อยากไปพม่า อยากไปเที่ยวพุกามสักครั้ง อยากไปชมความยิ่งใหญ่ของทุ่งเจดีย์ที่เค้าว่าอลังการสุดๆ


หลังจากเราสอยตั๋วบินในราคาโปรจากสายการบินหางแดงได้แล้ว

เราก็วางแผนเที่ยวกับเพื่อนๆว่าจะไป เมืองมัณฑะเลย์ และพุกาม

โดยเน้นที่พุกามเป็นหลัก ทริปนี้เราไปมาตั้งแต่เดือนธันวาปีก่อนโน้นแล้วค่ะ

ตอนนั้นยังคงต้องทำวีซ่า แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว

ประหยัดตังค์ได้เป็นพันเลย หนาวนี้คิดว่าจะไปแก้มืออีกสักรอบอยู่เหมือนกันค่ะ



เนื่องจากเรามีเวลาเที่ยวไม่กี่วัน เลยไม่คิดจะไปหารถและโรงแรมเอาข้างหน้า เพราะสมาชิกที่ไปด้วยยังไม่มีใครเคยไป

เกรงว่าจะเสียเวลาในการเที่ยว น้องในทริปเลยติดต่อเอเจนจากเมืองไทย จองทั้งรถ และที่พักพร้อมเลยค่ะ

ตอนแรกว่าจะจ้างไกด์ด้วยแต่เราไปเฉพาะจุดท่องเที่ยวหลักๆ เค้าบอกว่าไม่ต้องจ้างไกด์ก็ได้เพราะคนขับรถรู้ทาง

วันแรกที่ไปถึงก็บ่ายแล้ว มองหาว่าจะมีคนมารับมั้ยนะ แล้วก็มีชายหนุ่มคนนึงชูป้ายรอต้อนรับคณะของเราอยู่

หลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าจากสนามบินไปยังตัวเมือง แวะหาอะไรกิน เอาของไปเก็บที่พัก

เราพักกันในตัวเมืองมัณฑะเลย์หนึ่งคืนค่ะ หลังจากนั้นเราก็รีบไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้ " สะพานอูเบ็ง "

ซึ่งเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ยาวถึง 2 กิโลเมตร ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน อยู่ทางตอนใต้ของเมืองอมรปุระ

ที่นี่จะมีเรือพายให้บริการนักท่องเที่ยว นั่งเรือชิลๆรอชมพระอาทิตย์ตก บรรยากาศแบบว่าโรแมนติกสุดๆเลยล่ะค่ะ




เช้าวันต่อมาเราตื่นกันตั้งแต่ตีสามเพื่อเตรียมตัวไปร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ " พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี "
ไปถึง วัดมหามัยมุนี ตอนตีสี่รอทางวัดเปิดประตูถึงเข้าไปได้ ไม่คิดว่าคนจะเยอะมากค่ะ
มีทั้งนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนชาวพม่าเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าศรัทธาล้นหลามจริงๆ

ชาวพม่าเชื่อกันว่าพระมหามัยมุนีเป็นพระพุทธรูปมีชีวิต
เพราะพระพุทธเจ้าได้ประทานลมหายใจอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในพระวรกายของพระพุทธรูปองค์นี้
จึงเป็นต้นกำเนิดของพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี
ที่เจ้าอาวาสจะต้องจัดพิธีล้างหน้าทำความสะอาดให้พระพุทธรูปทุกๆ วันในตอนเช้ามืด
เพราะถือว่าท่านมีชีวิต มีลมหายใจ นับเป็นพิธีแห่งความศรัทธาหนึ่งเดียวที่สืบต่อกันมานับพันปี

ในแต่ละวันมีชาวพม่า ชาวพุทธชาติอื่นๆ และรวมถึงพุทธศาสนิกชนชาวไทย หลั่งไหลมาสักการบูชาท่านเป็นจำนวนมาก
โดยผู้ชายสามารถขึ้นไปปิดทององค์พระได้ ส่วนผู้หญิงอย่างเราเข้าไม่ได้ค่ะ ให้อยู่ด้านนอกโดยมีเขตห้ามผู้หญิงล้ำเข้าไป


