ย้อนไปเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว มีพี่คนนึงแชร์เว็บไซต์เกี่ยวกับ ยอดเขาต่างๆในภูมิภาคนี้ ตามประสาคนชอบเที่ยวอย่างเรา ก็อดที่จะเข้าไปดูไม่ได้ อ่านรายละเอียดต่างๆนานา แล้วมาสะดุดอยู่ที่นึง....



ยอดเขาแหลมๆมีแต่หิน และท้องฟ้า เวิ้งว้าง ดูน่ากลัว และน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน ...... เหมือนถูกแรงดึงดูด เหมือนมีเสียงเรียกออกมาจากภาพนั้น.......มาพิชิตชั้นสิ ชั้นรออยู่นะ.......และนั่นล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ Mt. Kinabalu - Kota Kinabalu, Malaysia



Mt. Kinabalu อยู่บนเกาะบอร์เนียว รัฐ Sabah ประเทศ มาเลเซีย ซึ่งจริงๆเกาะบอร์เนียวเนี่ย มันเป็นของอินโดนีเซียด้วยส่วนนึง อีกส่วนนึงเป็นของมาเลเซีย Mt.Kinabalu เป็นส่วนหนึ่งของ Kinabalu National Park ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับยูเนสโก เรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่เป็นป่าฝนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก



ยอดของ Mt. Kinabalu ที่ที่สูงสุดที่ให้ขึ้นได้ เรียกว่ายอด Low's Peak มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,096 เมตร ซึ่งชื่อ Low ก็ตั้งมาจาก Hugh Low ชาวอังกฤษ ผู้มาถึงที่ราบบริเวณยอดเขาได้คนแรก ในปี 1851 แต่ ยอดของ Mt.Kinabalu ถูกพิชิตได้โดยนักสัตววิทยา John Whitehead ในปี 1888



วันที่ 1



การเดินทางของผมเริ่มต้นตอนเช้าของวันที่ 14 เมษายน 2016 ด้วย สายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ AK891 DMK-KUL ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงที่สนามบิน KLIA2 ที่ มาเลเซีย



บรรยากาศโดยรวม ค่อนข้างโปร่งโล่ง สำหรับสนามบินนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะมาก ร้านอาหาร เยอะจริงๆ ด้วยความที่จะต้องต่ออีกไฟลท์เพื่อไปที่ Sabah ในเวลาบ่ายสองกว่าๆนั้น ส่วนตัวกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างทาง จึงรีบไป check-in ที่เคาท์เตอร์ และรีบผ่าน ตม. เพื่อไปที่เกท ผลปรากฎว่าด้านในคนน้อยและ ตม.เร็วมาก เวลาจึงเหลือมาก และตอนนั้นหิวข้าวมาก แอบเสียดายเล็กๆว่า น่าจะกินข้าวมาจากด้านนอก เพราะด้านในมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว นอกนั้นเป็นขนมปังและกาแฟ



แนะนำว่า ก่อนเข้า ตม. ให้หาอะไรกินให้เรียบร้อย ของกินด้านนอกเยอะ และดีกว่าด้านในมากๆ เมื่อเข้ามาที่หน้าเกท และมีเวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ก็เริ่มเบื่อ ทำโน่นนี่ไปเรื่อย ยังดีที่ว่า wifi ที่นี่น่าคบหามาก เล่นฆ่าเวลาชิลๆ



เวลา 14.25 ได้เวลาขึ้นเครื่อง ไฟล์ 5114 KUL-BKI ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เครื่องก็มาจอดที่สนามบิน Kota Kinabalu เป็นสนามบินเล็ก เงียบมาก เวลาเย็นแล้วด้วย คนน้อยไปอีก



หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ เดินออกมาด้านหน้า เพื่อจะเข้าไปในตัวเมือง ซึ่งวิธีการหลักๆ มี 2 วิธีคือ นั่งแท็กซี่ หรือไม่ก็ นั่ง airport bus สำหรับ air port bus นั้นค่อนข้างสะดวกทีเดียว เป็นรถบัสติดแอร์คันใหญ่ ราคาเข้าเมืองคนละ 5 ริงกิต ตารางเวลาค่อนข้างชัดเจน ตามด้านล่างเลย



