ซุกหัวนอน 3 คืน 3 โฮสเทลฟินๆ กับ 30 Check-in ที่ไปสิงคโปร์แล้วห้ามพลาด!

เราไม่เคยอยากไป "สิงคโปร์" จนวันนึงที่เราเปิดลิงค์ที่เพื่อนส่งมาให้ในกล่องข้อความ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง


โจทย์ของการเที่ยวครั้งนี้คือ พักโฮสเทลเพียงที่ละหนึ่งคืนเท่านั้น เหมือนทริปที่เคยไปเชียงใหม่ มีใครเคยอ่านกันบ้างครับ

Chiangmai The-ra-py กับ 5 ที่พักสุดฮิปในเมืองเชียงใหม่ ที่ฮิปสเตอร์และแบคแพจเกอร์ตัวจริงไม่ควรพลาด >> http://pantip.com/topic/34544560 แต่โฮสเทลที่ สิงคโปร์ที่เลือกมาแต่ละที่รับรองว่าเด็ดแน่นอนครับผม


Part 1

Part 2


Part 3


ทริปครั้งนี้เนื่องจากต้องเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ตหลายวันเลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวมากนัก มีเวลาว่างเลยจัดเรียงปรินท์เอกสารทุกอย่างมาแยกเป็นหมวดหมู่ ทั้งตั๋วขาไป - ขากลับ ของ Airasia Print และเช็คอินไว้เรียบร้อย ข้อมูล Booking ต่างๆ, สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป พร้อม Note รีวิวใน Pantip ที่อ่านมา เวลาว่างจะได้หาข้อมูลเพิ่มเติม กว่าจะเสร็จของเสร็จก็ลามปามไปถึง 2 เลยทีเดียว



พร้อมแล้วครับผม ครั้งนี้เดินทางออกจากสนามบินภูเก็ต บินตรงไปสิงคโปร์ จองล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ ราคาประมาณ 3,xxx บาท จำไม่ได้แล้วครับ

ก่อนไปแวะมาใช้บริการของ The Coral Executive Lounge เช้านี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลยครับ เนื่องจากทำงานวุ่นวายมาทั้งอาทิตย์ ระหว่างขับรถมาสนามบินภูเก็ต ได้โทรไปเปิดบริการ Roaming ของ True เป็น Data Roaming Unlimited ราคาเพียงวันละ 99 บาทเอง รับสาย โทรออก 8 บาท ไม่แพง ถูกกว่าซื้อซิมที่สิงคโปร์อีก แต่กว่าจะเปิด Roaming ให้ได้ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง แนะนำวางแผนล่วงหน้าครับ


ขึ้นเครื่องแล้ว วันนี้ Airasia ใจดีเลือกที่นั่งให้ถูกใจ ไม่ได้จ่ายตังค์เลือก Seat ไว้ ทั้งขาไปขากลับได้นั่งริมหน้าต่างจะได้เห็นวิวสวยๆ


ระหว่างทางพกเอกสารทั้งหมดขึ้นไปด้วย เลยนั่งทำการบ้าน บันทึกข้อความนิดหน่อย มีข้อความดังนี้ (อาจมีคำไม่สุภาพ)[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตื่นนอนตอนตี 5 แอบตั้งปลุกไว้ 3 step สุดท้ายตื่นจริง 5.15 อาบน้ำแต่ไม่ได้สระผม ใช้เวลาอาบน้ำไปแค่ 3 นาที 14 วิ เรียกว่าเดินผ่านน้ำยังจะดีกว่า โคตรจะง่วงนอนเพราะเมื่อคืนกว่าจะวางแผนกว่าจะเริ่มเก็บของเสร็จก็ตี 2 กว่าจะพลิกตัวไปมาจินตนาอีกยาวๆ ถึงสนามบินภูเก็ตประมาณ 7.00 แวะ 7-11 กินเบอร์เกอร์ปลาชืดๆ กินไปเผื่อประหยัดตังค์ต้องจ่ายบนเครื่อง ใจนึงก็อยากินกะเพราไก่บนเครื่องแต่อีกใจก็กลัวคนข้างๆจะหิวตาม วันนี้ติดขัดที่สนามบินเรื่อง Check-in ของแอร์เอเชีย ปรินท์เอกสารที่เครื่องเช็คอิน Self-service ที่ตู้แต่เอกสารขึ้นให้ไปติดต่อที่เคาท์เตอร์เพื่อแสดงเอกสารการเดินทาง เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอาจเป็นเพราะ Passport เราเล่มใหม่ เล่มเก่าพึ่งหมดอายุไป กว่าจะผ่าน Immigration แถวยาวมากมาย ยาวกว่าการต่อแถว ผัดไทยทิพย์สมัยซะอีก คือด้วยความรีบแอบปวดท้อง ขึ้นเครื่องปั๊ป เมื่อสุดเสียง Please Fasten your seat belt ผมก็หลับทันที

ก่อนที่เครื่องจะ Landing ขอมีสาระนิดนึง หลายๆคนอาจจะคิดว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่เป็นเกาะผืนแผ่นดินเพียงแผ่นเดียว แต่จริงๆแล้วสิงคโปร์ยังมีเกาะล้อมรอบประมาณ 63 เกาะเลยนะแกร ซึ่งเกาะหลักมีพื่นที่ทั้งหมด 682 ตร.กม. ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 543 ตร.กม. นิดเดียวเอง


ในปี ค.ศ. 1968 อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ Lee Kuan Yew ได้มีแนวคิดในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เนื่องจากตอนนั้นสิงคโปร์มีต้นไม้เพียง 1 ล้านต้นเท่านั้น Lee Kuan Yew ได้ส่งเสริมให้มีเพื่อนที่สวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้นและทำการบันทึกต้นไม้จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบทุกปีไม่ให้เกิดการลักลอบตัดต้นไม้ เจ๋งมั้ยหล่ะ

ถึงแล้ว Singapore Changi Airport ยิ่งใหญ่อลังการสมชื่เลยครับ เพื่อนๆหลายคนลงมาอาจซับสนนิดนึงครับ เพราะเดินกันวุ่นเลยทั้งคนที่พึ่งมาถึง (Arrival) กับผู้กำลังจะบิน (Departure) ในพื้นที่เดียวกัน อาจมีซับสนเล็กน้อย ห้องน้ำสะอาดดีจริงๆเลย ปล่อยไปหนึ่งตุ๊บ (อึ)


เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่า สนามบินที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศอะไร คำตอบ สนามบินที่ผมยืนอยู่นี่แหละครับ


พึ่งได้รับรางวัล World's Best Airport (Skytrax 2016) ไปหมาดๆ เจ๋งเนอะ


มาแล้ววว จุด Check-in ที่ 1 ของประเทศสิงคโปร์ "Kinetic Rain" หรือ "ฝนจลนศาสตร์"

