไม่ได้จัดเต็ม เพราะมีคนกินกันอยู่แค่นี้ --"


คนตุรกีชอบกินขนมปัง!!! เค้าบอกว่าเปรียบกับคนไทยขนมปังคงเหมือนข้าว โดนมันทุกมื้อ เช้า กลางวัน เย็น ซึ่งในบรรดาอาหารตุรกีทั้งหมด ภรรยาผม enjoy eating ขนมปังที่สุดละครับ 555



ไข่ที่นี่แกะยากง่ะ เปลือกบางติดไข่ขาวไปหมด ใครแกะได้เนียนนี่ผมยกมือไหว้เลยครับ ดูสภาพไข่(ไก่)ของผมสิ น่าสงสารมาก T_T


หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ผมนัดเค้ามารับไปขี่ม้าครับ อยากลองขี่ม้าที่นี่ดู ภูมิประเทศเจ๋งๆแบบนี้น่าจะให้ฟีลลิ่งแปลกๆไปอีกแบบครับ (ให้โรงแรมโทรจองได้ครับ) เค้าพาไปขี่แถวๆ Rose Valley ขี่ประมาณ ชม. นึงครับสนุกดี ทางขึ้นเขาลงเนิน adventure มากกก



จากนั้นกลับโรงแรมอีกรอบ ขอนอนงีบกันแปปปป ไม่งั้นได้เที่ยวกันแบบอึนๆไม่มีสติแน่นอนครับ นอนไปสองชั่วโมง ตื่นมาก็ไปเที่ยวในเมืองกัน วันนี้แพลนไป Goreme Panorama View ถ่ายรูป ชมวิวแล้วก็เดินเล่นดูภูมิประเทศแปลกตาของเมืองนี้ครับ


ท้องฟ้ามันครึ้ม มันครึ้มออกอย่างนี้ มันเหงาทุกทีที่ได้มองงง อิอิ


(พิกัด 38.6331, 34.8028)


ต้นไม้ตาปิศาจ (ตาปิศาจเป็นเครื่องรางของขลังของคนตุรกี เชื่อกันว่าจะนำสิ่งดีๆหรือโชคดีมาให้ครับ)



ฟ้าที่นี่ปิดๆเปิดๆเป็นระยะ ใครชอบถ่ายรูป อยากได้ฟ้าสวยก็ต้องรอจังหวะนิดนึงครับ เทคนิคง่ายๆ เห็นฟ้าทางไหนเปิดเราก็ขับรถไปเที่ยวทางนั้นกันก่อน เวลาถ่ายรูปก็พยายามเอาฉากหลังเป็นฝั่งที่ฟ้าสวยหรือฟ้าเปิดเห็นสีฟ้าอยู่บ้างครับ ผมใช้เทคนิคนี้บ่อยเลย 55



ขับมาต่ออีกนิดนึงก็จอดรถแล้วเดินขึ้นไปบนเนินครับ เมืองที่เห็นอยู่บนเนินเขานั่นคือเมือง Uchisar อยู่ใกล้ๆกันกับ Goreme เลย มองจากมุมนี้สวยดีครับ


(พิกัด 38.6338, 34.8104)


ก่อนถึง Open Air Museum ทางซ้ายมือจะมีร้านขายเครื่องปั้นดินเผา ตกแต่งหน้าร้านเก๋ไก๋ ลองแวะเข้าไปซะหน่อยซิ


ต้นไม้ประดับไหครับ ไม่รู้มันสำคัญยังไง แต่เห็นใครมา Goreme ชอบมาถ่ายเจ้านี่ตลอดเลย จริงๆจะบอกว่าผมตั้งใจมาถ่ายเจ้าต้นไหนี้จริงๆนะครับ กดแค่รูปต้นไหนี่ไปก็เป็นสิบรูปละครัชช


(พิกัด 38.6429, 34.841)


มองไปมองมากลายเป็นว่าด้านล่างของร้านเครื่องปั้นดินเผานี้เป็นคอกม้าที่ผมมาขี่เมื่อเช้า แอบส่องดูซะหน่อยว่าม้าตัวที่ขี่เมื่อเช้ายังอยู่มั้ย



ขอรูปต้นไหอีกสักรูปนะครับ อย่าพึ่งเบื่อกัน มาตุรกีเพราะรูปต้นไหอันนี้เลย



ตัดกลับมาที่ร้านเครื่องปั้นดินเผามั่งครับ เจ้าของร้านชวนมาดูสาธิตการทำเครื่องปั้นดินเผา เค้าบอกว่าดูฟรีครับ เราก็ดูเค้าทำเพลินเลย แต่ดูเสร็จแล้วภรรยาผมเหมือนจะเสียตังนะครับ 55



จากร้านเครื่องปั้นดินเผา ขับต่อไปอีกนิดนึง ก่อนถึง Goreme Open Air Museum ก็จอดรถลงไปลุยข้างทางกันครับ เห็นจากถนนว่าตรงนี้มีภูเขาหินรูปร่างแปลกตามากมาย มีที่เป็นรูโหว่ๆเหมือนถูกเจาะเป็นถ้ำ และอะไรก็ไม่รู้อธิบายไม่ถูกครับ แหะๆ



เดินมาอีกนิดเห็นมีคนเอาม้ามาผูกให้มันกินหญ้าอยู่เพียบเลยครับ ผมตั้งชื่อมันว่า 'หุบเขาแห่งอาชา' ชื่อเท่ป่ะหล่ะะะ



ชอบ Goreme จริงๆ สวยแปลกตาไปหมดทุกมุม ดูแล้วรู้สึกหลงไหลไปกับภูมิประเทศแถบนี้จริงๆครับ



ก่อนกลับโรงแรมก็ขอไปเก็บบรรยากาศยามค่ำคืนของเมือง Goreme ซะหน่อย เดินหา location กันแบบงงๆสุดท้ายได้ภาพนี้มาครับ


