มาแล้วววววว
กระทู้แรกของชั้น
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แนะนำตัวก่อน ชั้นชื่อตุ๊ดแบกกล้อง
ชั้นชอบการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว
ชั้นคิดว่าชั้นรัก South East Asia เอ๊ะหรือว่าชั้นจนแล้วไปไกลกว่านี้ไม่ได้ก็ไม่รู้
ชั้นชอบนอนโฮสเทลราคาถูก
ชั้นชอบการพบปะเพื่อนใหม่ระหว่างทาง
ชั้นชอบถ่ายรูปมาก และชั้นหวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับรูปของชั้น
ชั้นใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพ แต่เนื่องจากกล้องชั้นพัง บางภาพจึงหยิบมาจากมือถือ
ทั้งนี้ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของชั้น ห้ามนำไปใช้โดยไม่ขออนุญาตินะคะ
ขั้นไม่ใช่ตุ๊ดสายกิจกรรม ไม่ใช่ตุ๊ดสายจดบันทึก
อาจจะมีข้อผิดพลาดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
แต่ก็พยายามจะถ่ายทอดการเดินทางให้ดีที่สุดนะ
สำหรับคนที่ชื่นชอบสามารถเข้าไปดูรูปถ่ายของชั้นได้ที่
https://www.facebook.com/toodbagkong

ว่าแล้วเริ่มต้นการเดินทางกันเลยดีกว่า
ทริปนี้สตาร์ทที่อุดรธานี แต่ตอนที่ลงรถทัวร์มา
เอ๊ะ ใช่อุดรรึป่าวทำไมสายไฟระโยงระยางขนาดนี้
อ่อ ที่แท้พายุเพิ่งเข้า เลยแอบเก็บภาพน้องเป็ดนอนหงายมาฝากกัน


DAY : 1

ทริปนี้เป็นทริป 5 วัน 4 คืน
ด้วย budget 5000 บาท บอกเลยว่าพังมากๆ
แนะนำเอาไปซัก 6-7 พันเถอะนะ กำลังดี
ครั้งนี้มีเพื่อนสาวไปด้วยหนึ่งนาง
นานมากแล้วที่ชั้นไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน นี่จึงเป็นความหายนะของชั้น 555
และแล้วมันก็หายนะจริงๆ เมื่อเราทำการนัดที่อุดรธานี เวลา 8 นาฬิกา
ด้วยความที่รักเพื่อนมากและเหมือนนางจะมาไม่ทัน
ชั้นเลยชิงซื้อตั๋วก่อนราคาก็ 320 บาท (1คนต่อ1ใบ ใช้พาสปอตซื้อให้กันไม่ได้)
โดยคาดว่าถ้านางมาไม่ทันชั้นก็ไป เดชะบุญนางมาทัน
ผ่านไปซักพักระหว่างที่ชั้นกำลังเดินไปซื้อน้ำที่เซเว่นฯ
นางโทรมาหาชั้นว่า “พาสปอตกูกำลังหมดอายุ เค้าไม่ให้กูซื้อตั๋ว"
คือตอนนั้นชั้นขำนางนะ เพราะนางเป็นเพื่อนที่แบบมีเรื่องหายนะเกิดขึ้นได้เสมอ
ตั้งแต่เชียงใหม่ที่นางจองตั๋วไปกลับสลับกัน
ตอนนางอยากไปญี่ปุ่นชั้นไม่มีตังค์ไป สุดท้ายก็บังเอิญได้บินไฟท์เดียวกัน
วันนี้จะไปหลวงพระบาง พาสปอตนางก็มาหมดอายุ
นางก็นอยแบบนอยเบอร์สิบ เพราะนางแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตีห้า
และยังไงคนขายตั๋วก็ไม่ยอมขาย บอกว่ายังไงก็ไปไม่ได้อยู่ดี
แต่คนรถบอกว่าไปได้ไปได้ เดี๋ยวจะพาทำ ความพีคคือนางต้องรถตู้ไปด่านที่หนองคายก่อนชั้น
พร้อมกับกระเป๋านางที่โหลดอยู่ใต้รถที่ชั้นนั่ง
นางไปผ่านกระบวนการไรไม่รู้คุณแม่ชาวลาวพาข้ามไปอย่างสวยงาม
แต่โอเคได้ไป สรุปคือไปได้แต่เสียตังค์เท่าๆกับค่าทำพาสปอตใหม่
เพราะฉะนั้นก็แนะนำให้ทำพาสปอตใหม่ให้พร้อมดีกว่านะคะ ทั้งนี้จงแลกเงินตรงที่แสตมป์พาสปอตให้เรียบร้อย
กระบวนการตอนนี้ไม่มีไรมาก เดินๆตามเค้าไป
แล้วก็เสียเงินค่าผ่านแดน 55 บาท จะได้การ์ดมา 1 ใบ
ก็สอดเข้าเครื่องเหมือนบัตร BTS จากนั้นก็ Welcome to สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว


จากนั้นเราก็เริ่มการเดินทางมุ่งหน้าสู่วังเวียง
โดยรถจะใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง คือขึ้นตอน 8.30 ถึงตอน 16.30
จอดแวะพักให้ทานข้าวเที่ยงประมาณครึ่งชั่วโมง