สร้างขึ้นจากมวลหยดน้ำสีทองแดง 1,216 หยด จากการรวมตัวของหลายศิลปินและโปรแกรมเมอร์ ใช้เวลานับ 20 เดือน

เป็นการเคลื่อนไหวที่สวยงามมากๆ ใครเดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดดูแน่นอน

อ่านข้อมูลและดูคลิปได้ที่ http://travel.mthai.com/world-travel/32487.html

เพื่อนๆคงทราบดีกันแล้วว่าที่ Singapore มีรถไฟฟ้าเรียกว่า MRT ระบบทุกอย่างค่อนข้างคล้ายประเทศไทย เลยดิ่งไปเติมเงินบัตรไว้ก่อน 20$ มีค่าบัตรด้วยนะครับ แนะนำว่าค่อยๆทยอยเติมเงินทีละ 10$ ตอนบินกลับผมไปลองคืนเงินมา คืนได้ด้วยนะแต่ไม่คืนค่าบัตร 5$ ลองวางแผนดู


แต่วันนี้ผมไม่ได้นั่ง MRT ครับไว้ลองขากลับ ขอลองนั่ง Taxi ดูหน่อย Let's go to China TownHostel ที่ 1 : Adler Hoste

Adler เป็น Luxury Hostel อันดับต้นๆของสิงคโปร์ (คิดว่าหรูที่สุด) ในประเทศไทยก็มี Luxury Hostel นะครับเพียง 3 ที่เท่านั้นเอง Adler ตั้งอยู่ในกลาง China Town เลย ตัวตึกเป็นอาคารโคโลเนียลสีขาว ตกแต่งสไตล์คลาสสิค ก่อนหน้านี้อาคารเคยเป็นโรงรับจำนำและเป็นโรงชามาก่อน โดยใช้เวลาปรับปรุงอาคารโดยใช้ช่างฝีมือตกแต่งประมาณ 18 เดือนก่อนจะกลายมาเป็นโฮสเทล เดินเข้ามาใน Lobby สวยงามจริงๆครับ

ที่น่าประทับใจที่นี่ส่วนหนึ่งมาจากพนักงาน ที่พูดคุยแบบเป็นกันเองและช่วยให้ข้อมูลต่างๆได้ดีมากๆ ที่อดชมอีกอย่างไม่ได้คือพนักงานที่นี่แต่งตัวดีๆสุดๆตามคอนเซป ใส้เสื้อติดเข็มกลัดดูดีมากๆเลยทีเดียว



มานอนที่นี่ มีทุกอย่างให้พร้อมครับ รวมถึงผ้าเช็ดตัวด้วยราคาอาจจะสูงกว่าที่อื่นนิดหน่อย แต่เพื่อความสบายกับประสบการณ์ ผมยอม!!

อยากดูกันแล้วชิมิ เดินไปชั้น 3 กันเลยครับ


เห้ยยยย ห้องใหญ่และสูงมาก เป็นช่องนอนสูงถึงสามชั้น (พึ่งเห็นครั้งแรกในชีวิต) ในห้องน่าจะมีถึง 24-30 เตียงเลยทีเดียว


ของผมเป็นเตียงชั้นสองครับ ที่นอนค่อนข้างใหญ่มาก มีหมอนสองใบ ผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืนใช้วัสดุเกรดดีมากๆ เทียบเท่าโรงแรม 3-4 ดาวเลย แถมมีที่อุดหูให้ด้วยนะครับ ปลายเตียงมีช่องเก็บของสามารถตั้งรหัสเองได้ เตียงนุ่ม บินนอนสบายมากๆ

เผื่อนึกภาพโดยรวมไม่ออก ขออนุญาตนำรูปมาจากเวบไซต์โรงแรม และไปต่อกันที่ห้องน้ำกันบ้าง



สวยมั้ยครับ ขาดสะอาดมากๆ

ห้องอาบน้ำมี Rain Shower ด้วย น้ำอุ่นก็มี ชอบกลินสบู่และยาสระผมมาก ของดีสระผมไม่แห้งเหมือน Hostel ทั่วไป

พาเดินจนหิวแล้ว ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะครับพี่น้อง




Check-in ที่ 2 : Maxwell food centre มาสิงคโปร์ใครละจะไม่มาทานของอร่อยที่ถูกและดีที่ Maxwell


เคยเห็นหลายๆรีวิว ต่อแถวยาวมากกก แต่วันที่ไปคนน้อย ไปช่วงบ่ายสามแล้วด้วยของใกล้หมด

จ่ายเงินก่อนแล้วต่อแถวรอนะครับ ราคางานนี้ 5$ 130 บาท ถือว่าไม่แพงแล้วนะในสิงคโปร์


ไก่นิ่มมาก แต่เชื่อว่าหลายๆคนบอกว่าไม่อร่อย เพราะน้ำจิ้มไม่เด็ดเท่าเมืองไทย แต่ไก่นี่ฟินจริงๆ ไม่มีการใช้มีดตบให้แบนๆนะแกร

ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วครับ


เล็งร้านนี้ไว้ น่าโดนมากๆ ดึกๆเจอกัน


มาถึงแล้วจุดเช็คอินที่ 3 Sri Mariamman Temple วัดฮินดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ สวยงามแปลกตาดี


จุด Check-in ที่ 4 China Town Food Street


เป็นย่านที่ครึกครื้นๆมาก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมีร้านอาหารเรียงรายตลอดทาง อาหารก็หลากหลายน่าทาน

ใครเหงาๆลองมานั่งแถวนี้ เพลินเจริญอารมณ์

เดินเลยมาอีกซอยก็เป็นย่านการค้า ขาบของฝากราคาถูก เท่าที่เที่ยวมาทั่วสิงคโปร์ของฝากต้องซื้อแถวนี้แหละ ไปที่สนามบินแพงซื้อไม่ไหวจริงๆจุด Check-in ที่ 5 Tooth Relic Buddha Temple แปลเป็นไทยว่า "วัดเขี้ยวแก้ว"


ตอนหาข้อมูลจากในเวบต่างๆก็นึกว่าธรรมดาๆ แต่พอมาเห็นของจริงวัดสวยดีนะครับ บนชั้นบนของวัดยังเป็นที่บรรจุพระสารีริกธาตุพระทนต์ของพระพุทธเจ้าไว้ในสถูปทองคำหนักกว่า 320 กิโลกรัม

จุด Check-in ที่ 6 Red Dot Museum


วันที่ไปเที่ยวดันเป็นวันพิเศษเข้าฟรี แถมโหลด Application ของ Red Dot ยังได้หนังสือเล่มหนาๆ ดูดีกลับไปอีกด้วย

เล่มนี้คงหลายพัน

เบื่อกันแล้วหรือยังครับ จริงๆถ่ายรูปไว้เยอะมากๆ ตัดออกไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็อยากพยายามโพสหลายๆมุม เพราะแต่ละคนคงชอบไม่เหมือนกัน จะได้เก็บไปข้อมูลเผื่อเป็นประโยชน์ครับ นั่งมา 4-5 ชั่วโมงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน ฝากติดตามกันด้วยนะครับ แค่เริ่มต้นเอง อย่าทิ้งกันกลางทางหล่ะ


