หลายครั้งคนเราตามหาคำตอบว่าเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต แต่ก็ไม่มีวี่แววของคำตอบเลยสักนิด

ก็เลยทำให้คนเราต้องออกเดินทางไปเรื่อยๆ จนในที่สุดหลายคนอาจจะได้คำตอบแต่หลายคน

ก็อาจจะยังไม่พบคำตอบ แล้วถ้าหากเราต้องทุกข์กับการพยายาม

หาคำตอบของคำถามนี้ คนเราก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไรเลยสักอย่าง

ฉะนั้นวันนี้เราก็ควรเก็บเกี่ยวเอาช่วงเวลาดีๆรอบๆตัวเรา ในระหว่างทางที่รอคำตอบไปก่อนแล้วกัน.....



สำหรับ ทริปนี้ จริงๆต้องบอกก่อนว่าตั้งใจจะไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนัดกับเพื่อนไว้ดิบดี


สุดท้ายงานเข้าเลยอดไป ก็ได้แต่นั่งกินแห้วคนเดียวเพราะเพื่อนไปกันหมด หลังจากนั้นก็เข้าใจอารมณ์ไหม

แบบคุยกับใครไม่รู้เรื่องนั่นๆแบบนั้นเลย แต่ไม่เป็นไร ถ้างั้นเราแบกเป้บุกเดี่ยวเลยดีกว่า ถามว่าหาข้อมูลไหม

ก็มีไปนิดนึงแต่คิดไว้แบบว่า ไปหาเอาดาบหน้า คงสนุกดี555 พร้อมกันหรือยังถ้าพร้อมแล้วไปลุยไปพร้อมกันเลยดีกว่า ........



-- กทม.- อุดรธานี --

Day 1

การเดินทางตอนแรกคิดว่าไว้ 2 ตัวเลือกก็คือ ทางแรก นั่งเครื่องไปลงที่สนามบินอุดร

แล้วต่อรถไปที่ขนส่งแต่มีโอกาสจะตกรถได้แต่ๆ ที่สำคัญต้องแหกตาตื่นๆกี่โมงจริงไหม (ที่แท้ก็ข้ออ้าง55)

ส่วนตัวเลือกทางที่สอง นั่งรถทัวร์ตอนเย็นมา แล้วก็นอนบนรถทัวร์เลย1 คืน

แล้วไปลงที่ขนส่งอุดร แล้วไปซื้อตั๋วไปวังเวียงซึ่งน่าจะสะดวกกว่า แล้วตอนกลับนั่งเครื่องกลับ แต่ๆมีประเด็นเกิดขึ้นเล็กน้อยติดปัญหาเรื่องที่ ว่าไม่เคยนั่งรถทัวร์ไปไกลๆเลย ส่วนใหญ่นั่งเครื่องตลอดเพราะสะดวกแต่ที่นี้ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ลองดูหน่อยจะเป็นไร ไม่กล้าก็ไม่ก้าว จริงมะ555 เอาตัวเลือกที่สองแล้วกัน หลังจากตัดสินใจได้ก็แวะซื้อตั๋วตอนเช้า เจ้าหน้าที่บอกว่ารถออก 21.00 ตรง แค่นั้นไม่มีรายละเอียดอื่น พึ่งรู้ว่ารถทัวร์ก็มีให้เลือกที่นั่งด้วย เราเลย เลือกข้างหน้าต่างสิจ๊ะรออะไร แบบใช้ทฤษฎีเวลานั่งเครื่องบิน อ้าวเกี่ยวกันไหม 55 หลังจากนั้นก็กลับมาเก็บของ ยัดๆใส่กระเป๋าแล้วนอนหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดหน่อย หลังจากนั้นโทรหาเพื่อน บอกว่าจะไปแล้วนะเพื่อนสุดประเสริฐก็เสียงแหลมมาแต่ไกล นี่ๆแกกำลังจะไปแล้วนะจะทันไหม เออหาข้อมูลเพิ่มนิดนึงปะ คงพอทัน แล้วมันก็อวยพรขอให้ได้พบเจอคนหล่อๆเก็บติดไม้ติดมือมาฝาก แม้หล่อนไปก่อนยังหิ้วมาไม่ได้แล้วจะมาหวังอะไรกับฉัน วางสายนางหลังจากนั้นก็นอนพัก จนนาฬิกาปลุกก็เตรียมตัวเพื่อมารอที่รถก่อน ออกมารอเวลาก่อนรถออกครึ่งช.ม

มาขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้บ้านดีเป็นรถของบริษัทขนส่ง รถไปสุดสายที่หนองคาย แต่ก็แวะที่ขนส่งอุดรก่อน


ที่นั่งตอนขึ้นมา อันนี้ของคนข้างๆ เป็นพี่ผู้หญิงซึ่งตลอดการเดินทางเราทั้งสองไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันเลยสักคำเดียว

เนื่องจากความเงียบเข้ามาบดบังเลยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเรา แถมมีเสียงกรนของผู้ไม่ประสงค์ออกนาม555



ตอนแรกออกจะกลัว นิด นึง แบบอะไรที่เราไม่เคยไปประสบเราก็ต้องแบบกลัวนิดนึงเนอะ แต่พอนั่งสักพักเสียงในรถก็เงียบไป


แต่ที่สำคัญคือแบบมีเพลง แบบเก่าๆมากๆไม่รู้จักสักเพลงแต่เข้ากับบรรยากาศดีซะเหลือเกิน คล้ายๆยานอนหลับให้กินเลย

แต่ไม่รู้ว่าทุกคันเปิดเหมือนกันแบบนี้ไหม เพราะพึ่งเคยขึ้นครั้งแรก รถทะยานไปบนถนนตอนแรกก็ไม่กล้าหลับเลย

คิดไปไกลว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นนี่จะยังไง แม้ๆต้องเติมความคิดบวกเข้าไปบ้างนะหล่อน เรียกอีกอย่างว่าฟุ้งซ่าน คะคุณ

แต่อีกใจก็คิดใครมันจะซวยขนาดนั้น แต่ก็แบบ ขาวกับดำมันทะเลาะกันไง แต่พอเวลาผ่านไปคิดภาพต่อออกไหมเอ่ย

หลับไม่เหลือ ไม่ได้อ่อนเพลียนะ แต่ง่วงจ๊ะบอกเลย

--วังเวียง--


DAY 2

จนประมาณตี 1 รถแวะมาจอดที่ ขนส่งที่นครราชสีมา ก็ตื่นมาแบบงงๆแล้ว ก็แบบ

มีพนักงานประกาศว่าให้ลงมากินข้าวฟรี แล้วก็ฉีกคูปอง แล้วก็เดินงงๆไป แต่คือจริงๆคูปองใช้ได้

แต่ต้องเพิ่มเงิน แต่ว่าลืมไปไหม ว่า ดึกมากขนาดนี้จะมากินข้าวโอ้ยยยย

ไม่ใช่แล้ว ปกติมืดนิดก็ไม่กินแล้ว ด้วยความงก เฮ้ยๆไม่ใช่เสียดายมากกว่า เอามาซื้อของกินเล่นนิดนึง

หลังจากนั้นก็ขึ้นรถนั่งกันไป จนเกินคำว่าเมื่อยๆๆๆๆไปอีกไกลมากมายจนมารู้สึกตัวอีกที

ก็คือประมาณตีสี่แล้ว หลังจากนั้นก็นอนไม่หลับอีกเลยจนเวลาเลยผ่านมา ก็ตี5.50

รถก็มาถึงขนส่งอุดร เรียบร้อยฝนที่ตกปรอยๆก็เริ่มขาดเม็ดแล้ว พอมาถึงขนส่งเท่านั้น

ชีวิตก็เหมือนดาราแบบเป็นซุปตาร์ ประมาณนางรวยและสวยมาก55

ตรงนี้แนะนำว่าอย่าสบตาหรือไม่ก็บอกไปเลยว่าต่อรถทัวร์ แล้วก็จะหายไปในพริบตา555

ที่ขายตั๋ว


เดินมาก็ตามทางก็จะเห็นช่องขายตั๋ว แต่ยังไม่เปิดขายเพราะ 6โมงเข้า ที่นี้จากกิติศัพท์คำลำลือมาบอกเลยว่าถ้าขยับนิดชีวิตเปลี่ยน