ด้วยความตื่นเช้าบอกได้คำเดียวว่าหลับตลอดทาง
พอมาถึงวังเวียง โอ้โห ร้อนนนนนนนนนนนนนนน
ร้อนอะไรเบอร์นั้น นี่นึกว่าเปิดประตูสู่กระทะทองแดง
เราถูกต้อนขึ้นรถสองแถวและไปทิ้งเราไว้บริเวณโรงแรมแห่งนึง
ซึ่งก็จะมีพนักงานแต่งตัวสวยมาแจกโบรชัวร์ พร้อมกับเด็กสาวชาวลาวมาแจกรอยยิ้ม


เทคนิคเล็กๆจากตุ๊ดแบกกล้องคือ ถ้าอยากได้ที่พักถูก ให้ไปที่ใจกลางความวุ่ยวาย
จากนั้นเราเดินมุ่งหน้าไปสู่ใจกลางเมืองถนนเรียบแม่น้ำซอง
ราคาโรงแรมก็ไม่ถูกไม่แพงอยู่ที่ประมาณ 100,000 - 250,000 กีบ
หรือราวๆ 400 -1000 บาท
เดินไปตั้งแต่ต้นจนสุดซอยก็ไม่มีราคาถูกใจ แล้วก็มาจบที่เฮือนพักสุขสมบูรณ์
ที่เคยมาพักเมื่อปีที่แล้ว ต่อราคาไปต่อราคามาได้อยู่ที่ 90000 กีบ
โอเคมากๆ ห้องแอร์ เห็นวิวภูเขา ก็ตกคนละ 190 บาท/คืน วิวจากหน้าต่างประมาณนี้


ทั้งนี้ Wi-FI ที่ลาวคือความหายนะมาก จงอย่าคาดหวังว่ามันจะเร็ว
แพลนวันนี้คือเล่นน้ำที่แม่น้ำซองและนั่งจิบเบียร์ดูพระอาทิตย์ตก
ตุ๊ดถือถังน้ำแข็งใส่เบียร์ กล้องคล้องคอ ถ่ายรูปอย่างเก๋ไก๋
พร้อมเพื่อนสาวที่กินน้ำเปล่าเป็นอาหาร บรรยากาศรอบข้าง และความแซ่บของนักท่องเที่ยว
อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก


พอแอลกอฮอร์ได้ที่แล้ว เราก็กลับห้องอาบน้ำพร้อมดินเนอร์
โอ้โห ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน ฝน
จะตกหนักอะไรเบอร์นั้น
ตกเหมือนเพิ่งเสร็จพิธีแห่นางแมว
กะว่าจะพาเพื่อนสาวไปโฉบซากุระบาร์ในตำนานซักหน่อย
คือฝนตกหนักจนตุ๊ดเริ่มท้อ เลยซื้อบาบีคิวหน้าโรงแรมกิน
ไม่รู้เค้าใส่ยานอนหลับรึป่าว
แต่ชั้นหลับตั้งแต่ทุ่มนึงจ้า หลับแบบว่าลืมตื่น
ลืมอาบน้ำ ภาพของวันแรกเลยถูกตัดจบที่ตรงนี้



DAY : 2


ชั้นตื่นขึ้นมาประมาณตี 4 ก็เล่นหลับยาวขนาดนั้น
ความเก๋คือมันเป็นช่วงเวลาของการกลับจากซากุระบาร์
ชั้นแบบเห็นดวงตาธรรมมาก ฝรั่งลากไป สาวลาวลากมา
นี่ชั้นพลาดอะไรไป 5555
ประมาณตีห้าครึ่งชั้นเลยเดินเล่นดูบรรยากาศยามเช้าของวังเวียง
และทิ้งให้อิเพื่อนนอนอยู่ตรงนั้นแหละ



บรรยากาศยามเช้าของแม่น้ำซองในฤดูร้อน
ถือว่ากำลังดี มีหมอกจางๆ
เหมือนธรรมชาติก็ค่อยๆตื่นมาต้อนรับผู้คนในยามเช้า
ชั้นถ่ายรูปเล่นและนั่งจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ


ชั้นชอบเดินมากๆๆลัดเลาะไปตามซอกซอยต่างๆ มันมีอะไรแปลกๆเสมอ เช่น แก๊งค์เป็ดนี้


ตอนเช้าที่วังเวียงจะมีตลาดเล็กๆริมถนนให้ชาวบ้านได้จับจ่ายซื้อของ


ชั้นเดินอวดความงามให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวเมือง
แล้วก็พบว่าไม่มีใครสนใจชั้น ชั้นเลยเดินกลับห้อง ไปปลุกเพื่อนสาว



แพลนวันนี้คือ สะพานแดง , ถ้ำจัง , และ บลูลากูน ตั้งใจไว้แค่นี้
เพราะอย่างที่บอกชั้นไม่ใช่ตุ๊ดสายกิจกรรม
พายเรือคายัค ล่องห่วงยางลอดถ้ำ มันเหนื่อย กลัวกล้องเปียกด้วย
ส่วนบอลลูนอะ ไม่มีตังค์ เค้าบอกว่าขึ้นบอลลูนที่นี่ถูกสุดแล้วนะใน South East Asia
ราคาก็ 80 US ประมาณ 2800 บาท บายยย นั่นมันครึ่งเงินที่พกมาเลย


