...ย้อนหลังกลับไป 2 ปีก่อนช่วงปลายฝนต้นหนาวเดือนพฤศจิกายน หาทริปเบาๆ ชิลๆเพื่อถ่ายภาพนาขั้นบันได ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาถ่ายภาพนาขั้นบันไดที่อ.แม่แจ่ม ในช่วงทุ่งนาสีทองใกล้เวลาเก็บเกี่ยว มองหาทัวร์ที่จัดไปช่วงเวลานั้นไปลงล็อคของ จ่าหมู Basscamp ถือว่าเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชอบเดินทางแบบไม่ต้องจัดการอะไรมาก หรือไม่มีเพื่อนเที่ยวหาตัวหารค่าใช้จ่ายไม่ได้ เพียงแค่สะพายเป้ขึ้นรถตู้ไปยังจุดหมายปลายทางที่เลือกไว้


กิ่วแม่ปาน - ดอยอินทนนท์

เราออกจากกทม มาเช้าที่ยอดดอยอินทนนท์ที่จุดชมวิวทะเลหมอก กม 42 เพื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นกัน จุดชมวิวนี้จะอยู่สุดทางของถนนสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ หน้าทางขึ้นกิ่วแม่ปาน ใกล้กับพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ พอลงจากรถหันหลังกลับไปก็ต้องตกตะลึงในความงามของทะเลหมอกและแสงสีทองฉาบไปทั่วบริเวณดอยหัวเสือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของเรา วินาทีนั้นตั้งใจจะเข้าห้องน้ำก่อนเพราะอั้นมาเป็นเวลานานก็ต้องยกเลิกรีบคว้ากล้องกด shutter กันพัลวันเพราะกลัวจะไม่ทันกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มลอยสูงขึ้น

เดินย้อนลงมาอีกหน่อยบริเวณลานจอด ฮ.จะเห็นถนนทางขึ้นมาและมีวิวของทะเลหมอกและองค์พระธาตุเป็น background ทำมุมโพลาไรซ์กับดวงอาทิตย์

หลังจากถ่ายภาพในช่วงที่รอ อช.เปิดทำการ ก็ถึงเวลาขึ้นไปชมวิวของกิ่วแม่ปานกัน ก่อนขึ้นต้องไปลงทะเบียนและเสียค่าคนนำทาง 200 บาทซึ่งเป็นนโยบายของ อช.ที่จะช่วยให้ชาวเขาในท้องถิ่นมีรายได้เสริมจากการทำเกษตรกรรม เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานช่วงเวลาที่เหมาะสมคือเดือน พย - มค ช่วง มิ.ย - ต.ค ปิดเส้นทางนี้เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว เส้นทางการเดิน จะเดินเป็นวงรอบ ระยะทางประมาณ 3 กม.ไปกลับใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ควรขึ้นแต่เช้า เพราะถ้าสายหน่อยแดดออก หมอกจะหายหมด

ตลอดเส้นทางการเดินศึกษาธรรมชาติของป่าดิบชื้นแห่งนี้ เราจะพบเห็นความหลากหลายของพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิต และที่ขาดไม่ได้ของป่าทางเหนือในบริเวณที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 2000 ม.ขึ้นไปเราจะพบเห็น"ต้นไม้ห่มผ้า"ที่มีอยู่มากมายบริเวณผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งแสดงถึงความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี ที่แสงจากดวงอาทิตย์ไม่ค่อยมีโอกาสได้เล็ดลอดลงมาจากเรือนยอดที่มีใบไม้ปกคลุมอยู่หนาแน่น ตามต้นไม้จะถูกปกคลุมไปด้วยมอส เฟิน ไลเคน และกล้วยไม้ต่างๆ เราเดินมาสักพัก จะพบน้ำตกธารเสด็จ ซึ่งเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผืนป่าแห่งนี้ แต่ละจุดแต่ละฐานจะมีป้ายอธิบายอย่างชัดเจนถึงกระบวนการต่างๆของป่า

เดินไต่ระดับมาสักพักก็เจอประตูทางออกจากผืนป่า มองเห็นทะเลหมอกไกลๆ เช้านี้โชคดีมากที่อากาศไม่ปิด ละอองน้ำของน้ำค้างเกาะพราวไปทั่วท้องทุ่งตัดกับแสงแดดยามเช้าดูระยิบระยับ ทั้งกูดเกี๊ยะ มะแหล่บป่า และหญ้าสามเหลี่ยม มีขึ้นอยู่เต็มไปหมด มองไปไกลๆเห็นนักท่องเที่ยวเดินเรียงแถวลงจากสันเขา มีฉากหลังเป็นภูเขาดูงดงามมาก

