หลังจากตลอดเดือนเศษ ๆ ที่ผ่านมามีแต่ภาพของดอกซากุระจากญี่ปุ่นถูก feed ขึ้นมาเต็มหน้า time line … ตอนนี้คงพูดได้ว่าตลาดวายอย่างเต็มตัวแล้ว … เพื่อเป็นการส่งท้ายฤดูกาล เลยของรวบรวมความทรงจำเล็ก ๆ ของผมทริปตามหาซากุระที่ญี่ปุ่นในหลายหัวเมืองหลักของญี่ปุ่นมาบันทึกไว้ที่นี่ ทั้งวันเวลา, สถานที่, พิกัด รวมถึงข้อมูลการเดินทางเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ที่จะเดินทางไปตามหาซะกุระในปีต่อ ๆ ไปครับ …

ทริปนี้ผมเดินทางระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 5 เมษายน 2559 โดยมีแผนจะเที่ยวโตเกียว, เกียวโต, โอซาก้า, นาโกย่า และชิซูโอกะ … สำหรับวันแรกของทริปเป็นการเดินทางล้วน ๆ จากภูเก็ต ไปต่อเครื่องที่สิงค์โปร์และถึงญี่ปุ่นในช่วงค่ำ ๆ ก็เลยไม่ขอนับวันแรกเข้ามาในบันทึกก็แล้วกัน ส่วนที่เหลืออีก 8 วันนั้นเที่ยวเต็ม ๆ ครับ …


ก่อนไปชมภาพกับบันทึกของทริปนี้ขอฝากช่องทางติดตามผลงานด้วยครับ

เอาล่ะได้เวลาไปดูบันทึกแล้วครับ

ปล. ขออนุญาตเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับที่พัก, การเดินทาง, งบประมาณ ไว้ตอนท้ายสุดนะครับจะได้ไม่ขัดใจคนอยากดูภาพอย่างเดียว อิอิ


29 มีนาคม 59 – “ยังไม่ถึงเวลาสินะ"

วันนี้ผมมีแผนจะเดินทางจากโตเกียวไปยังเกียวโตในช่วงบ่าย ๆ เพราะตั้งใจเก็บโตเกียวไว้เที่ยวในวันท้าย ๆ ของทริป แต่เนื่องจากยังพอมีเวลาช่วงเช้าเหลืออยู่ จึงต้องหาที่เที่ยวสักแห่งหรือสองแห่งในโตเกียวเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ … List ของจุดชมซากุระที่อยู่ติด ๆ สายรถไฟ JR ถูกเลือกมา 3 แห่งคือ Kumagaya ใกล้สถานี JR Kumagaya, Asukayama park ใกล้สถานี Oji และ Yanaka Cemetery ใกล้สถานี Nippori ซึ่งทั้งสามสถานีอยู่ในเส้นทางเดียวกันและค่อนข้างสะดวกในการเดินทางจากสถานี Tokyo ที่ผมฝากกระเป๋าเดินทางไว้ใน Locker และเป็นสถานีต้นทางไปสู่เกียวโตในช่วงบ่ายของวัน …

ระหว่างการเดินทางเข้าสู่ Tokyo ผมทำใจไว้แล้วว่าไม่ได้เห็นซากุระ Full bloom ในวันนี้แน่ ๆ เนื่องจากต้นซากุระริมทางยังแทบไม่โชว์ดอกสวย ๆ เลย มีเพียงบางต้นเป็นสายพันธุ์ซึ่งบานเร็วที่ดอกกำลังสวยเต็มที่ แต่ว่าจุดชมซากุระในแผนล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์ Yoshino ที่ยังไม่ถึงเวลา full bloom ทั้งสิ้น

หลังจากทำการเก็บกระเป๋าเดินทางไว้ใน locker แล้วก็ใช้ JR pass ขึ้น Shinkansen ออกไปยังเมือง Kumagaya ซึ่งใช้เวลาราว 40 นาที (อันที่จริงระยะทางไกลพอสมควร แต่งานนี้ Shinkansen ช่วยร่นเวลาได้เยอะเลย)

