..เมื่อฝนมาจะเป็นเวลาที่ผืนป่ากลับมาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ทั้งสรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างมีความสุข หลังจากที่ฤดูแล้งเริ่มผ่านไป และไม่แต่สัตว์ป่าเท่านั้น แม้แต่คนเดินป่าก็เริ่มสะพายป้ขึ้นหลังและหาทริปออกเดินทางกันอีกครั้ง ทริปนี้พวกเรานัดหมายกันแบบฉุกละหุกก่อนเดินทางอาทิตย์เดียวว่าจะไปนอนฟังเสียงน้ำตกกลางผืนป่าเขาใหญ่แถบประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ดินแดนแห่งน้ำตกที่มีมากที่สุดในประเทศไทย
พวกเราเดินทางกันเช้าวันเสาร์ไม่รีบร้อนเพราะระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่ ออกเดินทางไปยังเส้นรังสิต - นครนายก แยกเข้าปราจีนบุรี ตรงไปยังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขญ.10 ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งกับระยะทาง 144 กม.ซึ่งที่ตั้งของหน่วยอยู่บริเวณน้ำตกตะคร้อ จัดแจงติดต่อเจ้าหน้าทำเรื่องขออนุญาติเข้าพื้นที่และเจ้าหน้าที่นำทาง ซึ่งเราได้โทรมาติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว
สถานที่ที่เราจะไปเป็นน้ำตกแห่งหนึ่งที่อยู่กลางผืนป่าเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรี ที่มีชื่อว่าน้ำตกฟองสบู่ กับ น้ำตกตาขนดำ ซึ่งต้องใช้วิธีการเดินเท้าบุกป่าฝ่าดงเท่านั้นถึงจะเข้าไปสัมผัสความงดงามของน้ำตกทั้งสองแห่งนี้ได้ จากจุดเริ่มเดินที่หน่วย ขญ.10 (น้ำตกตะคร้อ) แห่งนี้ สามารถเดินเท้าไปยังน้ำตกต่างๆที่มีอยู่มากมายในบริเวณนี้ แต่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลความปลอดภัยทุกครั้ง เพราะเส้นทางที่เราจะเข้าไปถึงน้ำตกต่างๆมีสัตว์ป่าเจ้าของพื้นที่อยู่มากมาย
พวกเรา 8 คนพร้อมเจ้าหน้าที่อช. 1 คนและลูกหาบอีก 2 คน เหวี่ยงเป้ขึ้นหลังออกเดินขึ้นมอเล็กๆหลังหน่วยเข้าสู่ผืนป่าดิบเขาใหญ่ ซึ่งสภาพเส้นทางค่อนข้างรกชัฎ เพราะไม่ค่อยมีคนเข้าไป ทำให้เส้นทางที่เเจ้าหน้าที่เคยเดินกันถูกปกคลุมไปด้วยป่าหญ้า ต้องแผ้วถาง ฟันทางไปเป็นระยะ บางครั้งก็หลงไปเดินตามทางด่านสัตว์ กว่าจะคลำทางกลับมาได้ก็เสียเวลาพอสมควร
การเดินป่าหน้าฝน ช่วยทำให้เราไม่รู้สึกร้อนกันเท่าไหร่ มีฝนตกพรำๆไปตลอดทาง เส้นทางถึงแม้จะมีมุดลอดดงไผ่ ผ่านทุ่งดงหญ้าคา ลุยน้ำข้ามลำธาร แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนักหนาอะไรกับระยะทาง 8 กิโลบนพื้นราบ มีขึ้นเนินลงเนินเตี้ยๆบ้างเป็นบางครั้ง
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงยังจุดตั้งแคมป์ของน้ำตกฟองสบู่ในช่วง 4 โมงเย็นใช้เวลาเดินทางกัน 5 ชั่วโมง กับระยะทางประมาณ 8 กิโล ตอนแรกเลือกทำเลตรงลานหินริมน้ำเป็นที่ตั้งแคมป์แต่ทางเจ้าหน้าที่เกรงว่าอาจจะเกิดน้ำป่าได้เพราะฝนตกตลอด เลยย้ายขึ้นมาบนฝั่งสักหน่อย หาที่ผูกเปล กางเต้นท์ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำกับข้าวกินกัน แล้วนั้งโจ้กันถึงสองยามก็แยกย้ายกันนอน อากาศคืนนั้นค่อนข้างอบอ้าว ทั้งที่มีฝนตกปอยๆ ทั้งคืน
