เกริ่นก่อนเลย รีวิวนี้เน้นที่เที่ยวแนวถ่ายภาพเป็นหลักนะครับ และค่อนข้างทรหดอดทนพอดู ใครอยากได้รีวิวชิคๆ เรื่องราวการเดินชอปปิ้งถนน Orchard กินไอติม Godiva ถ่ายรูปเซลฟี่กับตัวมินเนี่ยนใน USS ที่นี่ไม่มีให้นะครัชชช แนะนำให้เสิร์ชคำว่า Singapore เว้นวรรค Pantip ลง Google ได้เลย รับรองว่ามีนักรีวิวใจดีอีกหลายท่านได้รีวิวเรื่องพวกนี้ไว้ให้แล้ว

ในส่วนของผมนั้นจะพาทุกท่านไปที่เที่ยวสวยๆงามๆด้านอื่นของสิงคโปร์บ้าง อย่าง The Southern Ridge, Marina Barrage ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาสถานที่เหล่านี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นแล้ว ฉะนั้นผมหวังว่ารีวิวอันนี้จะช่วยเน้นย้ำความสวยงาม และความน่าสนใจของอีกด้านนึงของประเทศสิงคโปร์ครับ


ทริปนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 3 คืน 3 วันครับ ง่ายๆก็คือพนักงานเงินเดือนอย่างๆเราต้องขอเจ้านายลางานวันศุกร์ครับ เริ่มเดินทางวันพฤหัสฯตอนเย็น เราก็จะมีเวลาเที่ยววันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ครับ

เราไปกันทั้งหมด 13 ชีวิตครับ เรียกว่าแทบจะปิดแผนกไปกันเลยทีเดียว (ตอนแรกเริ่มมีกัน 5 คน) แต่เนื่องจากเพื่อนๆเที่ยวกันหลากหลายสไตล์มาก เราก็เลยมีการแบ่งทีม A,B,C กัน โดยทีมผมจะเน้นถ่ายรูปเป็นหลัก (มีสมาชิก 1-2 คน 555+) และก็มีทีม Food กับทีม Shopping แยกกันไป แต่มื้อเช้าพวกเราก็จะไปกินข้าวด้วยกันทั้ง 13 คนครับ เพราะฉะนั้นรีวิวนี้จะมีร้านอาหารดีๆปนมาบ้าง ยกเครดิตให้พี่สาวสาย Food ที่ช่วยสรรหาร้านอาหารชื่อดังมาให้นะครับ ส่วนตั๋วค่าเข้าที่ต่างๆ ก็ยกเครดิตให้พี่ๆ สาย Shopping ที่ช่วยสรรหาโปรตั๋วราคาถูกมาให้ครับ


Travel Itinerary

พฤหัส : มาทำงานแต่เช้าอย่างตั้งใจ เดินทางไปสิงคโปร์ด้วยเครื่องบินรอบเย็น

ศุกร์ : Sentosa Island (S.E.A Aquarium, Palawan Beach)

เสาร์ : Southern Ridge - Garden by the Bay - Marina Barrage

อาทิตย์ : Chinatown

ทุกเช้า/ทุกคืน : ร่อนเร่รอบๆ Marina Bay

Budget

ทั้งทริปนี้หมดไป 7,127 บาท รวมทุกอย่าง แจกแจงย่อยๆได้ดังนี้

1. Transportation 3,764 บาท >>> ทริปนี้นั่งรอโปรตั๋วมาพักใหญ่ๆครับ สุดท้ายได้โปร Airasia ไปกลับ 3,152 บาทครับ นอกนั้นจะเป็นค่า sMrt และค่า Bus ไปที่ต่างๆในสิงคโปรครับ

2. Hostel 952 บาท >>> ผมพักที่ Blissful Loft เป็น Dorm อยู่ตรงข้าม Clark Quay ไม่ไกลจาก สถานีรถไฟ และเดินไป Merlion ได้ด้วยครับ ได้ส่วนลดจาก Airasia Go มาด้วย ราคานี้เป็นราคา 2 คืนนะครับ

3. Food 1,032 บาท >>> เป็นปัญหาหนักสำหรับทริปนี้เลย เนื่องจากประเทศนี่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง ขนาดโค้กขวดละ 70 บาท แต่เราสามารถประหยัดได้โดยกินข้าวตาม Food Court ครับ และน้ำก๊อกที่นี่สามารถรับประทานได้ครับ

4. Attraction 999 บาท >>> เป็นค่าเข้า S.E.A Aquarium + Dome ใน Garden by the Bay โดยมีพี่ไปหาโปรตั๋วมาให้ตอนงานเที่ยวไทยครับ ช่วยลดราคาลงได้เยอะอยู่ นอกนั้น

5. Sim Card 378 บาท >>> เนื่องจากผมไปกันกลุ่มใหญ่ และแยกเที่ยวกัน เลยต้องซื้อเอาไว้ตอนนัดเจอกันครับ แต่ถ้ามาคนเดียวไม่ต้องใช้ก็ได้ ที่นี่เที่ยวง่ายมาก การเปิด Google Map แทบไม่มีความจำเป็น เลยครับ