จากสถานีรถไฟ Kumagaya เดินเท้าสบาย ๆ ราว 400 เมตรก็จะถึงคันดินที่ปลูกซากุระเป็นแนวยาวต่อเนื่องกัน บริเวณถนนที่อยู่เลียบเนินดินเต็มไปด้วยร้านรวงที่มาขายอาหารและสินค้าต่าง ๆ ต้อนรับเทศกาลฮานามิซึ่งจะมีคนมานั่งพักผ่อนและทานอาหารกันใต้ต้นซากุระ .. เนื่องจากมีกระแสลมหนาวและฝนมาเยือนญี่ปุ่นช่วงอาทิตย์ก่อนที่ผมจะเดินทางมา ทำให้ซากุระซึ่งมีทีท่าบานเร็วกว่าทุกปี ออกอาการชะงักไม่ยอมผลิบานเต็มที่ตามที่หลายสำนักพยากรณ์ อย่างไรก็ตามก็ยังเห็นชาวญี่ปุ่นมานั่งทานอาหารกันอย่างมีความสุข เพราะถึงแม้ซากุระที่นี่จะบานราว 20% แต่ทุ่งดอกไม้สีเหลืองใต้ต้นซากุระกำลังออกดอกอย่างสวยงาม นี่ถ้าผมมาหลังจากนี้สัก 4-5 วันคงได้เจอภาพที่ตระการตาแน่ ๆ

พิกัดของคันดินที่ปลูกซากุระ

36.1367532,139.3855378

สำหรับการติดตามสถานการณ์ของจุดนี้ผมใช้เวปด้านล่าง (ใช้ Google translate แปลเอา)


อันที่จริงตามแผนแล้ว ช่วงบ่ายผมอยากแวะที่ Asukayama park กับ สุสาน Yanaka แต่เนื่องจากโปรแกรมวันนี้ late ตั้งแต่ตอนที่ผมต้องไปต่อคิวแลก JR กว่า 1 ชั่วโมง กว่าจะจัดการเรื่องฝากกระเป๋าและเดินทางถึง Kumagaya ก็เที่ยงวันแล้ว ทำให้ต้องตัดสองที่หลังออกไปเนื่องจากเกรงว่าจะเดินทางไปถึงเกียวโตดึกจนเกินไป อย่างไรก็ตามผมนั่งรถไฟผ่านทั้งสองจุด เห็นซากุระบานอยู่พอสมควร บางต้นดูเหมือนจะมากกว่า Kumagaya เล็กน้อย แต่รวม ๆ แล้วผมว่าไป Kumagaya คุ้มกว่าเนื่องจากทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่นั่นสวยจริงๆ

ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันผมกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ใน locker ในสถานีโตเกียวแล้วเดินทางต่อไปยังเกียวโต สำหรับเพื่อน ๆ ที่ใช้กระเป๋าใบใหญ่ ตามสถานีอาจหา locker ยากสักหน่อยนะครับ อย่างไรก็ตามที่สถานีโตเกียวมีห้องสำหรับฝากกระเป๋าโดยเฉพาะ ราคาเท่ากันเลย สามารถสอบถามได้จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟครับ

30 มีนาคม 59 – surprise เล็ก ๆ

วันนี้ผมออกเดินทางออกจากที่พักในเมือง Kusatsu ชานเมืองเกียวโตราว 8 โมงเช้า โดยต้องมีการปรับแผนยกใหญ่เนื่องจากซากุระในหลาย ๆ จุดยังบานไม่เต็มที่ ผมจึงต้องโยกเอาสถานที่จำพวกวัดและศาลเจ้ามาไว้ในโปรแกรมวันแรกของเกียวโตก่อน เผื่อว่าอากาศที่ค่อย ๆ อุ่นขึ้นจะทำให้ซากุระบานมากขึ้นในวันถัด ๆ ไป ทั้งนี้ผมจะพักที่เกียวโต 3 คืนเพื่อเที่ยวรอบ ๆ เมืองรวมถึง day trip ไป Osaka ด้วย

จุดหมายแรกของวันนี้คือ Fushimi Inari Taisha หรือศาลเจ้าจิ้งจอกอินาริ ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีโทริอิแดงเยอะๆ นั่นเอง การเดินทางไปที่นี่ง่ายเพราะอยู่ห่างจากสถานีเกียวโตไปไม่กี่ป้ายและสามารถใช้ JR pass ได้ด้วย

เมื่อเดินทางถึงสถานีรถไฟ Inari เดินข้ามถนนไปก็เป็นทางเข้าศาลเจ้าเลย แน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวมากมาย เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองเกียวโต นอกจากมาสักการะเทพเจ้าแล้วนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดต้องการมาชมเสาโทริอิสีแดงที่เรียงตัวกันนับหมื่นต้นเป็นอุโมงค์ยาวนั่นเอง

ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังอุโมงค์โทริอิ มีต้นซากุระที่กำลังบานให้เห็นพอชื่นใจอยู่ 2-3 ต้น จะว่าเป็นการเรียกน้ำย่อยก็คงพอได้


อันที่จริงอุโมงค์โทริอินั้นทอดยาวขึ้นไปบนเนินเขาเป็นระยะทางไกลมาก แต่ผมเดินไปถ่ายภาพถึงช่วงที่สองเท่านั้น เพราะยังมีวัดน้ำใสรออยู่ในโปรแกรมอีก …



