ถ้าถามผมว่าในประเทศไทยของเรานี่ ผมชอบไปเที่ยวใหนที่สุด

คงไม่พ้นคำตอบว่า ดอยอินทนนท์ นี่หละครับ

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้บ้าน เพราะผมอยู่เชียงใหม่

ดอยอินทนนท์ เป็นที่ท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ละฤดู ก็มีสีสัน บรรยากาศ และอารมณ์ แตกต่างกันออกไป


ฤดูหนาว ก็เจออากาศอันหนาวเย็นที่สุด เท่าที่จะเย็นได้ในประเทศไทย

เย็นจนเกิดน้ำค้างแข็ง หรือ เหมยขาบ แม่คะนิ้ง แล้วแต่จะเรียกกันไปตามแต่ละภาค ขาวโพลนเต็มข้างถนนเป็นที่ตื่นตา


พอมาช่วงต้นปี ดอกไม้สีชมพู ชื่อดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยบานสะพรั่งเต็มไปหมดทั่วทั้งดอย โลกนี้เป็นสีชมพูเลยทีเดียว เป็นช่วงเวลาที่ถ่ายภาพอย่างมีความสุขมากๆ อากาศก็เย็นสบายๆ

พอมาถึงหน้าร้อน แม้ว่าในตัวเมืองข้างล่างจะร้อนดุเดือดแค่ไหน แต่พอขับรถไปถึงยอดดอย ก็ยังเจอฟ้าใสๆ มีอากาศเย็นๆ อุณหภูมิสิบกว่า - ยี่สิบองศา ให้ได้ชื่นใจ และมีน้ำตกมากมายที่มีน้ำเย็นเฉียบให้เล่น

หน้าฝน ชาวเชียงใหม่เรียกว่าเป็นหน้าโลว์ ที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ไม่มีดอกนางพญาเสือโคร่ง ไม่มีแม่คะนิ้งน้ำค้างแข็ง แต่ก็มีป่าฝน ด้านบนปกคลุมด้วยเมฆ ด้านล่างปกคลุมด้วยมอสเขียวขจี นักท่องเที่ยวน้อย ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้กับใคร ได้เสพความเขียวชื่นใจอยู่เงียบๆคนเดียว

พอถึงปลายฝนต้นหนาว ก็มีนาข้าวขั้นบันได เขียวขจีให้ได้ชื่นชม


ผมไปดอยอินทนนท์แทบทุกเดือน บางเดือนก็ไปหลายๆรอบ

ดอยอินทนนท์ เหมือนเป็นสถานที่คลายเครียด เบื่อๆ ก็ขับรถขึ้นไป ลั่นชัตเตอร์ทิ้งสัก 500 ช๊อต หาอะไรอร่อยๆกิน ขับรถ ดูวิวอะไรสวยๆงามๆ ก็หายเครียดแล้ว


ผมว่าดอยอินนี่ ใกล้เชียงใหม่มาก ถึงตอนนี้ ถนนเลียบคลองชลประทานสายใหม่ เลี่ยงอำเภอสันป่าตองก็ได้เปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว ถนนเส้นนี้ สามารถย่นระยะเวลาจากตัวเมืองเชียงใหม่ ให้มาถึงดอยอินทนนท์ได้ ในเวลาชั่วโมงครึง ถึงสองชั่วโมงเท่านั้นเอง ในขณะที่สมัยก่อนต้องขับรถ เกือบๆ 3 ชั่วโมง ถึงจะถึงยอดดอย


เป็นสถานที่เที่ยวที่เดินทางไปง่าย ไม่ต้องใช้ความยากลำบากในการเดินทางอะไรมาก ไม่ต้องเดินป่าเป็นวันๆ ไม่ต้องลุยป่า ลุยโคลน เจอทาก จอดรถแล้วก็ลงไปเสพธรรมชาติได้เลย เหมาะกับคนเวลาน้อย รักความสบาย แบบผมเลยครับ



