หลังจากที่ผมผ่านการเดินทางด้วยรถไฟ เหนือจรดใต้ไปสุดขอบญี่ปุ่น

สองวันที่ผ่านมา ชีวิตเร่งรีบสุดๆ วิ่งๆ เหนื่อยๆ หอบๆ

กระโดดขึ้นรถ ลงรถ บางที่ มีเวลาเปลี่ยนรถไฟแค่ 3 นาที 5 นาที ตื่นเต้นตลอดเวลา

หลังจากเสร็จภาระกิจเร่งรีบแล้ว เลยอยากใช้ชีวิตแบบ slow life ช้าๆ เนิบๆ มั่งครับ



ตามสไตล์คนบ้ารถไฟ ผมก็เลยเลือกไปพักเมืองที่มีรถไฟแปลกๆวิ่งผ่านครับที่ plan มาเที่ยวเมืองนี้ เพราะว่า

เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางของรถไฟ ขบวนรถจักรไอน้ำ SL Yamaguchi

ที่จะวิ่งเฉพาะในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ครับ อยากมีประสบการณ์นั่งรถจักรไอน้ำดูมั่ง

และ รถไฟขบวน SL Yamaguchi นี่ เป็นรถไฟไอน้ำที่จองง่ายที่สุดของญี่ปุ่นครับ

คนขึ้นไม่มาก ไม่เห็นเคยเต็มซักที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร



และก็เป็นเมืองที่เดินทางจัดว่าสะดวกมากเลยครับ ใช้เวลาเดินทางแค่ราวๆ 1 ชั่วโมง

ออกมาจากแนว เส้น shinkansen ถือว่าเดินทางมาง่ายๆมากครับ



เลยวางแผน มานั่งรถไฟ SL กับ พักที่เมืองนี้ 1 คืนครับ กะจะ slow life กันให้เต็มที่


วันที่ 4 ก.ค. 2015

เดินทางจาก makurazaki มาถึง shin- yamaguchi มาต่อรถไฟ Super Oki ลายการ์ตูน



ผ่านทุ่งนาป่าเขา ชั่วโมงเดียวก็ถึงสถานี Tsuwano แล้วครับ เวลา 13.55 ตรงตามเวลาเป๊ะ



เห็นปุ๊บแล้ว ชอบเลยครับ เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยหุบเขา มีแม่น้ำผ่ากลาง มีรถไฟวิ่งผ่าน


ปกคลุมด้วยเมฆ ล้อมรอบด้วยป่า



รูปนี้ ถ่ายจากสะพานลอยบนสถานีรถไฟ


เป็นเมืองที่ก่อตั้งมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ


บรรยากาศนี่เงี้ยบเงียบจริงๆครับ

ตามข้อมูลจากเวป wiki ประชากรทั้งเมืองมีอยู่ 7684 คน

ความหนาแน่นประชากร 25 คน ต่อ ตามรางกิโลเมตร

อะไรจะหลวมขนาดนั้น คนน้อยยิ่งกว่าแถวเมืองปายบ้านเราอีกมั้งนี่

บ้านเรือนเก่าๆสมัยเอโดะ ยังหลงเหลือให้เห็นเยอะมาก



ออกมาจากสถานีรถไฟ ก็กำลังหาทิศครับ ว่าโรงเตี๊ยม (เรียวกัง) ที่จองเอาไว้ ไปทางไหน



ก็มีคุณป้า ก็มาพูดญี่ปุ่นใส่ครับ ผมก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

ชี้ๆ ทำนองว่านี่ๆ ฝนตกอยู่นะ เธอจะเดินตากฝนไปทางไหน

เดี๋ยวชั้นขับรถไปส่งให้เอามั้ย พร้อมกับโชว์กุญแจรถ



คิดในใจ เฮ้ย ป้า ผมเป็นคนแปลกหน้านะครับ ป้าจะขับรถไปส่งผมเลยเหรอ อะไรจะใจดีขนาดนั้น

เลยบอกป้าไป ว่าจองโรงแรมแถวๆหน้าสถานีนี้ไว้หละครับ เอาใบจองให้ดู

ป้าบอกอ๋อ โฮชิ เรียวกัง เดินข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว ชี้ๆให้ดู ว่าตรงนู้นไง