ขากลับผมเดินลงอีกทางหนึ่งเป็นตรอกที่มีร้านอาหารริมทางเยอะไปหมด และตัดสินใจทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารดั้งเดิมบริเวณนั้น … เมนูแนะนำคือนกกระทาทอด รสชาติดีครับ ส่วนเมนูอื่นๆ ที่ผมว่าอร่อยคือข้าวหน้าปลาไหล ราคาก็นับว่าสูงพอสมควร และมีที่นั่งน้อยจึงไม่สามารถอ้อยอิ่งคุยกันได้ ทานหมดปุ๊ปพนักงานก็จะมาเฝ้า ๆ ประหนึ่งจะบอกว่าออกไปได้แล้วจ้า


ก่อนจะขึ้นกลับเข้าเกียวโตผมอ้อมไปเดินเล่นริมคลองหลังสถานีรถไฟ เพราะเห็นมีต้นซากุระริมน้ำ 2-3 ต้นกำลังเริ่มบาน จึงขอไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

(สำหรับพิกัดของศาลเจ้า Fushimi Inari คงไม่ต้องบอกเนอะ ใคร ๆ ก็รู้จัก ข้อมูลเต็มไปหมด)


ช่วงบ่ายวันนี้เป็นโปรแกรมเที่ยววัด Kiyomizu-michi หรือวัดน้ำใสที่คงไม่ต้องบอกพิกัดเช่นกัน … โดยผมซื้อตั๋วบัสแบบ one day นั่งสาย 100 ไปลงที่สถานีตรงปากทางเข้าวัด ช่วงเทศกาลแบบนี้คิวขึ้นรถบัสยาวมาก ๆ และเมื่อถึงแล้วจากป้ายรถบัสเดินไปยังวัดน้ำใสจึงไม่ต้องแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จำนวนไม่น้อยที่สวมชุดกิโมโนสวยสดใส ให้ผมได้แอบเก็บภาพเป็นระยะ ไม่น่าเชื่อว่าเจอคนไทยหลายกลุ่มเช่าชุดกิโมโนไปถ่ายภาพด้วยเช่นกัน


ตอนไปถึงเขตวัดน้ำใส ผม surprise พอสมควรเพราะที่นี่เริ่มเห็นซะกุระบางต้นเกือบจะ full bloom แล้ว ยิ่งโดนแสงช่วงบ่าย ๆ ของวันแบบนี้เรียกได้ว่าสวยเลยล่ะ



แม้นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งทำให้บรรยากาศดูคึกคักมากเป็นพิเศษ มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้มของผู้คนที่เดินทางมาเพื่อชื่นชมความงามและทำบุญที่วัดน้ำใส แห่งนี้


สำหรับซากุระในโซนด้านในนั้นยังบานไม่เต็มที่นัก จะว่าไปผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าต้นที่เห็นใบโกร๋น ๆ นั่นใช่ซากุระหรือเปล่า แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่ทำให้ชื่นใจแล้วเพราะมาที่นี่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นจริง ๆ

31 มีนาคม 59 – สวยนะ แต่ยังไม่สุด


วันนี้ผมเดินทางไปเที่ยว Arashiyama ซึ่งอยู่ชานเมืองเกียวโต โดยนั่งรถไฟจากสถานี Kyoto ไปลงที่สถานี Umahori จากนั้นเดินย้อนกลับมาราว 500 ม.เพื่อขึ้นรถไฟายโรแมนติก Torokko Kameoka ไปยัง Arashiyama ที่เลือกนั่งย้อนลงไปเพราะต้องการเลี่ยงการต่อคิวยาว ๆ ที่ Arashiyama… แต่ที่ไหนได้ที่นี่ก็คนเยอะไม่แพ้กัน รอบที่ได้ต้องรอเกือบ 2 ชั่วโมงแถมเป็นตั๋วยืนด้วย ทำไงได้ก็ต้องยอมรอล่ะครับ

ทว่าข้อดีของการรอนานคือมีโอกาสได้ถ่ายภาพรถไฟที่กำลังเคลื่อนขบวนเข้าและออกจากสถานีสองรอบเลย และต้นซากุระสายพันธุ์สีชมพูที่ดอกย้อยเป็นพวงตรงสถานี Torokko Kameoka ก็กำลังบานสะพรั่งอยู่ในฉากหน้าของภาพพอดี เสียดายที่ต้นริมรางรถไฟยังไม่บานมิเช่นนั้นคงสวยงามสุด ๆ