ของใช้ที่ควรนำไป

1.หมวก และครีมกันแดด สำคัญมากกกก ประเทศนี้ใกล้เส้นศูนย์สูตรมันแดดแรงใช่ย่อย

2.กระติกน้ำ/ขวดเปล่า อย่างที่กล่าวมา ไว้เติมน้ำกิน น้ำขวดแพง ตามที่เที่ยวก็จะมีจุดให้เติมน้ำเป็นระยะๆด้วย

3.รองเท้าที่มีซัพพอร์ตดีๆ เพราะที่นี่มันเล็กไปที่จะนั่งรถเที่ยว แต่ก็ใหญ่พอจะทำให้เราเดินจนเท้าบวมได้

4.กล้องถ่ายรูป ทริปนี้ผมใช้ Fuji X-E2 พกเลนส์ไป 3 ตัว 18-135/10-24/35 + Xiaomi yi (ไว้ถ่าย Timelapse) ขาตั้งกล้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะที่นี่คือสวรรค์ของสาย Cityscape ตกกลางคืนตึกราบ้านช่องจะแข่งกันเปิดไฟละลานตาไปหมด


Day 1 : To Singapore

ทริปนี้ผมนั่งเครื่องออกจากดอนเมือง 18.50 บินประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็จะมาถึงสนามบิน Changi ซึ้งเวลาที่สิงคโปร์จะเร็วกว่าบ้านเราชั่วโมงนึง ทำให้เวลาตอนถึงเป็น 22.20 ครับ เนื่องจากเป็นไฟลท์ดึกที่จองมาเพราะราคาล้วนๆประมาณเวลากว่าจะได้ออกไปในเมืองก็น่าจะเที่ยงคืนกว่าๆแล้ว วันนี้ก็เลยวางแผนจะนอนในสนามบินนี่แหละครับ แล้วค่อยนั่งรถใต้ดิน sMRT รอบเช้าสุด (05.30 ) ออกจากสนามบินครับ

เครื่องจากดอนเมืองจะมาลงที่ Terminal 1 ก่อนออกไปที่ตม.จะไกลอยู่ และเราจะผ่าน Arrival Hall ซึ่งจะมีของขายเต็มไปหมด สำหรับคนที่มา Transit ก็จะสามารถนั่ง Sky train ไปยัง Terminal 2 และ 3 ได้จากจุดนี้ครับ พวกผมตอนแรกจะไปนอนตรง Terminal 2 เพื่อที่จะได้ขึ้น sMRT เข้าเมืองในตอนเช้า ก็เลยนั่ง Sky train ไปยัง Terminal 2 แล้วต่อแถวออกตม.ครับ แต่พี่ยามเดินมาสะกิดขอดูตั๋วระหว่างต่อแถว เจอว่าถ้าเครื่องลง Terminal 1 เราต้องออกตม.ที่ Terminal 1 เท่านั้นครับ พวกเราเลยได้เดินคอตกกลับไปขึ้น Sky Train เล่นอีกรอบ

ด่านตม.ที่นี่ใช้เวลาตรวจแป๊ปเดียวครับ คนละไม่ถึง 5 นาที จากนั้นก็เดินยาวๆออกไปได้เลย สิ่งแรกที่พวกผมทำก่อนคือหาซื้อซิมการ์ดครับ โดยจะมีขายอยู่ตรงเคาเตอร์แลกเงิน โปรตอนที่ผมไปมีแบบที่เหมาะสุดคือ 15$ ใช้ได้ 5 วัน โทรได้ 300 นาที เนต 4 GB ครับ ผมอยู่แค่ 3 วันแค่นี้ก็ใช้ได้สบายๆแล้ว

ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าๆแล้วถึงเวลาหาที่นอนกันครับ ตรงที่พวกผมออกมามันค่อยข้างพลุกพล่าน และไม่มีที่นั่งครับ เลยพากันเดินหาได้สักพักสรุปคร่าวๆได้ดังนี้ครับ

  • Terminal 1 Level 2 ชั้น Departure ช่วงริมซ้ายสุดและขวาสุดจะมีเก้าอี้ยาวๆแบบไม่มีที่วางแขนใช้นอนได้ครับ แต่ข้อเสียคือ เสียงดัง และคนพลุกพล่านมาก เนื่องจากมีคนเข้ามาขึ้นเครื่องตลอด และไกลห้องน้ำครับ
  • Viewing Mall จะอยู่ Terminal 1 Level 3 ขึ้นบันไดเลื่อนต่อจากชั้น Departure มาครับ ขึ้นมาให้มองหา KFC เดินไปหน้าร้านจะเห็นป้ายบอกทางไปครับ มันจะเป็นลานโล่ง ที่เงียบ ใกล้ห้องน้ำ และคนไม่พลุกพล่านครับ แต่นอนตรงนี้จะต้องนอนพื้นนะครับ ตามรูปเลย ถ้ายึดนอนหลังเสาได้จะสบายมาก เหมาะส่วนตัว และไฟสลัวๆ ซึ่งพวกผมก็นอนกันที่นี่แหละครับ
  • Terminal 3 ทางลงไป Sky Train เป็นลานโล่ง เงียบ ไม่พลุกพล่าน และโล่งมาก อาจจะไกลห้องน้ำหน่อยครับ