(พิกัด 38.6397, 34.8279)


ถ่ายชอตนี้เสร็จสักพักฝนก็เทลงมาทันที เป็นอันจบวันแต่เพียงเท่านี้ ฟ้าไม่เป็นใจ ไล่กลับรร.ไปนอนละครับ จะได้ใช้ห้องให้คุ้มหน่อย ^ ^





/// Day 8 ///


วันนี้เรามีเวลาเที่ยวที่ Cappadocia ถึงประมาณห้าโมงเย็นแล้วก็ต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน Nevsehir เพื่อไป Istanbul ละครับ


เมื่อวานได้รูปบอลลูนจากมุมสูงไปเรียบร้อย วันนี้ตั้งใจไปเก็บรูปบอลลูนเพิ่มจากด้านล่างบ้างครับ อยากถ่ายให้เห็นบอลลูนลอยเต็มท้องฟ้า หา reference กันมาเยอะมาก และก็เอารูปให้เจ้าของโรงแรมดู ได้ลายแทงมาแล้วว่าต้องไปที่ Goreme Vista Point เท่านั้นครับ เป็นจุดที่จะเห็นเค้าปล่อยบอลลูนตอนเช้าได้สวยที่สุดแล้ว ขับรถขึ้นไปได้เลยด้วย สบายเลยครับงานนี้


(พิกัด 38.640843, 34.832328)


จากจุดนี้ก็สวยไปอีกแบบ คนละอารมณ์กับตอนอยู่บนบอลลูน แต่วันนี้อากาศไม่ดีเลย ฟ้าเน่ามากครับ เศร้าเลยยย


(พิกัด 38.640843, 34.832328)



มีคนมารอดูเค้าปล่อยบอลลูนที่จุดนี้เยอะพอสมควรครับ คึกคักเลยทีเดียว เจอคนมาถ่าย pre wedding สองคู่แหน่ะ ^ ^



เมื่อวานชิลในเมืองกันทั้งวัน แพลนวันนี้เราจะไปเก็บสถานที่ต่างๆ เช่น Goreme Open Air Museum, Rose Valley และก็ Underground City ครับ


(พิกัด 38.6482, 34.8359)


Rose valley ครับ อันนี้ไม่รู้มีที่มาที่ไปยังไง --"



ขับต่อมาอีกนิดก็ Goreme Open Air Museum แล้วครับ เมืองมันเล็กนิดเดียวครับ 55



Goreme Open Air Museum เดิมเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ครับ (ที่มา http://travel.thaiza.com/เที่ยวเมืองเกอเรเม-ตุรกี/246560/)



ด้านในพิพิธภัณฑ์ มีถ้ำที่เคยมีคนอยู่อาศัยในอดีต และมีโบสถ์ที่ยังคงมีภาพวาดผนังหลงเหลือให้ดูอยู่หลายอันเลยครับ นับถือความพยายามของคนสมัยก่อนจริงๆ (ในโบสถ์ห้ามถ่ายรูปนะครับ)



เสร็จจากที่นี่เราจะขับไปเมือง Derinkuyu ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเพื่อไปเที่ยว Underground City กันครับ



ที่ Cappadocia มี underground city หลายสิบที่แต่ที่นี่ลึกที่สุดครับ (ประมาน 8 ชั้น) ลงไปลึกมากๆก็เริ่มจะรู้สึกอึดอัดเหมือนกันครับ ทางก็ทั้งแคบทั้งเตี้ย บันไดก็เยอะ อยู่ไทยไม่เคยออกกำลังกาย พี่นี่ถึงกะนั่งหอบแฮ่กๆเลยครับ ฝรั่งเห็นแล้วถึงกับเข้ามาถาม Hey! Are you okay? อายเค้ามั้ยหล่ะ ><"



บรรยากาศภายนอกแถวๆนั้นครับ เมืองดูเงียบๆ ส่วนใหญ่เป็นบ้านคนไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ครับ



บ้านหลังนี้ดูเก๋ามากก 55



ตรงดิ่งอย่างด่วนไป Airport ละครัชชช แต่เห้ยย!!! จอดๆๆ เจอมุมเจ๋ง ขอลงไปถ่ายรูปแพรพ ป้ายรถเมล์สุดฮิปหน้าโรงเรียน ขอแกมบังคับให้ภรรยาไปนั่งเก๊กเป็นแบบให้หน่อย


ถ่ายเสร็จปุ๊ปคราวนี้เผ่นแน๊บไปสนามบินจริงๆละครับไม่งั้นตกเครื่องแน่ เพราะต้องไปทำเรื่องคืนรถอีก


คราวนี้เป็นโชคดีของผมอีก สนามบินที่นี่เล็กมากกกก ไม่มีงวงช้าง แล้วก็ไม่มีบัสด้วย ให้เดินจาก gate ต๊อกแต๊กๆไปที่เครื่องบินเลย มีโอกาสรัวภาพเครื่องบินจะๆหลายใบ แสงกำลังสวยพอดีด้วย เย้!!








/// Day 9///


Istanbul คือจุดหมายสุดท้ายของเราสำหรับทริปนี้แล้วครับ 7 วันผ่านไปไวเหมือนโกหก เดินทางมาถึงอิสตันบูลกันเมื่อคืน จากสนามบินเราเข้าเมืองกันด้วย Metro 2 สายครับ


จริงๆที่ Istanbul นี่ผมงอแงกับภรรยาว่าไม่อยากเที่ยว skip ไปเลยได้มั้ย มี 2-3 เหตุผลคือ 1.เหตุการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 2.ผมไม่ค่อยชอบเที่ยวเมืองใหญ่ๆ 3.ในเมืองมันจะมีที่ให้ Shopping ซึ่งผมกลัวข้อนี้ที่สุด ภรรยาผมต้องเสียเวลาไปกับการ shopping เยอะแน่ๆ - -"