ตรงนี้บอกเลยคำเดียว เรื่องจริง จากที่ประสบพบเจอมาคือ เคาน์เตอร์เปิด 6.30 เปิดปุ๊บแถวยาวมาก ราคาบัตร 320 บาทต้อง

ซื้อ พร้อมกับยื่นคู่กับหนังสือเดินทาง (passport) 1คนซื้อได้ 1 ใบ หลังจากนั้นก็มารอเวลาขึ้นรถ รถออก8.30 เลยแวะไปหาไรกินก่อน

เดินไปไม่ไกลจากขนส่ง ก็ไปเจอร้านไข่กระทะจะรอช้าอยู่ทำไม gogo



รสชาติดีกินพร้อมกับชาอร่อยดีเลยหลังจากจัดการเรียบร้อยก็ใกล้เวลารถจะออก ก็รีบๆเดิน มาขึ้นรถ


บนรถจะมีแจกใบผ่านแดนให้เขียนทั้ง2ใบ ใบแรกของไทยอีกใบของลาว เขียนเป็นภาษาอังกฤษนะจ๊ะ

ภาษาไทยนายด่านอ่านไม่ออกจร้า หุหุ คิดเองเฉยๆ55



หน้าตาแบบนี้



หลังจากรถออกวิ่งมาประมาณ40นาทีจะมาถึงด่านไทยให้รีบลงไปเพื่อประทับตราออกนอกประเทศแล้ววิ่งๆมาขึ้นรถคันเดิม

เพื่อไปต่อที่ด่าน ลาว ตรงนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าคนมาหรือน้อยแล้วตรงด่านลาวเราต้องเพิ่มขั้นตอนคือต้องซื้อการ์ดผ่านแดน

เหมือนบัตรbts บ้านเรา แต่ที่ไปวันธรรมดา ราคา 5 บาท = 1000 กีบ ถ้าวัน ส-อ 50 บาท แต่ตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมารีบๆ

หลังจากนั้นก็ไปประทับตราผ่านแดนพอผ่านตรงนี้มาก็จะเสียบบัตร ไป เป็นอันเรียบร้อย

ก่อนเดินออกไปจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยอีกทีนึง หน้าที่ของเราตอนนี้คือเก็บใบส่วนที่เหลือไว้เท่านั้น

จะได้ไม่งานเข้านะจ๊ะ เดินมาขึ้นรถคันเดิม

นั่งกันไปยาวๆเลยอันนี้เข้าเขตลาวแว้ว



วิ่งมาประมาณเที่ยงกว่า รถก็จะมาจอดพักที่นี่ประมาณ 20 นาทีเป็นร้านค้าขายของกินหลายอย่าง



พอเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างก็นั่งรถต่อมายาวๆ



เข้าใจว่าน่าจะเป็นอาหารแนะนำ



ที่นี้หลับๆตื่นๆยาวเหมือนกันประมาณบ่าย 3โมง รถมาจอดที่ท่ารถแล้วหลังจากนั้นก็จะมีรถสองแถวประมาณนั้นเข้าไปส่งในเมือง

ที่มาลานี เป็นที่พัก ตรงนี้เป็น กลางเมืองเลย แต่เราต้องเดินๆไปอีก ตายๆตรูจะไปทางไหนวะเนี่ย ไปไม่ถูก

ตรงนี้รู้สึกเหมือนนางเอกตามหาพระเอกอะไรแบบนั้น 555 แต่รอพระเอกมาก็ไม่รู้เมื่อไร ฉะนั้นตอนนี้ปากเท่านั้นช่วยท่านได้

ถามทางเลยว่าอยู่ทางไหนคนที่นี่น่ารักดีนะ ดูเป็นมิตร เขาก็ชี้ว่าตรงไปเรื่อยๆเลี้ยวขวาตรงไปเลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆ

จะเจอธนาคารแล้วตรงไปจะเจอโรงแรมเลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปเดี๋ยวก็เจอ แล้วก็เดินไปก็งงๆเพราะไม่รู้ว่าเลี้ยวขวา

แล้วเดินไปนี่อีกไกลไหม จนในที่สุดก็มาเจอ

"จำปาลาว บังกะโล " พี่เจ้าของเป็นคนไทย ใจดี ช่วงนี้คนไม่เยอะเท่าไร มีห้องให้เราได้เลือกพักเอาตามที่เราชอบเลย

ระหว่างทางมีฝรั่งหน้าตาดีเรียกให้ดูห้องพักเรากำลังจะตอบไปที่ไหนได้มีผู้หญิงออกมา ฝรั่งพูดลาวโคตรชัดค่าคุณ

เมียออกมาตาม ยังไม่ทันทักกันเลย อ้าวไปไกลกลับมาเรื่องที่พัก



บรรยากาศคุ้มค่ามากสมกับการเดินทางอันเมื่อยล้าเหลือเกิน บรรยากาศที่นี่สวยจริงๆ



เงียบสงบและสวยงามเกินจะอธิบายด้วยภาพหรือคำพูดได้



ทางไปห้องพัก พี่เจ้าของพาไป



ห้องพัก มี wifi free ห้องพัดลม สามารถจ่ายได้ทั้งเงินไทยและเงินกีบ แล้วแต่สะดวก



เสร็จสรรพจากการเก็บของเข้าที่พักก็ออกไปเดินสำรวจข้างนอกกันดีกว่า



บรรยากาศภายในรอบๆเมือง



ของกินที่ต้องโดน subway เมืองลาว Sandwich สั่ง ham bacon cheese



ได้มา ขอสารภาพตามตรงเลยก็กะว่าจะซื้อมากินเล่นๆก่อนจะไปหาอะไรเข้าปาก ก็ดูตอนที่คนขายทำอยู่เฮ้ยมันก็ไม่เยอะนะ


กะว่ากินหมดสั่งโรตีมาด้วยเลย กินหมดแน่นอนมันนิดเดียว ยังคิดอยู่จะอิ่มไหมยังไม่รู้ ที่นี้พอคนขายทำเสร็จ

โอ้แม่เจ้า เยอะอิบอ๋ายเลย กินได้ครึ่งอันก็เก่งแล้ว อันนี้แนะนำเหมาะจะกิน สองครั้งให้คนขายแบ่งครึ่งไว้แล้วใส่กล่องมา

ยังมีโรตีอีก ตายแล้วตรูงานนี้ ไม่เป็นไรกินไม่หมดเก็บไว้กินกลางคืนก็ได้

มือนี้หมดไป 30000 เลยนะดูรวยและสวยมาก55 อันนี้คิดเอง แต่อย่าลืมดูสกุลเงินด้วย เงินกีบ555



ดูรูปกันไปเรื่อยๆ


หลังจากเดินถ่ายรูปไปรอบๆเมืองแล้วก็แวะมาซื้อ 1 daytrip ไปลอดห่วงยางในถ้ำ พายเรือ ไปบลูลากูน zip line


ก็ได้ทัวร์ที่ราคา โอเครคือตอนแรกเดินดูหลายที่มากเพราะจะมีให้เรา เลือกหลายที่เยอะมากแต่ละทีก็จะราคาแตกต่างกัน

ตรงนี้แนะนำเลยว่า เดินเข้าไป แล้วค่อยๆต่อราคาตื้อๆหน่อย อาจจะไม่ได้ราคาเท่าที่เราอยากได้แต่ราคาที่ได้

ก็แน่นอนว่าจะถูกกว่าปกติหลังจากนั้นก็กลับที่พักเพราะมืดแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าแล้วรถจะมารับ 8.30