เมื่อถึงรอบของผม ทำให้พบว่าการยืนบนขบวนรถไฟสาย Torokko Kameoka ไม่ได้แย่นัก เพราะคล่องตัวสามารถหันไปชมวิวหรือถ่ายภาพด้านไหนก็ได้ คนนั่งเสียอีกที่มองวิวอีกฝั่งค่อนข้างลำบาก อย่างไรก็ตามซากุระตามแนวรางรถไฟในวันนี้ยังไม่บานเลย คงเป็นเพราะอยู่ในทีร่มไม่ค่อยโดนแดดนั่นเอง จึงทำให้การนั่งรถไฟรอบนี้เป็นการชมวิวธรรมชาติของลำธารที่ไหลผ่านหุบเขามากกว่า

ผมลงรถไฟที่สถานี Arashiyama เพื่อลงไปเดินชมป่าไผ่ แน่นอนว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวแบบนี้คนมากมายมหาศาล หากต้องการภาพป่าไผ่แบบไร้คนคงต้องมาถึงที่นี่ตั้งแต่ก่อน 8 โมงเช้า

จากป่าไผ่เดินลัดเลาะไปเรื่อย ๆ จะเข้าเขตเมืองซึ่งมีถนนสายหลักนำไปยังสะพานไม้ Togetsuka อันโด่งดัง… บรรยากาศทั่วไปที่ Arashiyama นั้นคึกคักไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของเกียวโต ริมทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายเปิดขายอาหารและของที่ระลึก … อ้อ อย่าลืมชิมไอศครีมโคนรสชาเขียว+ ซากุระนะ ได้บรรยากาศญี่ปุ่นสุด ๆ เลย

พอถึงสะพานไม้ Togetsuka ภาพเบื้องหน้าอีกฝั่งของแม่น้ำ Katsura มีซากุระหลายต้นกำลังบานสะพรั่ง มองไปทางภูเขามีดอกซากุระสีชมพูเต็มต้นแต่งแต้มอยู่เป็นหย่อม ๆ เช่นกัน …ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมานั่งเล่นกันที่สวนริมแม่น้ำ บางส่วนเช่าเรือพายในแม่น้ำ เป็นภาพที่งดงามจริง ๆ

จะว่าไปหลายต้นที่นี่กำลังเข้าสู่ full bloom เพียงแต่ซากุระเหล่านี้ต้นยังไม่โตมากนัก จึงดูไม่ฟูฟ่องแบบซากุระในฝันของผม อย่างไรก็ตามผมเก็บภาพบรรยากาศที่นี่ไว้เยอะทีเดียว


ช่วงบ่ายของวัน ผมนั่งรถไฟกลับไปลงที่สถานี JR Emmachi แล้วต่อรถเมล์ไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi เพื่อไปชมวัดทอง คินคะคุจิ

ที่นี่แทบไม่มีต้นซากุระครับ แต่นักท่องเที่ยวแน่นขนัดไม่แพ้ที่อื่น ๆ เลย highlight ก็อย่างที่ทราบคือพลับพลาทองที่เคยเห็นในการ์ตูนอิ๊กคิวซังนั่นเอง … นอกจากนี้ยังมีของแถมเป็นนกกะเรียนที่กำลังทำเพลินกับการทำความสะอาดขนตัวเองอยู่ในสวนกลางน้ำด้วย น่ารักดีจริงๆ

ออกจากวัดทอง ผมเดินทางไปชมซากุระที่ Imperial palace ตามคำแนะนำของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งเจอกันที่ร้านขายไอศครีม … กว่าจะเดินทางไปถึงก็ค่อนข้างค่ำแล้ว แต่ก็ยังพอมีแสงให้ได้สัมผัสกับต้นซากุระหลายสายพันธุ์ที่ส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงกำลังร่วงโรย ผมคิดว่าสายพันธุ์เหล่านี้บานมาสักระยะแล้ว ดังนั้นหากเพื่อน ๆ มาเที่ยวเกียวโตแล้วเป็นช่วงที่จุดอื่น ๆ ยังไม่บานแนะนำให้มาที่นี่ก่อนเลยครับ มีหลายต้นเลยที่สวยมากโดยเฉพาะพันธุ์ที่เป็นกิ่งย้อยลงสู่พื้นดิน


1 เมษายน 59 – ของขวัญเล็ก ๆ ในวันฝนพรำ


วันนี้เป็นวันที่ผมตัดสินใจลำบากมาก เพราะตามพยายากรณ์อากาศแล้วฝนจะตกทั่วภูมิภาค … แผนการเดินทางไปชมซากุระริมทางรถไฟสายเก่า keage และถนนสายนักปราชญ์ Philosopher's Path ในเกียวโตจึงต้องล้มเลิกไป

