กระทู้นี้มอบให้มนุษย์เงินเดือนที่รักการท่องเที่ยวทุกท่าน รวมถึงทุกคนที่หลงใหลการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจครับ


“เบื่อทำงาน อยากไปเที่ยวโว้ยยยยยย"

คำพูด ที่มักจะหาฟังได้ง่ายจากมนุษย์เงินเดือนในยุคนี้

ใช่ครับ...ผมเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึง ที่มักจะมีคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากอยู่เสมอๆ

คราวนี้ผมจะพาเที่ยวที่เดิมๆในอีกสไตล์ จริงๆ จะใช้คำว่า “ผม" พาเที่ยวก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ถ้าจะให้บอกว่าไปกับเพื่อนก็ไม่เชิง แต่ทริปนี้ไปกัน... “1 คนกับ 1 ตัว" ครับ


อยากรู้แล้วว่าทริปนี้จะแจ่มแค่ไหน เลิกเสียเวลา เก็บกระเป๋าไปเที่ยว..... “สวนผึ้ง ราชบุรี" กันครับ

ถูกต้องครับ...1 ตัวที่ว่าคือเจ้า Stormtrooper จากหนังดังเรื่อง Star wars คาแรคเตอร์สุดโปรดของผมเอง ที่จะมาเป็นคู่หูของผมในทริปนี้ แต่ขอเรียกเจ้านี่สั้นๆว่า “จ่า" นะครับ เป็นชื่อโลคอลที่ผมตั้งให้เอง เรียกง่าย เอ้ย! เรียบง่าย แถมเท่ดีนะผมว่า


พอดีผมเคยเห็นคนพา Stromtrooper ไปถ่ายรูปกับสถานที่ต่างๆ หันไปเห็นจ่าแอบมองมาพอดี อดใจไม่ไหวเลยขอจัดบ้างละกัน รู้สึกถึงความเนิร์ด ฮ่าๆ

สำหรับแผนเที่ยวทริปนี้นะครับ เน้นไปเที่ยวแบบสบายๆ ไม่อัดแน่นมาก ไม่สนใจฟาร์มแกะ ไปกันเลยดีกว่าครัชช........



วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่ ออกสายตกเครื่องขึ้นมาเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

“เดี๋ยวๆๆๆๆ ไปราชบุรี ขับรถไปก็พอมะ" ฮ่าๆ

ผมว่าผมตื่นเช้าละนะ จ่าเล่นมานั่งทำหน้าเซ็งรอที่รถซะก่อนผมอีก ท่าทางจะรอนาน “โทษทีจ่า ไปกันเถอะ"



เรื่องเส้นทาง ผมคงไม่ต้องพูดถึง เพราะผมเองก็ไม่ค่อยรู้ แหะๆ... แต่ไม่ยาก Google maps พิมพ์ลงไปเลยครับ “CORO FILED" ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่เราจะไปกัน



เอ้อ! นอกจากจะมากับพลาสติกกะละมังตัวโปรดแล้ว ผมยังมากับวีออสยานพาหนะสุดเท่ของจ่าด้วย แน่นอนครับจ่าไม่ได้ขับ แต่เป็นผมที่ขับ จ่าเอาแต่นอนสบายๆอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ วันนี้รถติดบางช่วง แต่รถของจ่าก็พามุดมาได้อย่างรวดเร็ว ก็จ่าเค้าใจร้อน อยากไปถึงไวๆ คิดถูกที่เลือกคันนี้มาเป็นรถประจำตำแหน่งของจ่า ถึงรถติดแต่ก็คล่องตัวใช้ได้เลย

ขับไปซักพักจ่าแกทนไม่ไหวฉี่จะราด สั่งให้ผมช่วยพาแวะเข้าปั๊มทำธุระส่วนตัวซักหน่อย (แกหรือจ่า !!ฮ่าๆ) ครับ...ผมเองแหละ แหมก็ขับมาตั้งนานก็ต้องมีปวดฉิ๊งฉ่องกันบ้าง หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วก็เลยเดินไปซื้อกาแฟมากินบนรถซักหน่อย แล้วก็มาถ่ายรูปเล่นกับจ่าแกบ้าง