แผนที่ท่องเที่ยว ยืมจากเวปโครงการหลวงครับ ดัดแปลง เพิ่มเติมสถานที่เข้าไปอีกนิดหน่อย

http://royalprojectthailand.com/inthanon



การเดินทาง ก็ตามเวปเค้าบอกเลยครับ ถ้ารถส่วนตัว ก็สบายเลย แวะเที่ยวได้ทุกที่

ถ้าเป็นรถสาธารณะ นั่งรถจอมทอง จากคิวรถประตูเชียงใหม่ มาลงที่คิวรถหน้าวัดจอมทอง

แล้วก็ เหมารถสองแถว จากคิวรถหน้าวัดจอมทอง ขึ้นดอยมาเลยครับ



ถนนหนทาง ก็กว้างขวาง เรียบง่าย ไม่ค่อยซับซ้อน ไม่น่าหลงกันได้ง่ายๆครับ มีทางหลักๆตรงอยู่ทางเดียว

ตรงขึ้นไปเรื่อยๆก็ถึงยอดดอยหละครับ มีแยกย่อยอยู่ไม่กี่แยก


สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็ไล่เรียงลงมาจากยอดดอยเลยครับ

ท่านใด ที่เคยไปบางที่แล้ว จะได้ข้ามไปได้เลย


ขึ้นดอยไปจนสุดทางหลวง หมายเลข 1009 ก็ไปต่อไม่ได้แล้วอ่ะครับ

ถ้าตรงจากปากทางขึ้นไป ไม่แวะที่ใหนเลย ก็ใช้เวลาราวๆ 40 - 60 นาที ตามแต่ความถนัดของแต่ละคนครับ


ก็จะมาถึงลานจอดรถแห่งนี้หละครับ

ขาขึ้น ไม่ค่อยยากเท่าใหร่ แต่ขาลงนี่ ต้องใช้ความชำนาญพอสมควรครับ

ใช้เกียร์ให้ต่ำที่สุด ใช้เบรคให้น้อยสุด ลากรอบเครื่อง ค่อยๆไหลลงมาเรื่อยๆครับ


ถ้าลงแบบพุ่งพรวดๆ เบรคทุกโค้ง ผลสุดท้าย จะเจออาการผ้าเบรคใหม้ น้ำมันเบรคร้อนจัด

สุดท้าย เบรคจะหายไปเฉยๆเลยครับ เหยียบแล้ว มันก็ยุบลงไปเฉยๆเลย เบรคไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ครับ อันตรายมาก


ดังนั้น ก่อนจะขึ้น เตือนวิธีลงก่อนครับ

ไม่ต้องซิ่ง ไม่ต้องแซง ใส่เกียร์ต่ำๆ ไหลลงมาเรื่อยๆครับ จะได้ไม่ต้องจอดข้างทาง


เอ้า บอกวิธีขับแล้ว ก็ไปเที่ยวกันดีกว่าครับ

จอดลานจอดรถข้างๆสถานีเรดาร์ สถานีเรดาร์ตรงนี้ เป็นความลับทางการทหารนะครับ ห้ามถ่ายรูปครับ

ดูเฉยๆ แวะไปกินกาแฟ ถ่ายรูปนก ถ่ายดอกไม้ ถ่ายเซลฟี่ หน้าตัวเองได้ แต่อย่าไปถ่ายรูปเรดาร์เค้าเด็ดขาด



เดินขึ้นไปอีกด้านตรงข้ามของสถานีเรดาร์ ก็จะเจอป้ายจุดสูงสุดในสยามครับ ซึ่งเป็นจุดที่มหาชนนิยมมาถ่ายรูปกันสุดๆ

ช่วงเทศกาลนี่ ถึงกับต้องต่อคิวกันถ่ายรูปเลยทีเดียว

ตรงนี้ เราก็กำลังอยู่เกือบๆจะสูงสุดของประเทศไทยแล้วหละครับท่านผู้ชม


ความสูงก็อยู่ที่ 2565 เมตร จากระดับน้ำทะเล



พอเลยจากป้ายจุดสูงสุดในสยามมา ก็จะเจอกับ สถูป บรรจุอัฐิของเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่สมัยก่อนครับ



เดินไปอีกนิด ก็จะมีหมุดบอกความสูง สูงสุดยอดในสยาม 2565 เมตรของจริงๆหละครับ (ป้ายข้างล่าง เอาไว้ถ่ายรูป อิอิ)



สูดอากาศให้เต็มปอดอ่ะครับ



แล้วเดินออกไปทะลุที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าคำว่า ยิ่งสูง ยิ่งหนาว นี่จริงๆเลยครับ