Tip: ใน Istanbul ส่วนใหญ่เดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro) รถราง (Tram) และเท้าเป็นหลักครับ ^^ ใช้บัตรใบเดียวขึ้นได้ทั้ง Metro และ Tram โดยแนะนำให้ซื้อบัตร Istanbulkart ราคา 10TL แต่จะมีเงินเหลือมาให้ 4TL อีก 6TL เป็นค่าบัตรเอาคืนไม่ได้ด้วยครับ แต่ๆๆๆๆ มากัน 2 คนซื้อบัตรแค่ใบเดียวได้นะครับ (ไม่แน่ใจว่าใช้ได้สูงสุดกี่คน) ตื้ดเข้าไปเสร็จก็ส่งต่อให้คนข้างหลังได้เลย อันนี้ไม่ได้โกงนะครับ reception ที่โรงแรมเป็นคนบอกเอง เพราะคิดเงินตอนเข้า ไปไหนก็ราคาเท่ากันหมด แต่ถ้ามีเปลี่ยนสายก็จะต้องเสียตังค์อีกรอบ เกิดที่จะไปต้องเปลี่ยน 3 สายก็เสีย 3 รอบครับ โหดร้ายยย


เฮลโหลววอิสตันบูล!!


เปิดมาด้วยรูปนี้ทำไม?!? สวยมากก็ไม่ใช่ แค่เอาไว้ดูเตือนใจเพราะหลังจากนี้ไม่กี่เสี้ยววินาที เกือบโดนรถรางสอยไปทั้งนางแบบและตากล้องแล้วครับ!!! พูดเหมือนขำ แต่วินาทีที่รถรางแล่นเฟี้ยวเฉี่ยวผมภรรยาแล้วมาปาดหน้าผมต่อมันน่ากลัวมากจริงๆๆๆๆนะ >< มาแบบเร็วพอสมควรไม่มีบีบแตรเตือนใดๆทั้งสิ้น ก็เสร่อยืนล้ำเส้นเหลืองกันเองนิ อายก็อาย ใจก็หล่นวูบ ขวัญเอ๊ยขวัญมา ว่าแล้วก็ไปนั่งรถรางเที่ยวอิสตันบูลกันเต๊อะ ^ ^


จุดหมายหลักของวันนี้คือย่าน Sultanahmet ซึ่งกินบริเวณกว้าง มี 3 จุดที่เราจะไปกัน คือ Sultan Ahmet Mosque (หรือที่เค้าชอบเรียกกันสั้นๆว่า Blue Mosque) Aya Sofya (วิหารเซนต์โซเฟีย) และ Topkapi Palace


มาถึงย่านนี้แล้วเราก็มุ่งหน้าไป Sultanahmet Mosque กันก่อนเลยครัชช คนบางตาเช่นเคย ไม่ต้องรอคิวเข้าชมใดๆทั้งสิ้น พอเห็นปุ๊ป โอ้วววว มันสวยขลังและอลังการมาก รูปนี้เป็นด้านนอกก่อนเข้าไปครับ


ป้ายด้านหน้าจะมีบอกกฎการแต่งกาย เช่นห้ามใส่กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น ผู้หญิงจะต้องมีผ้าคลุม ถ้าไม่มีเค้ามีซุ้มให้ยืมครับ (แต่เห็นฝรั่งก็ไม่คลุมเยอะแยะ อันนี้เลยไม่แน่ใจว่าคลุมเฉพาะเวลาเข้าไปภายในมัสยิดที่เค้าทำพิธีสวดรึเปล่า) ส่วนภรรยาผมเตรียมมาอยู่แล้ว แปลงร่างเป็นสาวตุรกีซะเลย


ตอนมายังเช้าอยู่ครับ พระอาทิตย์อยู่ตรงหน้าเลยถ่ายแล้วย้อนแสง ถ้ามาช่วงบ่ายๆถ่ายออกมาฟ้าน่าจะสีสวยเลยครับ


สถาปัตยกรรมเค้าสวยจริงๆ


ข้างในเข้าไปได้ครับ แต่มีกำหนดช่วงเวลาที่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพราะมัสยิดแห่งนี้ยังคงใช้ประกอบพิธีทางศาสนาและก็ทำละหมาดอยู่ครับ ผมเลยไม่ได้เดินเข้าไป


เสร็จจาก Sultanahmet Mosque ก็จะไป Aya Sofya ต่อครับ เดินไปนิดเดียวก็เจอ เห็น Aya Sofya จากระยะไกลเลย ติดต้นซากุระ (หรือเปล่าหว่าาา) มาด้วย


เดินไปอีก 2 ก้าว ภรรยาผมบอก อยากกินขนม Baklava (เป็นขนมโบราณประจำประเทศตุรกีเลยครับ ติดใจมาจากตอนที่กินที่โรงแรม Sultan ที่ Cappadocia อร่อยมากเว่อร์) อยากกินกาแฟด้วย หาร้านมาเรียบร้อยแล้ว หืมมม...จะมาอยากอะไรตอนนี้ เพิ่งเที่ยวไปจุดเดียวเอง แล้วเธอก็นั่งลงบนม้านั่ง search หาร้านขนมชื่อดังไม่สนใจผมที่มองตาปริบๆ ถามกันบ้างมั้ย ว่าตรูอยากกินรึป่าว >< พอได้ร้านและพิกัดปุ๊ปเราก็ต้องหยุดภารกิจ Aya Sofya กันชั่วคราว เดินไปที่ tram แล้วนั่งต่อไป 2-3 สถานีครับ


และแล้วเราก็ถึงร้านขนมเก่าแก่ของตุรกี Hafiz Mustafa ครับ ทำเลดีมากอยู่ตรงสี่แยกติด tram station เลย วิวจากหน้าร้านก็สวยและวุ่นวายดี ร้านมีสองชั้น แวะมานั่งชิลๆพักขาระหว่างเที่ยวได้ดีเลยครับ แต่เอาจริงๆตอนนี้ก็ยังไม่ได้เมื่อยเลยม่ะ 55

