สวัสดีค๊าาาา น้องแพรคนดีคนเดิมกลับมาแล้วจ้า หลังจากที่หายไปพร้อมๆกับโควิด-19 หลังจากที่สถานการณ์ดีขึ้น ทริปแรกของเราคือ สุราษฎร์ธานี๊ ๆ ๆ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า หน้าฝนคุณต้องไปโซนเชี่ยวหลาน-เขาสก เพราะน้องหมอกจะให้เราเห็นตลอดเวลา เราจะพลาดได้ไงล่ะ ไปกันเลยดีกว่า ว่าปังจริง ?
DAY 1
ทริปนี้เรามีสมาชิก 4 คน นัดเจอกันที่บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี เราเดินทางถึงตัวเมืองสุราษต่อรถสองแถวเพื่อเข้าไปรับรถมอไซค์ เราเลือกเช่าจากร้าน Deer Motorbike Rentals Suratthani เนื่องจากเรานัดเจอกับเพื่อนอีก 2 คนช่วง 5 โมงเย็น แต่ตอนนี้พึ่ง 8 โมงเช้าเอง เราจะไปไหนดีล่ะ นั่งเลื่อนฟีดไปเรื่อยๆ เราเลยเจอจุดหมาย ไป "ขนอม" กัน เราใช้เวลาในการเดินทาง 1.30 ชม. ก็เจอแลนด์มาร์กที่ใครๆก็ไปถ่ายรูปกัน ถนนเลียบชายทะเล ขนอม-สิชล ><
เป็นจุดที่ถ่ายรูปยากมาก เพราะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายรูปมุมนี้เยอะมาก แต่เราขอให้ทุกคนถ่ายรูปด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นทางที่ใช้ในการสัญจร จะมีรถผ่านไปผ่านมาตลอด เพื่อความปลอดภัยของเราและผู้อื่นนะจ๊ะ ด้วยความร้อนและหิว เราได้รูปมาแค่นี้จริงๆ 55555
สถานีต่อไปเราขอไปนั่งจิบน้ำหวานๆเติมน้ำตาลให้ร่างกาย ทานอาหารริมหาดสิชลกันหน่อย ที่ร้าน HuuIaa Beachclub Sichon ขอกระซิบว่า น่ารักม๊ากกกกก
หลังจากที่เราใช้เวลาในการทานอาหาร นั่งชิล ถ่ายรูปเล่น ถึงเวลาเดินทางไปที่พัก " ทรัพย์ทวี รีสอร์ท (Subtawee Resort)" ใช้เวลา 2.30 ชม. เป็นการแว๊นมอไซค์ที่เปียกปอน เนื่องจากฝนตกหนักมาก ระหว่างเป็นวิวที่สวยมากจริงๆ มีน้องหมอกลอยให้เห็นตลอดทาง ถึงที่พักเวลา 5 โมงเย็น และได้เจอกับสมาชิกเรียบร้อย เราอาบน้ำและออกไปหาอะไรทาน และพักผ่อนไปด้วยความอ่อนล้า
Day 2
6.00 น. ตื่นมาด้วยความงัวเงียนิดหน่อย แต่เราจะนอนต่อไม่ได้ เรารีบอาบน้ำแต่งตัว 7 โมงเช้า ออกเดินทางไป "อุทยานธรรม (บ้านเขานาใน)" ใช้เวลาเดินทางจากที่พัก ครึ่งชั่วโมง ทางขึ้นมีความชันมาก ระมัดระวังด้วยกันด้วยนะคะ
สถานีต่อไป โอ๊ยตื่นเต้นสุดๆ เพราะทางเรานั้นอยากกระโดดน้ำมาก ใครๆก็บอกว่า ถ้าไปสุราษอย่าลืมไป "ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด"นะ ทางเราก็อยากเห็นเหลือเกิน ว่าใสขนาดไหนเชียว ใส่แค่ไหนมาดูพร้อมๆกันเลย
การเข้าไปท่องเที่ยว ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด มีค่าที่จอดรถ 10 บาท ค่าเข้าชมและพายเรือ 65 บาท/คน ตู้เก็บสัมภาระ 10 บาท เพราะเราจะไม่สามารถนำอะไรเข้าไปได้นอกจากกล้องเด้อ
