หากเอ่ยถึงแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฏร์ธานีเชื่อว่าขาเที่ยวเกือบทั้งหมดคงมีภาพเกาะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมุย, พะงัน หรือหมู่เกาะอ่างทอง รวมถึงบรรยากาศของเขื่อนเชียวหลานผุดขึ้นมาในสมองเป็นแน่ ... อันที่จริงเสี้ยววินาทีแรกผมก็นึกออกแค่นั้นเหมือนกันแต่การไปเที่ยวสุราษฎร์ ฯ รอบนี้อยากลองสรรหาจุดน่าสนใจใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงพร้อม ๆ กับสำรวจร้านอร่อยของเมืองใหญ่แห่งนี้ ... ไปดูกันครับว่าสุราษฎร์ ฯ เขามี unseen อะไรเด็ด ๆ บ้าง



06:00



ไปเที่ยวทั้งทีจะให้คุ้มต้องเริ่มกันตั้งแต่เช้าตรู่ครับ ... ผมลุกจากที่นอนออกไปเก็บภาพริมแม่น้ำตาปีสายน้ำอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดของจังหวัดสุราษฎร์ฯ ... โชคดีหน่อยที่ผมเลือกพักรีสอร์ทติดกับแม่น้ำเลยแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนแต่ยังรับรู้ได้ถึงความสดชื่นของบรรยากาศริมน้ำ ถ้ามาช่วงปลายฝนต้นหนาวต้องบรรยากาศสุดยอดแน่ ๆ เลย ...



อันที่จริงสามารถเช่าเรือหางยาวนั่งออกไปชมบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำตาปีได้เหมือนกันแต่อย่างที่บอกครับได้ที่พักริมแม่น้ำ ก็เลยไม่ต้องเดินทางให้วุ่นวาย อิอิ



ภาพชุดนี้ถ่ายที่ Naraya Resort อยู่ริมแม่น้ำตาปีไม่ไกลจากตัวเมืองสุราษฎร์08:00


สำหรับมื้อเช้าที่สุราษฎร์ ฯ หลังจากได้ลองสืบค้นหาข้อมูลและไปทดลองชิมมาแล้วถ้าหากต้องเลือก 1 แห่งที่แนะนำเห็นจะเป็นขนมจีนเส้นสดใกล้เรือนจำในตัวเมืองรูปแบบการเสิร์ฟก็แปลกดี คือจะให้น้ำแกง 4 อย่างพร้อมผักมาเป็นชุดสามารถเติมผักและน้ำแกงได้ไม่อั้นโดยน้ำแกง 4 อย่างที่ให้มามีน้ำพริก,น้ำยา , แกงไตปลา,และแกงป่า หากอยากทานแกงเขียวหวานต้องสั่งเพิ่มพิเศษ (ถ้วยละ 30 บาท)สำหรับราคานั้นไม่ถูกไม่แพงตะกร้าละ 40 บาทเติมน้ำแกงและผักได้ไม่อั้นอย่างที่บอกไปแล้ว(ชอบมากก็ตรงเนื้อปลาที่อยู่ในแกงไตปลาให้มาเป็นชิ้น ๆ ทานได้สะใจมากตอนไปเติมน้ำแกงเขาก็เพิ่มเนื้อปลาให้แบบเต็มที่ไม่ขี้เหนียวเลย)



09:00



ทานมื้อเช้าเสร็จขับรถไปอีกหน่อยก็ถึงบริเวณหน้าเมืองแล้วขอพาไปชมและสักการะศาลหลักเมืองของสุราษฎร์ ฯ กันหน่อยนะครับนอกจากได้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่นับถือของชาวเมืองแล้วยังได้มีโอกาสเก็บภาพสวย ๆ ของสถาปัตยกรรมที่นี่ด้วย



12:00



เมื่อมาสุราษฎร์ ฯ ทั้งทีสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการได้ลิ้มลองอาหารทะเลสด ๆ ที่พลาดแล้วเหมือนมาไม่ถึงคือหอยนางรมตัวโต ๆ ที่จัดว่าเป็นหนึ่งในของดีเมืองสุราษฎร์ ฯ... อันที่จริงใกล้ ๆ ตัวเมืองสุราษฎร์บริเวณที่เรียกว่าปากน้ำมีร้านดังประจำจังหวัดได้แกลำพูที่มีด้วยกันหลายสาขาอยู่ไม่ห่างกันมากนักแต่ผมมักจะเลือกไปทานที่อีกร้านในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ซึ่งห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ไปราว 25 กม.และครั้งนี้ก็เช่นกันผมเลือก “ร้านเคียงเลซีฟู้ด" เป็นที่ฝากท้องมื้อเที่ยง ...