โดยจุดจอดรถ จะอยู่ในอาคารสนามบิน และเห็นได้ชัดมาก จ่ายเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่จะอธิบายว่า มีจุดจอด อยู่ 3 จุด อันนี้จำชื่อไม่ได้ละ แต่เราจะไปลงจุดสุดท้ายปลายทาง ซึ่งเป็น bus terminal



ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ก็มาถึง bus terminal ซึ่งดูๆไปก็คล้ายๆ กับตามต่างจังหวัดบ้านเรา



ที่พักที่เลือกไว้ชื่อ Masada Backpacker เดินจากตรงนี้ไปประมาณ 5 นาที เป็น Hostel เล็กๆ น่ารัก บรรยากาศสงบดี มีแต่ฝรั่งเต็มไปหมด เข้าที่พัก เก็บข้าวของ ออกมาเดินเล่น หาอะไรกิน



จากที่พัก เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเป็นห้างใหญ่ มีขายของทุกอย่าง ชั้นล่างเป็นพวกโทรศัพท์ หนังละเมิดลิขสิทธิ์ อะไรพวกนี้ ชั้นสอง ชั้นสาม เป็นร้านขายเสื้อผ้า ชั้นสี่ เป็นโรงหลัง ร้านอาหารอยู่ชั้นใต้ดิน ฟู้ดคอร์ดที่นี่อร่อยดี ราคาไม่แพงด้วย



มีเรื่องตลกที่แอบขำไม่ออกเบาๆ คือเราลืมเอาหัวชาร์จ ไอโฟนมา เอามาแต่สายชาร์จ เลยเดินหาซื้อปลั๊กที่เป็นหัว usb จนเจออยู่ร้านนึง ซื้อเรียบร้อย ลองเอาสายออกมาเทส ปรากฎว่าใช้ได้ จ่ายตังเดินออกมากลับที่พัก พอจะเอาโทรศัพท์ออกมา ปรากฎว่า หาสายชาร์จ ไม่เจอ คิดไปคิดมา น่าะลืมไว้ที่ร้าน เลยเดินกลับไปที่ร้าน ถามหากับเด็กคนที่ขายให้เราเลย เด็กบอกว่าคืนแล้ว เราบอก ยังไม่คืน ไม่มี ถ้าคืนแล้วจะมาหาที่นี่หรอ เด็กยืนยันคืนแล้ว เราหันไป สายชาร์จเรา วางอยู่หลังตู้ เราเลยบอกว่า นี่ไงของเรา หยิบมา แล้วเดินออกมาเลย คือร้านคงไม่ได้จะเอาหรอก สายเราเก่าจะตาย แล้วเค้าวางแยกไว้ต่างหากด้วย คงกะว่าเรามาเอาคืน แต่อีเด็กคนขายนี่ ไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น



เดินกลับไปกลับมาหลายรอบกับห้างอันนี้ จนกลับมารีบนอนที่ hostel เพราะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาก นัดกับ tour เอาไว้ว่าให้มารับตอน 6.1515 เมษายน 2016



เมื่อคืน ตื่นเต้นมาก หลับๆตื่นๆทั้งคืน เป็นผลให้ ตื่นมาตั้งแต่ ตี5 นอนต่อไปคงไม่ได้อะไรดีขึ้นมา ลากกระเป๋าออกมาตรง lobby อาบน้ำอาบท่า จัดการแพ็คทุกอย่างลงไปให้เรียบร้อย ปฎิบัติภารกิจต่างๆเสร็จ นั่งกินอาหารเช้าง่ายๆ ขนมปังปิ้ง 4 แผ่น ไมโล 1 แก้ว จบ แค่นั้น ตื่นเต้นมาก พร้อมลุยแล้ว



เราเลือกทัวร์กับบริษัท Amazing Borneo เป็นทัวร์ที่ราคาแอบแพงเบาๆ แต่โดยรวมแล้วค่อนข้างประทับใจ รถมารับตั้งแต่ 6 โมง เร็วกว่าที่นัดไว้ เราเลยขึ้นรถเลย คนขับรถและไกด์แจ้งว่า ต้องไปรับ อีก 2 คนที่โรงแรมใกล้ๆ