แถวๆยอดดอยนี่ ไม่ว่าฤดูใหน เดือนอะไร ในเมืองจะร้อนตับแตกแค่ใหน


ขึ้นมาถึงยอดดอยตรงนี้ อย่างร้อนๆที่สุด เช่นกลางเดือนเมษา อุณหภูมิก็ไม่เกินยี่สิบองศาครับ

ขึ้นมาเมื่อใหร่ ก็เย็นสบ๊ายสบาย มันม่วนแต๊ๆเลยหนะปี้น้อง



พอหน้าหนาวนี่ หนาวจนมือชา กดชัตเตอร์แทบไม่ลง ช่วงที่หนาวจัดๆ ก็อาจจะติดลบได้เลยครับ ต่ำสุดที่ผมเคยเจอก็ราวๆ -2 องศาครับ

พออุณหภูมิติดลบ น้ำมันก็กลายเป็นน้ำแข็งอ่ะสิครับ ช่วงที่หนาวจัดๆที่สุด ก็จะเจอน้ำค้างแข็งตั้งแต่ราวๆกลางเดือนธันวาคม ไปถึงกลางเดือน กุมภาพันธ์ครับ วันไหนลมสลบ ฝนไม่ตก มีโอกาสเจอน้ำค้างแข็งสูงครับ



การขึ้นมาแล้วเจอน้ำค้างแข็ง นี่มันอยู่ที่ดวงด้วยครับ



บางวัน หนาวจัด แต่ลมแรง น้ำค้างแข็งก็ไม่เกิด ขึ้นไปแล้วโบ๋เบ๋ เจอแต่น้ำค้าง

บางวัน หนาวจัด ลมนิ่งๆ น้ำค้างแข็ง เกิดเต็มข้างทาง ตั้งแต่พระสถูป ไปจนถึงยอดดอยเลยครับ



วันที่หนาวสุดๆ เจ้าหน้าที่เค้ารดน้ำต้นไม้ตอนกลางคืน พอเช้ามา กลายเป็นแท่งน้ำแข็ง ห้อยเป็นติ่งๆ ยาวลงมาจากต้นไม้ จับหญ้าเคลือบแข็งโป๊กเป็นแท่งๆ เลยครับ ตื่นตาตื่นใจจริงๆ

ชมภาพละกันครับ อเมซิ่งจริงๆ ถ้าเป็นเมืองนอกจะไม่แปลกเลย แต่นี่บ้านเรา เมืองเรา เมืองที่ร้อนขนาดนี้ ถ้าคุณดวงดี ไปถูกวัน ถูกเวลา คุณก็จะเห็นแบบนี้ครับ



นอกจากนี้ ยังมีแบบเป็นผลึก ที่เกิดจากน้ำค้าง กลายเป็นน้ำแข็ง ด้วยครับ





ต่อจากน้ำค้างแข็ง เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จะมีทางลงอ่ะครับ



เขาเรียกว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ อ่างกา


เป็นป่าชื่นแฉะครับ พื้นข้างล่าง เป็นดินชุ่มน้ำ มีน้ำซึมๆออกมา ไหลลงไปรวมกันเป็นต้นน้ำลำธาร


เดินสบายครับ เค้าทำทางเดินไม้ ส่วนที่ชันก็เป็นขั้นบันได เดินชมธรรมชาติดูต้นมอส ต้นเฟิร์น กุหลาบพันปี ข้าวตอกฤาษี และก็พวกนกต่างๆลงมาหากินครับ

ทางเดินนี้ ถ้ามาตอนหน้าฝนนี่ จะชุ่มฉ่ำสุดๆ มอสเป็นปึกๆ ตามต้นไม้ก็งอกออกมาเป็นเส้นๆ เขียวขจี เต็มทางเดินไปหมด

ส่วนหน้าหนาว ต้นไม้ต่างๆก็จะแห้ง

ลงนิดหน่อย แต่ก็ยังชุ่มฉ่ำ เพราะยอดดอยนี่ มีเมฆนำความชุ่มชื้น ลอยมากระทบผืนป่าอยู่ตลอดทั้งปี

เดินเข้าไปรอบนึง ถ้าเดินเร็วๆ ประมาณ 20 นาที คงครบรอบ

แต่ถ้าเดินซึมซับชื่นชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ หามุมถ่ายรูปสวยๆ ก็อยู่ในนั้นได้เป็นชั่วโมงๆเลยครับ