ผมใช้เวลาเก็บภาพอย่างเต็มที่บนจุดชมวิวแห่งนี้ ทะเลหมอกอลังการดาวล้านดวงจริงๆ ถ้าตัดภูเขาด้านข้างด้านหลังออกไปผมว่าเหมือนเราติดเกาะอยู่กลางทะเลหมอกแน่ๆ


นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง

ใช้เวลาเดินทางไปกลับและอยู่ข้างบนจุดชมวิวอยู่ราวๆ 3 ชั่วโมงก็เดินทางลงมาเที่ยวนาขั้นบันไดที่แรกก่อน นั้นก็คือ นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวง ซึ่งช่วงเวลาที่ไปต้นเดือน พ.ย เป็นช่วงเก็บเกี่ยวใกล้หมดแล้ว ยังดีที่พอมีให้ถ่ายได้ไม่กี่แปลง ทางที่ดีควรมาประมาณปลาย ต.ค จะดีที่สุด

ถึงแม้จะถูกเก็บเกี่ยวไปหลายแปลง แต่ก็ยังดีได้ภาพการเก็บเกี่ยวของชาวบ้านมาแทน

ออกจากแม่กลางหลวง ก็ขับกลับขึ้นไปทางเดิมที่จะไปกิ่วแม่ปาน แวะซื้ออาหารที่ตลาดม้ง ขึ้นไปทำกินกันตอนเย็นที่พักของเรา ที่นี่ส่วนใหญ่จะขายพืชผักผลไม้หรือผลิตภัณฑ์แปลรูปต่างๆของโครงการหลวง ราคาก็แอบแพงอยู่หมือนกัน

ออกจากตลาดม้งขับมาอีกนิดถึงด่านตรวจจุดที่ 2 ก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ให้เลี้ยวซ้ายไปทางน้ำตกแม่ปาน คืนนี้เราจะพักกันที่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติอินทนนท์ น้ำตกแม่ปาน ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของถนนลาดยาง และจากที่หน่วยนี้เองจะเป็นทาง offroad ไปยังบ้านป่าบงเปียงอีก 7 กิโล เราลงรถเก็บข้าวของย้ายเข้าที่พักที่หน่วย แวะเดินลุยป่าไปกลับอีกประมาณกิโลเข้าไปชมน้ำตกแม่ปานสักหน่อย ดูจากสภาพเส้นทางแล้วคงไม่ค่อยมีใครเข้ามาเที่ยวสักเท่าไหร่


นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง

ออกจากตัวน้ำตกเราก็นั่ง 4wd เข้าไปบ้านป่าบงเปียงกันต่อ ดูสภาพถนนแล้วก็รู้ว่าทำไมต้องเป็น 4wd เท่านั้น แค่ขับ 2 ยังอาจไม่รอดได้

ถึงจุดหมายที่บ้านมาฉิโพ ซึ่งเป็นโฮมเสตย์ของชาวบ้านที่เปิดให้เช่าพักผ่อนค้างคืนได้ ซึ่งละแวกแถวนี้ยังมีอีก 4-5 หลังที่ให้เช่าล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งนั้น วันนี้เราจะเริ่มต้นที่แสงเย็นกันก่อน พวกเรามาถึงกันสัก 4 โมงครึ่งมีเวลาพอที่จะลงไปหามุมภาพต่างๆตามท้องนา ที่นี่ก็เหมือนแม่กลางหลวงที่เริ่มเก็บเกี่ยวจนใกล้จะหมดแล้วเหมือนกัน ถ่ายกันไปเรื่อยจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า


เช้ามืดวันต่อมาเรากลับมาถ่ายแสงเช้ากันอีกครั้ง สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือทะเลหมอก


นาขั้นบันไดบ้านแม่กองกาน

กลับจากบ้านป่าบงเปียง เราเก็บข้าวของที่หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำตกแม่ปานขึ้นรถเดินทางสู่นาขั้นบันไดบ้านแม่กองกาน ที่นี่จุดถ่ายภาพจะอยู่ริมถนน ต้องจอดรถชิดขอบทางให้มากที่สุด ที่นี่โชคดีหน่อยที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว จึงได้เห็นลวดลายบนพื้นดินของนาขั้นบันไดได้อย่างเต็มที่

ขากลับแวะไหว้พระ ที่อ.แม่แจ่มเลยได้ภาพวิวของทุ่งนาของอ.แม่แจ่มติดมาด้วย ช่วงนี้ชาวนากำลังฟาดข้าวกันอยู่พอดี

