Day 1 : เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไฟลท์6โมงเช้า ด้วยสายการบิน China Southern Airlines


บินไปถึงสนามบินฉางชา มณฑลหูหนาน ตอน10โมงครึ่ง นั่งรถบัสเข้าเมืองฉางชาใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงดี เพื่อไปลงสถานีรถบัส West station Changsha (ค่ารถบัสคนละ 30 RMB.)
เมื่อไปถึงเราก็จัดการซื้อตั๋วรถบัสที่จะไปจางเจียเจี้ย ได้รอบเวลา 14.30น. ค่ารถคนละ 124 RMB. ระหว่างที่รอก็หาอะไรทานไปก่อน ก็จัดแฮมเบอร์เกอร์จีนไปคนละเซ็ท รสชาติก็ไม่ได้เลยยยยยย แต่ก็เอาประทังชีวิตไว้ก่อนเพราะมื่้อเช้าก็ทานอยู่บนเครื่องมื้อเดียวเท่านั้น

พอถึงเวลาก็ไปขึ้นรถ ต้องคอยเช็คดีๆเพราะมีแต่ตัวหนังสือภาษาจีนทั้งหมด นั่งรอเหม่อๆอาจจะตกรถได้ เรานั่งรถไปอีก4ชั่วโมงก็ถึงเมืองจางเจียเจี้ย มีแวะระหว่างทางก็ลงไปเข้าห้องน้ำ และหาอะไรทานเบาๆ

เราเดินทางมาถึงเมืองจางเจียเจี้ย ก็โทรให้เจ้าของโรงแรมออกมารับเข้าที่พัก เจ้าของโรงแรมเดินออกมารับที่หน้าสถานีรถบัส เดินลากกระเป๋าตามไปไม่ถึง10นาที ก็ถึงที่พักเราแล้ว ชื่อว่า Zhangjiajie MINI Inn นอนที่นี่2คืน เจ้าของโรงแรมก็แนะนำการเดินทางคร่าวๆ ดูแผนการเดินทางให้เรา ถือว่าช่วยเราได้ดีเลย อย่างในแพลนแรกที่มาถึงก็ตั้งใจว่าจะไปดูโชว์Fox fairy ของจางอวี้โหมว แต่กลายเป็นว่าในฤดูหนาวเค้าปิดการแสดง เราก็เลยเสียดายเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร ออกไปหาอะไรทานมื้อเย็นรอบๆไม่ไกลจากโรงแรมแทน

หน้าตาอาหารมื้อแรกที่จางเจียเจี้ย มานั่งกินHot pot ไม่ไกลจากหน้าที่พัก

Day 2 : รุ่งเช้าก็นั่งรถมินิบัสไปเมืองอู่หลิงหยวน ค่ารถคนละ 20 RMB. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ปลายทางที่สถานีขนส่งอู่หลิงหยวน พอไปถึงก็เปิดApp Maps me หาเส้นทางเดินไปที่ Wulingyuan(Southeast Gate) ระยะทางก็ประมาณ 1.2 KM.

ค่าเข้าอุทยานจางเจียเจี้ยเดือนธันวาเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เราซื้อมาได้ในราคา 248 RMB. ค่าเข้าลดราคาลงไปเยอะทีเดียว

เริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ก่อนจะขึ้นลิฟต์แก้วไป่หลง เราก็จะเห็นวิวแท่งหินผาภูเขาสูงในมุมแหงนหน้าแบบนี้กันก่อน ถือเป็นออเดิร์ฟให้นักท่องเที่ยว ก่อนขึ้นไปเจอความอลังการจากด้านบนเขา




ลิฟท์ไป่หลง เป็นลิฟท์แก้วที่สูงที่สุดในโลก ขึ้นเร็วที่สุดในโลก มีความสูง330เมตร (1,070ฟุต) ที่มันเจ๋งก็คือ มันถูกสร้างขึ้นมาแทรกขนานอยู่กับแนวหน้าผาของอุทยานจางเจียเจี้ยอย่างที่เห็นในภาพ โชคดีที่เรารอขึ้นแบบไม่ต้องต่อคิวเลย เดินไปขึ้นลิฟท์ได้แบบทางสะดวกไร้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นนั่นเอง

ได้ตั๋วขึ้นลิฟต์มาแล้ว อันนี้ต้องซื้อเพิ่มนะ จ่ายไปอีก 72 RMB.



ใช้เวลาขึ้นมาเพียง 1 นาทีเท่านั้น เร็วมาก แล้วที่ถูกใจมากคือ ทั้งลิฟต์แก้ว มีเราแค่สองคน

Avatar Hallelujah Mountain



หน้าตาของตั๋วเข้าอุทยานจางเจียเจี้ย

ลิงเจ้าถิ่น







สะพานเหล็กตรงนี้ จากที่เคยเห็นในยูทูปมาคือคนเต็มมาก เยอะแยะตาแป๊ะอาหมวยอาซิ่มอาม่า เรียกว่าต้องต่อคิวกันลงไป แต่เราสบายมาก แทบจะยึดครองสะพานไว้แค่เราสองคน