ระหว่างที่กำลังอาบน้ำชั้นก็คิดได้ว่า เอ๊ะ ถ้าไปนี่ต้อง Check out ออกจากโรงแรมแล้วนะ
เพราะกว่าจะกลับมาก็คงบ่าย ไม่งั้นก็ต้องเช่าต่ออีกคืน
อีกทั้งยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปหลวงพระบางตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หรือดึกของวันนี้
เพราะรถในตารางมัน 3 ทุ่ม ไปถึงหลวงพระบางก็ตีสาม จะไปสิงอยู่ไหนหละทีนี้
ไม่รู้ข้อมูลเลย ลุงเจ้าของโรงแรมเลยบอกว่า ลองถามเจ้าอื่นดู เผื่อเค้ามีดึกกว่านี้แล้วไปถึงเช้า
เราเลยไปเดินหาตั๋วรถและไปเช่ามอเตอร์ไซด์
สรุปคือเราได้รถรอบ 5 ทุ่มจะไปถึง หลวงพระบางประมาณ ตีห้า
และเราได้มอไซด์มาในราคา 70000 กีบ เกียร์ออโต้
จากนั้นเราไปเจรจาเรื่องเช็คเอ้ากับคุยลุง และลุงน่ารักมาก แบบว่าน่ารักจริงๆ
บอกว่าเอาของฝากไว้นี่แหละ เที่ยวเสร็จก็กลับมาเอา เราก็กังวลเรื่องอาบน้ำลุงบอกว่า
อาบได้มีห้องให้อาบ สรุปคือ ประหยัดเงินค่าที่พักไป 1 คืน



เราทำการสตาร์ทมอเตอร์ไซด์ไปที่ปั้มน้ำมัน
เดิมไป 20000 กีบ จากนั้นมุ่งหน้าที่สะพานแดงก่อน
แน่นอนแมนๆอย่างชั้น ให้เพื่อนผู้หญิงขับจ้า
และนางก็บอกให้ชั้นลงเดินเพราะกลัวรถตกสะพาน 5555


ระหว่างทางไปเราก็พบกับต้นมะพร้าวแฝดสัญลักษณ์ของวังเวียง


สะพานแดงไม่ไกลมากนัก เสียค่าเข้า 2 คน เป็นเงิน 7000 กีบ
สะพานแดงมีอะไร คำตอบคือมีสะพาน
เหมือนการเสียเงินมาถ่ายรูปกับสะพาน


จากนั้นเราก็เดินไปถ้ำจัง ซึ่งไม่ไกลมาก
แล้วก็พบว่าเสียเงินอีกละ บางทีก็เสียเงินบ่อยไป
จนรู้สึกว่าเก็บทีเดียวตั้งแต่หน้าประตูได้มั้ย จะได้ไม่ต้องล้วงหากระเป๋าตังค์หลายรอบ
ก่อนถึงถ้ำจัง เราก็พบกับธารน้ำซึ่งใสมากๆ


ระหว่างยื่นตั๋วให้คุณลุง ชั้นก็เอื้อนเอ่ยว่า ขอคืนได้มั้ยคะ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ลุงมองต่ำ แล้วก็เก็บตั๋วไว้กับตัวเอง
จากนั้นเราก็เดินขึ้นไป และก็พบว่าประตูล็อค
ก็งงๆว่า เอ๊ะ ให้ขึ้นมาดูแค่นี้หรอ? ให้ตายเถอะ คุณหลอกดาว
แต่ลมในถ้ำที่พัดออกมาคือเย็นมาก เหมือนติดแอร์
เราตัดสินใจยืนพักอยู่หน้าประตูนั้น
จากนั้นเราก็พบว่า อ๋อ ลุงไหวใจร้ายต้องมาเปิดประตูให้
นางก็เปิดประตูเปิดสวิซต์ไฟ และบรรยากาศก็ตามภาพค่ะ



จริงๆแล้วเกิดมาไปเคยไปดูถ้ำอะไรแบบนี้เลย หินงอกหินย้อยนี่ลาก่อน
แต่พอได้มาดูจริงๆก็แปลกดีนะ เย็นๆดี ดูน่ากลัว ดูลึกลับ
ใช้เวลาอยู่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มุ่งหน้าสู่บลูลากูน
สำหรับคนที่อ่านอยู่ตอนนี้แล้วคิดว่าทุกที่ที่กล่าวมาไปยังไง
ชั้นบอกเลยว่าอย่ากังวล ตุ๊ดแรมต่ำ หลงทางในทุกประเทศ
และเพิ่งแยกซ้ายขวาได้ตอน ป.4
ยังไปถูก คุณก็ต้องไปถูก (ร้านมอเตอไซด์มีแผนที่แจก)

เส้นทางสู่บลูลากูน ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นถนนลาดยางแล้ว
สำหรับผู้หญิง ท่านจะไม่ประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญเขย่ามดลูกท่านอีกต่อไป
คือปีที่แล้วที่ตุ๊ดไปสภาพเป็นดังนี้


ฝุ่นเอย แดดเลย แล้วถนนมันไม่ใช่ลูกรังนะ
มันก้อนหิน หินก้อนเท่ากำปั้น กลัวรถเหยียบแล้วกระเด็นโดนหน้ามาก
ตอนนั้นเรียกได้ว่าแก๊งค์ อาจุมม่า ขับรถวิบากสนุกกันเลย
กว่าจะไปถึงตอนนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางเลยแวะเก็บภาพเด็กน้อย
ตามประสานางงาม