(พิกัด 41.014554, 28.975612)


ภรรยาผมบอกว่าขนม Baklava ที่กินที่ Cappadocia อร่อยกว่าเยอะ แต่ชาและกาแฟรสชาติดีเลยครับ จริงๆเค้ามีขนมหลายอย่างเยอะมากก แต่พอดียังอิ่มอาหารเช้ากันอยู่เลยสั่งมาทานแค่อย่างเดียวครับ



แถวหน้าร้านคึกคักวุ่นวายอะไรกันขนาดนั้น ผู้คนขวักไขว่ เดินข้ามถนนไปมา ทั้งรถยนต์ รถรางประกอบกับมีแสียงบีบแตรเป็น background music นั่งไปสักพักก็...มึนตึ้บสิครับ --"


บรรยากาศแถวนั้นจังหวะคนน้อยครับ ถ่ายเก็บไว้สักหน่อย มุมนี้ดูเผินๆก็คล้ายบ้านเมืองยุโรปประเทศอื่นๆเลยนะครับ



คราวนี้ก็กลับสู่ภารกิจหลักครับ แต่ภรรยาผมบอกอยากไปดูสวนทิวลิปก่อน อ้าววววว ทำไมทำอย่างนี้ เห้อ บ่นทำไม ยังไงก็ต้องยอมครับ (ไม่ชินหรอออ)


ระหว่างทางภรรยาผมบอกแปปนึง.. คือเค้ากำลัง chat อย่างเข้มข้นอยู่ครับ คือเล่นเครื่องนึงไม่พอ นี่เล่นใช้พร้อมกัน 2 เครื่อง สลับไป-มา พี่เพลียยย



มาถึงละครับ Gulhane Park อยู่ในบริเวณทางเข้าเดียวกับ Topkapi Palace เลย เหมือนภรรยาผมจะตื่นเต้นมากกับทิวลิป (ซึ่งผมเฉยๆ 5555) เดินหามุมถ่ายวนไปวนมาอยู่นาน อยู่ในสวนนี่เป็นชั่วโมง



มาช้าไปหน่อย ดอกทิวลิปเหี่ยวไปเกือบครึ่งละครับ T T แต่ดูไปดูมามันก็สวยเหมือนกัน (กลืนน้ำลายตัวเองดังเอื้อก!!)



คนเค้าก็มานั่งชิวดูดอกไม้ ชมน้ำพุกันมากมาย



ได้ฤกษ์กลับสู่แพลนเดิมครับ แต่เปลี่ยนนิดนึงคือจะไป Tokapi Palace ก่อน แล้วค่อยไป Aya Sofya เพราะมันอยู่แถวนี้ละครับ


เดินไปเดินมางง หาพระราชวังไม่เจอ (จริงๆก็คือหลงนั่นแหล่ะครับ 555) เลยนั่งพักตั้งสติและใช้บริการ Google Maps กันแพร๊พพ


(พิกัด 41.0111, 28.9804)


แถวนี้บรรยากาศสวยจัง ดูเป็นยุโรปมั่กๆ เอ๊ะ! ตุรกีก็ยุโรปอยู่แล้วป่ะ



ถึงซะที Topkapi Palace แต่ไปๆมาๆก็ดันขี้เกียจเข้าไปข้างใน ปัดโธ่!!! แล้วจะมาทำไมเนี่ยย 555 งงกับตัวเอง เหมือนโดนเมืองอิสตันบูลดูดพลัง รู้สึกหมดแรงเที่ยวกันยังไงไม่รู้แฮะ



สรุปก็ไม่ได้เข้าจริงๆครับ เดินต่อไปที่ Aya Sofya เลย


คุณพระ!!!! มาดูรูปตอนหลัง ปรากฏว่าไม่ได้ถ่าย Aya Sofya มาสักใบเลย T T น่าสงสาร Aya Sofya มาก ถูกเปลี่ยนแพลนตลอด มาท้ายสุดแถมมาถึงก็ลืมถ่ายรูปอีก - -" ไปหาดูจากอากู๋แทนนะครับ เท่าที่จำได้คือสวยดีครับ


จาก Aya Sofya เดินมาอีกนิดก็จะเห็น Sultanahmet Mosque จากมุมไกลครับ



เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจย่าน Sultanahmet ตอนนั้นก็เกือบๆ 4 โมงได้แล้วครับ


ตอนนั้นลังเลกันว่าจะเดินเล่นรอแถวนี้เพื่อไปล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัสช่วงพระอาทิตย์ตกดีมั้ย หรือจะไปตลาด Grand Bazaar เลยดี ภรรยาเงยหน้ามองดูฟ้า แล้วรีบพูดว่า "วันนี้ฟ้าไม่สวยเลย เมฆเยอะนะ ดูครึ้มมๆ ฝนจะตกรึป่าว ล่องเรือก็ถ่ายรูปมาไม่สวยหรอก เชื่อเถอะๆๆๆ ช้อปปิ้งกัน คริๆๆๆ" แล้วผมจะเหลือทางเลือกอะไร ไม่มีเลยครัชชช