เดินข้ามถนนหน้าสถานีไป พ้นหัวมุมถนนไปก็เจอโรงแรมละครับ



พอไปถึง ก็มีป้าอีกคนออกมาต้อนรับ


ป้าบอกว่า คนไทยใช่มั้ย มาละเหรอ

ดูสิเปียกหมดเลย แล้วป้าก็ไปเอาผ้าเช็ดตัว มาซับหัว ซับกระเป๋าเดินทางให้ครับ

ชักจะสงสัยแล้ว ทำไม คนญี่ปุ่นตามเมืองเล็กๆนี่ ใจดีเวอร์ๆขนาดนั้น



ขอเรียกเรียวกังว่าบ้านป้าละกันนะครับ เพราะว่าจริงๆเรียวกังก็คือบ้านของป้าเค้านี่หละครับ

แต่เค้าแบ่งห้องให้เช่า เป็นห้องพักรายวัน



ป้าพาขึ้นไปบนห้องบนชั้นสอง

เป็นห้องพักที่กว้างสุดในทริปนี้เลยครับ ผบทบ ถามว่า แล้วที่นอนอยู่ไหน

ผมเลยบอกว่า ออ เดี๋ยวพอตกกลางคืน ป้าเค้าก็มาปูที่นอนให้มั้งเธอ

ตามเรียวกังเค้าชอบเป็นแบบนี้



แล้วป้าก็ทำเซอร์ไพรส์อีก


ป้าเปิดประตูออกมาอีกบาน แล้วบอกว่า นี่จ๊ะห้องนอน



คือว่า รวมๆแล้ว ห้องมันกว้างมากๆอ่ะครับ มีทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น กว้างไปหมด

ตอนที่จองมานี่ รู้สึกว่าคืนละหมื่นเยน ต่อสองคน แถมห้องน้ำรวม

ผมว่าแพงกว่าโรงแรมทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆเลยนะ แต่ก็ถูกสุดในเมืองนี้แล้ว


แต่พอมาเห็นห้องนี่ คือ มันกว้างมากๆ มีขนมญี่ปุ่น มีชา อะไรให้กินพร้อมเลย

ประตูเป็นประตูเลื่อน บุด้วยกระดาษ แต่ก็รู้สึกว่า อบอุ่น และปลอดภัย ไม่อันตราย



วิวจากห้องพักบ้านป้า มองไปเห็นบ้านฝั่งตรงข้าม ถัดๆไป ก็เป็นดอย เป็นป่าละครับ



ตอนกลางคืนนี่ เงียบมากๆ ขนาดว่าได้ยินเสียงคนข้างๆบ้านคุยกันเลยครับ


มีแต่เสียงจิ้งหรีด นานๆมีเสียงรถไฟ กับ เสียงรถยนต์ผ่านมาทีนึง

ห้องน้ำรวม ห้องอาบน้ำอยู่ข้างล่าง ที่แปรงฟันอยู่ข้างบน

หยิบหนังสือการ์ตูนไปอ่านได้ ถ้าอ่านออก



เอาของเก็บไว้ที่บ้านป้าแล้ว


ก็ไปสำรวจเมืองหละครับ จะไปดู ว่าปลาคาร์พ มันอยู่ตรงไหน เล็งทางขึ้นศาลเจ้า

และก็ไปดักนั่งรอถ่ายรถไฟ ตอนที่มันจะวิ่งข้ามสะพานตามตารางเวลา 15.45

เดินมาตามถนนเลียบทางรถไฟ มุ่งตรงไปสะพานครับ



และก็เจอ ป้ายที่อ่านแล้วรู้สึกดี feel good มากๆ อะไรเนี้ย



Please come in and enjoy looking the flowers (ต่อท้ายด้วย ขยุกขยุย อ่านไม่ออก)



และก็เจอบ่อปลาบ่อแรกครับ



เดินต่อไปอีกนิด ก็เป็นแถวๆสะพาน



ตรงสะพานคนเดินนี้หละครับ ที่ผมจะมาดักถ่ายรถไฟ วิ่งข้ามสะพาน เวลา 15.45



ท่อระบายน้ำ ไหลลงแม่น้ำ


เป็นน้ำตกย่อยๆเลย ยืนตากฝน ฟังเสียงน้ำ รอรถไฟมา


พอถึงเวลา 15.45 อันเป็นเวลารถออกจากสถานี ก็ได้ยินเสียงมาก่อนละครับ


ปู๊นๆ ฉึกกๆๆๆๆ ปู๊นๆ เสียงหวูด เสียงเครื่องจักรไอน้ำ มันเพราะมากเลยครับ

รถไฟวิ่งโผล่ออกมาจากมุมสะพาน แล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว

กดชัตเตอร์ไปได้ 5 รูปเองมั้งครับ



ส่วนแฟนผม ถ่ายจากอีกที่นึง ได้มา 2-3 รูป มันผ่านไปเร็วมากๆ


มันเป็น 4-5 วินาที ที่สุดยอดตื่นตาตื่นใจหนะครับ feel good อีกแล้ว



หลังจากได้รูปรถไฟแล้ว


ก็เดินชมบ้านเมืองเค้าได้อีกนิด สำรวจทางขึ้นศาลเจ้าไว้ก่อน

แต่ฝนตกหนักเหลือเกิน ไปต่อไม่ไหวแล้ว

เลยไปหาอะไรกินครับ



ร้านแนวๆ vintage ใกล้ๆสถานีนี่หละครับ รวดกินเป็นข้าวเย็นเลย


ผมได้ข้าวหน้าเนื้อ รสเข้มข้น ส่วน ผบทบ ได้อูด้งเนื้อ ซุบคล้ายๆซุปปลาครับ อร่อยทั้งคู่เลย



ตากฝนมาเย็นๆแล้วได้ซุบร้อนๆ อร่อยๆมาช่วยนี่ สบายท้องเลย



กินอิ่มแล้ว ก็เดินกลับไปแถวสถานี หาซื้อผลไม้กิน ปรากฏว่าไม่ค่อยมีอะไรขายเท่าไหร่ครับ เมืองมันเล็กอ่ะเนาะ



และก็ไปดูรถ SL ที่จอดอยู่หน้าสถานี



เสร็จแล้วก็กลับมาบ้านป้า



เน็ตบ้านป้าเร็วจริงๆ สงสัยเมืองนี้มีน้อย เลยมีคนแชร์เน็ตกันน้อย เน็ตเลยเร็วเช้าวันต่อมา แพลนคือ เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้บ้านป้า


แล้วก็ไปศาลเจ้า inari บนภูเขา

แล้วก็ เดินทางขากลับด้วยรถไฟ SL Yamaguchi ครับ


แวะเลี้ยงอาหารปลาก่อน ย่านนี้ มีอาหารปลาขายแทบทุกร้านครับ

เสียดาย ที่ฝนตกหนักเมื่อวาน ทำให้น้ำขุ่นมาก ไม่ใสแจ๋วเหมือนในรีวิวของพี่ realp**


คือว่า เมืองเค้าเงียบจริงๆนะครับ เช้าวันอาทิตย์ แปดเก้าโมงนี่ หาผู้คนบนถนนไม่ค่อยเจอเลย

แต่ที่พลุกพล่าน คือปลาในท่อน้ำข้างทางนี่หละครับ ว่ายมาออกันเพียบ


เท่าที่สังเกตุดู น้ำจะไหลลงมาจากบนภูเขา ผ่านท่อน้ำนี่ แล้วก็ไหลลงไปในแม่น้ำครับ

เป็นน้ำธรรมชาติ ไหลตลอดเวลา ไม่ได้เป็นระบบปิด แต่ละบล๊อค ก็จะมีตะแกรงมากั้น กันปลาไหลลงแม่น้ำ

แต่ในแม่น้ำก็เห็นมีปลาคาร์พ เพียบเลยเหมือนกันนะครับ



รูปปั้นนี้อยู่แถวๆสะพานครับ เป็นการเต้นระบำนกกระเรียน ประเพณีประจำเมือง รู้สึกจะเดือนหน้ามั้งครับถ้าอ่านไม่ผิด



เลี้ยงปลาเสร็จ แล้วก็ไปไหว้ศาลเจ้า Inari หละครับ



เขาว่าศาลแห่งนี้ เป็นหนึ่งในห้า Inari shrine ที่สำคัญของญีปุ่่น



มีเสา Torii สีส้มๆแดงๆ เป็นพันๆต้นเรียงรายเป็นพันๆต้นขึ้นไปบนเขาเหมือนกันกับที่ fushimi ที่ kyoto ครับ