รถขับวนอยู่ในเมืองไปจนถึง โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง รอนักท่องเที่ยวซึ่งรู้ทีหลังว่าเป็นคนจีน นานมาก นานกว่าเวลาที่คุยกันไว้ พอดีเรานึกขึ้นได้ว่า ลืมโทรศัพท์ไว้ที่โรงแรม ซวยละ ไปบอกคนขับรถ เค้าบอกว่าเดี๋ยววนไปเอาให้ คือ อยากจะถามว่า ตอนรอไปเอาไม่ได้หรอ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ก็เกรงใจ กลืนมันลงไปดีกว่า



พอนักท่องเที่ยวอีก 2 คนขึ้นมา รถวนกลับไปเอาโทรศัพท์ที่โรงแรม กว่าจะออกจากตัวเมือง Kinabalu ก็ประมาณ 6.45 ใช้เวลาเดินทางไปยัง Kinabalu Park Head Quarter ประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึง HQ ไกด์ประจำรถ ไปทำเอกสาร permit ลงทะเบียน และเปลี่ยนมือให้กับ Mountain Guide



สักพัก ไกด์หนุ่มน้อยหน้าตาดี (หน้าตาดีจริง) วัย 25 นามว่า Jake ก็เดินมาทักทายเรา แนะนำตัวว่าเป็นไกด์ส่วนตัว เพราะเราจองทัวร์คนเดียวไป Jake พูดน้อยมาก พยายามชวนคุย ฮี ก็คุยน้อยจนเราเขิล ภาษาอังกฤษฮี โอเคอยู่นะ ก่อนเดินขึ้น แอบไปศึกษาเส้นทางการเดินมา ตามด้านล่าง



เส้นทางที่ต้องเดินทั้งหมดคือ 8 กม. จะแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือเดินวันนี้ ระยะทางประมาณ 6 กิโล เริ่มที่ Head Quarter และไปจบที่ รร ที่พักด้านบน



ทางเดินช่วงแรกเป็นทางลาดชัน แต่ยังไม่ชันมาก มีบันไดให้ขึ้นเป็นระยะ ซึ่งส่วนตัวไม่ชอบบันได มันทำให้เหนื่อยและหมดแรงง่าย สัมภาระที่เราแบกมี 2 กระเป๋า กระเป๋าเสื้อผ้า 10 กิโล กระเป๋ากล้อง 5 กิโล โดยประมาณ เบ็ดเสร็จแบกน้ำหนัก 15 กิโลโดยประมาณ ช่วงแรกเดินก็เหนื่อยแล้ว ความชันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ



ระหว่างทางเดินจะมีจุดแวะพักทุกๆ ประมาณ 1 กม เป็นกระท่อมเล็กๆ พอนั่งพักได้ มีห้องน้ำห้องท่าสะดวกพอสมควร



ทางเดินมีความชันมาก ประมาณ 60 องศา ++ ไปตลอดทาง ทางเดินทั้งหมด แทบไม่มีทางราบเลย เหนื่อยมากจริงๆ ถ้าร่างกายไม่ฟิตพอ ยังไม่แนะนำให้มา



ใช้เวลาเดินเท้าจนถึง กม. ที่ 4 เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง ซึ่งอาหารเที่ยงเป็นชุดอาหารกล่องที่ทางทัวร์จะจัดการให้ ซึ่งแอบดูทัวร์ข้างเคียง ก็เป็นอาหารแบบเดียวกันคือ แซนวิช ไก่ทอด ไข่ต้ม แอปเปิ้ล และน้ำ



โชคไม่ค่อยดี วันที่เดินขึ้นอากาศค่อนข้างแย่ หมอกลงขมุกขมัว มีฝนตกพรำๆ บ้าง บรรยากาศโดยรอบมองออกไปเต็มไปด้วยเมฆ ข้างทางมีพืชพรรณตามลักษณะป่าเขตร้อน ค่อนข้างชื้น



เดินมาจนแทบจะหมดแรง เหนื่อยและล้ามาก ด้วยความสูงที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่ HQ อยู่ที่ 1866 เมตร จากระดับน้ำทะเล มาอยู่ที่ 2700 เมตร ใช้เวลาเดินจนกระทั่ง บ่าย 2 กว่าๆ ก็มาถึงโรงแรมที่พัก ณ ระดับความสูง3272 เมตร จากระดับน้ำทะเล ด้วยระยะทางทั้งหมด 6 กิโลเมตร



