สวัสดีครับ...วันนี้จะพาไปนอนเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยากัน ในช่วงที่ประเทศยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบนี้ โรงแรมแถวถนนมหาราชดูจะได้รับผลกระทบไปไม่น้อย โรงแรมวันนี้ชื่อ Inn A Day ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่โรงแรมนี้ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดา ไปดูกันครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง       

Inn A Day อยู่สุดตรอกท่าเรือแดง ซึ่งชื่อไม่คุ้นหู อยู่ระหว่างถนนท้ายวังกับซอยประตูนกยูง เอาเป็นว่าหน้าปากซอยมีธนาคารกรุงไทย และเป็นซอยเดียวในย่านนั้นที่เห็นพระปรางค์วัดอรุณได้อย่างชัดเจนจากปากซอย

          แน่นอนว่าตรอกเล็กขนาดนี้ ไม่มีที่จอดรถนะครับ ใครมาพักที่นี่แนะนำว่าใช้ขนส่งสาธารณะจะสะดวกที่สุด สถานีรถไฟฟ้าใกล้ที่สุดคือสถานี MRT สถานีสนามไชย ซึ่งห่างออกไปประมาณ 500 เมตรโดยใช้ทางออก 2 ของสถานี

          ที่นี่เดิมชื่อ "จินเชียงเส็ง พาณิช" เป็นโรงงานทำน้ำตาลปี๊บจากมะพร้าว หลังจากธุรกิจย่านนี้เริ่มเปลี่ยนไปจากโรงงาน กลายเป็นศูนย์กลางการค้าส่งสินค้าจนเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นโรงแรมไปหลายแห่ง ที่นี่ก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน

เข้ามาด้านในจะเห็นการตกแต่งแบบ Industrial เน้นโลหะ การโชว์ความดิบของพื้นที่ และตกแต่งด้วยปี๊บใส่น้ำตาลยี่ห้อต่างๆซึ่งแน่นอนว่าเป็นยี่ห้อของที่นี่นั่นเอง

          วันที่ไปโชคดีเจอคุณลุงคุณป้าเจ้าของที่นี่ ท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องซึ่งแน่นอนว่าเป็นความเป็นมาของที่นี่เป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่นั่งฟังพร้อมจดเลกเชอร์ไปด้วยสักระยะก็พบว่า แนวความคิดของคุณลุงคุณป้าเจ๋งทีเดียว กล้าที่จะเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นแบบปัจจุบัน

          รับน้ำชาเป็นเครื่องดื่มต้อนรับของที่นี่ นั่งลงที่โต๊ะแล้วฟังคุณลุงเล่าประวัติต่อ ของที่ตกแต่งที่นี่เป็นของเดิมเช่น อุปกรณ์ในการทำน้ำตาลซึ่งวางไว้ที่ด้านหน้าของโรงแรม บันไดเหล็กด้านหน้าโรงแรมที่ถ้าไม่สังเกตคงไม่รู้ว่านั่นคือบานประตูเก่าของที่นี่ นาฬิกาเรือนใหญ่ในโถงชั้นล่างนี้ก็เป็นของเดิม ซึ่งผสมกับแนวการตกแต่งแบบ Industrial ได้ดีมาก

          ที่นี่ใส่ความหมายลงไปในแทบจะทุกอย่าง ทำให้เวลาดูในรายละเอียดของที่นี่จะมีเรื่องเล่าเสมอ ตั้งแต่โลโก้ของโรงแรมที่เป็นวงกลม 3 และมีรูปพระปรางค์อยู่ตรงกลาง แทนช่วงเวลาต่างๆของวัน วงซ้ายสุดแทนเช้า ตรงกลางคือช่วงกลางวัน และขวาสุดคือช่วงกลางคืน

          ห้องพักจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ซึ่งก็แบ่งตามช่วงเวลาเช่นกัน ชั้น 2 ประตูสีฟ้าแทนช่วงเช้าและชื่อของห้องพักก็จะเริ่มที่ช่วงเช้าเช่นห้อง 8AM ชั้น 3 เป็นช่วงเที่ยงถึงบ่าย ห้องพักแทนด้วยประตูสีเหลือง ชื่อห้องพักก็จะเริ่มที่ 12PM

          ชั้น 4 เป็นช่วงเย็น ห้องพักประตูสีส้ม(เดี๋ยวจะพาไปดู) ตั้งชื่อห้องพักแบบนี้คุณลุงบอกว่าลูกค้าเคยเข้าใจผิดว่าเวลาหน้าห้อง คือเวลาเช็คอิน

          นี่คือห้องพักราคา 2520 บาท(ช่วงที่ไปพักเดือนสิงหาคม) นับว่าเป็นห้องวิววัดอรุณที่ถูกที่สุดแล้ว โรงแรมอื่นๆย่านนี้ถ้าเป็นห้องวิวแบบนี้มีประมาณ 4-5พันบาท/ห้อง ห้องพักของที่นี่จะมีรูปแบบการตกแต่งที่ต่างกัน ห้องที่ผมได้เป็นห้องที่มาจากร้านตัดเสื้อ โคมไปหุ่นลองเสื้อออกจะหลอนๆหน่อย โต๊ะที่อยู่ปลายเตียงเป็นจักรเย็บผ้า มีเตารีดและกล่องเก่าๆตกแต่งไว้