บิดไปบิดมาประมาณ 15 นาทีเราก็มาถึง บลูลากูน

และอีกเช่นเคย ค่าเข้า10000กีบ+ค่าจอดรถ3000กีบ
เดชะบุญที่เรามาหลังช่วงหยุดยาว
คนเลยไม่เยอะมาก ชั้นถ่ายรูปเล่นซักพักจากนั้นชั้นก็ทำการแหวกว่ายลงธารา
คุณคะ อุณหภูมิน้ำไม่สอดคล้องกับอุณภหภูมิผิวโลกเลย
น้ำเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง เสียงชั้นสั่นเครือเหมือนจินตรา พูนลาภ
แตงโม แตงโม แตงโมโมโมโมโม
แต่ด้วยเนื้องานแล้ว แซ่บ เผ็ดมาก 5555



ชั้นและเพื่อนสาวใช้เวลาอยู่ที่บลูกาลูนนานมาก
ราวๆ 2-3 ชั่วโมง โหนเชือกกระโดดน้ำ กระโดดน้ำและโหนเชือก
มันสนุกมาก ชั้นว่ายน้ำแอ๊วเอิน นักท่องเที่ยวชายหญิงไปเรื่อยๆ
สามารถตรวจวัดระดับความสุขได้จากภาพ


จนกระทั่งการตัดสินใจกระโดดจากความสูงสูงสุดมาถึง
คือที่บลูลากูน เราสามารถเลือกกระโดดน้ำได้ 3 เลเวล



Level 1 : การโหนเชือกแล้วปล่อยตัวให้ตกไปในน้ำ เราจะสามารถดีไซด์ท่าจบให้แบ๋วใสหรือเซ็กซี่ได้


Level 2: การกระโดดจากต้นไม้ที่ระยะความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร จุดนี้จะมีความกลัวนิดๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะสามารถข้ามขีดจำกัดความกลัวที่เลเวลนี้ได้ แต่ท่าลงจะไม่สวยเท่าไหร่


Level 3: การกระโดดแบบวัดใจ คือมันไม่ได้สูงมากนะ ประมาณ 5 เมตร แต่พอบวกความสูงจากระดับสายตาเราเข้าไปด้วยคือมันน่ากลัวมาก มันเหมือนเส้นแบ่งความตาย 5555 พูดง่ายๆคือ มันสูงกว่าระดับ Comfort zone ของคนเรานั่นเอง ชั้นปีนขึ้นปีนลงเกือบ 10 รอบ เสียงเชียร์และสายตาแห่งความกดดันจากผู้คนที่มองมา ทำให้ชั้นไม่กล้าโดด 5555 แต่สุดท้ายชั้นก็โดด ชั้นภูมิใจมาก มันเหมือนการ พิชิต bucket list ของตัวเอง แต่ใครที่ไม่โดดก็ไม่เป็นไรนะ มันน่ากลัวจริงๆ 555


ชั้นว่าความสนุกของการเล่นน้ำที่บลูลากูนคือการกระโดดน้ำนี่แหละ
เหมือนทุกคนคอยเชียร์คอย support ให้เราก้าวข้ามความกลัวนั้นมาได้
และชั้นก็ได้เพื่อนใหม่จากที่นี่ประมาณขโยงนึง


หลังจากที่ทำทุกอย่างเป็นที่สาแก่ใจแล้ว


เราก็บิดมอไซด์กลับไปทานข้าวริมแม่น้ำซอง
ร้านนี้เป็นร้านประจำของชั้น ไม่รู้อร่อยมั้ยแต่มันบรรยากาศดี เลยมานั่งตลอด
ทีเด็ดของอาหารมื้อนี้คือเพื่อนสาวของชั้นนางอยากกินยำแซ่บๆ
เพราะชีวิตนางขาดความเผ็ดแซ่บแบบไทยๆมานาน
นางเลยจัดยำรวมมิตร ผลลัพธ์คือรวมมิตรจริงๆ และผักแต่ละชนิดคือกินไม่เป็น
เช็คบิลมาเท่านั้นแหละ 65000 กีบ โอ้ยยย ขำ เสียเงินให้ยำในราคา 200 กว่าบาท
แต่อาหารอย่างอื่นก็ไม่แพงประมาณ 80-120 บาท ถ้าเทียบกับบ้านเราก็แพงเอาการอยู่
หน้าตาอาหารที่เรากินที่วังเวียงประมาณนี้


จากนั้นก็กลับเข้าสู่ภารกิจพิชิตเบียร์ลาวอีกครั้ง
รอบนี้ย้ายฝั่งมาอีกฝากนึง เพราะสายตาเล็งไปเห็นหนุ่มตาน้ำข้าว
แต่ไปรับชมบรรยากาศของวังเวียงก่อน
แม่น้ำซองมีความเก๋คือความตื้นและไหลแรง ไม่ต้องกลัวจม
กลัวเจ็บเท้าเวลาเดินจะดีกว่า


ซักพักก็เขยิบๆเข้า Say hello สรุปได้ว่ามาจาก ฟินแลนด์และฝรั่งเศส
คุยกันสนุกสนานมาก ตุ๊ดเลยทำหน้าที่ตัวแทนทูตสัมพันธไมตรี อธิบายเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในไทย


ซักพักก็มีคุณเจ่ชาวลาวที่ได้สามีฟินแลนด์เข้ามาร่วมวง
บรรยากาศเลยครื้นเครงไปอีก
ระหว่างนั้นชั้นก็กอดขวดเบียร์แบกกล้องถ่ายรูปทั้งบนฝั่งและในน้ำ
เกือบล้มจมหายไปหลายรอบแต่ก็รอดมาได้


หนูยังเด็กมากเกินกว่าจะตีกันแย่งพี่นะลูก


หนุ่มฝรั่งเศสเธอจะมาจ้องหน้าชั้นแบบนี้ไม่ได้


ต่อให้ชั้นบอกว่าชั้นถ่ายรูปนี้เพราะแม่ของเด็ก พวกเธอก็ไม่เชื่อชั้นอยู่ดี


อาจุมม่า อปป้าซารางเฮ


การตีกันแย่งพี่ไม่ใช่คำตอบของชีวิตนะลูก


แบบนี้ค่อยยังชั่ว


พอเป็นน้องนี ก็เมินพี่เชียว


farewell แน่น้ำซอง


การขอกอดในที่สาธารณะเป็นเรื่องต้องห้ามเลยจะทำแบบนี้กับชั้นไม่ได้



หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็เดินกับมาหาของหนุ่ม

ซึ่งสองหนุ่มก็ขอตัวอำลาไปกินข้าว

แล้วชั้นก็มานั่งเม๊าส์กับเจ้ต่อ ความที่กินเบียร์ไปเยอะมาก
เริ่มอยากถ่ายแฟชั่นใต้น้ำแบบ The face Thailand ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็


พี่เกดขาหนูขอโอกาสครั้งสุดท้าย


อย่าไล่หนูกลับสู่ธรรมชาติเลย เพราะธรรมชาติก็เพิ่งไล่หนูมา


หลังจากทำบ้าทำบอกันไปซักพัก

ถึงประมาณเกือบทุ่มนึง
สัมผัสได้ว่าควรแก่การไปอาบน้ำแต่งตัวเลยขอสวัสดีอำลาคุณเจ้ชาวลาวเพื่อไปอาบน้ำ
ขอลาแม่น้ำซองด้วยภาพนี้


กลับมาถึงโรงแรมคุณลุงก็เปิดห้องให้เราอาบน้ำ
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ชั้นนึกสนุก เลยชวนเพื่อนสาวไปซากุระบา
แต่นางกลัวเหงื่อออก นางเลยขอนั่งเล่นเน็ตรอ
ชั้นก็มุ่งหน้าไปซากุระบาร์ SAKURA BAR
ชั้นว่าซากุระบาร์ไม่ใช่ที่ของชั้น คาแรกเตอร์ของที่นี่คือการอยู่กันเป็นกลุ่ม
ฝรั่ง 10 นั่งอยู่ด้วยกัน เกาหลี 10 นั่งอยู่ด้วยกันไรงี้
ชั้นคิดถึงบรรยากาศของ Pub street ที่เสียมเรียบ ที่นั่นดูเป็นชั้นมากกว่า
สรุปคือ เดินวน 1 รอบแล้วออกมา แต่ถ้าใครสายแด๊นซ์ก็คงสนุกทีเดียว
ผู้ชายงานดีใช้ได้


จากนั้นชั้นเลยเดินไปร้านเบอเกอรี่ที่ Popular ที่สุดในวังเวียง
แต่ร้านชื่อหลวงพระบาง เบเกอรี่นะ 5555
Wi-Fi ที่นี่เร็วมาก นั่งๆไปซักพักก็เบื่อละ
เดินเตร่ไปเรื่อยๆจนเจอตลาด โอ้โหนึกว่างานกาชาติ
ไหนๆเค้าทำอะไรไปส่องดูซิ สรุปคือบิงโก้จ้า
คนลาวจริงจังเรื่องการพนันมากนะคะ หวยนี่ออกวีคละ 2 ครั้ง
ตุ๊ดก็ไปนั่งเล่นสิ 5555 เค้าพากษ์สนุกมากๆ แล้วก็ฉลาดในการใช้อุปกรณ์ซึ่งนั่นก็คือไม้จิ้มฟัน