แต่...เหมือนสวรรค์ทรงโปรด อยู่ดีๆก็มีคนช่วยคิดแล้วเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับผมด้วยครับ "สวัสดีครับ คนไทยใช่ไหมครับ" มีคนตุรกีเข้ามาทักด้วยสำเนียงประมาณฝรั่งพูดไทย เค้าบอกว่าเค้าเป็นลูกครึ่งไทย แม่เป็นคนไทย แต่มาโตที่นี่ (หน้าเค้าก็ดูฝรั่งผสมเอเชียนิดนึงเนี่ยแหละครับ) เค้าก็ชวนเราคุยโน่นนี่นั่น มีบอกด้วยว่าคิดถึงอาหารไทยมาก ไม่ได้กลับไปมา 4 ปีแล้ว นั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเค้าก็ถามว่ากำลังจะทำอะไรกัน ผมก็บอกกันว่าจะไป Grand Bazaar เค้าบอกตอนนี้เวลากำลังดีนะน่าจะไปล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส กลับมาแล้วค่อยไป Grand Bazzar ต่อได้ ทันสบายๆ เราก็รู้สึกดีเหมือนอารมณ์เจอคนไทยแล้วยังใจดีมาแนะนำข้อมูลให้อีกตอนนี้ภรรยาก็เริ่มลังเลละ เค้าก็ชี้ว่าต้องเดินไปทางโน้น เราก็เอ… เอาไงดีวะ ก็มีเวลาอยู่นะ น่าสนใจ เราก็เลยตกลงว่าจะเปลี่ยนไปล่องเรือกัน เค้าก็อาสาพาเดินไปส่งเลย แถมบอกด้วยว่านานๆเค้าจะเจอคนไทยที มีอะไรอยากรู้ถามเค้าได้ เค้าจะลงเรือไปกับเราด้วย จะได้คุยกันนานๆ เดี๋ยวเค้าออกเงินเองไม่ต้องห่วง ดูเป็นคนน่ารักมากเลยครับ เดินแปปเดียวไปถึงจุดนึงเค้าก็ทำเป็นทักเพื่อนเหมือนบังเอิญเจอกัน ไปๆมาๆก็บอกว่าคนกลุ่มนี้จะไปขึ้นเรือเหมือนกัน รอบถัดไปพอดีเลย เค้ารู้จักดีเชื่อใจได้ แล้วเค้าก็บอกราคามา 20 EUR (ประมาน 60 TL) โอ้โหหหหห กะจะฟันกันหัวแบะเลยใช่ม้ายยยยย (เช็คราคาตั้งแต่ก่อนมาแค่ 10 TL เองครับ) ตอนนั้นรู้ตัวละ ว่าโดนหลอกนี่หว่า ใช้วิธีมาตีสนิทมาหาลูกค้าไปขึ้นเรือนี่เอง (คนพวกนี้ได้ค่านายหน้าครับ) เราก็เลยพยายามปฏิเสธ เค้าก็ตื๊ออยู่สักพัก เราหันมามองหน้ากันสองคนแล้วก็พร้อมใจกันปฏิเสธเสียงแข็ง จับมือเชคแฮนด์เค้า "แต้งกิ้วว ซียูวเน็กไทม์ บายยยย" (แต่ในใจคิดว่าอย่ามาเจอกันอีกเล้ยยย สาธุ 55) แล้วเราก็รีบเดินออกมา


บอกตามตรงว่าแอบเสียความรู้สึกมาก เจอแบบนี้บ่อยๆจะกลายเป็นว่าต่อไปเราจะไม่กล้าเชื่อใจคนที่เจอเวลาไปเที่ยวนะครับ ทั้งๆที่บางคนอาจจะเข้ามาแบบเป็นมิตรและต้องการช่วยเหลือจริงๆก็ได้ มิตรภาพดีๆที่เจอระหว่างเดินทางมันเป็นประสบการณ์สวยงามอย่างนึงเลย ยังไงมาเที่ยวที่อิสตันบูลก็ระวังกันนิดนึงนะครับ นี่เป็นแค่เคสเดียวที่เล่าให้ฟังเพราะรู้สึกว่าพี่แกเข้ามาแบบเนียนมากกกกก แต่จริงๆวันนี้ทั้งวันเจอคนเข้ามาจู่โจมเกือบสิบได้ครับ มากันหลายรูปแบบเลยด้วย เห้อออ --"
สุดท้ายเราก็กลับมาตามแพลนของภรรยาผมคือ ไปเดิน Grand Bazaar กันครับ นั่ง Tram ไปประมาณ 2-3 สถานีก็ถึงละ


ก่อนจะไปลุยในตลาดกัน ภรรยาก็แวะซื้อถุงเท้าก่อน วันนี้ไม่ได้ใส่ถุงเท้ามาเดินเยอะๆเริ่มรู้สึกเจ็บเท้าเพราะฝ่าเท้ามันเสียดสีกับพื้น ระหว่างเธอใส่ถุงเท้า เจ้าของร้านก็ขอให้ผมถ่ายรูปเค้าซะงั้น ตลกดีครับ เอ้าถ่ายก็ถ่าย ^ ^



บรรยากาศในตลาด Grand Bazaar คนไม่เยอะมากครับ



เผลอๆคนขายอาจจะเยอะกว่าคนซื้อ เรียกแขกเข้าร้านกันโหวกเหวกไปหมด มีร้านเยอะแยะมากมายไปหมด เดินกันมั่วเลย อารมณ์เหมือนเดินหลงอยู่ในจตุจักร



ตลาดที่นี่ขายของหลากหลายมากครับ ขนม เครื่องเทศ เครื่องหนัง ของแต่งบ้าน เสื้อผ้า เครื่องประดับ มีให้เลือกล้านแปดพันเก้า เดินเล่นดูของเพลินๆ แต่ถ้าไม่คิดจะซื้อก็อย่าได้เฉียดกายเข้าไปในร้านหรือเริ่มถามราคาเชียวนะครับ คุณจะโดนคนขายกล่อมพร้อมโชว์ของในร้านชิ้นนู้นชิ้นนั้นให้ดูจนลายตา พร้อมฝีปากนักขายที่พูดจนแบบ ถ้าไม่ซื้อคือรู้สึกผิดอ่ะ 555 แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ (โดนมากับตัวสองร้าน ขนาดไม่ใช่คนชอบซื้อของนะเนี่ย)