ผมตัดสินใจเดินทางไป Osaka เพราะดูจากพยากรณ์แล้วฟ้าฝนที่โน่นดูจะแย่น้อยกว่าเกียวโต ซึ่ง Shinkansen ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีก็มานั่งดื่มกาแฟอุ่น ๆ ที่สถานี Shin Osaka ได้แล้ว … เป็นไปตามที่คาดการณ์ ฝนตกอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หนักแต่คงไม่สะดวกที่จะไปเดินชมซากุระ ผมจึงให้เวลาสาว ๆ ได้ไปช็อปปิ้งกันเต็มที่ จนได้เวลาบ่ายแก่ๆ ฝนซาลงจึงนั่งรถไฟไปลงสถานี Sakuranomiya Station ซึ่งอยู่ติดกับสวน Kema Sakuranomiya ที่ปลูกซากุระตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำ และก็ไม่ผิดหวังครับเพราะซากุระเบ่งบานรอต้อนรับเราตั้งแต่ที่สถานีรถไฟเลย ออกจากสถานีมาก็เจอกับสวนที่ดอกซากุระกำลังเข้าสู่ Full bloom พอดี แม้จะมีฝนตกปรอย ๆ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก จะว่าไปเจอฝนปรอยผมรู้สึกดีกว่าเจอคนเยอะซะอีก เพราะตอนนี้สวนโล่งมาก ๆ มีนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นค่อนข้างบางตา

ผมเดินถ่ายภาพมาเรื่อย ๆ จนถึงสถานี Osakajokitazume Station จึงตัดสินใจขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางกลับเกียวโต อันที่จริงจากที่นี่ไปยังปราสาท Osaka ก็ไม่ไกลแล้วแต่เวลาไม่อำนวยเพราะวันนี้ต้องเปลี่ยนที่พักไปยังเมือง Nagoya เกรงว่าจะไปถึงที่พักดึกเกินไป จึงต้องโบกมืออำลา Osaka พร้อม ๆ กับภาพประทับใจของสวน Kema Sakuranomiya แห่งนี้


พิกัดสวน Kema Sakuranomiya
34.70558, 135.5192
การเดินทางนั่ง JR ไปลงสถานี Sakuranomiya แล้วออกทาง west exit

2 เมษายน 59 – แล้วเราก็ได้พบกัน

แม้จะพักในเมือง Nagoya แต่แผนล่าซากุระของผมกลับมีจุดหมายอยู่ห่างตัวเมืองออกไป โดยต้องเดินทางด้วยรถไฟท้องถิ่น Meitetsu สาย Inuyama line เพื่อไปชมปราสาท Inuyama และต้นซากุระที่ปลูกเป็นแนวริมฝั่งแม่น้ำ

จาก Nagoya ผมนั่งรถไฟไปลงสถานี Inuyama-Yuen และอีกราว 100 เมตรก็จะถึงสะพานที่ใช้ข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ จากจุดนี้สามารถมองเห็นตัวปราสาท Inuyama ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา และต้นซากุระที่ปลูกเป็นแนวยาวขนานไปกับแม่น้ำสวยงามมาก แม้วันนี้อากาศจะไม่ดีนักเพราะฟ้าขาว แต่ต้นซากุระที่กำลัง full bloom ก็ทำให้เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กไปหมด … ในที่สุดผมก็ตามหาจนเจอ

ผมกับเพื่อนๆ ใช้เวลาอิ่มเอมกับความสวยงามตรงหน้ากันนานมาก เก็บภาพความประทับใจกันอย่างเต็มอิ่ม กว่าจะเดินสุดถนนก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงทั้ง ๆ ที่ระยะทางน่าจะราว 500 เมตรเท่านั้น


ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการมาเที่ยว Inuyama รอบนี้ เรียกได้ว่าโชคดีหรือไม่เพราะนอกจากจะได้เจอซากุระแบบ Full bloom แล้ว ยังตรงกับวันที่ทางเมืองจัดเทศกาลแห่รถโบราณอันยิ่งใหญ่ มีผู้คนมาร่วมชมพิธีแน่นขนัด นับว่าเป็นบรรยากาศที่คึกคักมาก ๆ แต่อีกมุมหนึ่งคนก็เยอะจนจนผมไม่สามารถทนรอคิวขึ้นชมภายในปราสาท Inuyama ได้เพราะดูจากคิวแล้วคงรอเป็นชั่วโมง จึงได้แต่เพียงเก็บความประทับใจจากภายนอกเท่านั้น

ขากลับผมใช้เส้นทางเดินผ่านเมืองเก่า Inuyama ตัดไปยังสถานี Inuyama เพื่อขึ้นรถไฟย้อนกลับไปลงที่ สถานนี Iwakura อีกหนึ่งสถานที่ต้องแวะ


ที่ Iwakura ผู้คนพลุกพล่านเช่นกันโดยทุกคนมีจุดหมายเดียวกันคือมาชมความงามและสังสรรค์กันใต้ต้นซากุระ จากสถานีรถไฟเดินตามฝูงชนไปราว 500 เมตรก็ถึงแนวต้นซากุระที่ปลูกริมลำธาร

