หลังจากที่ต้องติดอยู่กับบ้านเพราะพิษโควิด 19 มานานเกือบสามเดือน ในที่สุดก็ได้ออกไปเที่ยวอย่างที่หวัง โดยต้องขอออกตัวก่อนว่าตลอดทริปที่ไปนอกจากตอนกินและตอนถ่ายรูปเท่านั้นที่เราจะถอดแมส ที่สำคัญคือเราและครอบครัวได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเรียบร้อยแล้วค่ะ><

สำหรับภาพรวมการเที่ยวเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืนในครั้งนี้จะเป็นเที่ยว 2 วันและอีก 2 วันขับรถไป-กลับ ตามนี้

Day 1 : กรุงเทพฯ-ลำปาง

Day 2 : อำเภอเมือง เชียงใหม่ - แม่แตง - สะเมิง

Day 3 : สะเมิง - แม่ริม - อำเภอเมือง เชียงใหม่

Day 4 : เชียงใหม่-กรุงเทพฯ


Day 1

เราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 15.00 น. เพราะต้องปิดร้าน โดยการจองที่พักบางที่จะใช้สิทธิ์ของ “เราเที่ยวด้วยกัน” และที่อื่นๆจองโดยตรงกับทางโรงแรมซึ่งตอนนี้มีโปรโมชั่นค่อนข้างเยอะพอสมควร

ขับรถมาได้ 2 ชัวโมง 45 นาทีก็มาถึงจังหวัดสิงห์บุรีและแวะกินข้าวที่ร้าน “ภัตตาคารไพบูลย์ไก่ย่าง” ซึ่งมีอาหารให้เลือกหลากหลายทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารอีสาน และแน่นอนว่าชื่อร้านเขาก็ชัดเจนอยู่แล้วเมนูแนะนำจึงเป็นไก่ย่างหนังกรอบ ซึ่งตอนไปมีโปรโมชั่นเป็นเซ็ตอาหารพอดีเลยสั่งแบบเป็นเซ็ตที่มี ส้มตำ ไก่ย่างครึ่งตัว ลาบหมู หมูสามชั้นทอด ราคา 299 บาท และสั่งคอหมูย่างกะทะร้อนมาเพิ่มด้วย

โดยรวมอาหารรสชาติจัดจ้าน ราคาถูกเพราะทั้งหมด 5 อย่างหมดไป 419 บาท ที่สำคัญเลยคือร้านนี้สะอาดมาก เพราะเมนูของที่ร้านถูกฉีดแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่ให้ลูกค้า นอกจากนี้เพราะร้านค่อนข้างกว้างทำให้แต่ละโต๊ะมีพื้นที่ห่างกันอย่างเห็นได้ชัด

📌 พิกัด : 55/5 ถ.สายเอเชีย กม.87 หมู่.1 ต.บางมัญ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี หรือไปตามลิ้ง https://g.page/paiboonkaiyang?...

⏰ เวลาเปิดปิด : เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 – 21.15 น.

☎️ โทรศัพท์ : 0 3651 2132 , 0 3651 2075

หลังจากที่กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยเราก็ขับรถต่อยาวๆไปที่ลำปางและถึงที่พักประมาณ 22.00 น. 

“A-Bizz” เป็นที่พัก 3 ดาว ราคาย่อมเยา เริ่มต้นประมาณ 450-500 บาท และที่สำคัญคือเข้าร่วมโครงการเที่ยวด้วยกันทำให้เสียค่าที่พักน้อยลงไปอีก

พอเช็คอินเรียบร้อยก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลยไปกินข้าวต้มที่ร้าน “ข้าวต้มแสนสุข” ซึ่งอยู่หน้าปากซอยโรงแรมนี่เอง เดินไปประมาณ 500 เมตรก็ถึงเลย 

บอกตรงๆว่าตอนอาหารมาคือหิวกันมากก็เลยไม่ได้ถ่ายไว้ แต่โดยรวมรสชาติดี ราคาถูกมาก


ที่มารูป : เพจข้าวต้มแสนสุข ณ นครลำปาง https://www.facebook.com/22073...