ขับเพลินๆ แอร์เย็นๆ นั่งสบาย ค่อยๆไปไม่เร่ง ไม่รีบ ถนนมีน้อย รถมีเยอะ แบ่งๆกันใช้นะครับ ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางแรก

“อ่าวๆๆ จ่า คนจะถ่ายรูป มาขวางทำไมเนี่ย"


CORO FILED ฟาร์มออร์แกนิคที่เรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ของสวนผึ้ง แว้บแรกที่ก้าวเข้ามา รู้สึกได้เลยว่า เป็นสถานที่ที่มีรายละเอียดมากกว่าแค่มาถ่ายรูปจริงๆครับ


มาถึงก็ใกล้เที่ยงพอดี ตรงดิ่งไปที่ CORO CAFE & MARKET ก่อนเลยครับ เติมพลังงานกันก่อน อย่าลืมหยิบโบรชัวร์แนะนำฟาร์มตรงทางเข้ามานั่งอ่านกันเพลินๆด้วยนะครับ เป็นโบรชัวร์ที่แปลก และสร้างสรรค์ใช้ได้เลยทีเดียว

“จ่าๆ ถือดีๆ ตั้งให้มันตรงๆ"

หน้าตาเจ้าโบรชัวร์ที่ว่าก็ประมาณนี้แหละครับ



“เมลอน คัตสึโอะ" เมนูแนะนำที่หันไปโต๊ะไหน ก็ต้องมีกันทุกโต๊ะ น่าตาดูดีเลยทีเดียว


อิ่มแล้วก็ไปครับ...กลับกรุงเทพ

.

.

.

.

.

“หลอกๆๆ" ไปเดินเที่ยวในฟาร์มกันต่อครับ แหม่ จะแค่มากินข้าวแล้วกลับก็ดูจะเกินไปหน่อย ฮ่าๆ

เดินเล่น ถ่ายรูปดูนู่นนี่นั่น เห็นจะเป็นกิจกรรมเดียวที่ฟรีนะครับ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมทัวร์ชมและชิมเมล่อน หรือปลูกผัก เก็บมะเขือเทศจะมีค่าใช้จ่ายครับ ซึ่งจะมีตารางเวลาพาไปทำกิจกรรมเป็นรอบๆไป



สำหรับกิจกรรมปลูกผัก เก็บมะเขือเทศ ทางฟาร์มก็จะมีอุปกรณ์เตรียมไว้ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เข้าไปครับ



วันที่ผมไปนี่ อากาศร้อนโคตรๆ ร้อนขนาดไหน ดูจ่าสิครับ ถึงกับนั่งทิ้งตัวลงกับพื้นเลยทีเดียว



เหลือบดูเวลา

“เห้ย!! อยู่ที่นี่มา 2 ชั่วโมงกว่าและ" ได้เวลาเข้าที่พักกันแล้วล่ะครับ

คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ครับ The Canvas Boutique Camp ซึ่งเป็นที่พักรูปแบบกระโจมผ้าใบ เรียกให้ฟังง่ายก็ “เต๊นท์" นั่นแหละครับ ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ต้องการมาพักผ่อนจริงๆ



มาถึงก็จอดรถด้านหน้าแนวรั้วได้เลยครับ ตอนแรกคิดว่าจะมีแค่ผมเข้าพักคนเดียวซะแล้ว ใจนึงแอบสงสารน้องออส กลัวต้องนอนตากน้ำค้างเพียงลำพัง อีกใจก็สงสารตัวเอง...จะให้ผมเข้าพักคนเดียวก็ดูจะเงียบเกินไป๊



“แหม่จ่า อะไรจะใจดีขนาดนั้น มีช่วยเค้าเรียกแขกด้วย จะโดนรถเหยียบเอานะนั่น"


จักรยานเค้าก็มีให้ปั่นนะครับ บรรยากาศตอนเย็นๆ เหมาะแก่การปั่นจริงๆ ผมปั่น แฟนผมซ้อนท้าย หูยยยยยย โรแมนติก


“เดี๋ยวๆ ไปมีแฟนตอนไหน"

“ฮือ..."