เมื่อมาถึงจะมีลานจอดรถกว้างขวางสะดวกสบายเพื่อรองรับลูกค้าของร้านอาหารประเภทซีฟู้ดที่มีอยู่หลายร้านด้วยกันในบริเวณนี้



เนื่องจากไปกันแค่ 2 คน อาหารที่สั่งจึงไม่หลากหลายมากนักมีส้มตำปูม้า, ปูนึ่ง, ปูเผา (อยากลองว่าแบบไหนอร่อยกว่า), กุ้งแม่น้ำเผาและแน่นอนหอยนางรมสด ๆ



หลังได้ลิ้มลองแล้วเป็นอีกครั้งที่ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลยอาหารทะเลสดมาก ทำให้รสชาติดีแบบไม่ต้องปรุงเลยทุกเมนูการได้แทะเนื้อกุ้งเนื้อปูทีละคำทีละคำ เป็นช่วงเวลาที่ฟินสุด ๆ... โอ้ยเขียนไปก็น้ำลายไหลไป



ปล. ผมไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าปูนึ่งกับปูเผาแบบไหนอร่อยกว่า ... ปูนึ่งที่นี่ทำมาแบบค่อนข้างแห้ง ได้รสชาติหวาน ๆ ของเนื้อปูเต็มที่ส่วนแบบเผาก็อร่อยไม่แพ้กันแต่จะได้กลิ่นหอม ๆ จากถ่านด้วย อันนี้แล้วแต่ชอบเลย ส่วนผมชอบทั้งสองอย่าง13:00



บ่าย ๆ ของวันหลังมื้อเที่ยงต้องเติมคาเฟอีนเข้ากระแสเลือดหน่อยถามเจ้าถิ่นสุราษฎร์ได้ความว่ามีร้านกาแฟเก๋ ๆ ที่อุดมด้วยเค้กหลากรสอยู่แถวบางใบไม้... ร้านหาไม่ยากครับจากถนนหน้าเมืองสุราษฎร์ ฯ ข้ามสะพานตรงบริเวณศาลหลักเมืองจากนั้นขับรถไปเรื่อย ๆ สัก 2-3 นาทีร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ ...



ร้านบางใบไม้ตั้งชื่อตามที่ตำบลที่ตั้งตกแต่งแบบเก๋ ๆ ให้นั่งเล่นได้ชิล ๆ สำหรับเมนูกาแฟและเบเกอรี่ก็มีหลากหลายทีเดียวครับวันนั้นลองสั่งลาเต้ร้อน กับชาเย็นรสชาติดีรับ ส่วนเค้กลองลาวาชาเขียวกับถั่วแดง ผมว่าติดหวานไปหน่อยอีกชิ้นเป็นเครปเค้กเนื้อนุ่มลิ้นดีเหลือเกิน...



อันที่จริงร้านนี้มีอาหารจานเดียวด้วยนะครับสำหรับคนที่อยากจะฝากท้องมื้อเที่ยงแต่ผมเพิ่งอิ่มมาหมาด ๆ ก็เลยไม่ได้ลอง14:00