แนะนำให้เตรียมอะไรมาปูนอนด้วยนะครับ เอาถุงนอนมาก็ดีเพราะดึกๆหนาวมากกกก


Day 2 : The Island of The Island

05.30 หลังจากนอนกันเต็มอิ่มที่ Viewing Hall พวกผมก็เดินทางไปยัง Terminal 3 เพื่อนั่ง sMRT เข้าเมือง (ป้ายบอกทางไปรถไฟอาจจะมึนๆนิดนึง แต่คิดง่ายๆเลยคือให้ตรงไป Terminal 3 ครับ) ตรงทางเข้าสถานีจะมีเคาเตอร์ขายบัตร Ezlink ครับ แต่เคาเตอร์เปิดตอน 7 โมง ทำให้ตอนนี้พวกเราต้องซื้อตั๋วผ่านเครื่องไปก่อน ที่พักผมจะอยู่ที่สถานี Clark Quay (อ่านว่า คลาก-คีย์ ) เป็น Hostel ชื่อว่า Blissful Loft ครับ ผมจองจาก Airasia Go ตอนมีโปรตกคืนละ 400 กว่าบาท ซึ่งตอนนี้ผมยัง Check-in ไม่ได้เนื่องจากยังเช้าไป แต่เจ้าของชื่อคุณจีเซ่น ก็ใจดีให้พวกเราอาบน้ำ และทานขนมปัง กาแฟ ของที่พัก

อาหารเช้าวันนี้พวกผมไปทีร้านขนมปังสังขยาขึ้นชื่อ Ya Kun Kaya Toast ครับ อยู่บนถนน China st. เดินไปไม่ไกลจากที่พักผมครับ ระหว่างทางเราก็จะผ่านตึกรูปทรงแปลกตา พวกสตรีทอาร์ตและรูปปั้นต่างๆ ซึ่งจะพบได้เรื่อยๆทั่วสิงคโปร์ครับ

Location : https://goo.gl/maps/b3U9tXiwt9B2



Location : https://goo.gl/maps/ZAAMtqYTEww


เมนูร้าน Ya Kun นี้จะแบ่งเป็นชุด A B C แตกต่างตามชนิดขนมปัง คือ ขนมปังปิ้งทาสังขยา ขนมปังปิ้งทาพีนัทบัตเตอร์ และ เฟรนโทสสังขยา เสิร์ฟคู่กับไข่ลวก 2 ฟอง และเครื่องดื่มร้อน/เย็น ราคาอยู่ที่ 5-6 เหรียญ ปริมาณพออิ่มอยู่ สังขยาที่นี่จะหวานกว่าบ้านเรามากครับ

Location : https://goo.gl/maps/bQGNHdiAQVS2

ทานเสร็จแล้วพวกผมก็เดินไปสถานี China Town เพื่อนั่ง sMRT ไปสถานี Harbor Front เป้าหมายคือเกาะ Sentosa นั่นเองครับ โดยสถานี Harbor Front จะเชื่อมต่อกับห้าง Vivo City เราจะไปขึ้น Sentosa Express ข้ามไปยังเกาะ Sentosa ที่ชั้น 3 ของห้างนี้ ถ้ามีบัตร Ezlink หรือ NET FlashPay ก็จะสามารถสแกนบัตรเข้าได้เลย ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วครับ

เราสามารถตรวจสอบเส้นทางของ sMRT ได้จากเวปนี้ครับ http://journey.smrt.com.sg/ แค่ใส่ต้นทางและปลายทาง เวปจะบอกสายรถไฟ/รถ Bus ที่เร็วที่สุดให้ รวมถึงประมาณเวลาให้ด้วย ส่วนราคาค่าโดยสาร sMRT สามารถเชคได้ในเวปนี้ครับ http://goo.gl/OxrfpD

ในเกาะ Sentosa จะมีสถานี Sentosa Express 3 สถานีครับ คือ Waterfront / Imbiah / Beach Station ซึ่ง Waterfront Station จะเป็นที่ตั้งของ Resorts World Sentosa. (USS,SEA) ครับ Imbiah Station จะลงมาพอดีกับ Merlion ตัวพ่อ ส่วน beach Station จะเป็นปลายทางลงไปจะเจอหาด Palawan และ Siloso Beach ครับเริ่มแรกเราลงไปที่ Waterfront Station ก่อนโดยผมกะเข้าไปดูใน S.E.A Aquarium ถึงเที่ยง ตอนบ่ายก็จะออกมาเดินดูส่วนอื่นๆของเกาะ Sentosa ครับ S.E.A Aquarium โฆษณาว่าเค้าเป็น Aquarium ที่ใหญ่ที่สุดใน S.E.A ( South East Asia ) แต่ถ้าวัดปริมาณน้ำแล้วที่นี่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีนครับ

เข้ามาห้องแรกจะเป็นคล้ายๆมิวเซียม แสดงการเดินเรือค้าขายของแต่ละประเทศใน S.E.A ครับ จุดเด่นคือเรือสำเภาลำยักษ์ของเจิ้งเหอที่ตั้งตระหง่านต้อนรับแขกผู้มาเยือน เจิ้งเหอกัปตันเรือชาวจีนที่แล่นเรือบุกเบิกไปไกลถึงทวีปแอฟริกา และนำ แรด และยีราฟ กลับมาในจีน ซึ่งคนจีนเชื่อว่ายีราฟนั่นคือกิเลนนั่นเอง

ผ่านห้องแรกมาเราก็จะเจอส่วนที่เป็น Aquarium โดยที่นี่จะแบ่งโซนเป็น ทะเลชวา ทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล และ Open Ocean ครับ