ควรทายากันยุงไว้ด้วยครับ เพราะมีพวกแมลงบินต่างๆ ทั้งยุง ทั้งคุ่น คอยดูดเลือดเราอยู่อ่ะครับลงมาจากยอดดอย สัก 5 กิโล ซ้ายมือ เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ครับ รวมทั้งจอดรถด้วย


ถ้าเป็นช่วงเทศกาล จะมีรถจอดเต็มไปหมดจนล้นออกมาข้างนอกลานจอดรถ

แต่ถ้าเป็นหน้าฝน ฤดูที่ไม่มีใครเที่ยว ทั้งดอยก็มีรถของเราอยู่คนเดียว เงียบเหงามากๆ

จะกระโดดโลดเต้นยังไงก็ตามสบาย



ฝั่งขวา มีร้านอาหาร ขายส้มตำ แหนมย่าง มาม่า อยู่ 2 ร้าน ครับ



ติดๆกัน เป็นทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่สวยงามมากๆอยู่ครับ

ชื่อว่ากิ่วแม่ปาน

เส้นทางนี้ ไม่ได้เปิดทั้งปีครับ

แต่ปิดในช่วงฤดูฝน เพราะมันแฉะ พื้นเป็นดินเป็นโคลน เดินไม่ไหว และเค้าก็ปิดให้ป่าได้ฟื้นตัวด้วยครับ

จะเปิดช่วง 31 ตุลาคม ถึงปลายฤดูร้อนเท่านั้นครับ


และต้องลงทะเบียน มีเจ้าหน้าที่ไกด์ท้องถิ่นนำทางเข้าไปครับ

เพื่อจะได้ไม่หลงทาง และไม่ไปทำอะไรพิเรนๆ หรือไปทำลายธรรมชาติในนั้น

วันใหนเจอเมฆคลุมดอยอยู่นี่ ให้รีบๆเดินเข้าไปเลย สวยมากๆครับ


วันแดดออก ก็สวยไม่แพ้กันเพราะเห็นวิวไปไกลเลย



ข้างในก็แบ่งเป็นช่วงๆ มีน้ำตก มีป่าฝน มีทุ่งโล่ง ต้นกำเนิดแม่น้ำลำธาร ครับ



เดินชมวิว ขึ้นดอยลงดอย กันพอลิ้นห้อยครับ

ระยะทางโดยรวม ก็จะใช้เวลาราวๆ 2 - 4 ชั่วโมงครับ แล้วแต่ความอึดของแต่ละคน


จากกิ่วแม่ปาน จะมองลงไปเห็นพระธาตุเจดีย์คู่ครับ

ถ้าเดินขึ้นไป จะเป็นพระธาตุ สวนดอกไม้ และมีจุดชมวิวสวยงามอยู่

พระมหาธาตุเจดีย์ ถ่ายคู่กับทางช้างเผือก

จากจุดชมวิว





เลยทางเข้าพระธาตุไป ก็มีที่ขึ้นไปชมวิวอยู่ สองสามจุดครับ




ลงมาอีกนิด จะมีแยกเล็กๆครับ เลี้ยวไปพระตำหนักดอยผาตั้ง


กลับไปดูแผนที่ด้านบนได้ครับ

เป็นสถานที่ๆเป็นจุดชมดอกพญาเสือโคร่ง ที่เป็นที่นิยมมากอีกแห่งหนึ่งครับ

โดยดอกนางพญาเสือโคร่งจะจะบานช่วงกลาง - ปลายเดือน มกราคม

มุมมองจะเป็นถนน มีดอกซากุระปลูก 2 ข้างทางเต็มไปหมด






ว่าไปถึงที่เที่ยวมาพอสมควรแล้ว แวะชม ที่กิน ที่นอน แบบหรูหรามีระดับมั่งครับ

โครงการหลวง ดอยอินทนนท์ ขับรถลงดอย เลยที่ทำการอุทยานลงมา

เลี้ยวซ้ายเข้าไปนิดหน่อย ตามหาป้ายเลยครับ



ในนี้ก็มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจครับ สระน้ำ มีหงส์ มีเป็ดน้ำ ร้านกาแฟ สวนดอกไม้ สวนเฟิร์น