รุ่งเช้าวันใหม่ในราวป่า ได้ยินเสียงนกร้องทักทายยามเช้า ล้างหน้าแปรงฟันต้มน้ำชงกาแฟกินเสร็จ คว้ากล้องคู่ใจออกมาดูหน้าตาน้ำตกสักหน่อยว่าหน้าตามันเป็นยังไง
สภาพของตัวน้ำตกเกิดจากลำธารสายใหญ่ ที่ไหลลัดเลาะผ่านผืนป่าและไหลมาลงยังลานหินที่ยุบตัวเกิดเป็นแก่งน้อยใหญ่ด้านล่าง และลำธารสายใหญ่นี้ก็เป็นต้นน้ำของแก่งหินเพิง ที่เกิดจากน้ำตกหลากลายสายมารวมกัน
เราใช้เวลาชื่นชมบรยากาศและเล่นน้ำที่ลำธารเหนือน้ำตก แต่คงเล่นได้เฉพาะที่ตื้นๆ เพราะน้ำไหลแรงมาก ถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมถึงชื่อน้ำตกฟองสบู่ เจ้าหน้าที่บอกว่าเวลาน้ำมากๆไหลลงมากระทบแก่งหินเบื้องล่างจะเกิดเป็นฟองมากมายเหมือนฟองสบู่ยังไงยั้งงั้น หลังจากนั้นก็เก็บ camp เดินทางไปน้ำตกชื่อประหลาดอีกที่หนึ่งคือ "น้ำตกตาขนดำ"
เราเดินย้อนกลับทางเก่า ข้ามลำน้ำและเดินลัดเลาะริมน้ำไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางมีพรรคพวกหลงไปคนนึง เพราะพวกเราดันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มนึงตัดทางขึ้นไปด้านบนเพื่อให้เดินง่าย อีกกลุ่มเดินลัดเลาะริมลำธารไป เพื่อนผมดันเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มแรกที่หาทางตัดไปด้านบน เลยนั่งพักเหนื่อยรอกลุ่ม 2 แต่กลุ่ม 2 ดันลัดเลาะเรียบลำธารไปเลยไม่เจอกัน มารู้ตัวอีกทีช่วงพักเหนื่อยกันเช็คจำนวนคนจึงรู้ เจ้าหน้าที่เลยออกตามหาจึงได้พบว่านั่งอยู่ที่เดิม ฝากทริคเล็กๆถ้าหากมาเป็นคณะหากใครหลงป่าอย่าพยามยามเดินต่อไปเพราะอาจจะหลงได้ง่ายๆ ให้รออยู่ที่เดิม เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะแกะรอยมาหาเอง
ถึงแล้วกับภาพน้ำตกตาขนดำ ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อประหลาดดีแท้ สภาพตัวน้ำตกก็ป็นแก่งหินขนาดใหญ่ อยู่บนลำธารสายเดียวกันกับน้ำตกฟองสบู่ เหนือขึ้นไปก็เป็นน้ำตกสลัดได ตาดหินยาว และอีกหลายน้ำตก
ใช้เวลาเก็บภาพได้กันไม่นานฝนก็เริ่มเทลงมา เราเดินกลับทางเก่าและตัดทางขึ้นเนินเพื่อย่นระยะทางกลับไปที่หน่วย ระหว่างทางแปลกใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่รีบเดินตัดป่าดิบบริเวณนั้นรวดเดียวไม่มีพัก พอพ้นออกมาจึงถามเจ้าหน้าที่ เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันบรรยากาศบริเวณนั้นแปลกๆรู้สึกอากาศมันกดทับยังไงไม่รู้ พวกเราเองเป็นคนเมืองอาจจะไม่รู้ว่าคนอยู่ป่าเขาอาจจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกกันว่า "สัญชาติญาณป่า" ติดตัวอยู่ตลอด อย่าทำอะไรเป็นการลบหลู่ความเชื่อของคนในพื้นที่ และเราควรจะเชื่อฟังเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด พวกเราออกจากป่าด้วยสภาพอย่างที่เห็น เปียกตลอดทั้งไปและกลับ
-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ
-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว
-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด
สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 19.33 น.