          ห้องน้ำเซ็กซี่มาก ไม่มีประตูมีเพียงม่านดึงกั้นเอาไว้ ส่วนอาบน้ำแยกไปเป็นตู้กันน้ำกระเซ็นเปียกส่วนอื่น แต่ส่วนสุขภัณฑ์นี่สิ โล่งๆโปร่งๆ ใครมากับเพื่อนหรือแฟนแล้วเขินกัน เวลาจะทำธุระไล่ออกไปนั่งเล่นนอกระเบียงก่อนนะครับ

          อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆมีครบตามมาตรฐานโรงแรมเลยครับ แอร์เย็น Wifi ค่อนข้างเร็ว ดู Netflix แบบ FullHD สบายๆ

          มื้อเย็นฝากท้องไว้ที่นี่ อาหารหน้าตาน่าทาน รสชาติค่อนข้างถูกปากผมนะ รสหวานจะไม่หวานแหลมแต่จะออกนวลๆเพราะใช้น้ำตาลปี๊บในการปรุงเช่น ผัดไทยหรือส้มตำ อาหารจานอื่นถือว่ารสไม่จัดมาก ทานง่าย...มื้อนี้ประมาณพันกว่าบาท(สั่งขึ้นห้องไปอีก 3 อย่าง) ตอนนี้มีโปรด้วยนะครับ ทานอาหารครบพัน ลุ้นรับห้องพักฟรี ซึ่งจับสลากผู้โชคดีทุกสิ้นเดือน

          ทานเสร็จออกไปเดินเล่นในซอยเสียหน่อย ลุงบอกว่าตรอกนี้จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณได้สวยที่สุดแล้วเพราะจะค่อนข้างตรงข้ามกันพอดี เสียอย่างเดียวว่าริมแม่น้ำตอนนี้มีตาข่ายสีเขียวที่เกิดจากการรื้ออาคารเก่าออกมาบังให้เป็นมลพิษทางสายตาเล่น ไม่อย่างนั้นจะสวยมากๆ

          ชั้น 4 คือชั้นที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ คุณลุงคุณป้าบอกว่าที่เจาะพื้นที่ตรงกลางไว้โล่งๆแบบนั้นเพราะอยากให้ลูกค้าทุกห้องที่อาจจะเห็นวัดอรุณเต็มตาหรืออาจจะไม่เต็มตา ได้มีพื้นที่ส่วนกลางที่มานั่งชมวิวนี้ได้ แนวคิดเจ๋งมาก เพราะผมว่าถ้าตรงนี้ทำเป็นห้องใหญ่ ตั้งราคาขนาด 5-6พันก็ยังได้ แต่ยอมปล่อยไว้โล่งๆแบบนี้

          พื้นที่ตรงนี้เฉพาะลูกค้าโรงแรมเท่านั้น คนที่มาทานอาหารอย่างเดียวก็ไม่มีสิทธ์ขึ้นมา ดีตรงนี้

          ห้องพักเวลากลางคืน สวยกว่ากลางวันเสียอีก พื้นที่ระเบียงขนาดไม่ใหญ่แต่ทำที่วางของเอาไว้ตรงระเบียง ใครไม่อยากทานอาหารด้านล่าง สั่งแล้วขึ้นมาทานที่นี่ได้เลย วิวสุดยอดจริงๆ ติดตรงสีเขียวๆข้างล่างนั่นนิดเดียวจริงๆ

          เช้าวันถัดมา เปิดม่านไปก็เจอวิวแบบนี้ ลงไปทานอาหารเช้าซึ่งก็เป็นอาหารเช้าแบบอเมริกันทั่วไป รสชาติไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ปริมาณเล่นเอาอิ่มยาวเลยครับ

ก่อนกลับถ้าอยากเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่นี่หรืออยากเก็บของที่ระลึกก็หาซื้อโปสการ์ดหรือฉลากติดปี๊บน้ำตาลไว้ดูเล่นได้ แผ่นละ 10 บาทเท่านั้น

          ถือว่าเป็นอีกที่พักที่ผมประทับใจมาก ไม่ใช่แค่การออกแบบตกแต่งโรงแรมหรือวิวที่สวยงาม แต่เป็นประวัติความเป็นมาของที่นี่ที่ได้ฟังจากปากคุณลุงคุณป้าที่เป็นเจ้าของที่นี่...ทำให้การมาพักผ่อนคราวนี้ได้อะไรมากกว่าแค่การมานอนเล่นเฉยๆ ใครไปพักลองถามคุณลุงคุณป้าเรื่องการปรับเปลี่ยนขนาดบรรจุของปี๊บดูนะครับ สุดยอดความรู้เลยครับ...สวัสดีครับ


Pratuneung

 วันพฤหัสที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.37 น.

ความคิดเห็น