ภาพเบื้องหน้าทำให้ผมตื่นเต้น ลนลานหยิบกล้องขึ้นมารัวไม่ยั้ง เพราะซากุระทีนี่ฟูเต็มต้นหนาแน่นมาก แถมปลูกสองฝั่งของลำธารทำให้บรรยากาศงดงามสุด ๆ … และ Iwakura นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าได้มาถึงญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลซากุระบานแล้วจริง ๆ

พิกัดแนวต้นซากุระที่ Inuyama

35.39202, 136.94554 … ลงรถไฟที่สถานี Inuyama-yen หรือ Inuyama ก็ได้

พิกัดซากุระริมธารที่ Iwakura
35.27993, 136.87708 … ลงรถไฟที่สถานี Iwakura3 เมษายน 59 – สวยยกกำลัง 2


วันนี้จะต้องเดินทางออกจาก Nagoya … รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่ยังไม่ได้เที่ยวแหล่งชมซากุระใน list (สำรอง) ของ Nagoya เลย แต่ทำไงได้เวลามันจำกัด ผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ที่เมือง Hamamatsu ในจังหวัด Shizuoka แทน …

การเดินทางใช้วิธีนั่ง Shinkansen จาก Nagoya มาลงสถานี Hamamatsu จากนั้นนั่งรถบัสซึ่งชานชลาอยู่หน้าสถานีรถไฟ ใช้เวลาราว 40 นาทีก็จะถึงสวนดอกไม้

ตามพยากรณ์อากาศแล้ววันนี้จะมีเมฆครึ้มสลับฝนตกทั้งวัน ผมเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก อีกอย่างก็อิ่มเอมแล้วกับ full bloom ที่ Inuyama และ Iwakura แต่เหตุผลสำคัญที่เลือกเดินทางมาสวนดอกไม้แห่งนี้คือ “ดอกทิวลิป" ที่ผมทราบมาว่ากำลังบานเต็มที่ในช่วงนี้พร้อม ๆ กับซากุระ … แค่คิดผมก็ตื่นเต้นแล้วเพราะนี่จะเป็น Full bloom ยกกำลัง 2 เลย

ทันทีที่เดินผ่านประตูทางเข้า ดอกทิวลิปมากมายรอต้อนรับอยู่แล้ว … มีหลากสีหลายสายพันธุ์ให้ถ่ายภาพได้อย่างสนุกสนาน …

จากจุดนี้เดินตามเส้นทางที่รายล้อมด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับไปเรื่อย ๆ จะถึงโซนที่มีสวนดอกทิวลิปประดับคู่กับต้นซากุระ มีการจัดสวนทิวลิปไว้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่เป็นสีหวาน ๆ, สีตัดกัน หรือรวมสีสันสดใสไว้ด้วยกันใต้ต้นซากุระ เป็นภาพที่ผมฝันไว้เลยว่าอยากจะมาเห็นกับตาตัวเอง … และฝันเป็นจริงแล้ว

ผมกับเพื่อนๆ ในเวลาเดินชมสวนแบบช้า ๆ ภายใต้อากาศแบบครึ้ม ๆ สลับกับแดดที่แพลม ๆ ออกมาให้เก็บความสดใสของดอกไม้ได้บ้าง ผมใช้เวลาที่นี่ราว 3 ชม.เศษก็เดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อมุ่งตรงสู่โตเกียว


พิกัด Hamamatsu flower park 34.76267, 137.63211

การเดินทางไปสวนดอกไม้
ออกจากสถานีรถไฟ hamamatsu แล้วเดินออกไปที่ทางออกด้านทิศเหนือ จะมีป้ายบอกทางไปbus station รอที่ชานชลา 2 นั่งรถสาย 30 หรือ 36 ค่ารถ 560 yen ใช้เวลาเดินทางราว 40 นาทีลงที่สถานี flower park ซึ่งอยู่หน้าสวนเลย

4 เมษายน 59 – ของแถมที่โตเกียว

จริง ๆ แล้วผมมี list ของจุดชมซากุระในโตเกียวเยอะมาก แต่เนื่องจากวันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีเมฆครึ้มสลับฝนตลอดวัน ผมจึงตัดสินใจไปชมเพียง 2 จุด จุดแรกคือสวน Showa Kinen อยู่ชานเมืองโตเกียว

สวนแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ถ้าจะเดินให้ทั่วคงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยทีเดียว แต่ผมมาถึงเอาหลังเที่ยงแล้วเพราะนั่งดื่มกาแฟรอให้ฝนซาซะเป็นชั่วโมง …