วัดในอ.แม่แจ่มมีวัดโบราณสวยๆอยู่หลายที่ นี่คือ 3 วัดที่ผมได้ไปเยือนมา

1.วัดพุทธเอ้น โบสถ์น้ำ ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม ตามประวัติกล่าวว่า วัดพุทธเอิ้นก่อสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อ ๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วคือ "โบสถ์น้ำ" ลักษณะคือสร้างในสระสี่เหลี่ยม โดยปักเสาลงในน้ำล้อมรอบด้วย กำแพงศิลาแลง โบสถ์น้ำหรือโบสถ์กลางน้ำก็มีอยู่ที่วัดนี้เช่นกัน โดย โบสถ์น้ำนั้นเป็นโบสถ์ที่มีน้ำล้อมรอบ และถ่ายเทได้เป็นคติการสร้างโบสถ์แบบหนึ่งในพุทธศาสนา น้ำที่ล้อมรอบนี้ เป็นการแสดงเขตพัทธสีมา ตามคติโบราณถือว่าแสดงถึงความมั่นคงแน่นอน สามารถใช้ประกอบพิธีได้ตลอดเวลา โดยมิต้องทำพิธีถอดพัทธสีมา เพื่อทำพิธีสงฆ์ยกเว้นพิธีบวชเท่านั้น ต้องทำพิธีผูกพัทธสีมา เพราะถือว่าน้ำได้พัดพาไปแล้ว คณะสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ ที่แพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อพุทธศตวรรษที่๑๘-๑๙ นิยมใช้สีมาน้ำ และบวชที่โบสถ์บนแพ อันตั้งอยู่กลางแม่น้ำกัลยาณีในลังกา ปัจจุบันในประเทศไทยเหลือโบสถ์น้ำอยู่เพียงไม่กี่แห่ง บริเวณ รอบโบสถ์จนถึงกำแพง เรียกว่า "อุทกสีมา" มีความหมายเหมือนกับ "ขันทสีมา" ของโบสถ์บนบก โบสถ์น้ำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว คติการบวชในโบสถ์กลางน้ำนั้นถือว่าเป็นการบวชพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ได้รับอิทธิพลมาจากฝ่ายลังกา ปัจจุบันการบวชกลางน้ำนี้ได้ยกเลิกไปหมดแล้ว บริเวณด้านหลังโบสถ์ น้ำมีวิหารเก่าแก่ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสกุลไทยใหญ่ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงภาพเดียว เหนือประตูทางเข้าด้าน http://www.sadoodta.com/info/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

2.วัดยางหลวง ตั้งอยู่ที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เป็นวัดที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2038 โดยชาวกะเหรี่ยง หรือ "ยาง" เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา ภายในวัดยางหลวงมีสิ่งที่น่าสนใจคือพระอุโบสถวัดยางหลวง โดยเฉพาะผนังด้านหลังของพระอุโบสถมีภาพที่งดงามของพระ 3 องค์ โดยคาดว่าเป็นภาพพระพุทธองค์และพุทธสาวก ซึ่งเป็นศิลปะของภาคเหนืออย่างเด่นชัด ส่วนภายในหากได้ปิดไฟปิดหน้าต่างจนมืดสนิท เมื่อเปิดหน้าต่างที่ได้องศาแดดจะปรากฏภาพเงาสะท้อนพระวิหารกลับหัวเป็นที่แปลกตา ส่วนพระวิหารวัดยางหลวง ภายในประดิษฐานพระประธาน ช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อยหากได้ลองเปิดประตูวิหารเข้าไปจะพบกับบรรยากาศความขลังของวัดยางหลวงแห่งนี้ ด้านหลังของพระประธาน คือกู่ปราสาท หรือ กิจกูฏ มีความเก่าแก่มาก คนโบราณถือว่าเป็นประตูไปสู่สวรรค์ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของกิจกูฏเป็นแบบพุกามจากพม่าผสมกับล้านนาสกุลช่างเชียงแสน นอกจากนั้นยังสามารถเดินชมรอบๆวัดยางหลวง ชมกลองปูดจาซึ่งเก็บไว้สำหรับงานประเพณีประจำปี http://www.zthailand.com/place/wat-yang-luang-chiang-mai/