ราคาบ้านพัก ในโครงการหลวง

ก็พอๆกับบ้านชาวบ้าน แถวๆแม่กลางหลวงเลยครับ แพงกว่ากันนิดๆหน่อยๆ แต่ว่า สะดวกสบายกว่าพอสมควร

อย่างบ้าน สิริภูมิ B เนี่ย หน้าเทศกาล 1500 หน้าโลว์ 1100 พร้อมอาหารเช้า

อาหารเช้า อลังการมากๆ

ผมว่าบ้านเบอร์ สิริภูมิ B1 - B6 นี่ จะใกล้น้ำตกที่สุด อยู่สบาย ไม่พลุกพล่าน นอนฟังเสียงน้ำทั้งคืนอ่ะครับ



เย็นจนไม่ต้องเปิดแอร์ เพราะเย็นกว่าแอร์ หน้าหนาวนี่ ต้องร้องหาฮีตเตอร์

เครื่องทำน้ำอุ่น เอาไม่อยู่อ่ะครับ น้ำเย็นจนไม่ต้องอาบน้ำกันเลยทีเดียว

ในห้องมีกาแฟคั่วบด พร้อม French press ให้นั่งละเลียดกาแฟ ชมวิวที่ริมระเบียง

เริ่ดมาก แต่หน้าเทศกาลนี่ จะจองยากสุดๆครับ แนะนำให้หนีร้อนไปนอนหน้าร้อน หรือหน้าฝน



ขออนุญาต แปะเบอร์โทร คงไม่ผิดกฏ เพราะเป็นที่พักของหน่วยงานราชการ โดยมูลนิธิโครงการหลวง หนะครับ


และถ้าใครมาเดินเล่นตอนกลางคืน

จะเห็นแปลงดอก เบญจมาศบนดอย เปิดไฟกันสว่างไสวอ่ะครับ

เพราะว่า ดอกชนิดนี้ ต้องการแสง นานเกินวันละ 12 ชั่วโมง เค้าเลยต้องเปิดไฟให้ดอกครับ

ติดๆกับบ้านพัก เดินไปสัก 20 ก้าว ก็เข้าสู่เขตสวนเฟิร์น และเขตน้ำตกหละครับ



สวนหลวงสิริภูมิ เดินเที่ยวได้จนไปสุดที่น้ำตกด้านล่างอ่ะครับ



อาจจะปีนขึ้นไปได้อีก แต่ผมกลัวแข้งขาหักตอนแก่ ก็เลยสุดถึงแค่นี้


มีต้นเฟิร์นต่างๆ นานาพันธุ์ รวบรวมไว้ที่นี่ครับ

และก็มีต้นนางพญาเสือโคร่งด้วย

พอถึงฤดู ก็บานสะพรั่ง ตอนดอกร่วง ก็สวยดีครับ ร่วงเต็มพื้นไปหมดเลย ตระการตาครับ



นอนอุ่น เที่ยวสนุกแล้ว ก็มาถึงตอนกินมั่ง

ร้านอาหารในโครงการหลวง ก็มีของกินเมนูแปลกๆมากมายอ่ะครับ


วัตถุดิบ ก็เก็บๆเอาแถวนี้เป็นส่วนใหญ่ครับ ปลาเทราต์ อินทนนท์ ปลาสเตอร์เจียน กุ้งก้าม clay fish


ผักสดสารพัดชนิด

เอามาทำอะไรกิน ก็อร่อยครับ โอย ดูรูปแล้ว พิมพ์ไป หิวไป

เมนูต่างๆที่ผมเคยกินมาหลายๆครั้ง หลายๆรอบ แล้วถ่ายรูปเก็บเอาไว้ครับ



และถ้าใครพักที่นี่ ก็จะได้คูปองอาหารเช้ามาด้วยครับ

วันเสาร์ อาทิตย์ อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ ตักกันตามอัธยาศัย

แต่ถ้าวันธรรมดา วันที่แขกน้อยๆ อาหารเช้าก็เป็น set มาให้เลือก 4 ชนิด ตามรูปครับ



อาหารใน set ค่อนข้างอลังการเลยทีเดียวครับ คนอ้วนๆแบบผม กินอิ่มอ่ะครับ



ถ้าเป็นข้าวต้ม เค้าก็จะมี สลัด กับ ซาละเปาทอด และน้ำกระเจี๊ยบ กาแฟสด แถมมาให้ด้วย