แหงนมองดูแล้ว ฮ่าๆ บอกกับตัวเองว่าถึงเวลาลดความอ้วนอีกแล้ว



ทางเข้าครับ


หนทางยังอีกยาวไกล หลายชั้น มีจุดแวะพักเป็นช่วงๆ


ป้ายชื่อคนสร้างแต่ละเสา (มั้ง)



และแล้วก็มาถึงสุดทางเดินครับ มีที่ให้ล้างมือ ก่อนไปคารวะท่านเทพ



เป็นที่ๆคนเยอะที่สุดในเมืองที่หนึ่งละครับ คนมาไหว้กันเยอะเลย

และยังไม่พอ มีคนเอารถมาเจิมด้วยครับ เห็นหลวงพ่อจัดไว้เป็นห้องเจิมรถเลย

เป็นแป้นหมุนรถ เอารถขับเสียบหัวเข้าไป มีนักบวช มาสวดมนต์

แล้วก็หมุนรถหันหัวออกมา แล้วก็ขับออกมาแถวๆลานจอดรถของศาลเจ้า มุมมองพาโนราม่ามากๆ

เห็นทั้งเมืองเลยครับ


ถ้ามีเลนส์ยาวๆนี่ มาตั้งป้อมถ่ายรถไฟกันตรงนี้ได้มันส์ไปเลย
แต่ผมเอามาแต่เลนส์มุมกว้าง กับเลนส์ normal เลยอดเลย



ไหว้ศาลเจ้าเสร็จ ก็ลงมา เจอร้านข้าว ก็แวะกินข้าวเที่ยงครับ



ของแฟน อูด้งน้ำใส ซุบรสเนื้อ ใสๆ แต่รสเข้มสุดๆ อร่อย


ของผม ไปไหวศาล Inari มาเสร็จ เลยกิน Inari sushi ก็ข้าวห่อเต้าหู้เฉยๆครับ แต่รสเต้าหู้เข้มข้นดีอยู่



กินข้าวเสร็จ ก็มานั่งแถวๆสะพาน ดักถ่ายขบวนรถไฟอีกทีครับ

รถไฟจะผ่านมาสะพานเดิมตอน 12.58 ก่อนถึงสถานี tsuwano

ถ่ายได้ 2-3 รูปเหมือนเดิม

มันมาเร็วมากๆ แถมไม่มีควันด้วย เพราะใกล้จะถึงสถานีปลายทาง เค้าจะไม่เติมเชื้อเพลิงเยอะ



พอรถไฟมาถึงสถานี เขาก็เอาหัวรถจักรไปกลับหลังหัน เช็คเครื่อง เติมเชื้อเพลิง



แล้วผมก็กลับไปเอาของที่บ้านป้า มารอขึ้นรถไฟ เที่ยว 15.45 ครับ ตื่นเต้นๆๆ


มีเวลาอีกชั่วโมงนึง กว่าเค้าจะเอาหัวรถจักรกลับมาต่อกับขบวนรถ ช่วงบ่าย 3

เลยเดินไปดูวัดใกล้ๆสถานีรถไฟครับ



เลี้ยวไปทางนี้ ข้ามทางรถไฟไปเลย



มาถึงหน้าวัด ก็เจอสุสาน เขียวครึ้มไปด้วยตะไคร่น้ำครับ



ทางขึ้นวัด ยังกะเดินขึ้นไปสำนักเส้าหลิน



ประตูวัด



แถวสุสานหน้าวัดนี่ ตะไคร่น้ำสุดๆ



บริเวณตัววัดครับ เค้าปิดประตู สวดมนต์ทำพิธีอะไรไม่รู้


เลยไม่ได้เข้าไปต่อ เกรงใจพระ



เลยกลับมารอขึ้นรถไฟที่สถานีครับ

แล้วเค้าก็เอาหัวรถจักร ก็มาต่อกับขบวนรถ



ขึ้นรถหละครับ ได้นั่ง SL เป็นครั้งแรก



ข้างในหรูเลิศ อลังการมาก ใช้ JR PASS จองฟรี นั่งฟรี นะเนี้ย ดีจริงๆ



จุดหมายในวันนี้ ก็นั่งกลับไป shin-yamaguchi แล้วก็ต่อ shinkansen ไป osaka ครับ



ข้างในรถ ก็ตบแต่งเป็นรถไฟ สมัยต่างๆ เมจิ โชวะ



คนโล่งมากๆครับ ไม่มีคนขึ้นเลย เห็นแล้วใจหาย ต้นทุนค่าถ่านหินเท่าไหร่ ทำไมคนนั่งน้อยขนาดนี้