ข้อดีของที่นี่คือปลาเยอะมากกกก เยอะจนเบื่อพวกปลาทะเลสีๆไปเลย ปลาดูสุขภาพดีแฮปปี้ มี Activity ว่าเล่นไปมา และมีโดมใหญ่ๆเยอะ


ไฮไลท์ที่สุดของที่นี่คือโดมยักษ์ขนาดเกือบเท่าจอในโรงหนัง ไลท์ติ้งสวยมาก เปิดเพลงคลอเบาๆ พระเอกของตู้นี้คือ Manta Ray ซึ่งหาดูยากมาก ในไทยต้องลงไปดำดูแถบหาดใหญ่ ไม่ก็ยาวไปบาหลีเลย การได้ยืนดู Manta ray ว่ายฝ่าฝูงปลาเล็กๆนับร้อยตัวคือที่สุดแห่งความฟิน


ประมาณเที่ยงๆผมก็ออกมาครับ เดินหาข้าวเที่ยงกินกัน ตรงรอบๆ USS และ S.E.A ส่วนใหญ่จะเป็นร้านแพงๆ ร้านถูกจะอยู่ตรงแถวหน้า Casio ครับ ต้องลงบันไดเลื่อนทีอยู่ข้างๆ S.E.A ลงไปครับ

ทานเสร็จแล้วผมก็เดินสำรวจเกาะ Sentosa ต่อ เดินผ่านน้ำพุขึ้นบันไดไปจะเจอ Merlion ยักษ์ครับ ในสิงคโปร์จะมี Merlion ดังๆอยู่ 3 ตัว ซึ่ง 2 ตัวจะอยู่ที่ Marina Bay เป็นตัวแม่ที่พ่นน้ำ กับตัวลูกยืนอยู่ในสวนด้านหลังครับ ตัวที่ Sentosa จะเป็นตัวพ่อซึ่งไม่พ่นน้ำครับ แต่เราขึ้นไปอยู่ในปากมันได้แทน (เสียตังนะ)

ผ่าน Merlion ตัวพ่อไปเราจะเจอทางไปหาดครับ จะเป็นทางลงเนินมีน้ำพุประหลาดไหลเป็นแนวยาวไปตามทาง ใครขี้เกียจเดินก็ขึ้น Sentosa Express ไปเลยก็ได้ครับ


Beach Station หลักๆเค้ามาดูโชว์ wind of life กัน แต่รอบๆก็มีที่ให้เดินดูวิวครับ โดยเฉพาะหาด Palawan จะมีหอชมวิวซึ่งอยู่บนเกาะกลางน้ำ โดยเราต้องเดินข้ามสะพานแขวนไปครับ


เดินเล่นหาดเสร็จผมก็นั่ง Sentosa Express ยาวกลับไปที่ Habour Front stn. ครับ แล้วก็แวะกลับที่พักไปชาร์จแบตกล้องแป๊ปนึง เตรียมออกยาวๆเก็บแสงสีรอบๆ Marina Bay ครับ โดยประมาณ 5 โมงผมก็เดินทางไปที่สถานี Bayfront โดยออกจากสถานีมาก็จะเจอห้าง The Shoppes at Marina Bay Sands เดินทะลุห้างออกมาลานด้านหน้าเราก็จะเจอกับทางเดินเรียบ Marina bay ครับ ตรงจุดนี้จะเห็นวิวตึกระฟ้าบริเวณย่าน Raffle Place สวยงามมากทีเดียว ผมตั้งกล้องถ่ายพระอาทิตย์ตกบริเวณหน้า ArtScience Museum

Location : https://goo.gl/maps/Pet3ioPFLS22


จากนั้นก็เดินต่อไปเก็บภาพแถวๆ Helix Bridge ที่อยู่ติดกันครับ

Location : https://goo.gl/maps/bqPXRG4rsH22


เดินต่อไปยัง Esplanade โชคดีตอนนั้นมีคอนเสิร์ตเล็กๆแสดงอยู่ เลยได้ดูวิวแสงสีมีเพลงฟังคลอไปเรื่อย

Location : https://goo.gl/maps/sEsH2fdg2o22

ข้ามสะพานต่อมายังแถบ Merlion ครับ ถ่ายย้อนกลับไปบริเวณ Marina Bay Sand ที่เราถ่ายพระอาทิตย์ตกดินเมื่อเย็น

Location : https://goo.gl/maps/bpicMecidWr

ตึก Marina Bay Sand จะมีการโชว์แสงสีทุกวันตอน 20.00 21.30 และ 23.00 (เฉพาะเสาร์-อา) ไปยืนดูตรงลานหน้า Merlion จะเห็นชัดมาก ควรรีบไปรอดูให้ตรงเวลานะครับ เพราะโชว์มันสั้นมาก 13 นาทีก็จบแล้ว


โชว์จบผมก็กลับที่พักที่ Clark Quay ครับ ว่าจะเดินกลับจะแต่นั้นขามันจะก้าวไม่ไหวแล้ว ถ่ายรูปมาราธอนตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม แถมยังไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย เลยเดินไปขึ้น sMRT ที่สถานี Raffle Place ครับ แวะซื้อข้าวปั้นและนมจาก 7-11 กลับไปกินที่ๆพักด้วย (มีโปร 2 ก้อน 3 sgd)