ข้าวต้มปลา ตอนที่สั่งมา ก็สงสัยอยู่ ว่าบนดอย เค้าเอาปลาอะไรมาใส่

พลิกๆดู ปรากฏว่าเป็นปลาเทราต์ โครงการหลวงหนะครับ เริ่ดอีกแล้ว



ผักไม่ต้องกลัวไม่สดครับ แปลงอยู่แถวๆข้างล่างนี้เองมั่ง ปลาก็อยู่บ่อ ที่เลี้ยงกันข้างล่างดอยตรงนู้นเอง



ไปหน้าโลว์นี่ ห้องนอน 2 คน รวมอาหารเช้าชุดเบิ้มๆแบบนี้ 1100 ผมว่าคุ้มหนะครับ ราคานี้ ถึงตุลาเท่านั้นครับ

ม้าสุดชีวิต อิอิจากโครงการหลวง เข้าซอยไปอีกนิดหน่อย ก็จะเจอสถานีประมงค์อินทนนท์ครับ

เข้าไปเดินเล่นดูได้ มีเลี้ยงปลาน้ำเย็น ที่สามารถเลี้ยงได้ดี ในที่อากาศเย็นๆ

เช่นปลาเทราท์ ปลาเสตอร์เจียน และ กุ้งแดง (clay fish)

ส่งขายไปทั่วประเทศ แถมยังมีต้นซากุระ ต้นหม่อน ปลูกไว้ด้วยครับ

จากนั้น ต่อเข้าไปเรื่อยๆ ทางเส้นทาง ขุนกลาง - ขุนวาง



ผ่านดอย ผ่านถนนคดโค้ง ผ่านป่าสนสามใบ



ไปราวๆสิบกว่ากิโล ก็จะเจอสถานีวิจัย และเพาะพันธุ์รองเท้านารีครับ



ที่นี่ ที่จริง เป็นแหล่งทดลองเพาะพันธุ์กล้วยไม้ครับ

แต่เค้าปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย ไว้เยอะเหมือนกัน แถมมีทะเลสาบเล็กๆด้วย


ถ้าไปตอนหน้าดอกนางพญาเสือโคร่งบานนี่ ผมว่าสวยสุดๆเลยครับ

แม้ว่าซากุระ จะไม่แน่นเอี๊ยด เท่า คาวากุจิโกะ แต่ว่า มันก็สวยสุดๆเท่าที่จะสวยได้ในเมืองไทยที่นึงหละครับ


นั่งอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าแฟนไม่โทรไปตามให้กลับมาเฝ้าร้าน

ถ้าจะให้ดี ก็ปิดร้านไปเลย แล้วพาแฟนมาด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครโทรตามครับ

ดูรูปแทนคำบรรยายละกันครับ สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น





จาก ศูนย์รองเท้านารี ตรงต่อเข้าไปในดอยลึกอีกเรื่อยๆไปทางที่จะทะลุไปอำเภอแม่วาง

เส้นทาง เริ่มจะโหดขึ้นนะครับ จากถนนเรียบๆ กลายเป็นถนนดินขรุขระนิดหน่อย ลัดเลาะไปตามไหล่เขา

ข้างทางเป็นวิวสวย กับป่าสนเขาครับ

ผ่านตัวหมู่บ้านขุนวาง

เลยไปสัก 2 - 3 กิโล จะเจอ สถานีเกษตรขุนวาง

ที่นี่เป็นที่ทดลองปลูกพืชไม้ผลเมืองหนาวต่างๆ เยอะเหมือนกัน

ที่นี่ เป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่โด่งดังมากอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ครับ



และที่สำคัญ ที่สถานีขุนวางนี่ มีอุโมงค์ซากุระด้วยครับ


ถ้ามาถูกวัน ตรงวันที่พีคที่สุด จะเห็นเป็นอุโมงค์ซากุระ สีชมพูแน่นเลยครับ

แต่เช็คข่าวกันยากมาก ต้องตามจากเพื่อนๆพี่ๆใน face อัพเดทสถานะกัน วันต่อวันเลยทีเดียว ส่วนมากจะวืด