หลังออกมาจาก Grand Bazaar แล้วก็นั่งพักกันแปปครับ ดึงสติกันสักนิด และคำนวนค่าเสียจากผ้าพันคอแคชเมียร์ผสมเคราแพะบ้าบอไรไม่รู้ แถมด้วยถั่วทุกสายพันธุ์กับขนม Turkish Delight ที่คนขายบอกว่าคุณออกนอกประเทศตุรกีไปไม่ได้ถ้ายังไม่ซื้อขนมอันนี้กลับไปเป็นของฝากคนที่บ้าน อุตะ! ควักเงินออกมาซื้อแทบไม่ทัน 55


พอสติมาครบ ก็ค่อยเริ่มดื่มดำกับบรรยากาศรอบๆม้านั่งที่เราแวะพัก เจอเจ้าสิ่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงไหนหน้า ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่สนด้วย ถ่ายเก็บไว้ก่อนละกัน 555


(พิกัด 41.0091, 28.9712)


เกิดเรื่องใหญ่แล้วววว ภรรยาผมดั๊นอยากไปซื้อกระเป๋าครับ พับเก็บที่เที่ยวไปให้หมด ห้างเท่านั้นคือจุดหมายของเธอ --" คราวนี้ก็ search ใหญ่เลย ได้ข้อมูลว่าร้านที่อยากไปมีอยู่ในห้าง 2 ที่ ไม่ไกลจากโรงแรมมาก สุดท้ายเลือกไปอันใกล้สุดครับ ซึ่งเป็นห้างใหญ่โต มีร้านค้าตระการตา ชื่อว่า Zorlu Center


รูปนี้ถ่ายตอนยืนรอ tram อยู่ เห็นแสงอาทิตย์กำลังสวยพอดี เลยถ่ายเก็บไว้ครับ



นั่ง tram มาแล้วก็ต่อ metro สักพักก็ถึงครับ สงสัยห้างจะใหญ่จริง มีทางเชื่อมจาก metro เข้าไปในห้างเลย (ทางเชื่อมยาว 400-500 เมตรได้)


มาถึงแล้วครับ ห้างนี้ (จริงๆต้องเรียกว่าศูนย์การค้าถึงจะถูกครับ แต่เอาเหอะเรียกว่า "ห้าง" มันก็สั้นดี) ดูหรูหรามาก ชั้นบนจะมีส่วนที่เป็น Outdoor ด้วย ซึ่งเป็นโซนแบรนด์ High-end ครับ ตรงนี้ดูไปดูมาอารมณ์คล้ายๆ Emquartier บ้านเราเลย พอเดินไปหา shop ที่ต้องการ สรุปว่ามันไม่มีอยู่ที่นี่แล้ว ในเว็บหลอกเรา T T ตอนนี้ก็หิวกันมากๆแล้ว ไปหาไรเข้าปากกันดีกว่าครัชชช!!!!


(พิกัด 41.066858, 29.016806)



สองภาพข้างบนเป็นภาพจากใน Internet นะครับ ผมไม่ได้ถ่ายไว้เลย เพราะเหนื่อยและหิวมากกกก แต่อยากให้เห็นบรรยากาศกันสักนิด


เดินลงมาอีกชั้นจะเป็นแบรนด์ทั่วไปอย่าง Mango H&M ครับ แสดงว่าห้างนี้ก็เป็นห้างปกติทั่วไป เลยคิดว่าน่าจะมี Food court ใครอยากกินอะไรก็กิน ง่ายดี เลยเดินหากันสักพัก โอ้วววว มันยอดมาก 555 ร้านเพียบเลย น่าตาดูดี น่ากินมาก แฟนผมเห็นคนถือจานสลัดหน้าตาดีกันเยอะแยะ เลยเล็งกินสลัดไว้เรียบร้อย ส่วนผมขอเดินสำรวจก่อนครับ



ผมเดินเลือกไปเลือกมาสักพัก ก็ได้เจ้านี้มา ขอบอกว่าเป็นมื้อที่กินอาหารบ้านเค้า (ที่ไม่ใช่ McDonald's หรือ Burger King) แล้วถูกปากที่สุดดด!!



มันเป็นพาสต้า สลัด มาพร้อมกับไก่ 2 แบบคือ ไก่ทอดกับไก่ย่างครับ โรยผงคล้ายๆพริกป่นมาบนไก่ด้วย แต่ไม่ได้เผ็ดมาก รสชาติถือว่าอร่อยถูกปากเลย ราคาถ้าจำไม่ผิด 18TL ครับ เทียบกับว่าเป็นอาหารใน food court อาจจะดูแพง แต่ถ้าดูคุณภาพและรสชาติผมว่าโอเคเลยครับ


หลังจากกินเสร็จผมก็มีความหวังว่าจะได้กลับโรงแรมไปนอนพักแล้ววววว เพราะวันนี้เหนื่อยมาก เดินทั้งวัน อย่างวันอื่นที่ผ่านๆมาไม่ได้เดินเยอะอย่างนี้เพราะมีรถขับครับ เลยได้เดินๆพักๆตลอด แต่แล้วความน่ากลัวก็บังเกิดขึ้นอีก ภรรยาผมอยากเดิน shopping ต่ออีกนิด บอกว่าไม่มีเสื้อที่จะใส่พรุ่งนี้ (จะเป็นไปได้ไง!?!?!?!) ผมไม่ไหวละครับ ขอนั่งรอ ภรรยาหายไปเป็นชั่วโมง กลับมาพร้อมถุง 2-3 ใบ ผมนี่งงเลย ไหนบอกว่าจะซื้อเสื้อสำหรับพรุ่งนี้ ซื้อขนาดนี้พี่อยู่ต่อได้อีกเป็นอาทิตย์เลยมั้งครับ >_<


ขากลับใน metro ก็เจอคนมาเล่นดนตรีเปิดหมวก คนนึงร้อง คนนึงเป่าทรัมเป็ต โคตรเท่เลย เรื่องดนตรีเปิดหมวกเดี๋ยวพรุ่งนี้มีทีเด็ดครับ