ผมค่อย ๆ เดินชมสวนไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่มีซากุระหลายสายพันธุ์กำลังเบ่งบานเต็มที่ริมสองฝั่งคลองขนาดใหญ่ ที่ดูแปลกตากว่าจุดอื่น ๆ ก็เพราะมีทั้งดอกที่เป็นสีขาว, สีชมพู รวมถึงดอกไม้พันธุ์อื่นสีเหลืองสดใสมาแซมด้วย



ถัดไปใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่มต้นซากุระขนาดใหญ่ที่ปลูกบนเนินดินเตี้ย ๆ กิ่งของแต่ละต้นโน้มลงมาถึงพื้นดินทำให้ได้สัมผัสกับซากุระกับแบบใกล้ชิดเลยทีเดียว



เส้นทางในสวนนำไปยังอีกส่วนหนึ่งของสวนที่มีการปลูกทิวลิปประดับคู่กับต้นซากุระ เสียดายที่ดอกทิวลิปที่นี่ยังบานไม่ถึง 50% เลยไม่สวยเท่าที่ควร



อันที่จริงมีจุดอื่นๆ ที่สวยงามมากในสวนแห่งนี้ แต่เนื่องจากเวลามีจำกัดจึงต้องอำลาสวนแห่งนี้ จากนั้นเดินทางย้อนไปเดินเที่ยว Inokashira park

บรรยากาศที่นี่แตกต่างจากจุดก่อน ๆ เพราะซากุระอยู่ริมบึงขนาดใหญ่ นอกจากจะอยู่ในช่วง full bloom แล้ว กิ่งที่เต็มไปด้วยดอกยังโน้มลงไปจนถึงผิวน้ำ เป็นภาพที่สวยงามมาก … อีกอย่างที่ทำให้ Inokashira คึกคักก็เพราะคนญี่ปุ่นจำนวนมากเช่าเรือมาพายและปั่นกันในบึงเต็มไปหมด บางคนมาเป็นคู่โรแมนติกจริง ๆ


พิกัดสวน Showa Kinen 35.71249, 139.39439

นั่งรถไฟ JR ลงที่สถานี Nishitachikawa จะถึงประตูเข้าสวนเลย

พิกัดสวน Inokashira 35.69974, 139.57319
นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Kichijoji แล้วเดินไปสวนระยะทางราว 300-400 เมตร

5 เมษายน 59 – ซาโยนาระ เจแปน

กำหนดการวันนี้คือพาสาว ๆ ในกลุ่มไป shopping กัน หลังจากที่อิ่มเอมกับซากุระกันมาหลายวันแล้ว เริ่มตั้งแต่ Shibuya ต่อด้วย Ueno ก่อนที่จะเดินทางไปสนามบินช่วงค่ำเพื่อเดินทางกลับ … เป็นการปิดบันทึกความทรงจำอีกครั้งหนึ่งของผมที่เต็มไปด้วยภาพแห่งความประทับใจ …

นอกจากข้อมูลสถานที่แล้วขอเพิ่มข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ให้ด้วยครับ

สายการบิน

ทริปนี้เดินทางจากภูเก็ตสู่ญี่ปุ่นด้วยสายการบิน Singapore airline โดยช่วง Phuket-Singapore ใช้สายการบินลูก SILK air นับว่าสะดวกสบายไม่แตกต่างจากการไปต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ ส่วนราคาตั๋วไป-กลับทั้งหมดก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียวสำหรับราคา 15,5xx บาท (จากภูเก็ต) ซึ่งได้บริการแบบ full service

การเดินทางระหว่างท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

ใช้ JR pass แบบ all area 7 วัน เพื่อเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ Tokyo-Kyoto-Osaka-Nagoya รวมถึงเมืองรองบางเมืองและจุดท่องเที่ยวบางแห่งที่มีรถไฟสาย JR ผ่าน … นอกจากนี้ต้องซื้อตั๋วเพิ่มเติมบ้างได้แก่

เกียวโต

  • ตั๋วรถบัสในเกียวโตแบบ 1 วันไม่จำกัดเที่ยว
  • ตั๋วรถไฟสายโรแมนติก Torokko Kameoka ที่ Arashiyama

โตเกียว

  • ตั๋ว subway แบบ 1 วัน
  • ตั๋ว monorail ไปสนามบิน Haneda

นาโกย่า

  • ตั๋วรถไฟ Meitetsu line ไปยัง Inuyama และ Iwakura
  • ตั๋ว subway (จากสถานีรถไฟไปที่พัก)