หลังจากไปชม พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี แล้วเราก็ขึ้นไปที่ Mandalay Hill เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น
จากจุดนี้เราจะมองเห็นพระราชวังมัณฑเลย์ แลนด์มาร์คที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมือง บางวันจะมีบอลลูนขึ้นด้วยนะคะ


หลังจากกลับมาทานมื้อเช้ากันที่โรงแรมแล้ว สายๆเราก็ออกเดินทางกันต่อไปยังเมืองพุกาม
แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่รถถูกจำกัดความเร็ว แม้ถนนจะโล่งแต่คนขับก็ไม่เร่งความเร็วสักที
เราใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงเดินทางถึงเมืองพุกาม แวะวัดอนันดากันก่อนเลยค่ะ

วัดแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ใครๆก็มากัน วันที่เราไปเจอนักท่องเที่ยวคนไทยเยอะมากเลยค่ะ
ที่วัดนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะมหาชนล้นหลามมาก
เราอ่านเจอมาว่า ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สัก ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ
ผลงานฝีมือของช่างพม่าชั้นสูงที่ทำช่องให้แสงส่องสว่างเฉพาะองค์พระพุทธรูปซึ่งพระพักตร์ของพระองค์นั้นมีรอยยิ้ม
แล้วเราก็พบว่า พระพักตร์ของพระองค์นั้นมีรอยยิ้มจริงๆค่ะ


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เย็นวันนั้นเราก็ขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ตกกันที่ " เจดีย์ชเวสันดอร์ "
นักท่องเที่ยวเยอะมากเลยค่ะ ช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วหลายคนต่างโห่ร้อง ปรบมือให้กับความสวยงามตรงหน้า
นี่ใช่มั้ยพุกามที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์
แม้ตอนนี้จะมีเจดีย์เหลือเพียงแค่สองพันกว่าองค์ก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่ของที่นี่ไม่ได้ลดลงเลย
ลองจินตนาการว่าหากย้อนเวลาไปได้อาณาจักรแห่งนี้คงจะยิ่งใหญ่อลังการมากมาย
การได้มายืนตรงจุดนี้ มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความประทับใจจริงๆเลยค่ะ


เช้าวันต่อมาเราออกมาแต่เช้ากะจะออกมาล่าทางช้างเผือก แต่ก็ผิดหวังไม่เจอ
เลยไปรอขึ้นเจดีย์ชเวสันดอร์อีกครั้ง เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น
เราไปถึงตั้งแต่ตีห้า ข้างบนมืดมาก แต่มีคนมาจับจองมุมเพื่อถ่ายรูปกับเพียบเลยค่ะ
เราคิดว่าวันนั้นมีนักท่องเที่ยวคนไทยเป็นร้อย ได้ยินแต่เสียงตะโกนคุยกัน ยังมองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร
จนพระอาทิตย์ขึ้น เราถึงได้รู้ว่านักท่องเที่ยวเกือบทั้งเจดีย์ในเช้าวันนั้นเป็นคนไทย
และตกใจยิ่งกว่าเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นน้องคนนึงที่รู้จัก ดีใจเรียกชื่อกันใหญ่ หลังจากนั้นก็เจอคนรู้จักอีกเป็นสิบ
กลายเป็นเรื่องตลกกันไป อยู่เมืองไทยไม่เจอดันมาเจอกันที่พม่าโดยไม่ได้นัดหมายซะงั้น


หลังจากที่เราลงมาจากเจดีย์แล้ว เราก็พยายามจะหามุมมหาชนที่พบเห็นทั่วในโปสการ์ด
พี่ที่ถ่ายรูปด้วยกันบอกว่ามุมที่เราอยากได้อยู่ในวัดนี้แหละ แต่เราหาไม่เจอสักที
เจอเด็กๆกลุ่มหนึ่งก็เลยเรียกมาถาม ว่าเคยเห็นมุมนี้ในรูปมั้ย น้องๆบอกว่าซื้อโปสการ์ดฉันก่อนแล้วจะพาไป
ปรากฏว่าที่เราอยากเจออยู่ข้างหลังกำแพงที่เรายืนอยู่นี่เอง แล้วเด็กๆก็ไปหาเทียนมาจุด เป็นแบบให้ถ่ายรูป
ประมาณว่ารู้งานแล้วว่าถ้านักท่องเที่ยวมาถามต้องจัดให้ เราก็อุดหนุนโปสการ์ดเด็กๆเป็นการตอบแทนค่ะ