เป็นอันจบวันสุดเหนื่อยใน Istanbul


ปล. ระหว่างเดินจาก Metro กลับโรงแรมก็ยังไม่วายเจอแขกเข้ามาคุยด้วย 2 รอบ รอบแรกนี่ทำทีเป็นนักท่องเที่ยวมาถามทาง (มาถามไรตรูวะ!! หน้าผมกะภรรยาห่างไกลคนท้องถิ่นมาก) บอกว่ามาฮันนีมูนกัน เป็นคนอินเดีย ถามทางเสร็จสรรพ ก็ถามเราด้วยว่ามาจากไหน "โอ้ ไทยแลนด์ ไอ้ วิล โก แดร์ เน็คท์ วีค!!" คุยไปอีกแปปก็เริ่มแหม่งๆ โชว์เงินประเทศตัวเองให้ดูแล้วก็ขอดูแบงค์ของประเทศไทยด้วย ภรรยาผมรีบตอบว่าไม่ได้พกเงินไทยมาแล้วขอตัว คิดว่าถ้าควักขึ้นมาอาจจะโดนขโมยได้ เหนื่อยจิงๆกับพวกมิจฉาชีพ กลับโรงแรมนอนเตรียมรับมือวันพรุ่งนี้ต่อครับ บัยยย!!!!


ปล.(2) ภรรยาผมชอบว่าๆผมเฟรนด์ลี่เกิน คือเจอใครชวนคุยก็แวะคุยถามตอบกะเค้าไปหมด ทำให้ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพได้ง่าย แง่ววว --"




/// Day 10///


วันนี้เป็นวันสุดท้ายละครับ ตอนเช้าเช็คเอ้าท์และก็ฝากกระเป๋าไ้ว้ที่โรงแรมก่อน นัดเค้าเรียกแท๊กซี่มารับไปสนามบินตอน 4 โมงเย็นครับ เค้าบอกวันนี้วันศุกร์รถติด ต้องเผื่อเวลาหน่อยครับ (เหมือนกรุงเทพเลยอ้ะ 55) วันนี้เรามีจุดหมายหลักอันเดียวเลยครับคือไปนั่งเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส


จากที่หาข้อมูลกันมา (แบบสดๆร้อนๆ) ขึ้นเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ต้องมาขึ้นที่ Eminönü ซึ่งคือตรงนี้ครับ


(พิกัด 41.018327, 28.970951)


จากหมุดที่ปักไว้ด้านบน ท่าเรือจะอยู่ทางด้านซ้ายครับ


Tip: อย่าซื้อตั๋วจากบริษัทนำเที่ยวหรือคนที่มาเร่ขายใดๆทั้งสิ้น ให้มาซื้อตรงจากบริษัทหรือที่ท่าเรือเลยจะถูกกว่า ไม่งั้นจะเสียค่าหัวคิวครับ



เนื่องจากไม่ได้หาข้อมูลมาดีๆก่อน ผมเลยไปผิดที่ครับ (พิกัดที่บอกด้านบนคืออันที่ถูกต้องแล้วนะครับ ^^) ที่ผมมานี่คือท่าเรือ ferry นั่งข้ามฝั่งเฉยๆ --" (ตรูไม่ด้ายยยอยากข้ามมม) เหลือบดูนาฬิกา เวลาก็ไม่ค่อยจะมีแล้ว เลยเดินจ๋อยๆออกมาแบบว่าทำไงดี อยากล่องเรือช่องแคบต้องไปที่ไหนเนี่ย สุดท้ายเจอแขกมาขายทัวร์ บอกเรือ 2 ชม. 20 TL ต่อไปต่อมาได้ 15 TL เอาวะ แพงกว่าที่ดูมาหน่อยช่างมัน (ถ้าซื้อตรงกับเรือจะอยู่ที่ประมาน 10 TL)


พอจ่ายเงินเสร็จเค้าก็พอไปส่งให้อีกคนนึง คนนั้นก็เดินพาไปส่งขึ้นรถตู้คันใหญ่ให้อีกที คนบนรถตู้นี่แน่นเลยครับ ยืนกันเต็มคันเหมือนกำลังโหนรถเมล์อยู่ --" ขับตรงไปสักพักก็ถึงท่าเรือละครับ สังเกตว่าวันนี้รถติดแต่เช้าเลย มีคนมายืนรอรับเราไปขึ้นเรืออยู่แล้วครับ แล้วคนนั้นก็เดินไปส่งเราขึ้นเรือกับอีกคนนึง สรุป จะส่งกันกี่ต่อวะเนี่ยยยยยยย 55 แถมเจ้าคนแรกที่เราจ่ายตังก็ไม่ได้ให้ตั๋วเราด้วยนะ คนอื่นที่ขึ้นเรือพร้อมเรามีตั๋วกันหมด คนเก็บตั๋วถามเราว่าจ่ายตังมาเท่าไหร่ พอเราบอกราคาไปเค้าก็ปล่อยขึ้นเรือโดยที่ไม่ต้องมีตั๋ว งงดีแฮะ


ขึ้นมาบนเรือเห็นมีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้วครับ รอไม่ถึง 5 นาที เรือก็ออกจากฝั่งพอดี



บรรยากาศในเรือดูดีทีเดียวเชียว มีสองชั้น ชั้นบนเป็นดาดฟ้า ปูด้วยหญ้าเทียมสีเขียม น่ารักเลย แต่บนนี้นี่แดดแรงนะครับ ใครไม่ได้ทาครีมกันแดดมานี่มีดำแน่



เห็นภรรยานั่งผมปลิวอยู่ จับเอาเลนส์เทเลมาส่องซะเลย



ตรงนี้ไม่รู้คือสุเหร่าอะไร สุเหร่าที่นี่หน้าตาคล้ายกันคือจะมีเสาแหลมๆขึ้นมา บางที่มีสองบางที่มีสี่บางที่มีถึงหก ไม่รู้มีความหมายอะไรรึป่าว สวยดีครับเลยส่องเก็บไว้