ผมเอง ยังไม่เคยเจอวันที่พีคสุดๆเลยเหมือนกันครับ

แต่เจอเท่านี้ ก็สวยถูกใจมากแล้ว



วกกลับมาทางเดิม ผ่านที่ทำการอุทยาน กลับมาแถวๆที่ทำการอุทยาน


ก่อนลงดอย แวะซื้อพืชผลที่ตลาดม้งหน่อยอ่ะครับ



ที่ชอบซื้อที่สุด คือ สตอร์เบอรี่ครับ หน้าหนาว สตอร์เบอรี่ พันธุ์ 80

ไซส์ใหญ่สุดของไทย รสชาติก็อร่อยน้องๆของเกาหลีเลยนะครับ


ครั้งแรกสุด เคยซื้อมากิโลนึง ขับรถออกมาได้หน่อยนึง แกะมาลองชิมดู พอกัดเข้าไปคำนึง เฮ้ย อร่อยจังเลย

ต้องกลับรถมาซื้อเพิ่มอีก 3 กิโลครับ


พันธุ์ประราชทาน 80 นี่ เป็นสตอร์เบอรี่ พันธุ์ที่นำเมล็ดมาจากญี่ปุ่น มาทดลองปลูกในไทยแล้วได้ผลดี

ถ้าปลูกดีๆ ดูแลดีๆหน่อย ก็อร่อยน้องๆต้นตำรับเลยครับ ยิ่งลูกโตๆนี่ กัดเข้าไปแล้ว อร่อยเต็มปากเต็มคำ



ตอนมันยังไม่ค่อยสุก มันจะสีขาวๆแบบเนี้ยครับ และมันจะแดงขึ้นเรื่อยๆ ถึงบ้านก็แดงเกือบทั้งกล่อง แฮ่ๆ



อีกอย่าง ที่มีขายกันทุกฤดู คือยอดฟักแม้วครับ หรือ ซาโยเต้ มัดละ 10 - 20 บาท ถูกม้ากๆ


คนขาย ขายเท่าใหร่ ก็กำไร เพราะมันขึ้นไปทั่วดอย เด็ดมาจากริมรั้วข้างๆนั้นเองอ่ะครับ ลงแรงอย่างเดียว



หมดเงินไป 200 ได้ผักกลับมาเต็มหลังรถ



ใครอยากช๊อป ก็ช๊อปไป ใครอยากถ่ายรูปเล่น ก็ถ่ายไป

ฤดูซากุระ แถวๆนี้ จะล้อมรอบไปด้วยต้นท้อ บ๊วย พลัม และ ซากุระ



ถัดลงมา จากแยกขุนกลาง ตลาดม้ง



ขับลงดอยไปหน่อยนึง จะเจอบ้านแม่กลางหลวงอยู่ขวามือ

ถ้าขับขึ้นดอยมา ก็อยู่ฝั่งซ้ายมือ

เลี้ยวเข้าไป เป็นนาขั้นบันไดให้แวะชม

หรือจะแวะนอน เสพบรรยากาศทุ่งนาก็ได้ มีบ้านพัก homestay ให้เลือกพักเยอะแยะเลยครับ



มีน้ำตกนึง ที่ผมยังไม่ได้เข้าไปดู คือน้ำตกผาดอกเสี้ยวครับ ต้องเดินเข้าไปราวๆชั่วโมงนึง


ยังไม่มีเพื่อนไปเดินครับแล้วก็แวะเที่ยวน้ำตก

ดอยอินทนนท์ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารสำคัญ



จากความสูงสองพันกว่าเมตร กว่าน้ำที่ผุดออกมาที่ยอดดอย จะไหลลงมาจนถึงพื้นราบนี่

มันต้องเดินทางมากมาย ทำให้ดอยอินทนนท์ มีน้ำตกเยอะเลยครับ

บางที่ก็เล็กๆ บางที่ก็ใหญ่อลังการ

บางที่ก็ลงเล่นได้ บางที่ก็ลงเล่นไม่ได้ครับ ได้แต่ชมความสวยงามอย่างเดียว


น้ำตก ที่อยู่ช่วงกลางดอย ก็ได้แก่ น้ำตก สิริธาร กับ น้ำตกวชิรธาร

ทั้งสองแห่ง เข้าไปได้โดยไม่ยากลำบากเลยครับ

น้ำตกสิริธาร เดินลงบันได้ไปสัก 100 เมตร ก็เจอลานระเบียงไม้ชมน้ำตกแล้ว



ส่วนน้ำตกวชิรธาร ขับรถไปถึงลานจอดรถ ก็เห็นน้ำตกแล้วครับ ไหลลงมาโครมๆๆๆๆ


เป็นน้ำตกที่ผมว่าไหลแรงที่สุด ในดอยอินทนนท์แล้วครับ



ทั้งสองน้ำตก อยู่สูง และไม่ควรหาทางปีนลงไปเล่นหนะครับ อยากเล่น ลงไปเล่นที่น้ำตกแม่กลาง หรือ น้ำตกแม่ยะปู้น