แล้วที่โชคดีอีกอย่างคือ ตอนแรกเรามาพุกามแบบไม่รู้เลยว่าต้องไปที่ไหนดี


เราเซฟแค่รูปวัด กับมุมที่เราอยากได้มา กะว่าจะมาถามเอาข้างหน้า

น้องที่เราได้เจอโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อเช้าถามกับเราว่า

พี่อยากได้ไกด์เจ๋งๆมั้ย เดี๋ยวผมแนะนำให้ เมื่อวานเค้าพาผมไปเที่ยวมา

จะรอช้าอยู่ใยเรารีบตามหาไกด์กิตติมศักดิ์ในทันที น้องบอกหาตัวไม่ยากเลยพี่

แค่เดินสะพายกล้องเดินถ่ายรูปแถวๆนี้ สักพักจะมีชายคนหนึ่งเดินมาถามว่า

ยูอยากได้รูปสวยๆมั้ยเดี๋ยวไอจัดให้ ตอนแรกก็ไม่เชื่อแต่เค้าจัดให้ได้จริงๆค่ะ

ค่าตัวไกด์เค้าเรียกเราอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ค่ะ ตอนแรกคิดว่าแพงแฮะ แต่จัดเต็มให้ขนาดนี้ก็เต็มใจจ่ายล่ะค่ะ



จริง ๆ แล้วส่วนตัวค่อนข้างเป็นคนแอนตี้เรื่องการจัดฉากถ่ายรูปมาก

เราคิดว่าอยากได้ภาพแบบธรรมชาติไม่จัดจะดีกว่า

แต่ถ้าคุณมาที่นี่คุณจะพบว่าคิดผิด คุณจะไม่สามารถพบเจอเณรหรือพระได้ตามเจดีย์

หรือมานั่งอ่านหนังสือท่ามกลางแสงสาดเป็นลำ

ภาพที่เราเห็นตามหนังสือ เวบชื่อดัง หรือแม้กระทั่งโปสการ์ดที่เราถืออยู่ เป็นการจัดฉากเกือบทั้งนั้น

เราจึงต้องลบความรู้สึกนั้นไป ถือว่าซื้อประสบการณ์เพื่อแลกกับภาพถ่ายที่เราอยากได้ในเวลาจำกัด



วันนั้นถือเป็นอีกหนึ่งวันในพม่าที่รู้สึกสนุกเพราะไกด์คนนี้

เค้าจัดให้เราถ่ายภาพในแต่ละที่ในช่วงเวลาจำกัด

เค้าจะรู้ว่ารูปแบบนี้ควรจะถ่ายที่ไหน มุมไหน และเจดีย์ไหนแสงจะส่องกี่โมง

ถ้าถามว่าเราถ่ายที่ไหนมาบ้างเราคงบอกไมไ่ด้จริงๆค่ะ

เพราะเค้าขี่มอไซด์นำหน้าเราไปแบบเร็วมาก คนขับก็รีบขับ

เหมือนกับเรากำลังเล่นแรลลี่ถ่ายรูปอยู่เลย ถ่ายมาราธอนมาก

ตั้งแต่สายยันค่ำ หากใครอยากมีประสบการณ์แบบนี้

ไปตามหาเค้าได้ค่ะแถวๆ เจดีย์ชเวสันดอร์ ถามหาไกด์ช่างภาพที่ชื่อ " เต็งส่อ " ได้เจอแน่ๆค่ะ




งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่ไกด์ของเรายังไม่จบ แกคงติดใจใครสักคนในกลุ่มเรา หลังจากคืนนั้นเราไปนั่งจิบเบียร์กันต่อ