แต่พอตอนรถออกนี่ มองไปข้างทางแล้วตกใจเลยครับ

เหมือนกับว่า คนทั้งเมือง จะมายืนโบกมือบ๊ายบายให้กับขบวนรถเต็มไปหมดตลอดทางเลย เลยครับ

ลุงทำไร่อยู่ ก็วางจอบ หันมาบ๊ายบายให้รถไฟ เด็กๆยืนโบกมือส่ง

เหมือนยังกับว่ารถไฟขบวนนี้ เป็นความสำคัญของเมืองเลยทีเดียว



มีลานชมวิวอยู่ท้ายขบวนรถ

แล้วก็เจอ คนญี่ปุ่นที่ยืนชมวิวอยู่ มาทักว่า หนีห่าว ผมบอกว่าม่ายช่าย ไอเปนคนไทย


เลยคุยกันไปคุยกันมา พบว่าเป็นคนที่ชอบรถไฟเหมือนกันครับ (คุยภาษาอังกฤษ)

บ้านเค้าอยู่โกเบ แต่ชอบรถไฟ นั่งรถไฟไปทั่ว 2 สามี ภรรยา เหมือนกัน


เค้าบอกว่า นั่งขบวน SL yamaguchi นี้มา 4 รอบแล้ว ถามผมว่านั่งมาจากไหน แล้วไปไหนมามั่ง

ผมก็เล่าให้ฟัง ก็คุยถูกคอ เลยคุยกันยาวเลยครับ

มีเอาขนมมาแบ่งให้ด้วย บอกว่าของฝาก เอาไว้กินระหว่างเดินทางนะ



แล้วก็บอกเกร็ดเล็กๆน้อยๆของรถไฟนี้ ว่าตบแต่งยังไง ปีหน้าจะเลิกใช้ตู้นี้แล้วเปลี่ยนตู้ใหม่

ถึงสถานี้นี้จะจอด 3 นาที ลงไปถ่ายรูปได้

และก็คุยกันยาว ไปถึงเรื่อง hokkaido shinkansen นู่นหละครับ โอย สนุก



หันไปถ่ายทางหัวขบวนรถ



สรุปแล้ว เมือง tsuwano จังหวัด yamaguchi

เป็นเมืองที่ผมไปเที่ยวมาแล้ว อิ่มเอมใจมากๆครับ คือว่า feel good


เป็นเมืองที่ผู้คนมีวิถึชีวิตแบบว่า ช้าๆ ไม่วุ่นวาย ไม่รีบเร่ง ต่างกับโอซาก้า หรือ โตเกียว อย่างพลิกวิถีชีวิต

ประชากร ไม่หนาแน่น อยู่กันหลวมๆ สบายๆ นานๆถึงจะเจอคนเดินสวนมาคนนึง

ผู้คนที่พบเจอ ก็เป็นมิตร ใจดี friendly กับนักท่องเที่ยวมากๆ บางทีก็ใจดีเกิ๊น

เดินสวนกัน ก็ทักกัน โอฮาโยะ คอนนิจิหวะ ยิ้มแย้มแจ่มใส

สถานที่ท่องเที่ยว ก็มีครบ ศิลปะ วัฒนธรรม ธรรมชาติ ขนมท้องถิ่น

ขาดแต่แหล่งช๊อปปิ้ง กับสถานบันเทิง

พอตกเย็นย่ำค่ำมา ก็เงียบซะจนได้ยินเสียงคนบ้านข้างๆคุยกัน

ได้นั่งรถไฟ SL ด้วย โอย ชีวิตมีความสุขสุดๆ รถไฟ SL ก็จองง่าย ที่นั่งโล่งสุดๆทั้งขามาขากลับ

แต่ผมจองนั่งขากลับอย่างเดียว เพราะเวลาขามาจาก makurazaki มันไม่ได้



ถ้าใครได้ไปแถวๆนั้น อยากให้ไปเที่ยวเมืองนี้กันเยอะๆครับ เมืองเค้าจะได้ไม่เงียบเหงา

ขอบคุณมากครับทุกท่าน ที่เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้



สุดท้าย แถมคลิป เสียงหวูดรถไฟ SL Yamaguchi ตอนออก start ครับ สำหรับคนชอบรถไฟ





tamrong

 วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 08.32 น.

ความคิดเห็น