เล่นไปสามตาไม่ได้อะไรเลย 555
จากนั้นชั้นก็มุ่งหน้าไปที่ขึ้นรถและเจอกับเพื่อนสาวตรงนั้น
รถได้นำพาเราวนรอบวังเวียงรับฝรั่งขึ้นมา 2 คน
แล้วก็ไปจอดรอที่ริมทาง เรานั่งไปเรื่อยๆ
ก็สังเกตเห็นว่าฝรั่งสองนางมีอาการนอยๆ
จับใจความได้ว่านางซื้อตั๋ว 3 ทุ่ม แล้วรถไม่มารับ
หรือมารับแล้วไม่เจอนี่แหละ นางเลยต้องมาขึ้นรอบนี้
ซึ่งคนมาส่งนั้นบอกเราว่า สี่ทุ่มครึ่ง
จวบจนสี่ทุ่มครึ่งก็ไม่เห็นวี่แววของรถทัวร์ Sleeping bus
ที่เราซื้อตั๋วมาในราคา 130,000 กีบ โผล่มาเลย
แล้วรถสองแถวก็สตาร์ทขึ้นอีกครั้ง แล้ววนไปรับฝรั่งอีกหนึ่งนาง
วนกลับมาจน 5 ทุ่มก็แล้ว 5 ทุ่มครึ่งก็แล้ว
ฝรั่งนี้บ่นๆๆๆๆ อิคนไทยก็เหนียวตัว ง่วงนอน ตุ๊ดนี่ยิงเมาๆด้วย
เลยได้วลีเด็ดจากฝรั่งชาวอังกฤษมาว่า “Loas bus is never come"
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืน ก็เห็นแสงวูปวาปวูปวาปมาแต่ไกล
ใช่แน่ๆต้องใช่แน่ๆ และก็ใช่จริงๆ
ทั้งนี้ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นรถนะคะ มีบริการถุงพลาสติกให้
สภาพรถโอเคเลย เหมือนเตียงแคปซูลในหนังเรื่อง AVATAR
คือเป็นเบาะนอน มีสองชั้น 3 แถว แอร์เย็นมาก
แต่ตุ๊ดตัวสูงเลยเหยียดขาไม่สุด
แต่เมื่อทำการสัมภาษณ์เหมือนสาวนางบอกว่าหลับสบายหายห่วง
ต้องบอกลาวังเวียงแล้ว หลวงพระบางจะเป็นไงติดตามชมนะคะ


DAY : 3

มาแล้วค่ะ มาแล้วววววว
หลวงพระบาง ตุ๊ดกลับมาเขียนต่อแล้วววว
หลังจากขึ้นรถนอนขดอยู่ในแคปซูลแบบหนัง AVATAR
ชั้นสัมผัสได้ถึงโค้ง 18 ล้านโค้ง
พอลืมตาขึ้นมาราวๆตีห้า พร้อมกับไอน้ำที่วทัศน์ตรงกระจก
ชั้นเห็นภาพภูเขาเรียงรายเหมือนทะเลภูเขา

แต่มองกลับไปยังเพื่อนสาวชั้นถึงกับสะดุ้ง
ตายแล้วววว อาจุมม่าอะไรเบอร์นั้น 5555


ทั้งนี้สภาพรถนอนก็เป็นเช่นนี้แล ดีเลยนะ ถ้าเธอไม่สูง 175 ขึ้น
เพราะเธอจะเหยียดขาได้สบาย หลับสบายไร้ซึมเปื้อนมากๆ

หลังจากลงรถก็มาพบกับอีก 1 อุปสรรค ที่เบื่อๆๆๆๆๆ
นั่นก็คือรถจอดที่ขนส่งนอกเมือง
ตอนชั้นไปปากเซก็แบบนี้ คือรถที่ลาวจะไปไม่ถึงที่ๆเราอยากไป
เหมือนเป็นกลอุบายให้เราเสียค่าสองแถว
จริงๆบ้านเราก็เหมือนจะเป็น 5555
แต่คือแบบก็ฟันราคาหัวตุ๊ดเกือบแบะ
ชั้นและเพื่อนสาวพยายามย่อร่างกายให้เล็กลงเท่ามดน้อย แล้วทำเสียงเหมือนแมว
ถามคนขับว่าเข้าเมืองเท่าไหร่คะ
ความแบ๋วไม่มีผลใดๆ 20000 กีบ/คน คือชั้นว่าแพงนะ 80 บาทต่อคน
ขับรถไป 3 กิโล แล้วไม่ได้ขึ้น 2 คน ขึ้นแปดคนทำงาน 5 นาทีได้เงิน7ร้อย
ตุ๊ดว่ามันไม่แฟร์ ว่าแล้วพวกเราก็ตั้งแก๊งค์เดินหนี
นางก็ขับตามมาบอกว่า 40 บาท
เออ แบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย พวกเราตัดสินใจอัดตัวกันขึ้นรถ
พร้อมแก๊งค์ฝรั่งอีก 6 คน


และเค้าไปถูกทิ้งตรงถนนเส้นหลัก
ถ้าใครเคยไปเชียงคานนะ ผังเมืองจะคล้ายๆกันคือ
ถนนเส้นเรียบแม่น้ำโขง แล้วก็จจะแบ่งเป็นซอยๆๆๆ หลายซอย
แล้วก็จะมีถนนเส้นหลัก 1 เส้น
ไม่หลงค่ะ เดินงงไปเรื่อยๆจะ เข้าใจเอง
ชั้นยังคงเชื่อมั่นเรื่องการเดินหาโรงแรมและต่อราคา
เราเดินตามฝรั่งไปเรื่อยๆ ก็เจอห้องราคาโอเคสำหรับเรา
แต่ยังไม่โอเคสำหรับพวกนาง เราเลยถือโอกาส say thank you & goodbye
เราต่อห้องพักจาก 120,000 เหลือ 90,000 กีบ สรุปทริปนี้เรานอน 4 คืน
เราเสียเงินค่าที่พักแค่ 180,000 กีบ คือตกคนละ 350 บาทเอง เพราะ 2 คืนเราอยู่บนรถ
ที่หมดเงินเยอะเพราะชั้นติดกาแฟ และ กินเบียร์เยอะมาก
ส่วนยังเพื่อนสาวคือสวมวิญญาณเบ๊นซ์ พรชิตา กินจุ๊บจิ๊บกินจุ๊บจิ๊บ
กินจุ๊บจิ๊บ กินจุ๊บ กินจิ๊บ นางเป็นผีน้ำมะม่วงปั่น กับผีขนมขบเคี้ยว
เพราะฉะนั้นชั้นคิดว่าถ้าคนไม่ใช้จ่ายแบบเราก็ประหยัดได้อีกราวๆ 1000 บาท