หนุ่มตุรกีขวามือยืนเก๊กเหมือนเป็นนายแบบร่วมเฟรมด้วย แถมจ้องภรรยาผมอยู่นานแล้วววว เฮ้ย!!! ต้องการอะไรแว้



นั่งไปประมานชั่วโมงนึงเค้าก็วนเรือกลับครับ ระหว่างขากลับเจอนกมาบินอยู่ใกล้ๆเลยเอาเลนส์เทเลส่องถ่ายนกซะเลย



ถ่ายง่ายมากๆเพราะเจ้านกมันมาบินตามเรือครับ บินตามอย่างจริงจัง มาโชว์ตัวให้คนบนเรือฮือฮากันใหญ่ คนหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปมันมือเป็นระวิง สักพักผมก็รู้สึกว่าเจ้านกตัวนี้มันดูก๊วนกวน น่าหมั่นไส้ 55 แถมเรียกเพื่อนมาอีก 2 ตัว เหมือนมาแสดงโชว์เลยครับ



ใกล้ถึงท่าเรือแล้วครับ นั่นสุเหร่าอะไรน้าาาา เห็นมาตั้งแต่ระยะไกล ดูใหญ่ใกล้เคียง Sultan Ahmet Mosque เลย



จบไปเรียบร้อยกับ 2 ชั่วโมงชิลๆบนเรือ มาถึงบรรยากาศแถวท่าเรือ ผู้คนขวักไขว่วุ่นวายน่าดูเลยครับ



ตกลงสุเหร่านี่คือ สุเหร่าเยนิ หรือ Yeni Cami (New Mosque) หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ Sultan Ahmet Mosque มาก คือที่รู้ว่าชื่ออะไรเพราะมานั่ง google ตอนกลับมาแล้วนี่แหละครับ อิอิ



เดินเข้ามาใกล้ๆ คนเยอะมากมาย ได้เวลาละหมาดพอดีครับ



สังเกตุในรูปจะมีรถตำรวจหรือทหารหุ้มเกราะอยู่ด้วย ซึ่งพบได้ตามสถานที่สำคัญๆตลอดครับ



หลังจากเสร็จภาระกิจล่องเรือเสร็จ ฝันร้ายมันกลับมาอีกแล้ว ปฏิบัติการตามหากระเป๋าก็เกิดขึ้นอีก เพราะแพลนวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว เลยจะไปหาที่ห้างอีกห้างที่ค้นไว้ ชื่อ Istinye Park แต่ปัญหาตอนนี้บ่ายโมงครึ่งแล้ว ห้างนี้เลยสถานีโรงแรมไป 5-6 สถานี แถมต้องเดินจากสถานีไปอีกเกือบโล เวลาก็เหลือไม่มากเพราะต้องกลับไปที่โรงแรมก่อนสี่โมงเย็น


ขอให้เป็นเรื่อง Shopping เหอะ ภรรยาผมไม่มีเหนื่อยหรืออิดออดครับ จัดไปทันทีไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แต่พอไปถึงร้านปรากฎว่าของที่นี่ไม่ถูกเหมือนยุโรปประเทศอื่นนะครับ ราคาตั้งแพงกว่าประมาณ 20% แถม Tax refund ก็ได้แค่ประมาน 4% (แต่มีร้านนึงบอก 8% เลยไม่แน่ใจว่ายังไงกันแน่ครับ) กดเครื่องคิดเลขคำนวณเรียบร้อย คิดว่าราคาพอๆกับเมืองไทย เลยเดินมือเปล่า คอตก แถมล่กกลับโรงแรมเลยครับ กลัวไปสายเดี๋ยวแท๊กซี่ไม่รอ


ขากลับโรงแรมก็นักดนตรีเปิดหมวกวงนี้เข้าให้ มาเล่นเป็นวงแบบอลังการเลยครับ แถมเล่นเพลงจาก Series สุดโปรด Game of Thrones!! ต้องกดดูครับ วันนั้น Game of Thrones Season 6 ยังไม่เริ่มฉายแต่กำลังจะฉายในอีกไม่กี่วัน เป็นการโหมโรงได้สุดยอดมาก ดีงามพระรามแปด ปรบมือรัวๆๆๆๆๆ!!!! โดนสะกดจิตให้ยืนดูจนเกือบจบเพลงก่อนจะตั้งสติได้ว่า เฮ้ย!! สายแล้ว วิ่งงงงเลยยยครับบบบ



มาถึงโรงแรมก็เห็นแท๊กซี่ที่ทางโรงแรมเรียกไว้ให้จอดรออยู่แล้วครับครับ พอดีขี้เกียจลากกระเป๋าขึ้น metro แล้วเลยใช้บริการแท๊กซีาดีกว่า จากในตัวเมืองไปสนามบินค่าแท๊กซี่ 70 TL ครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง airport แบบลุ้นๆ (รถติดจริงๆอย่างที่เจ้าของโรงแรมกล่าวไว้ --")


ขอปิดกระทู้ด้วยรูปนี้นะครับ เป็นรูปคู่รูปเดียวเลย ฝากกระทู้ของเราสองคนด้วยนะครับ (ขอบคุณภรรยาที่ช่วยเขียนและเกลาภาษาให้ผม จุฟฟ → นี่ภรรยาพิมเอง 55)



ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้นะครับ สำหรับใครที่มี account pantip แล้วถูกใจกระทู้รีวิวนี้ของผม ช่วยกดโหวตเป็นกำลังใจด้วยนะคร้าบบบบ



ปล. หวังว่านี่จะไม่ใช่กระทู้แรกและกระทู้สุดท้ายสำหรับการรีวิวเต็มรูปแบบของผม 555 ไว้มีทริปอะไรน่าสนใจ จะเอามารีวิวให้อ่านกันอีกนะครับ


Cola Photography

 วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.30 น.

ความคิดเห็น