Day 3 : The Jungle in The City

วันนี้ตื่นเช้าไปรอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแถวๆ Merlion ครับ ผมไปรอถ่ายผิดที่ไปหน่อย พระอาทิตย์มันขึ้นไม่ตรงกับตึก ArtScience Museum ที่อยู่ข้างๆ Marine Bay Sand ครับ ขยับก็ไม่ได้เพราะตั้งกล้องถ่าย Time lapse อยู่ ถ้าจุดที่ดีที่สุดก็คือลานหน้า Merlion ที่เดียวกับที่ดูโชว์เลเซอร์เมื่อวานครับ


วันนี้เราไปกินข้าวเช้าที่ Maxell Food Center กันครับ ลงสถานี China Town และเดินต่อมาอีกนิดหน่อย ที่นี่จะเหมือนฟู้ดคอร์ดมีร้านอาหารหลายๆร้านครับ เมนูที่สั่งก็แน่นอน ข้าวมันไก่สิงคโปร์ นั่นเอง จริงๆก็ไม่รู้สึกแตกต่างจากของไทยเท่าไหร่ครับ น้ำจิ้มไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง //ลิ้นจระเข้ 555+

Location : https://goo.gl/maps/93bJdpDP8mm


แพลนวันนี้ผมจะไปเดินป่าสิงโปร์บนเส้นทางที่เรียกว่า The Southern Ridge ครับ โดยจะประกอบด้วย 4 Trail หลักๆคือ Telok Blangah Trail - Henderson Wave Trail - Mount Fable - Marang Trail โดยจุดเริ่มต้นจะอยู่ที่ Alexandra Ach ครับ เป็นสะพานเกลียวๆทรงแปลกๆ และปลายทางคือห้าง Vivo City ระยะทางรวมประมาณ 4 km ครับ จะมีการข้ามเขาเตี้ยๆลูกนึงด้วย แต่ทางไม่ชันเลย เดินง่ายครับ เสียแค่ร้อนเท่านั้นเอง


การเดินทาง ผมนั่ง sMRT ไปลงสถานี Habourfront จากนั้นเดินออกมาหน้าห้าง Vivo City จะเจอป้ายรถเมล์ครับ ตรงนั้นมีบอร์ดบอกรายละเอียดรถเมล์แต่ละสายไว้อย่างละเอียดเลย ให้ดูคันที่วิ่งผ่านป้าย SP Jain (สาย 98,61,100,160) การขึ้นรถเมล์เราใช้บัตรเดียวกับที่ใช้กับ sMRT จ่ายได้เลยครับ ขึ้นที่ข้างคนขับ แตะบัตร 1 ที ตอนลงประตูหลังแตะอีกทีนึงครับ

Location : https://goo.gl/maps/n2L1h3neBX22

นั่งไปประมาณ 10 นาทีครับ พอมองเห็นสะพาน Alexandra Arc ให้กดปุ่มให้รถจอดครับ รถจะจอดเลยสะพานไปนิดนึง ป้ายรถเมล์ SP Jain สังเกตไม่ยาก เพราะสะพานอันใหญ่มาก พอลงรถแล้วก็เดินนขึ้สะพานได้เลยครับ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ Telok Blangah Trail นั่นเองครับ

Location : https://goo.gl/maps/TWeZFKYSRCH2

ข้ามสะพานมาให้เดินตามป้าย Telok Blangah Trail ไปเรื่อยๆครับ ช่วงนี้จะเป็นทางเดินยกสูง คนกลัวความสูงอาจจะเสียวหน่อยนะครับ ช่วงแรกจะไม่มีต้นไม้บังเงา ควรพกหมวกหรือร่มมาด้วยครับ บางช่วงก็มีป้ายให้ระวังลิงป่าด้วย



ทางเดินยกสูงจะพาเราขึ้นสูงไปเรื่อยๆจนถึง Telok Blangah Hill Park ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของ Telok Blangah Trail บริเวณนั้นจะเป็นจุดชมวิว และมีร้านอาหาร Alkaff Mansion (แต่น่าจะค่อนข้างแพง) จากนั้นจะเป็นช่วงเปลี่ยน Trail เป็นทางเดินเรียบถนนไปเรื่อยๆ จนเจอจุดเริ่มต้นของ Trail ที่ 2 นั่นคือ Henderson Wave Trail


Location : https://goo.gl/maps/bEjJ1Wtbc852



Trail นี้จะเป็นทางเดินในป่า ไม่ได้ยกพื้นลอยแบบทางที่ผ่านมา โดยปลายทางของ Trail นี้คือสะพานไม้ที่ทำเป็นรูปคลื่น The Henderson Wave



ปลายสะพานเราจะเข้าสู่ Trail ที่ 3 นั่นคือ Fable Walk ส่วนนี้เป็นจะเป็นทางขึ้นเขา โดยเราจะเดินบนฟุตบาทให้เดินเรียบถนนไปเรื่อยๆไม่ชันมาก โดยระหว่างทางจะมีทางแยกขึ้นไป Fable Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่จะมี Merlion อีกตัวซ่อนอยู่ครับ แต่ผมไม่ได้เดินไปจุดนี้ครับ เข้าใจว่า Merlion มันยืนอยู่ที่ Fable Park จึงเดินเลยไปทางนั้นก่อนซึ่งมันคือจุดสุดท้ายของ Fable Walk ครับ