หลังจากเล่นน้ำกันเต็มอื่ม เราเดินทางกลับมาอาน้ำแต่งตัวที่ที่พัก เพื่อที่จะเดินทางไปยังเขื่อนรัชประภา ยังไม่ทันถึงท่าเรือ เราสะดุดกับวิวบนสันเขื่อน มันสวยมาก มีหมอกบางๆลอยอยู่ให้เห็น เราเลยแวะถ่ายรูปเล่นกันจนหนำใจ
เราลงไปติดต่อตรงจุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อขอเช่าเหมาเรือลงไปชมเขื่อน ช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อยเราเลยสามารถเหมาได้เลย ในราคา 1,700 บาท/ลำ ใช้เวลา 2-3 ชม. เราเสียค่าเข้าอุทยานเพิ่มอีก 50 บาท/คน ก็ขออวดว่า บรรยากาศดีจริงๆอยากให้ทุกๆคนได้มาสัมผัสกับตัวเอง ภาพที่ผ่านกล้องมันสวยไม่เท่าตาเห็นจริงๆค่ะ
ระหว่างถ่ายรูปกันสนุกสานต้องรีบหยุดชะงัก เพราะฝนกำลังจะมาแล้ว เรารีบนั่งเรือกลับทันที ระหว่างนั่งเรือนะหรอ ทั้งลมทั้งฝน แต่ต้องยอมรับเลยว่ามาหน้าฝนนี่มันสวยจริงๆค่ะ เมื่อเราถึงฝั่ง เราเลยเดินทางกันต่อเพื่อเข้าที่พักที่ต่อไป "Khaosok boutique camps" เราใช้เวลาเดินทางจากเขื่อน 1 ชม. เพื่อไปยังจุดจอดรถของรีสอร์ท เพราะที่พักค่อนข้างจะอยู่บนเขา ทางชัน ที่พักจึงมีบริการรถรับ-ส่ง เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าทุกคน เมื่อถึงที่พักเลยเปลี่ยนเสื้อผ้ามาลงสระและดูพระอาทิตย์ตกกันค่ะ
ถึงเวลาที่ต้องพัผ่อนแล้วล่ะ เพราะดูท่าทางคนขับท่าจะไม่ไหวละ 55555
DAY 3
ตื่นเช้ามาด้วยบรรยากาศหลักล้าน มันดีมากจริงๆ อยากจะนอนพักอีกสัก 2 คืน แต่วันลาคุณน้องจะไม่ได้ละสิ ขออวดเลยละกันว่า มันฟินแค่ไหน
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัว ทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็ออกเดินทางกลับ ระหว่างการเดินทางวิวข้างทางหลักล้านจริงๆค่ะ มีหมอกให้เห็นตลอดทาง ป่าเขียวขจี เป็นการชาร์ตแบตร่างกายที่ดีเลยละค่ะ
ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปเล่นกับเจ้าคิงคองที่ "คิงคอง เขาสก"
ถ่ายรูปกันจนเหนื่อยละ น้องฝนก็วิ่งตามมาแล้ว 55555 เราเลยเดินทางกันต่อ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับต้องขอแวะแลนด์มาร์กอีกที่ ที่เราพลาดไป "สะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ"
เราเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเพื่อคืนรถมอไซค์ ค่าเช่ามอไซค์อยู่ที่ 250 บาท/วันนะคะ และก็ถึงเวลาเดินทางกลับ กทม. เพื่อทำงานเก็บเงินหาวันหยุด และจองวันลาเพื่อเที่ยวเติมพลังชีวิตในทริปต่อไป บายยยย
แม่ขาๆ หนูขอวันลา
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.34 น.