3.วัดบ้านทัพ ตั้งอยู่ บ้านท้องฝาย ตำบลท่าผา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดในสังกัดมหานิกาย ในอดีตเคยมีชื่อว่า "วัดศรีหนองเหนือ" ซึ่งที่ตั้งของวัดเดิมนั้นได้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดบ้านทัพในปัจจุบัน แต่เนื่องจากทำเลเดิมดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม เกิดอุทกภัยเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านชุมชนบ้านทัพรวมถึงพระภิกษุ สามเณร ได้ประสบกับภัยดังกล่าว จึงได้ลงความเห็นตกลงกันย้ายทำเลที่ตั้งของวัดใหม่ขึ้นมาทางทิศเหนือ ซึ่งจะอยู่สูงกว่าตำแหน่งเดิมที่เป็นที่ลุ่ม โดยมีพระติ๊บ สุมงคโล เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกหลังจากย้ายที่ตั้งใหม่ พร้อมลูกศิษย์ โดยมี "ท้าวเขื่อนคำ กองจันทร์" ณ บ้านทัพเป็นผู้อุปถัมภ์ "พ่อหนานอุปนันท์ กรรณิกา" ณ บ้านท้องฝายเป็นมัคทายก และ "พ่อน้อยป๊อก โสภาณะ" ณ บ้านทัพเป็นหัวหน้าผู้ศรัทธาและชาวบ้านในชุมชนทุกครอบครัว รวมมีศรัทธาจากบ้านทัพ บ้านไร่ และบ้านท้องฝาย ร่วมอุปถัมภ์วัดบ้านทัพ จำนวน 411 หลังคาเรือน จากนั้นได้มีการนิมนต์องค์พระประธานล่องแพมาตามลำน้ำแม่แจ่ม แล้วนำองค์พระมาประดิษฐานใหม่ ณ สถานที่ตั้งวัดแห่งใหม่ ซึ่งสถานที่ใหม่แห่งนี้เดิมเป็นพื้นที่ของวัดแห่งหนึ่งที่ได้กลายสภาพเป็นวัดร้างไปเรียบร้อยแล้ว วัดร้างแห่งนี้มีชื่อว่า "วัดผาแดง" วัดโบราณที่วันเวลาล่วงเลยผ่านขาดคนคอยดูแลและพัฒนา ทำให้กลายสภาพเป็นวัดร้าง มีผู้เล่าว่าบริเวณที่ตั้งวัดผาแดงมีลักษณะเหมือนหาดที่เรียกกันว่า "หาดผาแดง" อันเป็นที่มาของชื่อวัดร้างแห่งนี้ มีบ่อน้ำเย็น 1 บ่อ ชาวบ้านเรียกกันว่า "บ่อน้ำทิพย์" เมื่อได้ทำการย้ายวัดศรีหนองเหนือมาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ ก็ได้ตั้งชื่อใหม่ว่า "วัดบ้านทัพ" ซึ่งครั้งหนึ่ง ณ บ้านทัพแห่งนี้เคยมีทหารมาตั้งกองทัพอยู่ จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า "บ้านทัพ" และต่อมาในปี พ.ศ. 2402 ทางกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศก่อตั้งขึ้นเป็นวัดขึ้นอย่างถูกต้องตามหลักทางพุทธศาสนา มีอาณาเขตทางทิศเหนือจรดทุ่งนา ทางทิศใต้จรดถนนและทุ่งนา ทางทิศตะวันออกจรดทุ่งนาอีกเช่นกัน และทางทิศตะวันตกจรดถนนและโรงเรียนในชุมชนบ้านทัพ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารอบๆ วัดบ้านทัพ ถูกล้อมด้วยทุ่งนาถึง 3 ทิศ ด้วยทำเลที่สวยงามของวัดบ้านทัพนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาเที่ยวในอำเภอแม่แจ่มดินแดนแห่งทุ่งนา ต่างมุ่งหน้าตามหาวัดบ้านทัพเพื่อเก็บภาพทุ่งนาสีเขียวที่สวยงาม และทุ่งนาสีทองในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี โดยมีเจดีย์พระธาตุโคตรมานุสรณ์ เป็นศาสนสถานภายในวัดให้ผู้มาเยือนได้สักการะเพื่อเป็นสิริมงคล http://www.tripchiangmai.com/chiangmaiboard/index.php?topic=8481.0#.V4SBCtKLSM8

แผนที่ อ.แม่แจ่ม

ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปชิลๆ สบายๆ ขับรถตระเวนถ่ายภาพไปเรื่อยๆ หากเพื่อนๆสนใจเข้าไปเลือกทริปการเดินทางที่นี่ได้น่ะครับ http://www.basscampadventure.com/


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด


































สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.40 น.

ความคิดเห็น