โรงแรมที่ไปพักชื่อ Laba Rata Guesthouse ด้านหน้าของโรงแรมจะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งกลายเป็นสนามฟุตบอล และวอลเลย์ ด้านหลังเป็นภูเขาหินลูกใหญ่ ใกล้เคียงจะมีที่พักอีก สองแห่ง



ทัวร์ส่วนใหญ่จะเลือกลงมาพักที่นี่กัน เนื่องจากค่อนข้างสะดวก และจัดการง่าย ชั้นล่างเป็นที่พักของ ไกด์ ชั้นสองเป็นห้องอาหาร และชั้นสามเป็นโซนที่พัก ลักษณะห้องพัก มีทั้งเป็นแบบ dorm และห้องส่วนตัว แล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคน ซึ่งข้อเสียของ dorm คือ เค้าไม่แบ่งแยกชายหญิง เพราะตอนที่เราเข้าไปเชคอินตอนแรก เข้าไปเป็นคนแรก สักพักใหญ่ๆกลับไปในห้องเจอผู้หญิงสองคน คุยไปคุยมา เค้ารู้สึกไม่ค่อยดีที่ มีผู้ชายอยู่ด้วย (คือ นี่เข้าไปอยู่ก่อนป่ะ) เลย ให้เจ้าหน้าที่มาคุย เจ้าหน้าที่ อธิบายว่า เป็น dorm มันจะพักรวมหมดอยู่แล้ว (งง เหมือนกัน ปกติ dorm มันแยกชายหญิงได้นะ) ซึ่งเราตัดปัญหาโดยการย้ายออกละกัน หาห้องใหม่สบายใจ



ห้องอาหารค่อนข้างกว้าง ด้านนอกจะเป็นระเบียง ตอนขึ้นไปถึง เวลาบ่าย 2 คนยังขึ้นมาไม่เยอะมาก เราเลยรีบออกไปจับจองพื้นที่ระเบียง เพื่อถ่ายรูปและบรรยากาศค่อนข้างดี อากาศกำลังเย็นสบาย



ถึงแม้อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ฟ้าค่อนข้างปิด เมฆเยอะมาก มองแทบไม่เห็นอะไรเลย แต่อย่างที่เค้าพูดกันว่า ภูเขา มีอากาศเป็นของตัวเอง ไม่มีอะไรคาดเดาได้หรอก สักพักฟ้าก็เปิด บริเวณระเบียงจะมองเห็น ภูเขา แต่หลังจากที่เห็นภูเขาจะมีเวลาไม่ถึงนาที เมฆหมอกก็มาบังภูเขาอีกรอบ นั่งรอไปสักพักฟ้าก็เปิดอีก ดังนั้นถ้าจะถ่ายรูปหรืออะไร มีโอกาสให้รีบทำเลยทันที



อาหารเย็นเป็น บุฟเฟต์ เริ่มเสริฟตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนถึง ทุ่มครึ่ง หิวมากหลังจากที่เดินมาอย่างหนักหน่วง รสชาตอาหารค่อนข้างโอเค ทำให้เรากินได้เยอะมาก นั่งกินเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว เดินเติมหลายรอบมาก อาหารมีทั้ง เนื้อ ไก่ และ แกะ มีแกงแขก มีข้าว มีผัดซีอิ๊ว มีพาสต้า ข้อเสียคือ ที่นี่ไม่มีน้ำปกติให้เติม มีน้ำร้อน กาแฟ และน้ำชา เติมได้ตลอดเวลา ถ้าจะกินน้ำปกติ มีสองทางเลือกคือ กดน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้เย็น หรือ เดินไปซ์้อที่ ร้านค้าตรงล็อบบี้ ซึ่งราคาค่อนข้างสูง แต่ยอมเค้าไปเถอะ ของจะขึ้นมาบนนี้ไม่ได้ง่ายๆเลย ลำพังเดินก็เหนื่อยละ แบกของพวกนี้ขึ้นมาอีก ยอมใจ