จังหวะนี้ประมาณ 9 โมงเช้าและอากาศร้อนมาก
เปิดแอร์นอนเท่านั้นค่ะ บอกลาเพื่อนสาว “จะไปไหนก็ไปเลยนะ"
แล้วนางก็หายตัวไปเดินกินข้าว
ตื่นมาอีกทีประมาณบ่ายๆ อากาศไม่ได้น่าภิรมณ์เลย
ก็เราไม่ใช่ฝรั่งเนอะ จะได้ enjoy sunbathe
และเราก็มุ่งหน้าไปร้าน JOMA ร้านกาแฟดังประจำหลวงพระบาง
บรรยากาศก็ดี๊ดี ราคาก็แพ๊งแพง 5555

พนักงานบริการดีจังประทับใจมาก

ระหว่างนั้นก็หยิบปากกามานั่งเขียนโปสการ์ดหาตัวเอง
เวลาอากาศร้อนๆนี่เวลามันเดินช้ามากเลยเนอะ
จนเพื่อนสาวถามว่า นี่จะนั่งอยู่นี่จนค่ำจริงๆหรอ
คิดๆอยู่ซักพักก็ตอบว่า จริง!! 555
เออ กดดันชั้นมากไปก็ได้วะ แต่ขอไปส่งโปสการ์ดหาตัวเองก่อน

แพลนของวันนี้มีแค่ 2+1 อย่าง
คือไปวัดเชียงทอง และ พระธาตุจอมพูสี (สถานที่สำหรับดูพระอาทิตย์ตกดิน)
และก็คิดว่าจะไปออกเสตปแด๊นซ์ บาสโลป จากร้านที่เพื่อนสาวชาวบาหลีแนะนำ
เราตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามแน่น้ำโขง
การเดินทางไปวัดเชียงทองง่ายมาก
หันหน้าเข้าแม่น้ำโขง แล้วเดินไปทางขวามือ เดินจนคิดว่าจะไม่ถึง
สุดท้ายพอเราเหนื่อยแล้ว เราจะพบเอง
เราเลือกที่จะลองอาหารข้างทาง ซึ่งก็โอเคนะ ราคาก็ 40 บาท เหมือนขนมเบื้องญวน

จากนั้นก็เดินไปตามถนนเรื่อยๆ คือบ้านเมืองน่ารักลืมร้อน
ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะจัดเซ็ท หลวงพระบางแฟชั่นวีค

หลังจากดื่มด่ำกับรรยากาศได้ซักพักประมาณ 20 นาทีเราก็เดินมาถึง
เสียเงินตามเสตป รับไปค่ะ 20,000 กีบ
พูดถึงวัดเชียงทอง ด้วยความที่เป็นตุ๊ดสายมาร
เลยแบบไม่ค่อยอินกับวัดวาอารามมากนัก แต่ก็ขยันไปมากนะ 555
วัดเชียงทองมีลักษณะของงานสถาปัตยกรรมที่แปลกตา จากวัดอื่นๆที่ตุ๊ดเคยไป
และที่ชอบมากๆคือ จิตรกรรมฝาผนัง เก๋ไก๋มากๆๆๆๆๆ
และแน่นอน ต้นโพธิ์หลังอุโบสถ ที่จะทำมุมตกกระทบกับแสงยาวเย็น
ระยิบระยับราวกับเพชร คือ AMAZING มากๆ

ตุ๊ดเพลิดเพลินกับความงามอยู่ประมาณ 45 นาที ก็ได้เวลาย้ายฐานทัพ
สถานีต่อไปคือ พระธาตุจอมภูสี
งานปีนป่ายขึ้นเขาขอให้บอก
เดินย้อนกลับมาไม่ไกลมาก เราก็มาถึงพระธาตุพูสี
อ่าาาา ทำไมจะไม่เสียตังค์หละคะ รับไปเลย 15,000 กีบ
และนี่คือสภาพทางขึ้นไปพระธาตุ

ชั้นสัมผัสถึงกลิ่นความง๊องแง๊งของเพื่อนสาว
เหมือนนางจะไม่จะขึ้นไป ด้วยความรักเพื่อนชั้นจ่ายเงินแล้ววิ่งขึ้นไปเลย 5555