แต่...เดี๋ยวนะ เหมือนผมเห็นอะไรแว้บ ใกล้ๆจักรยาน

.

.

.

.

“อ่าวเฮ้ยยย จ่า!!! ไปทะเลาะกะอะไรกับล้อจักรยานเค้าเนี่ยย เก็บปืนด่วนๆ เลย เดี๋ยวแขกไปใครผ่านมาเห็นได้วุ่นวายกันพอดี!!!!"



ปล่อยจ่าแกไปเถอะครับ...กลับมาต่อกันดีกว่า



ห้องที่ผมพัก บรรยากาศข้างในจะประมาณนี้ครับ โล่งมาก ไม่อึดอัดอย่างที่คิด ยิ่งมาคนเดียวอย่างผมอีก โล่งเกิ้น T.T


“พอๆๆ จะดราม่าทำไม"

เปิดเข้ามาภายในเต็นท์ก็รีบเปิดพัดลม พร้อมกับช่องระบายอากาศก่อนเลยครับ (ที่เห็นในรูป หลังโคมไฟหัวเตียงนั้นแหละครับ) ช่องระบายอากาศมีกี่ด้านเปิดให้หมดครับ เพราะอากาศกำลังร้อนได้ที่เลย น่าเสียดายที่เต็นท์ทุกหลังไม่มีแอร์ครับ จึงทำให้ที่นี่ราวกับถูกจำกัดให้สามารถเข้าพักได้เฉพาะฤดูหนาวกลายๆ แต่ก็ไม่แน่อาจจะเป็นแนวคิดของที่นี่ที่ต้องการให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดที่สุดครับ สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกมีให้ครบตามมาตรฐานของที่พักทั่วไปครับ น้ำดื่ม ผ้าเช็ดตัว ส่วนสบู่ ยาสระผม ไดร์เป่าผม ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำ ซึ่งไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ กลัวจะรบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักท่านอื่น แต่รับรองได้ว่าสะอาด น้ำไหลแรง น้ำเย็นกำลังดี น้ำอุ่นก็อุ่นเร็วดีครับ



หลังจากที่โดนดุเรื่องไปทะเลาะกับจักรยานเมื่อกี๊ ทำท่าทางไม่พอใจผมใหญ่เลยครับ แหะๆ


“ก็อย่าซนมากสิจ่า นิ่งๆ เท่ๆหน่อย"



สำหรับบรรยากาศรอบๆที่พัก เท่าที่ผมเดินสำรวจก็จะมีการปั่นจักรยาน มีพื้นที่ให้เด็กๆวิ่งเล่น เรียกเหงื่อ อ้อ! แขกอีก 5 หลังที่เข้าพักในวันนั้น เป็นกลุ่มก๊วนเพื่อนฝูง ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะสมัยมัธยมนัดมารวมตัวกันครับ เห็นนั่งปิ้งบาร์บีคิวที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ เม้าธ์มอยกันแทบทั้งคืน สำหรับใครสนใจจะมารียูเนี่ยนกันที่นี่สามารถแจ้งที่พักให้จัดเตรียมชุดของสดสำหรับปิ้งบาร์บีคิวได้ด้วยครับ ผมว่าเป็นกิจกรรมนึงที่เพลิดเพลินดี ถ้ามากันหลายๆคน ลองดูครับ


หลังจากเดินกินลมชมวิว ชิลล์กับบรรยากาศก็ได้เวลาเข้านอนครับ เพราะต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เขากระโจม


ก่อนนอนก็จัดแจงตั้งเวลาปลุก ตั้งใจว่าจะออกแต่ตี 4 แต่ว่า....ไอ้จ่าน่ะซิครับมัวแต่โอ้เอ้ เลยออกสายไปชั่วโมงนึง รีบแต่งตัวแล้วลากจ่าขึ้นรถขับไปที่ “จุดชมวิวเขากระโจม" ระยะทางห่างจากที่พักประมาณ 35 km ไม่ไกลครับ แต่มืดมาก ที่สำคัญ ผมมากะไอ้จ่า ที่คงหวังให้ช่วยอะไรในยามฉุกเฉินไม่ได้แน่