Shizuoka

  • ตั๋วรถบัสจาก Hamamatsu ไปยัง Flower park

แผนที่ของทริป ซึ่งมีจุดชมซากุระทั้งหมด บางส่วนผมทำไว้แต่ไม่ได้เดินทางไป

https://drive.google.com/open?id=1Hx2l71QyxEhrn1peWCt33QIq8VQ&usp=sharing


WIFI

ใช้บริการ Samurai WIFI ตลอดทริป ใช้งานได้ครอบคลุมพื้นที่เดินทางทั้งหมดของทริป ความเร็วในการ upload และ download รวดเร็ว นอกจากนี้มีการใช้ internet free ของที่พักหรือร้านอาหาร ทั้งนี้เขตสนามบินหรือสถานีรถไฟหลักของเมืองใหญ่ ๆ จะมี Free WIFI ให้บริการด้วยเช่นกัน


ที่พัก

  • ครั้งนี้ใช้บริการกับ airbnb สำหรับคืนแรกที่ apartment เล็ก ๆ ใกล้สนามบิน เพราะต้องการราคาประหยัดเนื่องจากนอนไม่กี่ชั่วโมงหลังจากลง flight ดึก … ใน apartment มี 2 ห้องนอน มีฟูกนอนพื้นได้ห้องละ 4-5 คน ห้องน้ำรวม โดยรวมสะอาดดีและอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ นอกจากนี้ host สื่อสารอำนวยความสะดวกตลอด แม้จะไม่ได้มาต้อนรับด้วยตัวเอง
  • เกียวโต
    ผมเลือกพักที่เมืองเล็กๆ ชานเมืองเกียวโต เพราะที่พักใจกลางเมืองค่อนข้างแพง แล้วนั่งรถไฟ JR ระหว่างเมืองซึ่งใช้เวลาราว 20 นาที
    โรงแรมนี้ห่างจากสถานีรถไฟราว 800-900 เมตร หากกระเป๋าหนักก็ไม่สะดวกนัก แต่ถ้าพอลากไหวก็นับว่า ok ส่วนห้องพักนั้นกว้างขวาง เมืองที่ตั้งของโรงแรมไม่พลุกพล่านนัก โดยรอบมีร้านอาหารเยอะพอสมควร (แต่ผมไม่ได้ลองทาน) ชื่อโรงแรม Hotel 21 ตั้งอยู่ที่เมือง Kusatsu ครับ
  • นาโกย่า
    ที่นี่ผมพักใจกลางเมืองที่ย่าน Sakae โรงแรมชื่อ UNIZO INN ตกแต่งทันสมัยห้องพักสะอาดใกล้สถานีรถไฟ นอกจากนี้ยังอยู่แทบจะตรงข้ามกับร้านขายของฝากชื่อดัง donquijote ที่เปิด 24 ชั่วโมงด้วย
  • โกเตียว (รอบสอง)
    2 คืนสุดท้ายผมกลับมานอนโตเกียวอีกครั้งที่โรงแรม Super Hotel Lohas ในย่าน Akasaka อยู่ห่างจากสถานี Subway Akasaka ไม่ไกล มีบริการบ่อน้ำร้อนฟรีด้วย (แต่ผมไม่ได้ลองใช้บริการ) … ห้องพักทันสมัยสะดวกสบายเช่นกันครับ

งบประมาณ

ดูเรื่องเที่ยวไปแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องงบประมาณกันบ้างครับ (เป็นค่าเฉลี่ยต่อคนนะครับ โดยหารกัน 4 คน)

ก่อนเดินทาง

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน ภูเก็ต-สิงค์โปร์-โตเกียว-สิงค์โปร์-ภูเก็ต ของสายการบิน Singapore airline 15,500 บาท
  • ค่าตั๋ว JR pass 7 วัน all area 8,500 บาท

ระหว่างเดินทาง

  • ที่พัก 8 คืน คนละ 14,000 บาท
  • อาหารตลอดทริป คนละ 8,500 บาท
  • ค่าเดินทาง (ตั๋ววัน, ตั๋วรถไฟ, รถบัส) 2,200 บาท
  • Locker ฝากของ 600 บาท
  • ค่าเข้าชมสถานที่ 900 บาท

รวม ๆ แล้วตกประมาณคนละ 50,200 บาท ซึ่งก็นับว่าไม่ถูกไม่แพงครับสำหรับเที่ยวญี่ปุ่น 8 วันเต็ม ๆ แบบนี้ … หวังว่าข้อมูลทั้งหมดคงเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ที่วางแผนไปชมซากุระในปีต่อ ๆ ไปนะครับ

สุดท้ายขอฝากช่องทางติดตามผลงานด้วยจ้า

IG @9mot - https://instagram.com/9mot

FB 9MotPhotography - https://facebook.com/9MotPhotography

Blog ของ "นายมด" 9mot.com

นายมด

 วันพฤหัสที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.32 น.

ความคิดเห็น