กินข้าวเย็นเสร็จฟ้าเริ่มเปิด ท้องฟ้าสวยมาก เป็นสีฟ้าสดมาก เลยเดินลงไปลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เดินเล่นถ่ายรูป จนพระอาทิตย์จะตก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง น่าเสียดายที่พระอาทิตย์ตกอยู่หลังภูเขา อย่างที่บอกว่า ภูเขามีอากาศเป็นของตัวเอง เมฆจากไหนไม่รู้มาเต็มบริเวณเลย ยืนอยู่อีกอึดใจ ฟ้าเปิดสวยมาก



อยู่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกจนทุ่มกว่าๆ ฟ้าบริเวณนั้นเริ่มมืด เลยรีบเดินกลับขึ้นไปที่โรงแรม อากาศบริเวณนั้นเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้รีบเข้านอนอีกเหมือนเคย เพราะ การเดินทางของจริงจะเริ่มคืนนี้ Jake เข้ามานัดแนะกับเรา ว่าห้องอาหารเปิดตอน ตี2 เราจะเริ่มเดินทางขึ้นยอดเขา ตอน ตี2 ครึ่ง แผนที่เราคิดไว้คือ จะออกมาถ่ายรูปตั้งแต่ ตี1 ดังนั้น ตอนนี้ก็เลยจะรีบนอนตั้งแต่หัวค่ำ ......16 เมษายน 2016



การเดินทางที่แท้จริง เริ่มต้นคืนนี้ ตามที่นัดกับ Jake ไว้ตอนตี 2 แต่ด้วยความที่เราอยากเก็บรูปทางช้างเผือกและ star trail ที่เล็งเอาไว้แล้วตั้งแต่ช่วงตอนเย็น เลยรีบตื่นมาตั้งแต่เที่ยงคืนกว่า ออกมาถ่ายรูปข้างนอก อากาศหนาวกำลังดี ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่เลยไม่ทำให้รู้สึกหนาวเท่าไหร่



ฟ้าใสมาก ถึงแม้ว่าเป็นคืน half moon แต่ด้วยความที่ฟ้าใสมาก ทางช้างเผือก ชัดเจนด้วยตาเปล่า สวยมาก เป็นทางช้างเผือกที่สวยที่สุด อีกครั้งนึงที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว เดินหามุมอยู่บริเวณลานจอด เฮลิคอปเตอร์ น่าเสียดาย ที่ทางช้างเผือกขึ้นฝั่งที่เป็นฟ้าโล่ง เลยหาโฟร์กราวด์สวยๆ ได้ค่อนข้างลำบาก



ตะลุยถ่ายทางช้างเผือกจนเป็นที่พอใจ ตื้นตันใจ เต็มอิ่มมาก เลยได้เวลาตั้งกล้องถ่าย star trail รอบนี้ใช้เวลา 20 นาที เหมือนอย่างทุกครั้ง โชคดีที่โหลดหนังมาดู เลยมีอะไรทำระหว่างนั่งรอ



ได้ โฟร์กราวด์เป็น โรงแรมที่พักเลยทำให้ภาพทีไ่ด้ค่อนข้างดี เสียดายว่า ถ้าทางช้างเผือกขึ้นทางนี้ จะเป็นภาพที่สวยมากจริงๆ



เอ้อละเหยจนตีสองกว่าๆ ขึ้นไปกินอาหารมื้อดึกที่ห้องอาหาร คนเต็มห้องอาหารเลย ทุกคนพร้อมมาก ส่วนตัวไม่กล้ากินอะไรเยอะ เพราะกลัวมีปัญหาเรื่องเข้าห้องน้ำระหว่างเดินมาก เลยกินแค่ขนมปังเล็กน้อยกับกาแฟ ตี2 ครึ่ง Jake ก็ขึ้นมาที่ห้องอาหาร พูดคุยกันพอประมาณ และเริ่มเดินทาง



ทุกคนดูตื่นเต้นกับการเดินทางคืนนี้มาก คิดว่า เพราะทุกคนไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับความลำบากขนาดไหน คาดว่า ทุกคนคงเห็นรูปและได้ยินคำล่ำลือมา ก็ลุ้นระทึกว่า จะเป็นอย่างที่เค้าว่าไหม



ช่วงแรกของการเดินเท้าคืนนี้ เดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ความชันไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้น้อยหน้าเมื่อช่วงกลางวันเลย เราและJake ด้วยความที่เดินเร็ว จึงเดินแซงคนอื่นออกไปไกล จนไปถึงกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด



ระยะทางจาก กิโลเมตรที่ 6 ไปยัง กิโลเมตรที่ 7 เป็นทางเดินในป่า เหมือนช่วงกลางวัน แต่รู้สึกว่าความชันน่าจะมากกว่า สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือ ท้องฟ้าที่เห้นตลอดทางนั้นกระจ่างใสมาก ทางช้างเผือกใหญ่ และชัดเจนมาก เดินไปน้ำตาจะไหลไป เหมือนทางช้างเผือกคอยเดินตามเราเลย จนทนไม่ไหว เมือ่ถึงประมาณ กิโลเมตรที่6.8 จึงหยุดถ่ายรูป ตั้งกล้องเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งขณะนั้นเวลาประมาณ ตี 4 กว่า ไม่น่าเชื่อว่า ระยะทางแค่ไม่ถึงกิโลดี จะใช้เวลาเดินเกือบ 2 ชั่วโมง



นั่งถ่ายรูป star trail ใช้เวลา อีก 20 นาที แต่ระหว่างที่ตั้งกล้อง ผู้คนฉายไฟใส่ตลอด ตลอด และ ตลอด ภาพเลยพังไม่เป็นท่า เป็น 20 นาที ที่เสียไปโดยใช่เหตุ แต่ก็ยังดี ยังได้พักบ้าง เป็น 2 ชั่วโมงแห่งการเดินทางที่ทรหดจริงๆ



กิโลเมตรที่ 7 เป็นจุด check point ของเจ้าหน้าที่ ทำการนับคนขึ้น และลง ต่อจากตรงนี้ไป สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนจากหน้ามือ เป็นหลังมือ



ด้วยความที่มืดมาก เราจะไม่เห็นเลยว่าทางที่เดินเป็นแบบไหน ถึงแม้ทุกคนจะมีไฟฉายก็ตาม เห็นได้แค่ที่ไฟฉายส่องไปเท่านั้น แต่ในความรู้สึกคือ เหนื่อยมาก ยากมาก เดินยาก ชัน และไม่มีที่เกาะเกี่ยว อะไรทั้งสิ้น ทางเดินที่สัมผัสได้คือ เป็นแผ่นหินกว้างและชัน เกือบ80 องศา มีเชือกเส้นใหญ่ๆวางที่พื้นให้ยกขึ้นมาเกาะทรงตัว แต่ไม่มีใครเกาะเชือกเลย ทุกคนเดินด้วยตัวเอง trekking pole ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพราะพื้นเป็นหินล้วนๆ



ความรู้สึกระหว่างเดินคือ ถามตัวเองว่า มาทำไม มาทำอะไร ชีวิตจำเป็นต้องเหนื่อยและยากลำบากขนาดนี้จริงๆหรอ เดินได้10 ก้าวก็ต้องพัก ซึ่งไม่มีโขดหินหรืออะไรให้พัก เลยต้องนั่งลงไปกับพื้น เอียงก็เอียง จะไหลตกลงไป เลยนอนราบลงไปเลย พักได้ไม่นานก็ต้องลุกขึ้น เพราะเดี๋ยวตะคริวจะกิน และขึ้นไปไม่ทัน



เดินได้อีก 20 ก้าวก็พักอีก ในชีวิตการขึ้นเขามา ไม่เคยมีครั้งไหนเหนื่อยและท้อขนาดนี้มาก่อน เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งใช้วิธีเท้าต่อเท้าเดิน เพราะก้าวขาแทบไม่ออกแล้ว ส่วน Jake น่ะหรอ เดินกอดอกตัวปลิว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



กิโลเมตรที่ 8 เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่จะถ่ายรูปเอาไว้ ท้องฟ้าเริ่มสว่างมองเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย เห็นคนนั่งพัก เห็นคนเดิน เห็นจุดหมาย