📌 พิกัด : https://g.co/kgs/D9acST


กลับมาที่โรงแรม ห้องถือว่ากว้างกำลังดีเหมาะสำหรับนอนพัก สะอาดมาก


Day 2 

ตื่นมาตอนเช้า อาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็เก็บของและขับรถมากินข้าวเช้าที่ร้าน “ข้าวซอยโอมา” ร้านเก่าแก่ชื่อดังในลำปาง จุดเด่นอยู่ที่น้ำกะทิที่เป็นส่วนผสมหลัก 

ตอนไปถึงที่ร้านบอกว่าเหลือข้าวซอยไก่ 1 ชาม ส่วนข้าวซอยหมูได้อีกเยอะเลยสั่งข้าวซอยหมู 3 ข้าวซอยไก่ 1 โดยรวมรสชาติค่อนข้างอ่อน หอมมัน แต่ถ้าเติมพริกและบีบมะนาวเล็กน้อยจะกลมกล่อมมากขึ้น ข้าวซอยหมูตัวเนื้อหมูแน่นและนุ่มมาก มาเสริ์ฟพร้อมลูกชิ้น 3 ลูก อร่อยแบบหมูๆ ส่วนข้าวซอยไก่ เนื้อไก่นุ่ม อร่อยกำลังดี และท้ายที่สุด คือขนมปังหน้าหมู ที่เน้นหมูมากกว่าขนมปัง กัดเข้าไปคำแรกได้กลิ่นหอม เดาว่าคงหมักหมูกับรากผักชี กินคู่กับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ก หรืออาจาดก็ได้ โดยที่ตัวน้ำจิ้มหมูสะเต๊กมีรสชาติมันๆจากถั่ว ส่วนตัวอาจาดรสชาติทั่วไป

📌 พิกัด : ซอยสุขสวัสดิ์ 2 หรือไปตามลิ้งนี้  https://g.co/kgs/irM37R


    กินเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปเชียงใหม่!!

    เดินทางต่ออีก 1 ชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงเมืองเชียงใหม่ เราแวะไปที่ “ถนนช้างม่อยเก่า” ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูท่าแพและเป็นแหล่งรวมงานสาน ราคาสบายกระเป๋า เรียกได้ว่าเหมาะสำหรับสาวสายช็อปมากๆ  ตรงข้ามกับป้ายจะมีคาเฟ่ “BREWGINNING” ซึ่งตกแต่งแบบชิลล์ๆ มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆอยู่สองสามที่
    📌 พิกัด  : https://g.co/kgs/ZxdceP

    พอช็อปเสร็จก็ถึงเวลาขับรถขึ้นเขา โดยพิกัดแรกคือ อำเภอแม่แตง จุดมุ่งหมายคือ  ร้าน Jungle De Cafe “กึ๊ดช้าง” (ต้องมีคำว่ากื๊ดช้างด้วยนะเพราะมีหลายสาขามาก)

    📌 พิกัด : https://g.co/kgs/u9tBNn

    ร้าน Jungle De Cafe “กึ๊ดช้าง” เป็นคาเฟ่ริมน้ำอยู่ อ.แม่แตง ซึ่งค่อนข้างคนละทางกับที่พักที่อยู่ อ.สะเมิง แต่ก็ถือว่าคุ้มอยู่ เพราะร้านนี้บรรยากาศดีมากบวกกับช่วงที่ไปคนน้อยมากทำให้นั่งกินขนม กินน้ำได้สะดวก

    ที่ร้านถูกตกแต่งในด้วยโทนอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เหมาะสำหรับคนชอบนั่งชิลล์ๆทำงาน หรือจิบกาแฟไปชมวิวแม่น้ำไป

    อันนี้เป็นจุดสำหรับลงไปเล่นน้ำ แต่ช่วงที่เราไปคือฝนตกและน้ำไหลเชี่ยวมากจึงไม่ได้ลงไปเล่น

    สำหรับอาหารและเครื่องดื่มของร้านนี้ก็ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน ราคาถือว่าเหมาะสม รสชาติอร่อย

    เราสั่งชาส้มยูสุน้ำผึ้งและ บลูเบอร์รี่โซดา ตัวชาส้มยูสุรสชาติอ่อนไปนิดแต่บลูเบอร์รี่โซดารสชาติดีเลย ได้กลิ่นหอมของบลูเบอร์รี่ชัดเจนและไม่หวานจนเกินไป ส่วนตัวเค้กยอมรับว่าเหมาะสมกับราคามากโดยเฉพาะเค้กช็อกโกแลต รสขาติเข้มข้นและไม่หวานจนเกินไปแต่เค้กมะพร้าวเราว่ารสชาติอ่อนไปนิด

    หลังจากที่กินขนมและชมวิวจนพอใจแล้ว เราก็ไปแวะที่สวนสน อีกหนึ่งแลนมาร์คที่กำลังฮิตไม่แพ้กัน