เค้าบอกว่าพรุ่งนี้เช้าไม่ต้องขึ้นไป เจดีย์ชเวสันดอร์ เค้าจะพาไปที่เด็ดกว่านั้นรับรองว่าได้รูปสวยแน่นอน

เช้าวันต่อมาเรานัดกันหน้า เจดีย์ชเวสันดอร์ ตอนตีห้า ไกด์สุดโหดของเรารีบแว้นมอไซด์มา พร้อมกับบันไดพาดหลัง
นึกในใจจะพาเราไปปีนที่ไหนกันเนี่ย แล้วเค้าก็นำทางพวกเราไปถึงเจดีย์แห่งหนึ่งใกล้ๆกับ เจดีย์ชเวสันดอร์
เดินขึ้นทะลุเจดีย์ไปถึงด้านบน เราคิดว่ามุมยังไม่สูงมากนัก แค่ตึกสี่ชั้น
สักพักเค้าก็เอาบันไดที่แบกมาให้เราปีนขึ้นไปบนยอดเจดีย์ แบบว่านายแน่มากจริงๆ

มุมนี้จะมองเห็น เจดีย์ชเวสันดอร์ อยู่ข้างหน้าเลยค่ะ เพื่อนๆตากล้องก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้รูปถูกใจ

กดชัตเตอร์กันแบบรัวๆเลยทีเดียว


หลังจากถ่ายแสงเช้าเสร็จแล้วเราก็เก็บของมุ่งหน้าไปยัง พระเจดีย์ชเวซิกอง
ซึ่งถือว่าเป็นพระเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาณาจักรพุกาม เป็นอีกสถานที่นึงที่ต้องห้ามพลาดเลยนะคะ

ใกล้ๆเจดีย์ก็จะมีทางเดิน ช่วงสายๆจะมีแสงส่องเข้ามาค่ะ เราก็ไม่พลาดที่จะรอเก็บภาพ จากแม่ค้าที่แบกดอกไม้ผ่านมา
ก่อนจะถ่ายขออนุญาตเค้านิดนึงนะคะ หรือช่วยอุดหนุนเค้าหน่อย ถือว่าเป็นมารยาทในการที่จะถ่ายภาพคนที่เราไม่รู้จักกันมาก่อนค่ะ


ทางเดินนี้เราพบว่า มีพระและเณรเดินไปมาตลอด ก่อนจะถ่ายก็ยกมือไหว้ท่านเป็นการขออนุญาตสักหน่อย
ท่านจะเดินช้าลงเพื่อให้เราถ่ายภาพและเดินจากไปอย่างเงียบๆค่ะ

เจดีย์ชเวซิกอง ยิ่งใหญ่มากๆ และไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ เราสามารถมองเห็นยอดเจดีย์ได้จาก หลุมเล็กๆ ที่มีน้ำขังอยู่


ถ้าก้มลงมองดูจะเห็นยอดเจดีย์ ต้องหาองศาดีๆนะคะถึงจะมองเห็น และเราพบว่ากล้องใหญ่ๆถ่ายได้ยากมากค่ะ

กว่าจะหามุมได้ต้องใช้เวลาและระยะเลนส์ก็กะยาก เพราะหลุมเล็กนิดเดียวและคนต่อแถวรอดูกันเพียบ

ช๊อตนี้ต้องบอกว่า iphone ชนะเลิศ จ่อปุ๊บถ่ายได้ปั๊บโดยไม่ต้องเล็งเลย >___<"



และแล้วการเดินทางก็ย่อมมีวันสิ้นสุด คืนวันสุดท้ายก่อนกลับเรากลับไปนอนกันที่ตัวเมือง มัณฑะเลย์ อีกครั้ง


เพื่ออีกวันจะได้ไปขึ้นเครื่องทัน การมาเยือนพม่าของเราในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวถ่ายรูปแบบจริงจัง

ตื่นแต่เช้านอนดึกทุกวัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยเลย

คนพม่าน่ารัก อาหารการกินอร่อย ไม่แพงอย่างที่คิด

มาพม่าครั้งเดียวไม่พอจริงๆ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอนค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ติดตามดูภาพตั้งแต่ต้นจนจบเลยนะคะ

ความคิดเห็น