นกในภาพยนต์อวตาร ที่เอาวิวจากตรงนี้ไปสร้างจนโด่งดัง มาดูกันครับ

วันนี้สภาพอากาศเปิด ไม่มีหมอกมาบดบังวิว ไม่งั้นหุบเขาอวตารที่อยู่ตรงหน้า อาจเปลี่ยนชื่อเป็น หุบเขาอวสาน เพราะถ้ามีเมฆหมอกหนาๆมาบังวิว เราก็จะไม่เห็นอะไรเลย ก่อนเดินทางถึง เมื่อสัก 1 อาทิตย์ตอนที่ยังอยู่ไทย ก็ติดตามสภาพอากาศที่นี่มาตลอด มันมีหิมะตกลงมาด้วย เรียกว่ามองอะไรไม่เห็นเลยขาวมัวหมองไปหมด นี่มาก็ถือว่าโชคดี



ด้านล่างนั้นคือ หุบเหวลึกลงไป จุดนี้ก็ถ่ายภาพเก็บไว้โล่งๆ เพราะปรกติตรงนี้จะไม่เคยว่างเลย เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ยืนออกันไม่ขาดช่วง ถ้าไปยืนตรงรั้วกั้นแล้วมองผ่านที่กั้นออกไป มันคือจุดถ่ายภาพที่สามารถเห็นเทือกเขาลอยฟ้าฮาเลลูยาเหมือนในฉากหนังอวตารได้ชัดเจนที่สุดจุดหนึ่งเลย มาช่วงโลว์ซีซั่นก็ดีแบบนี้แหละ จุดยากๆมักเจ้าถึงได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน






ด้วยความที่ไม่รู้ เพราะที่เดินอยู่ในเส้นทางของYuanjiajia ภายในเขตอุทยานจางเจียเจี้ย จะมีเส้นทางแยกมาจากเส้นทางหลักไป "Yangjiajie" เลยเผลอซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ไป โดยต้องเสียค่านั่งเคเบิลคาร์เที่ยวละ 61 RMB

หลังจากนั่งเคเบิลคาร์ลงมาแล้วก็ เซ็งทั้งหมาทั้งคน เพราะเราก็นึกว่าวิวจะสวยสักแค่ไหน ก็ไม่เท่าไหร่ ก็ยังงงๆว่าลงกันมาทำไม??
จะนั่งรถบัสไปต่อก็คนละเส้นทาง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน กลัวไปยาวเดี๋ยวหาทางกลับจะลำบาก เพราะเส้นทางนี้บอกเลยว่าเราไม่มีข้อมูลใดๆ เลยยอมเสียเงินอีกคนละ 61 RMB สำหรับนั่งเคเบิลคาร์กลับขึ้นไปด้านบนอีกรอบ 555+

จริงๆเส้นทางนั่งเคเบิ้ลคาร์ของหยางเจียเจี้ย เอาจริงๆ ก็สวยไม่น้อยกว่าจุดอื่น เพียงแต่เราอิ่มกับภาพทางหยวนเจียเจี้ยมาตลอดทางแล้ว เลยไม่ฟินเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เห็นด้วยสายตาพอจะบอกได้ว่า ทางหยวนเจียเจี้ยจะสวยและอลังการกว่ามาก (หลังจากนั้นเราก็มาหาข้อมูลดูว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาทางนี้สักเท่าไหร่)
มีความมองบน ในความไม่ฟินของเส้นทางYangjiajie
นั่งไป นั่งกลับ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เสียตังก์ไป 244 RMB หรือประมาณ 1,200 บาท

วิวทิวทัศน์จาก Tianzi Shan มาถึงตรงจุดที่เราได้แค่มองผ่านTianzi Pavillion กับร้านMcdonaldที่ใกล้จะปิดเต็มที เพราะเหลือเวลาจวนเจียนกับกระเช้ารอบสุดท้ายจะหมดตอน17.30น.

แสงสีทอง แสงสุดท้ายของวัน และอยู่เป็นคนสุดท้ายบนเขาจักรพรรดิ์ Tianzi Shan ดีใจที่ได้มาเห็น เสียดายที่ฟ้าปิดไปเยอะมาก แต่นี่ละความสวยงามของการเดินทาง เสียดายที่เวลาต้องหมดลง ยืนอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ คุณภรรยาไปยืนรอขึ้นรถบัสที่จะลงกระเช้าล้าวววว เดี๋ยวติดอยู่บนเขา งานจะเข้า

จบวันเรียบร้อย มาทันเคเบิ้ลคาร์เที่ยวขาลงจากเทียนจื่อซานรอบสุดท้ายสุดท้าย 5โมงครึ่ง ลงมาถึงด้านล่างตอน6โมงเย็นพอดี เราใช้เวลาเดินเที่ยวในอุทยานจางเจียเจี้ยเต็มวันเช้ายันเย็น ทั้งขึ้นลิฟท์ เดินเท้า นั่งรถ เคเบิ้ลคาร์ หลังจากนี้ก็นั่งรถมินิบัสกลับเมืองจางเจียเจี้ย











ก่อนจะเข้าทางเดินกระจก เราต้องใส่ถุงคลุมรองเท้าด้วยครับ

มันจะดูเสียวไปมั้ย 555






ตอนแรกที่เดินเข้าไปตรงระเบียงกระจก คนเพียบ!!! ต้องแอบยืนชิดริมหน้าผา รออีกสักพักใหญ่ๆกว่าคนจะโล่งๆแบบนี้ ทางเดินกระจกมีระยะทางไม่ถึงร้อยเมตรดี ยังมีพื้นที่ว่างอีกหลายจุด หามุมถ่ายเซลฟี่แบบไม่ติดคนอื่นในเฟรมภาพก็ได้อยู่ ^^






AKARACH Pakarathanitthikul
วันพฤหัสที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.14 น.