    เที่ยวเล่นกันพอหอมปากหอมคอแล้วก็ขับรถยาวๆจาก อ.แม่แตงไปที่ อ.สะเมิง ซึ่งระยะทางห่างกันประมาณ 68 กิโลเมตรและเพราะที่พักไม่มีอาหารให้กิน เราจึงแวะที่ “ร้านอาหารโป่งแยง แอ่งดอย” เป็นอาหารของแม่สาวาเล่ย์ การ์เด้น รีสอร์ต ด้วยบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ กินไป ฟังเสียงน้ำตกและดนตรีสดประกอบ

    ราคาอาหารเริ่มต้น 250-500 บาท เราสั่งมาหลายเมนูเป็นทั้งอาหารเหนือและอาหารทั่วไป รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยสมราคาและให้ในปริมาณค่อนข้างเยอะ 

    ไก่ดอยผัดใบยี่หร่า ดูๆแล้วเหมือนผัดกะเพราแต่เนื้อไก่นุ่มและหอมใบยี่หร่า

    แกงฮังเล หมูเนื้อแน่นและมันไม่เยอะจนเกินไป ส่วนรสชาติกลางๆไม่เผ็ดมาก

    กินอิ่มก็ขับรถต่อไปอีกเกือบ 1 ชม. เพื่อไปที่ “หลองข้าวสะเมิง” ทีพักของเราในคืนนี้

    ตอนไปถึงค่อนข้างดึกและไม่เห็นวิว เลยถ่ายได้แค่ห้องพักก่อนจะพักผ่อน


    Day 3

    ตื่นแต่เช้าพร้อมเอารูปบรรยากาศและอาหารเช้าของที่พักมาฝาก ><

    ขอแนะนำ reception ของที่พัก “เจ้าหลง” น้องเดินมารับตั้งแต่เมื่อคืนที่เรามาถึงที่พัก ตอนเช้ากำลังถ่ายรูปชิลล์ๆนางก็แอบเนียนๆมาถ่ายด้วย มีความเฟรนลี่สูงแค่เรียกก็กระโดดใส่ ><

    อาหารเช้าเข้ากับบรรยากาศ ข้าวต้ม + ไข่ต้ม อยากกินกี่ฟองต้มเองเลยจ้าา

    กินข้าวเสร็จขับรถออกจากโรงแรมไปที่อ.แม่ริม เพื่อมา Mori farm แลนมาร์คที่จำลองบรรยากาศแบบญี่ปุ่นมาไว้ที่ อ.แม่ริม

    มาดูกันที่อาหารบ้าง 

    สำหรับข้าวปลาแซลม่อน เราว่ารสชาติอ่อนไปหน่อย เคล็ดลับคือต้องกินกับกิมจิหรือขิงดอง นอกจากอาหารแล้วที่ร้านยังมีพายที่เสริ์ฟทั้งของคาวและของหวานให้กินแบบเบาๆท้อง ซึ่งรสชาติดีทั้งคู่

    น้ำส้มยูซุญี่ปุ่น Honey Yuzu อันนี้อร่อย รสส้มชัดเจนมาก ส่วน MatCha Latte เหมือนจะเน้นนมแต่ถ้าคนให้ชาที่อยู่ด้านล่างละลายก็จะเข้มข้น หอมชา และไม่หวานมากจนเกินไป

    มาเชียงใหม่ถ้าไม่ได้เช็คอินท์ที่สวนดอกไม้ก็เหมือนมาไม่ถึง ดังนั้นเราจึงขับรถลงเขามุ่งหน้าไปที่ “Flower Lover” สวนดอกไม้พิกัดใกล้กับสวนลุงคำ มีค่าเข้าคนละ 50 บาท

    ก่อนจะแวะเข้าที่พักคืนนี้ แวะกินข้าวตอนบ่ายที่ “ร้านเฮือนม่วนใจ๋” ร้านอาหารเหนือของเชฟจรัญ ธิพึ่ง ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเชฟะทะเหล็ก ภายในร้านตกแต่งในสไตล์ร่มรื่นแบบล้านนา

    สำหรับอาหาร ราคาจะเริ่มต้นที่ 80 บาท อาหารจานใหญ่ รสชาติเผ็ดร้อนโดยเฉพาะลาบหมูคั่ว ส่วนออร์เดิร์ฟจะเป็นอาหารรวมหลายประเภททั้งแกงฮังเล (ซึ่งรสชาติจะเข้มข้นกว่าร้านวันก่อนเล็กน้อย) ไส้อั่ว กระดูกหมูทอด น้ำพริกอ่อง แคปหมูและผักเคียง ตัวหมูสามชั้นทอดและปลาเผาจะใช้น้ำจิ้มเหมือนกันคือเป็นน้ำจิ้มคล้ายๆซีฟู้ดแต่จะแห้งๆหน่อยแต่ก็ยังคงความเผ็ดไว้ จานสุดท้ายคือผักเชียงดาผัดไข่รสชาติปกติ สรุปแล้วโดยรวมถือว่ารสชาติดี อาหารจานใหญ่คุ้มกับราคามากๆ