ขอตัวไปหาที่ ซุก-หัว-นอน คืนนี้ก่อนนะครับ

เดินทางกันต่อเลยครับผม จุดหมายต่อไปเป็นอะไรที่ตั้งใจมาก เพราะเป็นของขึ้นชื่อของสิงคโปร์นั่นคือ " Chilli Crab " ปูตัวยักษ์ราดซอสพริก


โดยครั้งนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ร้านชื่อดัง " Jumbo " เพื่อนชาวสิงคโปร์บอกว่าดังมากและรอเป็นชั่วโมง เพื่อนเลยได้จองคิวไว้ให้ครับ ห้ามสาย ห้ามเลท

และแล้วเราก็ถึงร้าน " Jumbo " หลังจากเดินไปอีกร้าน ผิดสาขาใกล้ๆกัน Jumbo ตั้งอยู่ที่ Clarke quay นะครับ โดยความหิวโหย ตะกละ ละโมบ จะสั่งแล้วนะ เปิดเมนูมาก็เจอเลย เมนูปูตัวใหญ่ อยากเอาปูพันธ์อะไรหล่ะ

แท่นแท๊น แท้นนนนนนนนน!

ปูตัวใหญ่มาก ใหญ่พอสำหรับกินกันสามคนเลย แต่ราคาแกล้งตายแป๊ป 80$ หรือเป็นเป็นเงินบาทเลขสวยๆได้ที่ 2,080 บาท


แพงมาก แต่ชีวิตนึงคงได้มาสิงคโปร์ไม่กี่ครั้ง เพื่อ Experience กลับไทยไปค่อยกินมาม่าต่อครับ



Tips : การทานอาหารที่ร้าน Jumbo แนะนำให้จองล่วงหน้าเพราะตลอดเวลาที่ทานคนมารอเยอะมากๆ บางรายรอเป็นชั่วโมง, ที่ Jumbo เมื่อเรานั่งแล้วพนักงานจะเอาผ้ามาคลุมกระเป๋าเราทั้งหมดให้ พร้อมผ้ากันเปื้อนผูกคอ กันน้ำปูกระเดน , พนักงานค่อนข้างคุยยากนิดหน่อยแนะนำให้อ่านเมนูและตัดสินใจตั้งแต่ทางเข้า ลังเลหรือถามมากอาจโดนเหวี่ยงด้วยสายตาได้ เนื่องจากร้านขายดีมาก มีเวลาจำกัดด้วยนะแกร

สรุปโดยรวม เป็น Experience ที่ตื่นเต้นดีครับในการได้ลองอาหารใหม่ๆ อาจจะแพงไปหน่อยแต่สักครั้งในชีวิต เที่ยวสิงคโปร์แนะนำว่าให้ทำการบ้านมานิดนึง คนที่นี่อาจจะใช้ชีวิตเร่งรีบทุกอย่างเป๊ะๆ ไม่ Slow Life เลยแก ระหว่างทานอยู่ผมอิ่มเร็วเลยอยากเดินออกไปถ่ายรูป ทั้งที่พี่สาวและน้องสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะ พนักงานที่กรูมากันตัวไม่ได้เดินออกเลย แอบงงนิดๆ สงสัยหน้าเหมือนโจรเค้าคิดว่าจะไม่จ่ายค่าปูแน่ๆเลย 555

จุด Check-in ที่ 7 ของเราคือที่นี่นี่แหละ Clarke Quay

แหล่งกินดื่มบรรยากาศสุดชิลที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านนั่งดื่มมากมาย ถึงไม่มาทานอาหารก็มานั่งชิลๆ ทำ MV ที่ริมน้ำก็ได้ เพราะตอนกลางคืนมีสีสัน มีดนตรีให้ฟังตลอด ที่นี่ห้ามพลาดเลยนะแกร


จุด Check-in ที่ 8 Ministry of Communications and Information Building

แปลเป็นไทยคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นั่นเอง เดินจาก Clarke Quay มาไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

เป็นตึกี่มีจุดเด่นอยู่ที่หน้าต่างทาสีหลากหลายดูลายตา เห็นแล้วนึกถึงเพลง I Will Survive เลย (ทำไมว่ะ) ล้อเล่นนะครับ

ข้ามถนนไปยืนใต้ตึกและให้เพื่อนถ่ายจากอีกฝั่งตอนรถวิ่งไปมา น่าจะเกร๋ ชิคๆคูลๆไม่เบา

ตาจะหลับแล้วเพลียมาก ด้วยอากาศของเมืองสิงคโปร์ที่ร้อนและอบๆ อับๆ พูดตรงๆและแมนๆเลยว่ากางเกงในเปียกมาก ขอหลบเข้าไปในห้างสักนิด


นิสัยแย่ๆของผมคือชอบลองทาน Starbucks ไม่ใช่เพราะดัจจริตแต่ว่า ผมเชื่อว่า Starbucks สามารถบ่งบอกถึงคาแรกเตอร์ของประเทศนั้นๆได้ ด้วยทั้งการบริการ ด้วยรอยยิ้ม แต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลยจริงๆ ราคากาแฟและแซนวิชในนี้ถือว่าพอๆกับข้างนอกเลยนะครับ ถ้ามาเที่ยวหลายวันและอยาก Play Safe การเข้า Starbucks ก็ไม่เลวนะ

ที่สิงค์โปร์เนื่องจากมีการวางแผนผังเมืองค่อนข้างดี มีทางมากมาย สะพานเยอะ และที่เยอะมากๆและน่า Check-in คือ อุโมงค์ลอดใต้สะพาน

จุด Check-in ที่ 9 อุโมงค์ลอดที่เต้มไปด้วยงานศิลปะ จากการที่อยู่ 3 วันเหมือนว่าจะได้ผ่านไปทั้งหมด 5 อทางลอด ซึ่งแต่ละอันมีการตกแต่งและศิลปะที่แตกต่างกัน บางที่มีคนมาเล่นดนตรีด้วย แถมพอรู้ว่าเราเป็นคนไทยยังดั้นร้องเพลงไทยของพี่เบริดให้ "สบาย สบาย ถูกใจก็คบกันไป" นี่ร้องแอ้วตรูใช่ม้ายวันนี้เราตั้งใจจะเดินไปดูโชวไฟที่ Marina Bay ครับ แต่ด้วยการเดินทางทั้งวัน หลงสิครับไกลเหลือเกิน

เมื่อเราหลงจนได้ที่ บวกกับการปวดอึจากการกินปู โบก Taxi สิครับ หลายๆคนคงคิดว่า Taxi ที่นี่แพงจริงๆไม่ได้แพงมากขนาดนั้นนะ ลองเลือกคันธรรมดาๆดู ข้างกระจกรถจะเขียน Flate Rate ค่าโดยสารตายตัวเริ่มต้นอยู่สนใหญ่จะประมาณ 3.5$