Location : https://goo.gl/maps/ktwUK7B4dCL2



ก่อนถึง Fable Park เราจะเจอ Cable Car Station ซึ่งเป็น Cable car สายเดียวกับที่ใช้นั่งข้ามจาก Vivo City ไปยังเกาะ Sentosa ครับ โดยที่นี่คือ Station ที่ขึ้นต่อจาก Vivo City มา เราสามารถนั่งกลับไป Vivo City จากจุดนี้ได้เช่นกันครับ ราคาตกอยู่ที่ 26$ ค่อนข้างแพงเทียบกับระยะทางแค่นี้ครับ ถ้าอยากนั่งชมวิวก็โอเคอยู่ แต่ถ้าจะนั่งลงเขาผมแนะนำให้เดินลงจะคุ้มกว่าครับ เพราะจากจุดนี้เดินอีกประมาณ 30 นาทีก็จะถึงหน้า Vivo City แล้วครับ

Location : https://goo.gl/maps/zT6itiT8LRu



เลย Cable Car Station ไปจะเป็น จะมีบันไดลงต่อไปยัง Trail สุดท้ายนั่นคือ Marang Trail ครับ จะอยู่ก่อนถึงทางแยกไป Fable Park นิดเดียวครับ ใครมีเวลาสามารถแวะไปเดินชมวิวใน Fable Park ได้ครับ แต่ผมเวลาค่อนข้างกระชั้นแล้วเลยแวะไปดูวิวหน้าสวน แล้วจึงรีบลงไปทาง Marang Trail ครับ


Location : https://goo.gl/maps/LBdMHpGmfsF2



Marang Trail จะเป็นทางลงยาวๆไปยังด้านล่างรู้สึกคิดถูกที่ไม่ได้เดินขึ้นจากทางนี้ครับ เพราะคนที่เดินสวนขึ้นมาแต่ละคนนี่ก็หอบแฮ่กๆกันเป็นแถวๆ Trail นี้เป็นการเดินในป่าแต่มีขั้นบันไดให้ชัดเจนครับ เดินไม่นานก็จะลงมาถึงด้านล่างตรงข้ามห้าง Vivo City พอดี โดยสถานี sMRT จะอยู่ทางซ้ายมือพอดีครับ



ผมแวะเข้าไปทานข้าวในฟู๊ดคอร์สชั้นใต้ดินของ Vivo City ก่อนครับ จากนั้นก็นั่ง sMRT ไปลงสถานี Bugis เพื่อไปยัง Arab Street และ Haji Lane ครับ โดยถนนเส้นนี้จะมีร้านขายของแนวๆเต็มไปหมด แต่ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรซักเท่าไหร่ ส่วนนึงเพราะค่าครองชีพเค้าสูงด้วยแหละครับ ของที่แพงกว่าปกตินิดหน่อยเลยกลายเป็นของแพงโคตรในทันที นอกจากนั้นก็จะมีร้านกาแฟสองสามร้าน ร้านเหล้า และ Street Art อีกนิดหน่อยครับ ที่นี่จะเปิดสายนะครับ ประมาณ 11 โมงเป็นต้นไป แต่เปิดยาวจนถึงมืดเลย ความเห็นผมที่นี่ไม่ต้องมาก็ได้ครับเพราะเป็นซอยเล็กๆเท่านั้น ยกเว้นจะมีเวลาเหลือๆค่อยมาเดินเล่น ชอบสตรีทอาร์ต แนะนำปีนังเลยครับ สเกลใหญ่กว่ากันเยอะ 555


Location : https://goo.gl/maps/unopoLsnCxw



สถานที่ต่อไปคือ Garden by the Bay ครับ โดยนั่ง sMRT ไปยังสถานี Bayfront แล้วเดินตามป้าย Garden by the Bay ไปเรื่อยๆ โดยที่นี่จะค่อนข้างใหญ่นะครับ ใครมีเวลาสามารถมาเดินดูสวนได้เกือบทั้งวันเลย และสวนนี้จะติดกับ Marina Barrage ด้วย

Location : https://goo.gl/maps/wMp1fQiN6e32



Garden by the Bay จะแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆครับ พอเข้ามาปุ๊ปจะเจอส่วนแรกคือสวนหย่อมที่จำลองพืชพรรณของแต่ละประเทศ เช่น สวนแบบจีน แบบอินเดีย สวนนี้ สามารถเดินดูได้ทั้งวันครับ แต่ดึกๆจะมืดหน่อย ติดไฟน้อยคับ ส่วนที่ 2 คือ Super tree อันโด่งดัง จะตั้งอยู่ตรงกลาง GBB เลยครับ ตอนกลางวันก็ดูเป็นเสายักษ์ทรงแปลกตา แต่พอตกกลางคืนเค้าจะเปิดไฟระยิบระยับสวยงาม และเค้าจะมีโชว์ไฟวันละ 2 รอบคือตอน 19:45 และ 20:45 โชว์นี้มีชื่อว่า The Garden Rhapsody ครับ เป็นโชว์ที่ไม่ควรจะพลาดเป็นอย่างยิ่ง!!! และส่วนสุดท้ายคือ Dome อันใหญ่สอง Dome นั่นคือ Flower Dome และ Cloud Forest ครับ สองโดมนี้จะต้องเสียตังเข้านะครับ ตั๋วจะขายเป็นตั๋วคู่ 2 ที่เลย แนะนำให้ซื้อจากงานท่องเที่ยวที่ไทย ไม่ก็ Sea Wheel ที่ China Town จะถูกกว่าซื้อหน้าทางเข้านะครับ