ต่อมาก็ถึงบ้านผาหมอน แถวๆช่วงน้ำตกสิริธาร มีเส้นทางเลี้ยวเล็กๆ เลี้ยวไปบ้านผาหมอนอยู่ครับ

ถ้าขาขึ้นดอย ก็ฝั่งขวามือ ถ้าขาลงดอย อยู่ฝั่งซ้ายมือ จะมีป้ายบอกทางไปบ้านผาหมอนอยู่

ระยะทางราวๆ 7 กิโล

ถนนเป็นดิน + โคลน สลับกับ ผิวคอนกรีต ครับ ยากลำบากนิดหน่อย รถเก๋งพอเข้าได้ แต่ต้องระวังๆ

ระยะทาง 7 กิโล ขับกันราวๆ 30 นาทีครับ

พอถึงบ้านผาหมอน ก็จะเห็นนาขั้นบันได ที่สวยมากๆแห่งนึงในไทยครับ ทุ่งนาข้าวนี่ จะงามที่สุด ช่วงเดือน กันยายน - ตุลาคม และในหมู่บ้านผาหมอนนี่ มีที่พักนอนเป็นแบบ homestay ของชาวบ้านด้วย แต่ผมยังไม่เคยไปนอน ได้แต่แวะเข้าไปดูอย่างเดียวครับ





ลงดอยมาเรื่อยๆ

จนจะถึงเชิงดอยแล้ว จะเป็น น้ำตกแม่กลาง และ วัดน้ำตกแม่กลางครับ



พาลงดอยมาจนสุดครับ ใกล้ๆจะถึงเวลาไปรับลูกพอดี แฮ่ๆ ท่าจะได้เลิกเขียนเพียงเท่านี้ครับ



ก่อนจาก พาไปเที่ยว น้ำตกแม่ยะ อีกสักแห่ง

มาถึงเกือบปากทางออกถนน เชียงใหม่ - ฮอด จะมีป้ายบอกครับ

ขาลงดอย เลี้ยวขวา ขาขึ้นดอย เลี้ยวซ้าย ตรงสามแยกบ้านเฮียเส่งพอดี

ขับเข้าไป ขยึกขยัก ขึ้นๆลงๆดอยสักพักก็จะเจอลานจอดรถน้ำตกครับ

เดินเข้าไปพอเหนื่อย ก็จะถึงสุดในน้ำตกครับ

น้ำตกนี้ สบายๆครับ กว้างขวาง และ ไหลลงมาระยะทางยาวเหมือนกัน


มีจุดที่ลงเล่นน้ำได้เยอะ หรือจะปูเสื่อ นั่งกินข้าวเหนียวส้มตำก็ได้

สั่งไว้ตรงปากทาง แล้วเดินเข้าไป พ่อค้าแม่ค้า ก็จะเอาเข้าไปส่งให้ครับ

แต่รักษาความสะอาดกันหน่อยครับ



และสุดท้ายแล้วจริงๆ ออกจากปากทางดอยอินทนนท์



ใครอยากไหว้พระ แวะเข้าไป วัดพระธาตุจอมทอง พระอารามหลวง ได้เลยครับ

ก็เป็นอีกวัด ที่น่าไปแวะกราบบูชาครับ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ครับ ผมก็เคยมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดนี้แป๊บนึง




ขอบคุณครับ ที่ชมกระทู้มาจนถึงตอนจบ

รูปเยอะมาก บางท่านอาจจะโหลดช้า ต้องขออภัยด้วยครับ

ที่ใส่รูปไว้เยอะ เพราะอยากให้ได้รับชมกันให้จุใจ ดังสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็นครับ

ขอบคุณมากครับ

tamrong

tamrong

 วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 08.53 น.

ความคิดเห็น