กิโลเมตรที่ 8.3-8.4 เป็นจุดวัดใจก็ว่าได้ เพราะหลังจากนี้ต้องเริ่มปีนป่ายบ้าง หลายคน เลือกที่จะหยุดตรงนี้ ไม่ไหวแล้ว พอแล้ว ชั้นทำได้แค่นี้ ส่วนตัวเรา เหนื่อยมาก เหนื่อยเหลือเกิน ขาไม่มีแรงแล้ว ลงนั่งพัก ทุกๆ 5 ก้าว มาตั้งแต่ กิโลที่ 8 ถามตัวเองว่าเอายังไงดี Jake บอกว่า มาถึงนี่แล้ว ยู จะยอมไม่ได้



มองหน้าสาวชาวจีนที่เดินมาข้างๆกัน ต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกและพยักหน้าให้กัน สิ่งที่ได้ยินมาตลอดทางคือ you can do it you can do it ทุกคนล้วนแต่ให้กำลังใจกันและกัน เหนื่อยมาก ท้อมาก แต่คิดถึงเงินที่จ่ายมา จะยอมไม่ได้ กัดฟัน เก็บแรงเฮือกสุดท้าย เดินขึ้นไปจนถึงยอดเขากิโลเมตรที่ 8.5 เวลา 6 โมงเช้ากว่าๆ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว และเราทำได้แล้ว เวลา4 ชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทาง 2.5 กิโล



นั่งรอจนคนเริ่มซา และได้ถ่ายรูปกับป้าย เป็นหลักฐานว่า มาถึงแล้ว



ถึงแม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์กำลังขึ้น และ พระอาทิตย์ขึ้นบนนี้ อาจจะไม่ที่ที่สวยที่สุด แต่เป็นอีกที่นึงที่เราประทับใจมาก มันแลกมาด้วย หยาดเหงือ กำลังใจ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะตัวเอง เอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้



เอ้อละเหยชื่นชมวิวบนนั้น ให้หายเหนื่อย จริงๆคือมีเวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็ต้องรีบเดินลงกันแล้ว



หลังจากเสร็จทุกอย่างก็เริ่มหายเหนื่อย รู้สึกเริ่มมีแรงกลับมา และต้องรีบเดินลง เพราะอาหารเช้า จะตั้งถึงแค่10 โมงเท่านั้น ตอนที่จะเดินลงนี่ก็ 7 โมงกว่าแล้ว ขึ้นมาใช้เวลา 4 ชั่วโมงกว่า แล้วขาลงล่ะ.....



ขาลงใช้เวลาอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นทางลง ใช้แรงไม่มาก และสว่างแล้ว มองเห็นทาง



แต่ใช่ว่า จะเดินลงได้อย่างง่ายๆซะที่ไหน เพราะทางลาดชันมาก ลงตรงๆไม่ได้ ต้องเดินซิกแซกไป ซิกแซกมา



ระหว่างทางลงจะมีจุดอันตรายอยู่ ซึ่ง Jake จะเร่งให้เดินมาก เพราะเคยมีเหตุการณ์หินถล่มลงมาทับนักไต่เขาเสียชีวิต ช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวนั่นล่ะ ยังมีร่องรอยของหินที่หน้าผาที่ถล่มลงมา และ รองเท้าของนักไต่เขาที่เสียชีวิต ก็ถูกวางไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์



รอยขาวๆ ที่หน้าผาคือรอยที่หินหลุดลงมา และก้อนขาวๆที่พื้นคือเศษหินที่ตกลงมา จริงๆขนาดเป็นเศษหิน แต่ก็น่าจะใหญ่เท่าบ้านหลังย่อมๆเลยทีเดียว



ขาเดินลงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และเรางอแงมาก เนื่องจากน้ำที่เอาขึ้นมาหมด และเริ่มหิว เลยทำให้เดินเร็วเป็นพิเศษ



9 โมงกว่าๆ ก็มาถึงที่ห้องอาหาร คนเต็มไปหมด แต่ยังไม่เยอะเท่าไหร่ จัดแจงกินอาหาร และตกลงกับ Jake ว่าจะเริ่มเดินลงตอน 10 โมง ซึ่งตอนแรกนางจะขอให้เราลง 9.30 เรานี่โวยวายดังมาก จนนางยอมเป็น 10 โมง



อาบน้ำล้างตัวเก็บของ 10 โมง มารอ Jake ที่ห้องอาหาร นางก็พร้อมแล้ว แต่อ้อยอิ่งอะไรไม่รู้ ทำให้กว่าจะได้เดินลงจริง 10 โมงครึ่งกว่าๆ