    ที่พักสำหรับคืนนี้คือ “Four’o clock Hotel” ซึ่งพิกัดอยู่ใกล้กับมหาวิทบาลัยเชีงใหม่และสนามบินเชียงใหม่ ที่สำคัญเป็นโรงแรมที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วย และข้อดีข้อสุดท้ายคือบรรยากาศชิลล์ๆด้วยการตกแต่งแบบมินิมอลออกแนวญี่ปุ่นเบาๆ ด้านหน้าจะมีร้านอาหารและคาเฟ่ด้วย

    สำหรับอาหารมื้อเย็นของวันนี้เราไปกินกันที่ห้าง Maya ซึ่งมีร้านอาหารให้เลือกเยอะพอๆกับห้างในกรุ่งเทพดังนั้นไม่ขอลงรายละเอียดมากนะ ><


    Day 4 

    สำหรับวันสุดท้ายไม่ขอเที่ยวอะไรมาก แค่แวะกินโจ๊กที่ร้าน “โจ๊กต้นพยอม” ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 2.3 กิโลเมตร ก่อนจะเดินทางกลับมาที่แถวโรงแรมเพื่อแวะที่ร้าน “The Baristo Asian style” ค่าเเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 450 เมตร สามารถเดินมาได้ 

    ที่ร้านนี้เขาจะมีเก็บค่าเข้าคนละ 80 บาทโดยสามารถเอาค่าเข้านี้ไปใช้เป็นส่วนลดค่าเครื่องดื่มหรือขนมก็ได้

    ที่นี่โดดเด่นเรื่องชาเขียวเป็นหลักแต่ก็มีเมนูกาแฟและช็อคโกแลตให้เลือกด้วย

    ตรงนี้จะเป็นมุมทำกาแฟสดหรือชาเขียวแบบกลั่นสดๆ

    เราสั่งกาแฟมา 2 แก้ว แก้วเล็กคือ “Triple”เคล็ดลับคือต้องกินกาแฟก่อนหนึ่งคำและใช้ช้อนตักซอสด้านล่างซึ่งเป็นนมและโกโก้ ตัวแก้วสีดำคือ “Black Latte” เป็นกาแฟใส่ชาโครสชาติอร่อยไม่หวานเกินไป

    มาดูกันที่ทีเด็ดของร้านอย่างชาเขียว เราสั่ง”Uji Okumidori” ตัวชาเขียวมีความเข้มข้นสมราคาโดยจะมีรสชาติหอมจากการคั่วอ่อนๆตามด้วยขมมันปลายลิ้น ส่วนตัว “ไมโลซูพรีม” มีความเข้มข้นคล้ายๆกับ “Dino Milo” ของคามุ

    โดยรวมเครื่องดื่มสมราคาและที่สำคัญคือที่ร้านไม่มีขายเมนูร้อนแต่จะใส่เครื่องดื่มในแก้วที่แช่เย็น ดังนั้นรสชาติไม่มีทางอ่อนลงเพราะน้ำแข็งแน่นอน

    มาต่อกันที่ขนม ขนมปังโดโระจะมีช็อคโกแลตสอดไส้ด้านใน ความอร่อยอยู่ที่ตรงนี้ เนื้อแป้งแน่น กินคู่กับช็อคโกแลตที่สอดไส้และไอซ์ซิ่งจะกลอมกล่อมมาก ส่วนมัสฉะชีสเค้กมีความหวานมันและหอมชาเขียวไม่หวานจนเกินไป

    กินอิ่มแล้วก็ขับรถยิงตรงเข้ากรุงเทพเลยจ้า ระหว่างทางมีแวะกินข้าวกลางวันที่ร้าน “วชิรภูมิ เบเกรรี่” จังหวัดตาก ที่แวะก็เพราะมีป้ายโฆษณาตลอดทาง อาหารรสชาติอร่อยแบบบ้านๆ เจ้าของร้านทำเองหมดราคาก็ดีเริ่มต้น 50 บาทได้เยอะมาก

    และขอปิดท้ายทริปนี้ด้วยรูปน้องกุ้ง อาหารมื้อเย็นที่ “ตลาดกลางกุ้ง” จังหวัดอยุธยา ร้านที่ไปกินชื่อ “ร้านแพทองหยอด” 

    ที่มารูปภาพ : เพจร้านอาหารแพทองหยอด https://www.facebook.com/%E0%B...

    Ploy Sittilikhit

     วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 00.10 น.

    ความคิดเห็น