การขึ้นเขากระโจม จากข้อมูลที่ผมหามาคือ เนื่องจากสภาพเส้นทางที่โคตรลำบาก จึงต้องใช้รถ 4x4 ขึ้นเท่านั้น ผมใช้วิธีขับรถขึ้นไปจอดไว้ที่ด่านทางขึ้นที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ ทางด่านก็จะมีรถ 4x4 ไว้บริการ และสามารถแชร์ค่ารถไปกับก๊วนอื่นๆได้ครับ ซึ่งผมก็ใช้วิธีนี้แหละ เหมาะกับคนที่ไปคนเดียว(กับอีก1ตัว)อย่างผมนั่นเอง



บังเอิญเจอเจ้าหน้าที่ Stormtrooper ที่คอยคุ้มกันภัยให้ประชาชนอย่างเราๆครับ


เดี๋ยว ! “ไม่ใช่ละ"

(ปล. ภาพนี้ถ่ายตอนลงมาแล้วนะครับ เพราะตอนก่อนขึ้นมืดมากจริงๆ ถ่ายไปก็เบลอหมด)



มาถึงด่านผมนี่ไม่รีรอครับ กลัวจะไม่ทันไปดูพระอาทิตย์

รีบติดต่อพี่เจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นไปด้านบนทันที ระยะทางประมาณ 10 km

แต่ใช้เวลา 40 นาที เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็สนุกดีครับ บรรยากาศดีมาก



และแล้วผมก็ได้เป็นผู้พิชิตเขากระโจมกับเค้าแล้วครับ เย้ๆๆๆๆๆๆ



มีก๊วนออฟโรดขึ้นมากางเต็นท์กันเยอะพอสมควรครับ อากาศกำลังดีเลย เย็นสบายๆประมาณ 20-23 องศา แก้ผ้าเดินยังได้อยู่ครับ ไม่หนาวมาก



ไข่ค่อยๆโผล่ออกมาแล้วครับ นักท่องเที่ยวทุกคน รวมถึงตัวผมด้วย ต่างดี๊ด๊า ถ่ายรูปกันแบบแทบลืมหายใจ



เจ้าหน้าที่ ตชด. ของเรา ก็ปกป้องรักษาแนวเขตแดนแผ่นดินไทยอย่างไม่ขาดตกบกพร่องครับ


“เดี๋ยวๆๆ นั่นมันจ่า" - -*



เค้ามีลานจอดฮ. ด้วยนะครับ เผื่อในกรณีฉุกเฉิน



จนก่อนจะกลับ ผมก็มาพิรี้พิไรกับป้ายนี้ จะเอาไงดี “ไปกับคนที่เรารัก" ผมก็ไม่มี แต่ถ้าให้ “อยู่กับคนที่รักเรา" บนนี้ ก็ดีนะ แต่ดูแล้วมันจะร้อนไปหน่อย นี่ขนาดยังเช้าอยู่นะเนี่ย “กลับเหอะ"



เส้นทางที่ว่าลำบากๆ ก็จะประมาณนี้ครับ เค้าต้องขับลุยน้ำ ซึ่งสูงมาก ถึงกลางประตูรถเลยครับ ลงมาถึงข้างล่างก็ยังเช้าอยู่ เลยแวะตลาดนัดเล็กๆแถวนั้น หามื้อเช้ากิน สุดท้ายจบที่ข้าวเหนียวไก่ทอดร้อนๆ โรยหอมเจียวกรอบๆ หอมนุ่มละมุนลิ้น อร่อยฟินเฟร่อ.....กินอิ่มปุ๊บ หนังตาตกเลยครับ ตกจริงๆ ไปไหนต่อไม่ไหว เพราะตื่นเช้าเกิ้น เห็นว่าเวลายังเหลือ เลยรีบบึ่งกลับไปนอนต่ออีกหน่อยก่อนลุยต่อโป่งยุบครับไปกันที่ “โป่งยุบหุตายน"