ช่วง 3 กิโลเมตรแรก ใช้เวลาในการลงเร็วมาก เร็วจนตัวเราเองยังตกใจ เพราะทางเป็นทางธรรมชาติ เราถนัดกับการเดินแบบนี้ กระโดยจากหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อนหนึ่ง เกาะรากไม้ เดินไต่หิน 3 กิโลเมตรแรก ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ซึ่ง คาดว่าถ้าใช้สปีดขนาดนี้ น่าจะถึงข้างล่างประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ



อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนบนภูเขา ..... ผ่าน 3 กิโลมาได้ครึ่งทาง ขาเริ่มไม่มีแรง ไม่มีแรงแบบว่า ยืนแทบไม่อยู่ ขาสั่นทุกก้าวที่ก้าวออกไป แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปทรมานมาก ทรุด และสเียการทรงตัวเกือบทุกครั้ง ฝืนตัวเองจนกิโลเมตรที่ 4 ไม่ไหวแล้ว ต้องเอา trekking pole ออกมาช่วยพยุง กิโลเมตรที่ 4.5 Jake บังคับให้ส่งเป้ใหญ่ให้นาง และเราแบกแค่เป้กล้อง



1.5 กิโลเมตรที่เหลือเต็มไปด้วยความลำบาก ความทรมาน ความเหนื่อยขาขึ้น ความลำบากเมื่อคืน สูญสลายหายไปในพริบตา ชีวิตนี้ ตอนนี้ลำบากสุดแล้ว ทุกก้าวเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ โทษฟ้า โทษโชคชะตา โทษทุกอย่างในชีวิต



ทางเดินตั้งแต่ กิโลที่2.5 เป็นต้นมา เป็นทางที่คนทำขึ้น เป็นบันไดชันๆ ที่เกิดจากการเซาะดินบ้าง บันไดไม้บ้าง ซึ่งความสูงของแต่ละขั้นคือ ครึ่งแข้ง เกลียดการเดินบันไดเป็นที่สุด



ก่นด่าทุกอย่างในชีวิต แต่ Jake ก็คอยให้กำลังใจตลอด วินาทีนั้นอยากกระโดดลงไป อยากกลิ้งลงไป คนเก่งที่แซงทุกคนที่ออกมาก่อน หายไปแล้ว แต่ที่นี่แปลกใจคือ ถึงแม้เราจะเดินได้ช้าลงมาก ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย แต่กลับไม่มีใครเดินแซงเราขึ้นไปเลย คือเราเดินนำคนอื่นมาเยอะมาก



และแล้ว ก็มาถึงทางขึ้น ความเหนื่อยทั้งหมด ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่รู้สึกว่า เราทำได้แล้วทำสำเร็จแล้ว

Jake รีบไล่ให้ไปขึ้นรถตู้ และห้ามนั่งพัก นางบอกว่า ถ้านั่งตอนนี้ ลุกไม่ขึ้นแน่ๆ เราทำตามอย่างว่าง่าย ตอนนี้ขาแทบจะใช้การไม่ได้แล้ว ตลกตัวเองมาก



นั่งรถกลับมาที่ HQ Jake เอาใบประกาศมาให้ และบอกว่า ห้องอาหารปิด 3 โมง ตอนนั้น เพิ่งผ่าน 2 โมงมาได้ไม่ถึง 5 นาที ย้อนกลับไปดู เราเดินมาถึง ข้างล่างตอน บ่ายโมงสี่สิบกว่า เกือบ ห้าสิบ ถือว่า ยังทำเวลาได้ค่อนข้างดี



ห้องอาหารต้องเดินบันได้ลงไป ณ จุดนั้น อยากตายมาก แต่ด้วยความหิว และความงก แบกร่างลงไปกินข้าว และแบกร่างกลับมา บ่ายสองกว่าๆ เกือบ 3 โมง รถตู้ก็ขับกลับมาส่งเราที่โรงแรม เดิม



.................................



หลังจากนี้คงไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว ก็เตรียมตัวกลับอย่างปกติ ด้วยร่างที่ค่อนข้างพัง แต่เป็นทริปที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ถ้ามีโอกาสคงกลับไปอีก

ความคิดเห็น