กลับมาก็จะสองทุ่มแล้วเพราะว่ามัวต่อราคาทัวร์อยู่55 เลยช้าไปหน่อย ที่นี้กลับมาถึงที่พักก็ยังมีโรตีติดมือมาด้วย

ก็ทำไงเสียดายด้วย เอาไว้กินดึกๆก็ได้นะ กินขนมปังไปโคตรจุก หลังจากนั้นก็เล่น Wi-Fi ไปจนดึกเลยที่ว่าจะนอนก็เลยไปตามเลย

แต่นี่ไงภารกิจอันยิ่งใหญ่ ต้องกินโรตีไง สุดท้ายกินจนหมดเลย แล้วก็หลับไป กินแบบนี้สิ

ความอ้วนถึงได้ถามหาขยับๆเข้ามาใกล้ซะเหลือเกิน บรรยากาศคืนนี้อากาศดีมาก

ฝนตกปรอยๆช่วงกลางคืนเลยทำให้อากาศเย็นสบายไม่ต้องเปิดพัดลม ปิดไฟหลับฝันดี อิอิ...



เดี๋ยวต่อด้านล่างน๊าาาาาาา--Day 3 –

ตื่นๆตอน 6.30 เมื่อคืนนอนสบายไปกับเสียงฝนและกลิ่นดิน ได้บรรยากาศเข้ากันๆ

มาใช้ชีวิตที่นี่ผ่านไปเหมือนกับว่าเวลาที่นี่กับเมืองไทยต่างกันสิ้นเชิงเพราะว่าได้ใช้ชีวิตที่นี่แบบไม่ต้องรีบ

พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาสั่งอาหารกิน อาหารที่พักรสชาติดีเลยทีเดียว พอกินเสร็จรถก็มารอรับ



ระหว่างทางไป ดื่มด่ำให้เต็มปอด รถไม่ค่อยมีวิ่งเท่าไร



วิ่งมาถึงทางไปเข้าถ้ำ รถไปได้ไม่ถึง ต้องลงเดิน เราก็จะได้แจกอุปกรณ์ เสื้อ ถุงกันน้ำ แล้วก็ได้น้ำแจก 1ขวด


ที่นี้ใส่ของทุกอย่างที่มีค่า ใส่โทรศัพท์ กล้อง แล้วก็ทุกสิ่งยัดมันลงไปถ้าไม่อยากให้พัง หลังจากนั้น

เราก็จะเดินข้ามสะพานไป ที่นี้ไกด์ก็จะแนะนำและอธิบายให้เราฟังว่าต้องทำยังไงบ้าง คล้ายๆแผนเดินทาง ประมาณนั้น

พอเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินๆไปประมาณ 20 นาทีเพื่อจะถึงทางเข้าถ้ำ



ระหว่างเดินไปถ้ำ



บางทีก็ก็มโนไปเองว่าเรามาเที่ยวนิวซีแลนด์ริเปล่า บรรยากาศคล้ายๆเลย



ก็มาถึงจุดพักที่จะให้ไปลอดในถ้ำ ตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปแล้ว แต่ไกด์จะให้กองทุกอย่างไว้บนโต๊ะรวมกัน


เราเอาเข้าไปด้วยไม่ได้เพราะแคบมากแต่ไม่ต้องห่วงเพราะจะมีไกด์เฝ้าให้



บรรยายบรรยากาศสักหน่อย ก็จะให้อย่างแรกไปหยิบห่วงยางมาแล้วก็จะได้แจกไฟส่องทางติดไว้บนหัว

ที่นี้ตัวเราก็นอนไปบนห่วงยาง แล้วก็มีเชือกให้เราเกาะเข้าไปเรื่อยๆตรงนี้จะมีไกด์นำทางไปในถ้ำ

ไปข้างในถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อย แต่น้ำนี่เย็นมากเหมือนแช่น้ำแข็งเลย ชอบๆ ระหว่างเข้าไปเรื่อยก็จะมีพวกที่สวนออกมา

เสียงจะดังมากเพราะสาดน้ำใส่กัน สนุกดี หลังจากเข้าไปสุดถ้ำก็ออกมาทางเดิม แต่ตรงนี้มีทัวร์จีน เกาหลี ค่อนข้างเยอะ