และบวกจากมิเตอร์อีก ซึ่งตอนนี้มีกันสามคนหารๆกันถูกครับ เพราะมาเที่ยวแค่ 3 วันอยากเที่ยวให้เยอะที่สุด บางทีอาจจำเป็นต้องซื้อเวลา "ไปครับ พี่สุชาติ" >> SUPERTREE GROVE ที่ Gardens By The Bay

เป็นจุด Check-in ที่มาสิงคโปร์แล้วพลาด กลับไปจะไปเล่าเพื่อนยังไงล่ะเหนี่ยเพราะที่นี่ก็เกือบๆกลายเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ไปแล้ว


จุด Check-in ที่ 9 Supertree Grove ต้นไม้ยักษ์ 18 ต้น เปิดบริการตั้งแต่ 5.00am - 2.00am เข้าฟรี

ช่วงที่ไปแล้วสวยสุด คือช่วงเวลา 19.45 หรือ 20.45 มีการแสดงโชว์ไฟด้วยครับ

ใครอยากลงขึ้นไปเดินสะพานบนต้นไม้ความยาว 128 เมตร สูงถึง 22 เมตรก็ลองได้นะ 8$

Info : สวนแนวตั้งที่อยู่บน Supertree 18 ต้น ใช้ต้นไม้จริงถึง 162,900 ต้น กว่า 200 สายพันธุ์

และแล้วความก็เกิดขึ้น เมื่อเอาขาตั้งกล้องที่แบกมาทั้งวันและที่สำคัญแบกมาจากภูเก็ต เปิดกระเป๋าออกมาเตรียมถ่ายรูป ลืมเอาเพจติดกล้องกลับขาตั้งกล้องมา ควายเลย ไม่เป็นไรถ่ายรูปมุมมองใหม่ วางบนพื้นนี่แหละ


บายย ต้นไม้ยักษ์



จุด Check-in ที่ 10 Marina Bay Sands


ที่ควร Check-in เป็นอย่างยิ่งเพราะนี่คือ อาคารที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ171พันล้านบาทไทย

ภายในเป็นโรงแรม, Casino ขนาดใหญ่ และยังมีโรงภาพยนตร์และเป็นรวมสถานที่ท่องเที่ยวไว้มากมาย

Info : 3 เรื่องที่สุดของ Marin Bay Sand


1. อาคารที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

2. ห้อง Casino ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโต๊ะเล่นพนันมากถึง 500 โต๊ะ และ ตู้ slot machine 1,600 ตู้ น่าจะเมาไฟแน่นอน

3. สระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Rooftop)

แอบแชะภาพข้างในมาฝาก ระหว่างเดินทะลุโรงแรมไปห้าง

จุด Check-in ที่ 11 Rain Oculus

อ่างน้ำวนของห้าง Marina Bay ออกแบบโดย Ned Kahn ศิลปินชื่อดัง จะมีช่วงปล่อยน้ำกลายเป็นกระแสน้ำวน เด๋วหารูปมาฝากนะครับ

วันนี้เริ่มหมดแรง


แต่ความเสี้ยนแอลกอฮอล์มาแซงความง่วงครับ เราจะไปร้าน Oxwell ร้านเหล้าชิคๆคูลๆที่สุดในย่าน China Town บรรยากาศคึกครื้นมากๆ


ร้านนี้ค่อนข้างดังเรื่อง Cocktail มากๆ และร้านก็สวยสุดๆเลย แต่ปรากฏว่าตอนที่เข้าไปทุกอย่างดูยุ่งมาก เห็นเค้าต่อแถวกันเลยต่อแถวบ้าง พอถึงคิวเราเค้าบอกร้านปิดแล้วไม่รับ Order ไม่เป็นไรค่อยมาใหม่เนอะด้วยความพยายามที่ไม่มีที่สิ้นสุด เลยเดินไปร้านข้างๆแทน BAR NKD ก็มีความชิคๆไปอีกแบบ พนักงานที่นี่ค่อนข้าง Friendly กว่า


Good Nightวันที่ 2 สนุกกว่าวันแรกมากๆ บอกเลย แอบไปดูรูปพลางๆได้ที่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/Suk-Hua-Non-215381432186732/ นะครับ

Good morning ทุกๆคนวันนี้ชื่นเช้ามาก ประมาณ 7.00 นิดๆ อาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นหอมชื่นใจ เก็บกระเป๋าถึงเวลาที่เราต้องย้ายโรงแรมซะแล้ว


ที่ Adler มีที่ฝากกระเป๋าด้วยครับล๊อครหัสเรียบร้อยและวางทิ้งไว้ไปเที่ยวเด๋วค่อยมาเอาล่ะกัน เดินลงมาชั้นล่างที่ Adler มีอาหารเช้าให้ด้วย ถือว่าใช้ได้ พอหอมปากหอมคอ แต่ว่าเรามีแพลน นัดกับพี่สาวและน้องสาวที่นอนกับโรงแรมอื่นว่า เช้านี้เราจะไปกิน อาหารจีนกันบ้าง และร้านที่เราเลือกไปคือ " Yum Cha " คน Local ที่นี่บอกว่าอร่อยและไม่แพง และใกล้มากๆ เดินเข้า China Town เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาถึงล่ะ



จุด Check-in ที่ 12 มื้อติ่มซำร้านเด็ด ย่านไชน่าทาว

เมื่อถึงแล้วคุณป้าก็เดินเอาเมนูมาให้ ราคาไม่แพงและดูน่ากินมาก เช่นขนมจีบหอยเชล 106 บาท ซาลาเปาคัสตาร์ด ไข่เค็มไหลเยิ้มก็ 106 บาทจานอื่นๆ ราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมการันตีให้สั่งจานนึงคือ โจ๊กไข่เยี่ยวม้า หอม ละมุน อบอวล นี่พิมไปหิวไปเลยนะ อร่อยมากๆ (มีอีกหลายเข่งไม่ได้ถ่ายรูป หิว)

รวมมื้อนี้กินกัน 3 คน ประมาณ 1,100 บาท อิ่มและอร่อยมากๆ หารกันแล้วตกคนละ 366 บาท

Info : มีความรู้เกี่ยวกับร้านอาหารในเมืองสิงคโปร์มาฝาก หลายๆร้านไม่มีกระดาษทิชชู่ให้นะครับ ขอบ้างร้านก็ไม่ใช้ แต่บนโต๊ะจะมีผ้าเช็ดปากเช็ดมือในซองพลาสติกให้ สามารถใช้ได้ หรือถ้าคุณไม่ใช้ทางร้านก็จะคิดเงินรวมไปในบิลอยู่ดี เพราะฉะนั้นใช้เถอะ และ หลายร้านอาหารโดยเฉพาะร้านอาหารจีน มีถั่วลิสงตั้งไว้ให้ กินหรือไม่กินก็ต้องจ่ายอยู่ดี เลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นกินเถอะครับ