โปรแกรมต่อไป เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอนาสาร ... ซึ่งถ้าเอ่ยถึงอำเภอนี้หลายคนคงคุ้นชื่อเงาะนาสาร ซึ่งเชิดหน้าชูตาให้กับสุราษฎร์ ฯ มาแต่ไหนแต่ไร ใครจะไปรู้ว่าที่อำเภอนาสารมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจหลายแห่งทีเดียวโดยบางส่วนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นซึ่งเป็นบริเวณที่มีเทือกเขาสูงและยังอุดมสมบูรณ์มากทั้งนี้เดิมทีผมตั้งใจจะไปสำรวจถ้ำขมิ้นเพราะอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่นักและหินงอกหินย้อยที่ได้เห็นภาพจากใน internet ก็สวยมากแต่พอเดินทางไปถึงเจ้าหน้าที่ตรงจุดเก็บค่าธรรมเนียมแจ้งว่าด้านในไม่สามารถถ่ายภาพได้ เพราะระบบไฟฟ้าเสียมาเป็นเวลาปีกว่าแล้วทำให้โคมไฟที่ประดับไว้ตามทางเดินรวมถึงไฟส่องสว่างใช้งานไม่ได้จึงคงมีเพียงแสงสว่างจากไฟฉายที่นำติดตัวเข้าไปเท่านั้นซึ่งสถานกาณณ์แบบนี้คงไม่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมากนัก ... ผมจึงต้องเดินคอตกชกลับออกมาแล้วเดินทางไปยังจุดหมายสำรอง นั่นคือ “น้ำตกตาดฟ้า"ซึ่งทางเข้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักแต่จากถนนใหญ่เข้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของน้ำตกตาดฟ้าต้องเข้าไปอีกราว 10 กว่า กม.



ทิวทัศน์ก่อนถึงตัวน้ำตกเล็กน้อยป่ายังอุดมสมบูรณ์มาก ๆ



น้ำตกตาดฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น มีทั้งหมด 10 ชั้นด้วยโดยตั้งแต่ชั้น 4 เป็นต้นไปจะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเพื่อความปลอดภัย... เสียดายที่ผมมีเวลาจำกัดจึงมีโอกาสเที่ยวชมเพียง 3 ชั้นเท่านั้น



ชั้นแรก เป็นน้ำตกขนาดเล็กครับ เต็มไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังสนุกกับการสไลด์ตัวบนก้อนหินจากด้านบนสู่แอ่งน้ำด้านล่าง(ดูแล้วน่าสนุกแต่อายุเกินเลยไม่กล้าเล่น อิอิ)



ชั้นที่สอง


ชั้นนี้ก็ไม่ใหญ่จุดเด่นอยู่ตรงแอ่งน้ำที่ชั้นนี้มีปลาดเยอะมาก ๆ ครับ



ชั้นสาม


นับเป็น highlight ของ 3 ชั้นแรก และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มานั่งพักกันบริเวณนี้ ตัวนั้าตกน่าจะสูงราว 10-15 เมตรจุดเด่นคือมีช่องเล็ก ๆ ภายใต้สายน้ำตกให้เข้าไปนั่งทำมิวสิคได้ หุหุ



ถ้ามีเวลามาก ๆ ผมว่าได้เดินป่าสำรวจชั้นอื่น ๆ ของน้ำตกก็น่าจะสวยงามไม่น้อยนะครับแต่ช่วงที่สวยผมว่าควรเป็นปลายฝนต้นหนาวที่ยังคงเขียวชะอุ่มและน้ำไม่แรงเกินไป



แถมภาพดอกกัลปพฤกษ์ที่อยู่บนเส้นทางสู่น้ำตก ซึ่งกำลังออกดอกเต็มต้นสักหน่อยครับ



บานช่วงเดียวกับซากุระที่ญี่ปุ่นเลย อิอิ16:00



ใช้พลังงานปีนป่ายถ่ายภาพน้ำตกไปเยอะขอรองท้องก่อนมื้อค่ำซักหน่อยด้วยอีกร้านดังของสุราษฎร์ ฯ... ร้านที่ว่านี้คือ “ก๋วยเตี๋ยวป้าทิ้ง" ... เดิมร้านนี้ตั้งอยู่ที่อำเภอดอนสักห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ไปไกลพอสมควรแต่ภายหลังมาเปิดให้ได้ลองลิ้มชิมรสกันถึงในเมืองผมก็เลยต้องจัดสักหน่อยเพราะได้ข่าวว่าแต่ละจานของเขาอลังการมาก ... อยากแนะนำดัง ๆ ว่าทานก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ต้องไปกันหลาย ๆ คน สั่งชามใหญ่แล้วแย่งกันกินสนุกดีหากไปคนเดียวมีหวังได้นอนพุงกางอยู่ในร้านแน่ ๆ ... ที่ร้านนี้เขาโดดเด่นเห็นจะเป็นการเลือกอาหารทะเลสด ๆ ทั้งปลาหมึก, กุ้ง, กั้งและก้ามปูมาวางเรียงเต็มจานให้ทานกันแบบจุใจ