แล้วก็กระโดดน้ำกันเยอะมาก ไม่ต้องบอกอายุนะ 555 ก็มองๆไม่เห็นเจอหนุ่มๆเลย พออกมาก็ได้เวลาในการทานอาหารกลาง

ลืมบอกไปอีกนิดอาหารกลางวันรวมอยู่ใน one day แล้วโดยที่เราไม่ต้องจ่ายเพิ่ม



พอขึ้นมายังหาส่วนที่ไม่เปียกไม่ได้ 5555 ครั้งหนึ่งในชีวิต....ต้องมาโดน



ทีนี้หยิบกล้องมาถ่ายได้แระแต่ตัวเปียกแต่อยากถ่ายรูป

อาหารกลางวัน

ข้าวผัด 1 กล่อง

ขนมปัง

บาร์บีคิว 2 ไม้

กล้วย



เรื่องรสชาติ บอกได้คำเดียวว่า ควรจะรอให้หิวแบบจัดๆเลย รับรองว่าอร่อยมากๆ



แต่ถ้าหากกินธรรมดาๆเหอะๆต้องยอมเขาเลย รสชาติโหดอยู่ หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินท้ากลับออกมาทางเดิม



หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อมาเพื่อจะไปพายเรือ ถนนทางเข้านี่ลูกรังล้วนๆแล้วก็ซอยเล็กๆมากถ้าไม่ใช่


คนท้องถิ่นก็ไม่รู้จริงๆว่าคือทางเข้า



ถึงแล้ว



ถ่ายก่อนที่จะต้องเก็บกล้องเพราะไม่งั้นพังแน่55



วันนั้นแดดดีมาก โลชั่นเอาไม่อยู่เลยบอกตรงๆ พายมาเรื่อยๆจะมาแวะพักที่บาร์ประมาณ20 นาที

ตรงนี้จะมีเครื่องดื่ม พวกเบียร์ หรือน้ำอัดลม แล้วก็ตรงนี้จะมีกีฬาให้เล่นด้วย เห็นบางคนกินเบียร์ บางคนแอบหลับ

บางคนเล่นกีฬา แล้วก็บางคนหวานใส่กัน55 พอได้เวลาก็ลงเรือพายต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางตัวเปียกตลอด

โดนไกด์แกล้งเอาน้ำสาดตลอดทาง เลยถ่ายรูปได้นิดเดียว สุดท้ายต้องเก็บกล้องเดี๋ยวจะพังไปกับสายน้ำ

พอสักพักเราพายไปเรื่อยๆจนมาถึงตัวเมือง ตรงนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดเพื่อที่จะขึ้นรถต่อ

เพื่อที่จะไปบลูลากูนต่อ ลุยยยยยยยยยย เปียกไปหมด เอาเป็นแบบว่าเปียกจนแห้งแล้วก็ แห้งจนเปียก งงๆไหม555



ตอนที่นั่งรถต่อมาเพื่อไปบลูลากูน



ในที่สุดก็มาถึง แต่ว่าที่นี้ต้องไปเล่น zip line ก่อนแต่เสียดายมากเอากล้องไปไม่ได้

ไกด์บอกให้ฝากไว้แล้วก็ไปใส่อุปกรณ์ safety เพื่อไปเล่น อดถ่ายเลยแต่มันส์สุด

ใครที่กลัวๆ แบบกลัวมากๆแนะนำไปให้ไปปลดปล่อยมันซะ แหกปากให้สุดเสียง

กลับมาแล้วคุณจะรู้สึกเลยว่า ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป ความกลัวในใจหายไป อันนี้ที่ประสบกับตัวเอง

แต่แนะนำว่าเวลาขึ้นไปตรงด่านแรกต้องใช้ความพยายามสูงหน่อย เพราะว่ารู้สึกยิ่งสูงยิ่งหนาว 555



หลังจากผ่านมาแล้ว 12 ด่านที่zip line ก็เกือบหมดเวลาแล้ว ที่นี้ เหลือเวลานิดเดียวเอง