โดยสองโดมนี้ในความรู้สึกผม Cloud Forest นี่อลังการและคุ้มค่าตั๋วมากครับ ขณะที่ Flower Dome นี่เฉยๆมาก แต่ก็ไม่ได้แย่นะครับ โดยใน Cloud Forest เหมือนเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่เค้าจำลองสภาพป่าดิบชื้นบนที่สูงมาไว้ให้ จะมีพืชพวกมอส เฟิร์น และพืชกินแมลงแปลกๆมากมาย โดยทางเดินจะยกสูงขึ้นเรื่อยๆจนเเทบถึงยอดโดมครับ (มีลิฟท์ให้สำหรับคนที่ขี้เกียจเดินด้วย) และจะช่วงที่เค้าจะปล่อยหมอกออกมา เป็นรอบๆครับ ตอนผมไปไม่เจอตอนปล่อยหมอก แต่เพื่อนที่เจอบอกว่าสวยมากครับ


ตอนผมออกจาก Cloud Forest แสงเย็นเริ่มมาแล้ว ผมจึงยังไม่เข้า Flower Dome แต่เดินต่อไปที่ Marina Barrage ที่อยู่ติดกับด้านหลังของ Garden by the Bay ครับ โดย Marina Barrage เป็นเขื่อนที่ด้านบนจะเป็นสนามหญ้ายกสูง อธิบายง่ายๆคือสวนจตุจักรผสมสนามหลวงของคนสิงคโปร์ครับ เพราะในสนามหญ้านี้จะเต็มไปด้วยชาวเมืองมานั่งกินข้าว นอน เล่นว่าว และกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ แต่จุดเด่นของที่นี่คือเราจะมองเห็นวิวเมืองสิงคโปร์จากระยะไกลได้ชัดเจน ยิ่งช่วงเย็นๆพระอาทิตย์ใกล้ตกจะสวยงามมากครับ

Location : https://goo.gl/maps/8L7grrX6BJv


พอพระอาทิตย์ตกเรียบร้อยผมก็รีบเดินกลับมาที่ Flower Dome ครับ แม้ว่า Garden by the bay จะไม่มีเวลาปิด แต่โดมพวกนี้จะปิดตอนสามทุ่มครับ ซึ่งจะเปิดให้คนเข้าชุดสุดท้ายตอนสองทุ่มครึ่ง พวกผมไปทันเวลาได้เดินดูโดมนี้เร็วๆครับ โดยภายในโดมจะแบ่งเป็นประเทศๆ แต่ละประเทศก็มีพรรณไม้ที่แตกต่างกันครับ ซึ่งเทียบกับ Cloud Forest แล้วสวนนี้จะเล็กกว่าครับ ไม่ค่อยอลังการเท่า แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบพรรณไม้แปลกๆหายากๆน่าจะสนุกกับโดมนี้ครับ


ไฮไลท์สุดท้ายที่เราจะไปคือ Super Trees และการแสดงแสงสีอันโด่งดัง The Garden Rhapsody ครับ จะแสดงคืนละ 2 รอบ นั่นคือตอน 19.45 และ 20.45 ควรจะไปดูอย่างยิ่งครับโชว์นี้ เวลาปกติ Super Trees ก็จะเปิดไฟประดับส่วนนึง แต่ในโชว์นี้เค้าจะเปิดเต็มมากกกก พอเดินไปถึงก็เลือกที่นั่งในลานได้เลย นั่งพื้นแล้วแหงนมองจะสะดวกสุด บางคนถึงกับนอนดูเลยครับ


จริงๆเราสามารถขึ้นไปเดินบนทางเดินเชื่อมระหว่าง Supertrees ได้ครับ มันจะชื่อว่า OCBC Sky Walk ครับ เสียค่าขึ้นคนละ 5$ ผมไม่ได้ขึ้นไปเนื่องจากเค้าปิดขายตั๋วตอนสองทุ่มครับมาไม่ทัน 555

สำหรับคนที่อยากหาอะไรทานนะครับ ตรงหน้า Supertrees จะมีร้านอาหารอยู่ มีตั้งแต่เป็นร้านหรูๆไปยังฟาสฟู๊ดส์ครับ ราคาจะอัพจากด้านนอกนิดนึง และอีกที่นึงจะอยู่ทรงท้ายสวนก่อนถึง Marina Barrage ครับ จะไม่หรูหราเท่าตรงหน้า Supertrees ซึ่งพวกผมได้บัตรลดค่าอาหารแถมจากงานเที่ยวไทยครับ เลยทานอาหารที่นี่ได้แบบไม่เจ็บมาก 5555 ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็กลับไปเดินที่ Clark Quay ครับ เป็นที่ๆติดกับที่พัก แต่เลือกไปเที่ยวเป็นที่สุดท้ายเลย

Clark Quay พูดง่ายๆก็คือทองหล่อกลางน้ำนั่นแหละครับ โดยผังที่นี่จะเป็นวงกลม แยกเป็นซอยย่อย แต่ละซอยจะเดินเข้าไปเจอลานตรงกลาง รอบนอกจะเป็นพวกร้านอาหาร pub&restaurant ขายซีฟู๊ดเปิดเพลงชิลๆ แต่ยิ่งเดินใกล้จุดศูนย์กลางก็จะยิ่งฮาร์ดคอร์ขึ้นเรื่อยครับ โดยรอบๆลานตรงกลางนี้จะเป็นผับเกือบทั้งหมดครับ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่ย่อย เพื่อนผมถามมาค่าเปิดเหล้าก็ 150 $ เข้าไปแล้ว