สนนราคาจานใหญ่สุดที่เรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยวจัดหนัก จอมพลัง" นั้นอยู่ที่ 299 บาททานได้ 2-3 คนครับ



เมนูและราคาตามนี้เลย



18:00



ตอนทำ research หาว่ามีจุดถ่ายภาพตรงไหนที่น่าสนใจบ้างในเขตเมืองสุราษฎร์ ฯหลังจากค้นคำว่า ปากน้ำสุราษฎร์ใน google เพื่อจะลองหาทำเลถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวย ๆ ก็ไปเจอภาพสะพานภาพแห่งหนึ่งที่ดูเตะตามาก ๆค้นไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งพบว่าเฮ้ย สะพานนี่มันสูงสง่าดูโดดเด่นจริง ๆแถมยังเป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำตาปีด้วยผมจึงตงลงใจว่าจะไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่สะพานแห่งนี้ ...



ไปถึงก็ไม่ผิดหวังครับโครงสร้างสะพานดูสูงสง่าจริง ๆ และพระอาทิตย์ตกวันนั้นก็สวยงามซะด้วย ..จะว่าไปที่นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองสุราษฎร์ ฯ สังเกตได้ว่ามีคนมาปั่นจักรยานกันเยอะเหมือนกันและหลายคนก็จอดรถบนสะพานเพื่อชมวิวยามเย็นเรื่อยไปจนถึงค่ำคืน

ที่ต้องระวังหน่อยคือมีรถขนาดใหญ่ประเภทรถพ่วงใช้สะพานแห่งนี้ไม่น้อย ดังนั้นอย่าถ่ายภาพหรือเดินเล่นเพลินจนโดนรถทับก็แล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน อิอิ



วิวจากบนสะพานก็งามใช่ย่อยครับ



19:00



มื้อค่ำที่ภัตตาคารลัคกี้ ... 555 ไม่ต้องตกใจครับว่าแนะนำภัตตาคารกันเลยเหรอ ... คือผมลองหาร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำที่ไม่ใช่ประเภทซีฟู้ดแล้วเพื่อน ๆ บน facebook หลายคนแนะนำร้านนี้ก็เลยต้องมาลองหน่อยอันที่จริงที่นี่ไม่ได้เป็นภัตตาคารหรูหราระดับ 5 ดาวอะไรหรอกครับแต่คงเปิดมานานแล้วและร้านอาหารสไตล์นี้ในสมัยก่อนก็เรียกกันว่าภัตตาคารร้านนี้อยู่ในตัวเมืองสุราษฎร์ ฯ มีที่จอดรถให้พอประมาณ (วันไหนคนเยอะอาจไม่พอ อิอิ) ... เสียดายที่มื้อก่อนหน้าจัดเต็มมากมาถึงที่นี่ก็เรียกได้ว่ายังอิ่ม ๆ อยู่ เลยไม่ได้ทดลองอะไรพิเศษหวือหวาและหลากหลายมากแต่รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยดีครับ



20:00



กิจกรรมถัดไปไม่มีภาพมาฝากครับ แต่อยากจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ปรับทับใจที่สุดในทริปนี้เลย นั่นคือการล่องเรือชมหิ่งห้อยที่คลองร้อยสายครับ... การชมหิ่งห้อยจะขึ้นเรือที่ท่าบริเวณหน้าเมือง ใกล้ ๆ กับจุดที่วางขายผลไม้เยอะ ๆโดยโทรนัดแนะเวลากันกับคนขับเรือ เพราะไม่ได้ประจำอยู่ที่ท่าตลอดเวลา (เบอร์โทรแปะไว้ตรงเสาไฟฟ้าแถว ๆ นั้น ... ถ่ายภาพไว้ในมือถือกะจะเอามาบอกเพื่อน ๆ แต่เผลอลบตอนไหนก็ไม่รู้ T T)



ปกติแล้วถ้าไปกันหลายคนพี่เขาจะคิดค่านำเที่ยวเป็นรายหัวหัวละ 50 บาทแต่เนื่องจากเราไปกันแค่ 2 คนพี่เขาก็เลยคิดราคาเหมาที่ 300 บาท