Next Station : Arab Street ไปจีนมาแล้วมาเมืองแขกบ้างครับ

จุด Check-in ที่ 13 Masjid Sultan เป็นมัสยิดมีายุหลายร้อย และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสิงคโปร์

จุด Check-in ที่ 14 Haji Lane


Haji Lane เป็นซอยเล็กๆ ในย่าน Bugis ครับซึ่งตามตรอกซอกซอยจะมีการเพนทศิลปะ Street Art สวยงามมาก มีหลายศิลปินมาช่วยกันให้เป็นแหล่งศิลปะ ในซอยยังมีร้านค้าขายของน่ารักๆ ตกแต่งเก๋ๆเพียบ ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ ที่คนไทยมาเยอะที่สุด

Tip: แนะนำให้มาช่วงเวลา 14:00 เนื่องจากร้านอาหารยังไม่ค่อยเปิด คนไม่ค่อยเยอะ สามาถถ่ายรูปได้จุใจ และแสงกำลังดีด้วยครับ


ตอนนี้กำลัง On Air ในรายการ Grab Life By Chang ทางช่อง True Travel Channel (True 364 ,Psi72) ขอแอบวิ่งไปดูทีวีก่อนนะครับ ใครว่างเปิดทีวีดูกันได้ จะได้รู้จักกันมากขึ้นครับ

มาดู ร้านค้าและคนแถวนี้กันบ้างดีกว่าครับ



เหนื่อยและร้อนมากๆครับ แต่ดีใจที่ได้มาที่นี่ ในการมาเที่ยวเป็นกลุ่มผมมี Tips: การวางแผนเวลาแบบนี้ครับ เพื่อคุมเวลาให้ทำอะไรๆได้สะดวก ไม่เปลืองเวลาจะมี Time Keeper หนึ่งคน เราจะตกลงกันว่า กินกาแฟร้านนี้มีเวลาทั้งหมด 15 นาที Move เมื่อถึง 15 นาทีแล้วต้อง Move ห้ามอ้อยอิ่งตลิ่งชันเด็ดขาด เป็นวิธีที่ดีมากๆ ทำให้ทุกคนตรงเวลาและสามารถเที่ยวได้มากขึ้น

เวลาหลงทางที่นี่มีวิธีง่ายๆคือถามครับ ถ้าจำเป็นจริงๆแล้วให้ถามคนท้องถิ่นเลย หลายๆคนมีน้ำใจช่วยเหลือดีมากๆ


จะได้ไม่เสียเวลา

Next Station : Little India

จุด Check-in ที่ 15 วิถีชีวิตและตึกสีชุมชนอินเดีย เชื่อว่าหลายๆคนยังไม่เคยไปประเทศอินเดีย การได้มาสิงคโปร์และได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอินเดียเป็นอะไรที่เจ๋งๆมาก เห็นพี่ๆอินเดียแบบนี้ส่วนใหญ่ใจดี ไปขอถ่ายรูปด้วยตั้งหลายคนครับ และที่สำหรับอาหารอินเดียอร่อยมาก เด๋วจะพาไปชิม


อาคารสวยเนอะ ไปยืนตรงนั้นต้องถ่ายรูปสวยแน่ๆเลย

........

ใครชอบทานอาหารอินเดียบ้าง ยกมือขึ้น ลังเลอยู่นานว่าจะจัดหรือไม่จัดดี มาถึงที่แล้วลองดู

จุด Check-in ที่ 16 การเปิปอาหารอินเดีย ด้วยมือในสิงคโปร์ ที่ร้าน Banana Leaf เลือกร้านนี้เพราะคนต่อแถวยาว ฝรั่งเยอะ

น่าจะสะอาด ที่สำคัญแอร์เย็น เพราะก่อนบินมาสิงคโปร์ได้ไปโรงแรมนึงแล้วมีให้ทานอาหาร อินเดีย พอรู้จักอยู่บ้างเช่น chicken masala เลยสั่งมาลองดู สั่ง Lamp มาด้วย อร่อยมั้ย ต้องมาลุ้น. อาหารมาแล้วพร้อมกับใบตอง ดูแล้ว Amazing ตื่นเต้นมากๆ



ผิดคาด อาหารอินเดียที่นี่ อร่อยอย่างน่าตกใจ ขอบอกแถมไม่แพงด้วย แน่นมากมื้อนี้



จุด Check-in ที่ 17 เป็น Hightlight ของทริปสิงคโปร์ผมเลย ตอนแรกจะไม่ได้ไปแล้วครับ ขอบบอกว่าไปง่าย จะเที่ยงคืนแล้ว ขออนุญาตไปพักก่อนะครับ ยังมีรายละเอียดการเดินทางอีกเยอะมากๆ ที่เพจ www.facebook.com/sukhuanon


จุด Check-in ที่ 17 อุโมงค์ Fort Canning


ตอนนี้ฮิตกันมากหลังจากมีพี่คนนึงโพสใน Pantip ทำให้มีคนไปถ่ายรูปเยอะมากๆครับ แต่ก็สวยจริงๆครับเหมาะแก่การไปถ่ายรูป การเดินทางก็ไม่ได้ยากลำบากเลยครับ เพียงนั่ง MRT ไปลงสถานี Dhoby Ghaut และเดินอีกนิดหน่อยก็ถึงและครับ หากเพื่อนๆคนไหนสนใจไปถ่ายรูป สามารถตามกระทู้พี่เค้าไปได้เลย อธิบายละเอียดมากๆ >> http://pantip.com/topic/34886451 ขอบคุณที่พาให้ผมได้ไปถ่ายรูปที่นี่ครับ

ถึงเวลาที่ต้องย้ายโรงแรมแล้วครับ เป็นช่วงเวลาที่แอบเศร้ามากๆ ชอบ Adler Hostel อยากนอนอีกหลายๆคืน ลูกค้าส่วนใหญ่ที่นี่ก็น่ารักเป็นกันเอง เป็นชาวต่างชาติสะเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักเดินทางที่ชอบเรื่อง Design อาร์ทนิดๆ ติสหน่อยๆ แต่เพื่อความคุ้มของชีวิต ถึงเวลาที่เราต้องไปต่อแล้วครับ โฮสเทลต่อไปอยู่แถว Boat Quay ใกล้กับ Clark Quay ที่ไปกินปูเมื่อวาน เดินกางเกงในเปียกต่อไป ใช้เวลาเดินจาก China Town ประมาณ 12-15 นาที ก็ถึงล่ะครับ