โป่งยุบหุตายน หลายๆคนเข้าใจว่าเป็นอุทยานของรัฐ แต่จริงๆแล้วเป็นของเอกชนนะครับ ซึ่งจะมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 40 บาท สำหรับผู้ใหญ่ เด็ก 20 บาท และชาวต่างชาติ 60 บาทครับ จ่ายตังแล้วก็เดินเข้ามาตามทางนี้เลยนะ เดี๋ยวจะมีไกด์พาไป

“นี่ล่ะครับไกด์ของเรา อ่าวๆๆๆ กล้าๆหน่อยจ่า กลัวความสูงขึ้นมาซะงั้น โถ่ววว"



เห็นพื้นที่โล่งๆ แห้งแล้งงี้ สภาพอากาศมีส่วนสำคัญต่อปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากครับ ใช่ครับ....วันนี้ ร้อนอิ๊บอ๋ายเลย ถึงว่า ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวโผล่เข้ามา จะมีบ้างก็ประปราย ตอนที่ผมอยู่ก็มีมาเดินๆ แล้วก็กลับไปแล้วประมาณ 3 กลุ่ม ร้อนมากจริงๆ พกร่มพกน้ำมา จะเป็นประโยชน์มากครับ บ้านเรามันเมืองร้อน อย่าเอาอากาศร้อนมาอ้างให้เราต้องเอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านเลยครับ ปรับตัวสู้กับอากาศร้อน จะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น


“ว่าแต่...บ่นอะไร บ่นทำไม" ฮ่าๆ


ผมลองพยายามจินตนาการถึงสภาพภายในก่อนที่มันจะยุบ ก็ยังนึกภาพไม่ออกจริงๆ เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ทางธรรมชาติมาก


จ๋าอยากจะลองวัดใจโชว์ ว่าไม่ได้กลัวความสูงครับ ดูท่าทางแล้วไม่น่ารอด “พอแล้วจ่า เดี๋ยวก็ตกลงมา หมดเท่กันพอดี"



ผมใช้เวลากับที่นี่ประมาณชั่วโมงเห็นจะได้ครับ แดดดีจริงๆ แต่ก็มีมุมเก๋ๆ ชิคๆให้ถ่ายรูปไม่น้อยเลยครับ หลังจากที่ได้เวลาอันเป็นสมควร ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่รถ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง


“ตุ๊บ!!!"



“นั่นไง ตกลงมาจนได้นะจ่า ซ่าดีนัก"



มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าแผนที่วางไว้สมบูรณ์แบบครับ ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ มาเที่ยวพักผ่อนแบบสบายๆ


จบจากโป่งยุบ ผมก็แวะออกไปหามื้อเที่ยงกิน แล้วก็กลับกรุงเทพฯ เลยครับ มีเวลาเหลือให้ได้ทำงานบ้าน ซักผ้าซักผ่อน เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับวันจันทร์ที่กำลังจะมาถึงต่อไป


สุดท้าย ผมหวังว่ากระทู้รีวิวนี้ จะเป็นแนวทางให้ใครก็ตามที่กำลังเบื่อหน่ายกับชีวิตเดิมๆ จิตใจกำลังห่อเหี่ยว ได้ลองพาชีวิตคุณออกไปพักผ่อน ทำให้ชีวิตผ่อนคลาย รวมถึงเป็นแนวทางการท่องเที่ยวให้ใครก็ตามที่กำลังคิดจะไปเที่ยวราชบุรี ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่การดูแกะ แต่ราชบุรี ยังมีสถานที่เจ๋งๆชิคๆ มากมาย ได้ไปพักผ่อนแถมร่างกายยังได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากงานที่ทำมาตลอดสัปดาห์ เพิ่มความสดชื่นให้จิตใจมนุษย์เงินเดือนอย่างผมได้ดีจริงๆ ครับ


ขอจากไปด้วยภาพจ่างอแง ไม่อยากกลับบ้าน เถียงกันอยู่นานปวดหัวจริงๆ เจอคนแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ แย่มากครับ เห้อๆ


“ไม่ได้หรอกจ่า พรุ่งนี้ต้องทำงาน ไว้จะพาไปเที่ยวอีกนะ"


แล้วพบกันใหม่...สวัสดีครับ

Go hang around

 วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.01 น.

ความคิดเห็น