Location : https://goo.gl/maps/jewz7783Nam



ผมเดินเล่นพักใหญ่ๆก็เดินทางกลับที่พักครับ พักผ่อนเอาแรงเนื่องจากตอนเช้าจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นอีกรอบ


Day 4 : Chinese Sunday


เช้านี้ผมไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นหน้า Merlion เหมือนเดิมครับ ทริปนี้โชคดีมากที่อากาศดีทุกวัน ไม่เจอฝนเลย แต่ก็แลกกับฟ้าเปิดโล่ง ไม่มีเมฆทรงสวยๆให้ถ่าย วันนี้ไม่พลาดแล้วมายืนถูกมุม แต่คนเยอะกว่าเมื่อวานเยอะเลย ช่างภาพมากางขาตั้งกันเต็มไปหมด



หลังจากนั้นพวกผมก็ไปทานอาหารร้าน Tak Po ซึ่งเป็นร้านติ่มซำชื่อดังใน China Town สามารถเดินเท้าจาก sMRT สถานี China Town ไปได้เลยครับ ไฮไลท์ของวันนี้คือโจ๊กขากบ ที่พี่ที่ไปด้วย Recommend มื้อนี้เสียไป 13.5$ ครับ (โจ๊ก+ติ่มซำ)เป็นมื้อที่แพงที่สุดของทริปนี้แล้ว

Location : https://goo.gl/maps/5s3mDR8RrhJ2




ราคาแอบแรงนิดนึง รสชาดใช้ได้ครับ เนื้อนุ่มและเด้งดึ๋ง ตามฉบับเนื้อกบ มันจะมีแบบใส่พวกพริกเผาด้วยอันนั้นน่าจะเข้ากับเนื้อกบดีครับ จากนั้นผมก็มาเก็บที่เที่ยวสุดท้ายก่อนจะกลับครับ นั่นคือ Buddha Tooth Relic Temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเองครับ โดยตัววัดจะอยู่ไม่ห่างจากร้าน Tak po และอยู่ระหว่างทางเดินไปสถานี Chinatown ด้วย จริงๆผมเดินผ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งจะได้เข้าไปชมในวันนี้ครับ
Location : https://goo.gl/maps/fdbrtHkwpgr





วัดแห่งนี้จะมีลิฟท์ขึ้นไปแต่ละชั้นครับ โดยพระเขี้ยวแก้วก็จะอยู่ด้านบนเช่นกัน (ห้ามถ่ายรูป) ส่วนบนดาดฟ้าก็จะมีสวนหย่อมเล็กๆให้เดินครับ




จริงๆ Cinatown จะมีวัดแขกอีกวัดหนึ่งอยู่ระหว่างทางคือ Sri Mariamman Temple แต่ผมไม่ได้เข้าไปครับ แค่ถ่ายรูปจากด้านหน้า เนื่องต้องรีบเดินทางกลับไปเก็บของ และไปสนามบินเพื่อส่งเพื่อนบางคนกลับก่อนครับ วัดนี้จะเก็บค่าถ่ายรูปนะครับ และมีหลายๆจุดที่ถ่ายรูปไม่ได้ ยังไงใครจะไปลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมไปก่อนนะครับ
Location : https://goo.gl/maps/ZzTBNJGxQr52



สนามบิน Changi จะมีร้านอาหาร และพวก Market อยู่ชั้นใต้ดินครับ สามารถมาหาอะไรรองท้องก่อนได้ ตรวจสอบให้ดีนะครับว่าเราต้องกลับ Terminal ไหน หลังผ่านตม.เข้าไปแล้วก็จะเจอจุดทำ Tax Refund และร้าน Duty Free อีกมหาศาลครับ ผมก็ใช้วิธีหาร้านอาหารที่ไม่แพงมาก กินข้าวกับเค้า และก็นั่งยาวๆรอเดินทางกลับ


สถานที่ท่องเที่ยวในทริปนี้เป็นแค่ส่วนเดียวของประเทศสิงคโปร์เท่านั้นนะครับ ผมไปใน Landmark สำคัญๆ และที่สวยๆที่ซ่อนอยู่รอบๆ แต่ในอีกด้านของประเทศนี้ยังมีที่เที่ยวอีกมากมายซ่อนอยู่ เช่น ตระกูล Zoo ทั้งหลายที่ได้ยินมาว่าอลังการไม่แพ้ S.E.A Aquarium แถบชายแดนติดที่ยะโฮ บาห์รู สามารถข้ามไปเที่ยวฝั่งมาเลเซียได้เหมือนกัน ถ้ามีเวลามากๆสามารถเที่ยวยาว สิงคโปร์ - มาเลเซีย ได้เลย รวมถึง Nation Park ต่างๆที่ซ่อนอยู่ในสิงคโปร์ นอกจาก The Southern Ridge แล้วยังมีอีกหลาย Trail ที่น่าเดินไม่แพ้กันครับ


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ ไว้พบกันใหม่ครับ



ความคิดเห็น