ตอนแรกที่เห็นทำไมมันไม่บลูเลยวะ แต่ก็เอาเถอะบางที่กล้องแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน555

พูดก็พูดเหอะทีแรกไม่กล้ากระโดดแบบคนลุ้นกันเยอะมาก กลัวขายหน้า แต่ก็ไหนๆก็ไหนๆแล้วเอาสิวะ

ใช้เงินให้คุ้มไหนๆก็หมดไปแล้ว กระโดดลงไปเลยเท่านั้น เสียงออก โอ้ยยยย

เข้ากระดูกดำเลย น้ำเย็นเกินจะอธิบายไม่รู้จะบอกยังไงเลย เย็นสะใจเหมือนแช่แข็งเลย สุดๆเลยที่นี่

อ๋อที่นี่มีคนไทยด้วยหลายคน ที่รู้เพราะว่ามาร้องเพลงอยู่ แต่ไม่นานเวลาก็หมดเวลาสนุกแล้ว

ยังไม่ค่อยอยากกลับตรงนี้ หนุ่มเกาหลี หน้าตาบาดใจ อุ้ยยยยย เวอร์ไปนิดป่ะ

สักพักไกด์เรียกขึ้นรถแล้วเดินทาง กลับที่พัก (ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น เทเลท๊อบบี้) หมดเวลาสนุกแล้วสิ555



ถึงที่พักประมาณจะ6โมงเย็นแล้วแต่แดดยังส่องอยู่เลย



หลังจากกลับมาอาบน้ำเสร็จก็ได้เวลาเดินออกมาหาของกิน วันนี้เดินตามทางมาเรื่อยๆ มาเจอร้านชายสี่บะหมี่เกี้ยว

ของเมืองไทยนี่เองเลยไปอีกนิดก็เป็นไก่ห้าดาว แต่ตัดสินใจกิน ข้าวหมูแดงหมูกรอบดีกว่า เอ้าสิอยู่ไทยไม่กิน

มากินเมืองลาว 55 แต่หมูกรอบบจริงจังไม่ได้มาเล่นๆส่วนรสชาติพอได้นะไม่เลวร้ายบอกเลย จานนี้ 20,000 กีบบบบ



เหลือบๆมาเห็นน้ำปั่น ก็เลยโดนไป1 แก้ว apple ปั่นถูกมาก 5000 กีบ = 20 บาท



หลังจากอิ่มท้องกินเสร็จแวะไปซื้อตั๋วรถเช้าเข้าเวียงจันทร์ รถมาจะรับที่พัก 8.30 เสร็จแล้วก็กลับห้องพัก


ปวดเมื่อยไปหมดแต่มันส์มาก ส่วนพรุ่งนี้จะไปถ้ำจัง ถามคนแถวนั้นว่าไปไงโชคดีมากที่มีคนแนะนำ

เอาเป็นว่าเดี๋ยวไว้ค่อยว่ากัน


-DAY 4 –

เมื่อคืนนอนหลับเป็นตายเพราะว่าโคตรเหนื่อยเลย สลบไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว

วันนี้ตื่นเช้าด้วย ตายๆจะทันไหมเนี่ย เข็มนาฬิกา บอกเวลา 7.15 เอาวะเมื่อวานถามทางไว้แล้วปั่นจักรยานไปก็คงไม่นาน

เช่าจักรยานแล้วก็ปั่นไปที่แต่สำคัญ!!!!!!!อย่าลืมทากันแดดไปด้วยนะไม่งั้นละลาย ความจริงก็ยังเช้าอยู่มาก

แต่ตอนกลับมโนเอาว่าจะร้อนมากมาย ที่นี้ระหว่างทางการไปที่ถ้ำจัง แรกๆก็แบบเฮ้ยโอเครวะมันได้ฟิวมาก