โรงแรมนี้คนไทยเยอะมากๆครับ ดีสำหรับคนที่เหงา ส่วนผมด้วยที่เล่นทะเลจนตัวดำปิ๊ดปี๋และผมก็เปลี่ยนสีนิดหน่อย คนส่วนใหญ่เลยคิดว่าไม่ใช่คนไทย เลยเนียนแอบซ่อนตัวในโรงแรมอยู่ทั่วไป บางมุมก็อยากรู้ว่าคนไทยรู้สึกยังไงกับการเที่ยวสิงคโปร์บ้าง. พนักงานที่นี่ค่อนข้างน่ารักและเป็นกันเองครับ ให้ข้อมูลได้ดีทุกอย่างและใจเย็นมากๆ

* ที่นี่ต้องเช่าผ้าเช็ดตัว 2$ นะครับ

ผมจองห้องพักผ่าน Booking.com ครับ เป็นห้องประเภท Single Bed in Male Twin Room ราคาคืนละ 814 บาท ( 31$) มาสามวันก็อยากมีวันนึงที่นอนสบายๆบ้าง บางทีการใน Dormitory ที่เป็นห้องรวมบางทีแอบอึดอัดนิดหน่อยครับเป็นคนไทย บางทีเคยชินการถอดเสื้อนอน ใส่บอกเซอร์นอน เอาห้องนี้นี่แหละ สะดวกดี ในห้องแอร์เย็น มีลอกเกอร์ระบบไฟฟ้าให้ใช้เปิดปิดด้วยคีย์การ์ด จริงๆห้องที่นี่มีเยอะมากเลยนะ มากมายหลายแบบ ลองไปดูกัน ข้อเสียของห้องคือบันไดเล็กมากไม่เหมาะสำหรับคนน้ำหนักเยอะอาจเหยียบพลาดได้


ที่นี่จุดขายคือระเบียงและส่วน Common Area ครับถือว่าจัด Space ได้ดีมากๆ และที่สำคัญที่นี่เป็นกึ่ง Hostel กึ่ง Gallery เพื่อนๆสามารถเดินไปและภาพสวยๆอาร์ตโดยช่างภาพสิงคโปร์ได้ด้วย ภายในห้อง Common Area ยังมีอุปกรณครัวให้ใช้ตามสบาย พร้อมเครื่องกาแฟตลอดคืน



ผมเล่าเพื่อนๆไปเลยครับ ว่าจริงๆแล้วนอกเหนือจาก Pantip ผมชอบหาที่เที่ยวจาก Pinterest ครับเพราะเป็นแหล่งรวม ร้านที่ Design สวยงาม ร้านกาแฟสวย ค่อนข้างเน้นไปสิ่งออกแบบ ผมเปิดเจอร้านนึงที่อยากไปมากๆ เป็นร้านอาหารแมกซิกันชื่อ " Super Loco " ร้านสวยดี มีความตั้งใจอยากไปมาก บังเอิญจริงๆที่พี่สาวของผมซึ่งแยกกันมา นอกันคนล่ะที่มีนัดกับเพื่อนๆที่ร้าน Super Loco พอดี เค้าการันตีว่าเป็นร้านดัง เป็นบุญมากๆ เพราะฉะนั้นขอติดรถไปด้วยล่ะกัน สุขฤทัยสบายไปเลยตรู


Info : จอดรถที่สิงคโปร์ต้องเสียตังค์นะครับ คิดเป็นชั่วโมงซึ่งแต่ละพื้นที่ราคาไม่เท่ากันครับ เพื่อนๆต้องซื้อใบจอดรถมาก่อนเมื่อจอด ก็ต้องใช้ใบกระดาษฉีก ระบุเวลาจอด ระบุข้อมูลทุกอย่าง เช่นค่าจอด 3$ ก็ต้องฉีกใบตามราคา เป็นอะไรที่แปลกมากเสร็จแล้วต้องวางไว้หน้ากระจกและจะมีเจ้าหน้าที่เดินตรวจ แปลกเนอะ



ย่านตรงนี้มีร้านอาหารเยอะมาก แต่ละร้านสวยๆทั้งนั้นเลย ลองดูร้านอาหารไทยสิ ชิคชะมัด เดินถัดมาก็ถึงร้านของเรา " Super Loco "



อากาศร้อนๆจัด Cocktail เลยครับ สั่ง Frozen Margarita Lychee มีส่วนผสมของ Cimarron Blanco Tequila - Blood Orange - Guava - Lime โคตรอร่อยเลย อีกแก้วเป็น Coco Mojo (ที่เด็ด) Cimarron Blanco Tequila - 1800 Coconut Tequila - Coconut water - Lime - Lemon Verbena - Mint อร่อยมากๆ และเมามากๆ แค่อ่านชื่อส่วนผสมก็ตาชายล่ะครับ


อร่อยแต่ราคาหน่ะ แพงมาก แก้วล่ะ 17$ และ 18$ = 468 บาท/แก้ว โดยประมาณ เป็นค่าประสบการณ์ที่แสนแพง

Companamientos ของเราคือ Alcachofa คือ Globe Antichoke , Avocado pures อ่านแล้วปวดหัวเนอะ จานนี้ก็อร่อยดี


Main ของเรามาแล้วครับผม Enchilada De Pollo เป็น Spiced Roasted Chicken, Pumpkin Seed, Paprika Cream อร่อยยยยยย ฟินน!!

เป็นร้านที่ตกแต่งสวยมากๆครับ อาหารอร่อยทุกจาน สั่งมาอีกเยอะเลยแต่หิว ทานจนหมด ผมขอให้ย่านนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ Check-in เลย



Check-in 18 ประสบการณ์การทานอาหาร ต่างประเทศที่เราไม่รู้จัก เป็นการเปิด Experience ที่ตื่นเต้นมากๆ และได้ทานอาหารที่แปลกใหม่ ไม่จำเป้นว่าต้องทานมื้อแพงๆ ขอให้เป็นอะไรที่เราไม่เคยลองและกล้าที่จะเสี่ยงลองทานสักครั้งในชีวิต

Plan ของคืนนี้ที่เราลืมไปแล้วคือ ตามเก็บจุดสำคัญในสิงคโปร์ครับ ตั้ง Gps กด Google Maps มุ่งตรงไปยัง Merlion สัญลักษณ์ที่มาสิงคโปร์แล้วไม่ Check-in ไม่ได้เลย



มีใครอ่านอยู่บ้างครับ

-

-

ไปเก็บกระเป๋าเดินทางก่อนนะครับ เด๋วมาต่อครับCheck-in 19 : Merlion

(มาสิงคโปร์ถ้าไม่มีรูป Merlion กลับไปโม้ยากเลยนะแกรเพราะมันคือสัญลักษณ์ของการมาถึงสิงคโปร์)



Merlion ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board - STB) ในปี 1964 – รูปปั้นนี้มีหัวเป็นสิงโต ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น ต่อมาไม่นานทั่วโลกก็ถือกันว่าสิงโตทะเลตัวนี้คือเครื่องหมายประจำชาติสิงคโปร์