เรือนำเราออกจากท่ามุ่งตรงไปตามสายหลักของแม่น้ำตาปี ก่อนจะเบนเข้าสายรองที่บ้านเรือนริมน้ำค่อย ๆ บางตาลงไปเหลือเพียงความมืดมิดของบรรยากาศโดยรอบ ... อันที่จริงการชมหิ่งห้อยนั้นควรมาชมในคืนเดือนมืด เพื่อที่จะได้เห็นแสงจากหิ่งห้อยชัดที่สุดแต่วันที่เรามาเป็นข้างขึ้นอย่างไรก็ตาม แสงสว่างสลัว ๆแบบนี้ทำให้ได้อารมณ์อีกแบบเพราะสามารถมองเห็นต้นไม้และบรรยากาศต่าง ๆ ได้ราง ๆ ...



เมื่อมาถึงจุดที่มีต้นลำพูขึ้นริมฝั่ง เราก็เริ่มเห็นหิ่งห้อยส่องแสงกระพริบอยู่ตามต้นลำพูเหล่านั้นเรือค่อยเบาเครื่องลงนำเราผ่านต้นลำพูไปทีละต้น ๆ ... ณ ตอนนี้ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะบันทึกภาพตรงหน้าเป็น vdoแต่ด้วยความมืดขนาดนี้จึงทำให้ไม่สามารถบันทึกความงดงามตรงหน้าได้อย่างที่คาดหวัง ... เรือแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็เบนหัวกลับแล้วนำเรามาลอยลำนิ่ง ๆ ใกล้ต้นลำพูต้นหนึ่งที่มีหิ่งห้อยเยอะสุด ... บอกตรง ๆ ว่าจำนวนหิ่งห้อยนั้นเยอะกว่าที่ผมจินตนาการไว้มากถ้านึกไม่ออกว่าเป็นแบบไหนให้ลองคิดถึงต้นคริสมาสต์ครับแต่แบบนี้มันมีชีวิตชีวากว่าเยอะเลย



ขอชดเชยด้วยภาพยามเย็นริมแม่น้ำตาปีใกล้ ๆ กับที่ขึ้นเรือหางยาวแทนละกันนะครับ



21:00


กลับจากชมหิ่งห้อยผมเดินเลียบแม่น้ำตาปีไปยังบริเวณที่จัดกิจกรรมถนนคนเดินซึ่งมีทุกวันเสาร์ ...ใกล้ ๆ กันมีหุ่นตัวละครจีน (น่าจะจัดแสดงในช่วงตรุษจีนที่ผ่านไปหมาด ๆ) แถมด้วยหุ่นที่เกี่ยวกับเทศกาลคริสมาสต์ด้วย (คงโชว์ยาวตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่โน่นเลย) ... สำหรับบริเวณถนนคนเดินก็คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ออกมาเดินกินลมชมบรรยากาศและถือโอกาสเลือกช็อปปิ้งสินค้าราคาประหยัดจำพวกของแฟชั่นต่าง ๆ ไปจนถึงของประดับและอาหารทานเล่นนับเป็นอีกกิจกรรมปิดท้ายของวันที่ไม่ควรพลาดหากเพื่อน ๆ มาในคืนวันเสาร์



ปล.


ทริปนี้ ผมใช้ Google map ในการค้นหาสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นร้านอาหารพบว่า Google นำหลงไปหลายครั้งมาก เพราะจุดที่ปักหมุดไม่ได้เป็นที่ตั้งของสถานที่นั้นจริง ๆ ... จึงอยากบอกเพื่อน ๆ ที่จะพึ่งพา Google ว่าให้ระมัดระวังด้วยครับเพราะร้านอาหารหลายแห่งคงไม่ได้เข้าแก้ไขที่อยู่จริง ๆ ให้ถูกต้อง ... สุดท้ายผมต้องพึ่งพาเวปไซต์ wongnai ที่บอกที่อยู่แม่นยำกว่ามาก(ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)



สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบถ่ายภาพก็ติดตามผลงานได้ที่ fb page 9Mot-Photography , instagram @9mot หรือชมรีวิวทริปอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศได้ที่ www.9mot.com นะครับ

นายมด

 วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.34 น.

ความคิดเห็น