คือสวยงามอร่ามจิตอะไรแบบนี้ แต่ดีใจได้ไม่นานแม่เจ้าอะไรกันนี่



เส้นทางวิบากได้เริ่มขึ้นแล้ว ตรูดดดดพังแบบเด้งมากมาย สำหรับคุณผู้ชายที่จะไปที่นี่โดยการปั่น


จักรยานแนะนำให้ใส่อุปกรณ์ safety ทุกส่วนเพราะงั้นกลับมาชีวิตท่านอาจะเปลี่ยนไป 555

แต่ก็สนุกๆไปอีกแบบแต่เนื่องจากไปเช้าเลยดูไม่มีคนจริงเข้าไปมีคนอยู่ 2-3 คน ตรงนี้เสียค่าผ่านไป 2000 กีบ = 8 บาท



ปั่นมาเรื่อยๆจนเข้ามา



มาถึงสะพานแว้วววว ฟินกับวิวตอนเช้าตอนที่คนอื่นยังไม่ตื่นนี่นะเรามาทำอะไรตอนที่คนอื่นยังไม่มา



สบายจัง อากาศดีมีหมอกด้วยยามเช้า ........



ไม่มีคำบรรยายมีแต่รูป



แต่ไม่ได้ถ่ายถ้ำเพราะนาฬิกาเตือน 8.08 นาทีประเมินแล้วว่าไม่ทันเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน


ต้องปั่นกลับก่อนเดี๋ยวไม่ทันรถ ต้องรีบๆๆว่าจะไปหาอะไรกินก่อนแล้วรอรถมารับ

ปั่นสุดๆเร็วสุดในชีวิตแล้วบังเอิญว่าเป็นโชคดีนะ รถรับมาช้า มีเวลาหาอะไรกิน พอกินเสร็จก็ เช็คout แล้วรถมารับพอดี

อะไรจะได้เวลาลงตัวขนาดนี้ แต่แบบตอนนี้เศร้านิดนึง อารมณ์ประมาณว่าต้องจากไปเพื่อไปเผชิญอะไรต่ออะไรอีกแบบ

ตอนนั้นใจคิดนะว่าอยากอยู่ต่อแต่มีภารกิจต้องไปเวียงจันทร์ อารมณ์จะต้องจากแฟนไปแล้วอีกนานกว่าจะได้เจอกัน

แต่ต้องตัดใจเอ่ยปากบอกลา ต้องลาแล้ว วังเวียงอันแสนเงียบสงบและน่าหลงใหล เรามีภารกิจต้องไปต่อที่เวียงจันทร์

แล้วพบกัน ที่เวียงจันทร์นะจ๊ะ..........



สุดท้ายถ้าผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ อาจจะพิมพ์ผิดบ้างอะไรบ้างก็มองข้ามๆไปเนอะ

หวังว่าจะทำให้หลายคนยิ้มได้นิดๆหน่อยก็ยังดี แต่ถ้าหากเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนไดh

ก็ แอบยิ้มกว้างเล็กน้อย 555 ส่วนสำหรับใครที่รอที่จะเดินทางหรือลังเลอยู่ว่าไม่กล้าไป

แนะนำว่าถ้าเรามัวแต่กลัวก็คงน่าเสียดายไม่ใช่น้อยที่เราจะต้องสูญเสียโอกาสไป

ส่วนคนที่บอกว่ารออายุเยอะก่อนมีเงินๆเยอะแล้วจะไป แล้วถ้าหากว่าถึงวันนั้นไปไม่ไหวไม่มีแรงไป

หรือไม่มีลมหายใจ ก็คงจะน่าเศร้าอยู่ไม่ใช่น้อย ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น

แต่ว่าแค่เราลองเปิดใจออกเดินทางไปเจออะไรใหม่ๆก้าวออกไปจากการใช้ชีวิตแบบเดิมก้าวข้ามขีดจำกัดไป

แล้วคุณจะพบการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน

ขอบคุณที่ตามอ่านตามดูกันมาถึงนี้ ถ้าชอบก็ติตตามกันไปเรื่อย..... อิอิ

++++Thank You ka++++




Backpacker 5-6-ก้าว

 วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.10 น.

ความคิดเห็น