เดินถัดมาอีก

Check-in 20 : Jubilee Bridge & Esplanade

สะพานจูบิลี (Jubilee Bridge) ทางเดินเลียบริมน้ำของโครงการเอสพลานาด สะพานมีความยาว 220 เมตรนี้ใช้เงินทุนสร้างจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ และสามารถรองรับผู้คนได้มากถึง 2,000 คนเลยทีเดียวนะแกร

Check-in 21 : Art Science Museum

พิพิธภัณฑ์ศิลปะและวิทยศาสตร์ คนไทยเรียกติดปากว่าตึกดอกบัว มีพื้นที่ทั้งหมด 6,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 21 แกลอรี่ เป็นตึกที่มีรูปทรงสวยงามตั้งเด่นมองเห็นแต่ไกลเลย

Check-in 22 : Helix Bridge

สะพานรูปเกลียวคู่แห่งแรกของโลก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างดีเอ็นเอของมนุษย์ มีความยาว 280 เมตร

ในยามราตรี หากผ่านค่ำคืนนี้โดยไม่มีแอลกอฮอล์คงนอนหลับแบบไม่สุนทรี งั้นไปเก็บสถานที่ๆเหลือกัน


Oxwell & Co. Ann Siang Hill

Info : Pina colada อร่อยที่สุดยกให้เป็น Top 5 Pina colada ที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลย * ราคา 468 บาท


คำเตือน : ร้านนี้ที่น่าผิดหวังคือ Service Mind น่าผิดหวังมากๆ เราไปสองวันติด วันแรกอดเพราะปิดออเดอร์แล้ว วันที่สองตั้งใจเดินไกลมากเพื่อกลับมากินใหม่ คิดว่าพนักงานบางคนก็น่ารัก อาจจะซวยเจอคนที่ไม่ดี แต่อย่างไรก็ถามถ้าอยากลอง Cocktail เจ๋งๆ อย่าแคร์เรื่อง Bad Service ของเค้ามาก แต่ถ้าทนไม่ไหว เดินไปร้านอื่นดีกว่านะ !!พรุ่งนี้มีทริปด่วนต้องไปสมุยครับ รีวิวยังไม่เสร็จเลยเด๋วมาต่อนะครับ


Good Morning ทุกคน ตื่นมาด้วยอาการแฮงค์เล็กหน่อย เริ่มปวดขา สงสัยเดินเยอะมากเกินไป บรรยากาศตอนเช้าที่ Hostel นี้คึกคักดีครับ คนเยอะมากๆ โฮสเทลนี้มันวิวแจ่มจริงๆ นั่งริมระเบียงทานขนมปังกับกาแฟ ชิลๆยาวไป

วันนี้ พี่สาวและน้องสาวผม ซึ่งต่างคนต่างมาเจอกันที่สิงคโปร์และไม่ได้นอนด้วยกัน เลยนัดมาทานข้าวกันครับ ส่งท้ายหน่อย


วันนี้ก็จะเหลือเพียงผมอยู่คนเดียว แกงค์เราตัดสินใจมาปิดท้ายที่ Maxwell ครับ เพราะทั้งหมดที่ไปมา คิดว่า Maxwell ถูกและหลากหลายที่สุด

ร้านแรกที่ลองกันเป็นร้าน บะหมี่ที่ผสมผสานกันระหว่างจีนและญี่ปุ่น รสชาติถือว่าอร่อยพอใช้ได้ มีรสชาติดีขึ้นกว่าบะหมี่ร้านอื่นๆ ร้านนี้จะมีเครื่องปรุงส่วนผสมเยอะกว่า เพิ่มเงินอีกนิดก็จะได้ไก่ย่างมากินคู่กับบะหมี่ 1 ไม้


ร้านข้าวมันไก่ร้านที่สองที่เราได้ลิ้มลอง คือร้าน Ah Tai แนะนำเลยส่วนใหญ่คนจะไปต่อแถวซื้อยาวเหยียดที่ร้าน Tian Tian ร้านนี้รสชาติดีไม่แพ้กัน

เราลองร้านนี้เป็นร้านที่สามครับ Hong Xiang - - - เฉยๆนะ ขอผ่าน


ขอสรุปความอร่อยของ ข้าวมันไก่สิงคโปร์ไว้ดังนี้ แนะนำเพื่อนๆว่าอย่าคาดหวังไว้มากมายเกินไป เด๋วจะไม่อร่อย

ข้าวมันไก่สิงคโปร์ ได้รับอิทธิพลมาไหหลำ ความแตกต่างระหว่างข้าวมันไก่ของพี่ไทยคือ เมล็ดข้าวที่นี่จะนุ่มกว่า มีกลิ่นหอม แต่ไม่มันเหมือนข้าวมันไก่ไทย ส่วนเนื้อไก่ของที่นี่ จะนุ่ม ฉ่ำกว่าแถมมีน้ำราด On Top อีก ส่วนน้ำจิ้ม รสชาติอ่อนกว่าไทยเยอะ

ร้านที่อร่อยที่สุดน่าจะเป็น Tian Tian เนื่องด้วย Story และคำบอกต่อแล้ว ร้านนี้ก็ยังเป็นที่หนึ่ง บวกด้วยระยะเวลาการต่อแถวที่ยาวนานแล้ว ทำให้ความหิวเพิ่มเท่าทวีคูณทำให้การทาน อรรถรสขึ้นมากมาย แต่หากไม่ได้อินกับ Story มากมาย และนำให้ไปร้าน Ah Tai รอไม่นาน คนขายก็ใจดี มีความอร่อยใกล้เคียงกัน หาข้อมูลเพิ่มเิตมได้ข่าวมาว่า Ah Tai เป็นพ่อครัวเก่าจากร้าน Tian Tian แยกออกมาเปิดร้านแยกนั่นเอง จึงมีความใกล้เคียงอยู่บ้าง จริงแท้ประการใดไม่ทราบ ต้องให้เพื่อนๆไปลองทานกันดูเองนะครับ ลาก่อน Maxwell

เราชอบสีตึกดีมากๆ อยู่ใกล้ Maxwell ระหว่างทางเดินไป Red Dot



จุด Check-in ที่ 23 Singapore City Gallery


เป็น Galerry ที่เล่าเรื่องแผนผังและที่มาของเมืองสิงคโปร์ทั้งหมด เข้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แอร์เย็นๆ เหมาะมากๆในการมาเที่ยว เพราะทำให้เราได้รู้ข้อมูลของสิงคโปร์มากยิ่งขึ้น ภายใน gallery มีแผนผังเมืองสิงคโปร์ให้เราดูทั้งหมด ถ้ามาวันแรกของการเดินทางเลย เราก็จะเดินทางในสิงคโปร์ง่ายยิ่งขึ้น ภายในก็มีการจัดแสดงวิวัฒนาการการจัดระเบียบผังเมืองของสิงคโปร์ ความรู้แน่นปึ๊กๆ สิงคโปร์พยายามรักษา Balance ของสิ่งต่างๆ ไม่กว่าเป้นสิ่งก่อสร้าง ชุมชนที่อาศัย ป่า และธรรมชาติให้มีสัดส่วนที่พอดีกัน เพื่อนๆหลายคนคงจะทราบแล้วว่าสิงคโปร์มีพื้นที่เล็กนิดเดียว รัฐบาลได้ทำการถมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจัดการแบ่งสัดส่วนผังเมืองอย่างเป็นระบบ ทำให้เมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ลองแวะไปดูครับ มีประโยชน์มากๆ


และนี่เลย บุคคลสำคัญของประเทศสิงคโปร์ ผู้ที่คนทั่วไปยกย่องเรียกว่า "บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่"


เป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนแรกที่ปกครองประเทศเป็นเวลาสามสิบปี ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 นี่เอง

ใครอยากรู้จักหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในทวีปเอเชียคนนี้ ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะครับ

เอ้ารีบเดินทางกันต่อเลยดีกว่าครับ สำหรับทริปนี้ก่อนที่พี่สาวและน้องสาวต้องแยกกันไปสนามบิน เลยขอพาสาวไป Shopping กันหน่อยที่ย่าน Orchard ย่านชอปที่คนพลุกพล่านมากที่สุด เดินทางออกจาก Galley แล้วไปต่อกันเลยครับ



จุด Check-in ที่ 24 ION Orchard


ถนนที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า จุดสำคัญที่น่าไปถ่ายไป Check-in ตรงนี้เลยครับประตู ION Orchard จริงๆแล้วควรมาตอนกลางคืน ประตูและอาคารจะมีแสงสีสวยงามมากๆ นอกจากข้างนอกสวยแล้วภายในอาคารยังมีแหล่งชอปปิ้งมากมายซึ่งหลายร้าน ราคาถูกกว่าเมืองไทย สามารถมาเลือกชมกันได้ ตากแอร์เย็นๆครับ

เอาเว้ยเห้ย ที่นี่ก็มี Paragon แต่ไม่ได้เข้าไปครับ ตอนนี้พี่สาวและน้องสาวต้องเร่งเวลาไป รีบไปสนามบินด่วนล่ะครับ คนนึงนั่ง Tiger Air อีกคนนั่ง Jet Star เป็นการมาเที่ยวที่แตกต่างหลากหลายวาไรตี้มากๆ สุดท้ายกลัวตกเครื่องจึงจำเป็นต้องพึ่งTaxi ล่ะครับ

คันไหนแพง ไม่แพง สังเกตุที่ค่า Flag Down หรือค่าเริ่มต้น Taxi ครับ คันนี้ 3.7$ ( 96 บาท )

ถึงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวแล้วสิ ลุยต่อครับ ฉายเดี่ยวไปเลย



มาถึงแล้ว โฮสเทลสุดท้ายของทริปนี้ครับ

" The Pod Boutique Capsule " เป็น Design Boutique Hotel ที่ดูทันสมัยแตกต่างจากโรงแรมที่อื่นๆในสิงคโปร์เป็นอย่างมาก ด้วยของขนาดตู้นอนที่กว้าง ใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอนสีเทา และด้วยการออกแบบที่สวยเรียบ ให้ความสำคัญเรื่องของแรงเลยทำให้น่านอนมากๆ และบวกกับห้องน้ำสะอาดมากๆ ใหญ่อลังการ ทำให้ The Pod เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ควรมาพักมากๆ

Key Card



ถอดรองเท้า


ห้องน้ำ



จุด Check-in ที่ 25 : St. Andrew's Cathedral



จุด Check-in ที่ 26 : National gallery singapore



เป็น Gallery ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เริ่มเปิดบริการปีที่แล้วเอง วันที่ 24 พฤศจิกายน เป็น world's largest public collection of Singapore and Southeast Asian art ซึ่งมีงานศิลปะจัดแสดงทั้งหมดกว่า 8,000 ชิ้น ใช้เงินลงทุนไปทั้งหมดประมาณ $532 m. หรือประมาณ 13,832 ล้านบาท


สำหรับผมเองในทริปนี้อยากใช้เวลาสั้นๆลองชมศิลปะที่นี่ดูบ้าง เลยเสียค่าตั๋ว แต่เพื่อนๆที่ไม่สนใจงานศิลปะ อย่าพึ่งเบื่อนะ เด๋วผมจะพาเดินเที่ยวรอบๆตึกครับ ว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง



ภายใน Gallery มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยอธิบายงานศิลปะเยอะมาก ผมชอบส่วนตรงนี้มาก สามารถเลือกรูปที่ชอบ ที่ได้เดินชมจาก Gallery มาส่งเป็น E-lectronic Poast Card ส่งให้เพื่อนได้ด้วยทันสมัยมากๆ



ใช้เวลาเดินนานมากๆครับ จนผมหลงเดินมาส่วนด้านบนสุดของ Gallery เจ๋งโคตรๆเลยและผมก็เจอกับ วิวคูลๆ กับมุมมองใหม่ๆที่สิงคโปร์ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน



หลังจาดสูดอากาศเต็มปอด และเสพวิวสิงคโปร์เต็มตา ถึงเวลาเติมคาเฟอีนเข้าร่างกายอีกสักนิดครับ


ด้านล่างมีร้านกาแฟสวยๆ วิวดีๆ เพียบเลย



จุด Check-in ที่ 27 : Marina Barrage


ดาดฟ้าของอ่างเก็บน้ำของเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ที่ได้รับรางวัล American Academy of Environmental Engineers and Scientists

เป็นโปรเจคที่ดังมากๆ


ตอนนี้ Marina Barrage เป็นจุดที่ตอนนี้มีนั่งท่องเที่ยวมานั่งดูพระอาทิตย์ตกเยอะมากๆจุดหนึ่งเลยทีเดียว

อาจจะไกลสักนิดแต่มาถึงแล้วคุ้มมากๆ วิวดี มาคนเดียว บรรยากาศโคตรเหงาเลย แต่อย่าได้เหงามากมาย เพราะมาถึงจะรู้ว่า ยังไม่คนเหงาที่มาคนเดียวอีกมากมาย


เราเจอที่นี่จาก คุณ High on Dreams http://pantip.com/topic/34546752

ส่วนวิธีการเดินทางแนะนำกระทู้นี้เลย ขอบคุณมากๆครับ http://pantip.com/topic/33998974

คราวๆคือ วิธีการเดินทาง : ลงสถานี Marina bay ทางออก B เดินข้ามถนน ขึ้นรถบัสสาย400

เด๋วมาต่อนะครับ เป็นรีวิวที่ยาวมากๆ ขอโทษด้วยที่ยืดเยื้อ เด๋วมาต่อนะ



https://www.facebook.com/sukhuanon

Surfer's Holiday

 วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.54 น.

ความคิดเห็น