และก็ไม่มีทีท่าว่านางจะขึ้นมา เพราะผ่านไป 15 นาทีแล้วนางก็ยังไม่โผล่

ชั้นก็เดินถ่ายรูปเล่นตามประสา ด้านบนมันสวยมากเลยนะ

ชั้นเลือกที่จะปีนโขดหินไปจับกลุ่มกับแก๊งค์ผู้ชายฝรั่ง
และเรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ระหว่างที่เรานั่งๆอยู่ เราก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นทางเดินของมด
ก็คุยๆกันว่าถ้าไม่มองคงเหยียบตายไปหลายตัวแล้ว
ซักพักก็มีน้องนีวัย 20-30 คาดเดาว่าเป็นคนจีนไม่ก็ฮ่องกงไม่ก็สิงคโปร์
นางก็พูดอังกฤษพ่นไฟ แล้วขอขึ้นมาถ่ายรูป
เพราะตรงที่เรานั่งมันคือจุดสูงสุด
พวกแก๊งค์ฝรั่งเลยพูดว่าระวังจะเหยียบมดตายนะ
อิเจ้ก็สาดคืนมาว่า ที่ๆเธอเหยียบอยู่อะมันแย่ก็การเหยียบมดซะอีก
แล้วนางก็จากไป ทิ้งความงงให้ฝรั่งว่า ไอเหยียบไรวะ
แล้วฝรั่งนางนึงก็สาดคำหวานไปใส่นางว่า “She such a cockroaches “
แก๊งค์ผู้ชายก็ อู้วววววววววววว
ชั้นเลยสวมวิญญาณนางงามมิตรภาพ
บอกว่า It's okay guys calm down calm down
ถ้าเค้าไม่ใช้เราปีนเค้าก็คงมีป้ายแล้วหละ
หรือไม่เจ้าหน้าที่ก็คงเดินมาบอก ช่างนางเถอะ
จากนั้นก็ได้เข้าแก๊งค์สิคะ 5555 เข้าข้างขนาดนี้
รอจนรากงอก จนหมดเรื่องคุย พระอาทิตย์ก็ไม่ตก แถมฟ้าปิดอีก
เลยเปิดประเด็นการคุยเรื่องพระอาทิตย์ตก
คือบ้านชั้นอะมีฝายเก็บน้ำหลังบาง แล้วเวลาพระอาทิตย์ตกมันสวยมากๆๆๆ
สวยกว่าที่เห็นและเป็นอยู่ตอนนี้ 10 เท่า เลยงงว่า นี่เรามาทำไรตรงนี้
เลยตัดสินใจลุกแล้วลงไปข้างล่างดีกว่า
จังหวะนั้นค่า อิเพื่อนสาวนางขึ้นมาพอดี
พร้อมวลีกินใจว่า “กูกลัวไม่มีคนถ่ายรูประหว่างคุยกับผู้ชายให้"
55555555555555555555555555


สุดท้ายเราก็รอจนพระอาทิตย์ตก

คือก็ยังคิดเหมือนเดิมว่าสวยตรงไหน 555

แล้วก็ลงไปเดินเล่นที่ Night Market คือเดินลงมาก็เป็นตลาดเลย
เสียดายตอนนี้แบตมือถือหมด
และกล้องฟิล์มก็ไม่เหมาะกับแสงมืดๆเท่าไหร่เลยถ่ายมาแค่ 1 รูป


บรรยากาศก็ช้าๆเนือยๆ แต่ของน่าสนใจเยอะมากเลยนะ
โดยเฉพาะผ้านี่ลายสวยมาก เสียดาย Low budget เลยได้แต่ยิ้มแล้วมองตาปริบๆ
เดินจนทั่วแล้วเราก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย
กลับห้องค่ะ เราจะไป เต้นบาสโลป (การเต้นของลาวทุกคนเต้นท่าเดียวกัน เพลงช้าก็ท่านี้เพลงเร็วก็เท่านี้ เธออย่ามาเด้งแรงกันซีนชั้น)
ถูกแนะนำมาว่าให้ไปร้าน 525 เพราะเจ้าของร้านเป็นฝรั่งหล่อพูดลาวคล่อง
เราเซฟแผนที่ไว้หน้าจอ แล้วก็เดินมุ่งหน้าไป
ก็หลงทางตามเสตป หลงจริงจัง คนเพื่อนสาวบอกว่า นี่ไม่รู้ทิศจริงๆหรอ
อีก 1 ความพังคือ ร้านมันไม่มีการเต้นบาสโลป 5555 สื่อสารกันผิดพลาดนิดหน่อย
พอมาถึงร้านคือดีมาก บ้านสีขาว ทุกโต๊ะมีเทียนจุด
ไม่มีพนักงาน ไม่มีคน ไม่มีแขก
ไม่มีใครเลย มีแต่ตุ๊ดกับเพื่อน เพื่อนกับตุ๊ด
ลองเอามือไปแตะๆที่กดเบียร์ก็เย็นๆอยู่นะ
ตะโกนก็แล้ว รอก็แล้ว เริ่มถอดใจ เหงื่อก็เริ่มไหลแล้ว
ไหนๆตามเข้าไปเรียกในบ้านซิ โอ้โห เปิดมา มันคือ Hidden gem
บรรยากาศดีมาก เจ้าของก็พูดลาวซะเรางงเลย คือเค้าเป็นฝรั่งไง
แต่ราคาก็เอาการอยู่ ถือว่าซื้อบรรยากาศ
สั่ง Hoegaarden เงินปลิวเลย 65000 ก็ 280 บาท แต่มันแบบขวดเล็กนะ
อยากดีดตัวไปเขมร ณ บัดนาว คือเบียร์เขมร Pint ละ 10 บาทอะแก
แต่เจ้าของเทคแคร์ดีมาก เพราะนางรู้จักกับเพื่อนชั้น นางเดินมาส่งถึงหน้าร้านเลย
ใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศบาร์ฮะลูฮะลา เชิญได้ 525 Luang Prabang
ไม่ได้ค่าโฆษณาเพราะเค้าหล่อ 5555
ซักพักก็ทำการเดินกลับห้องไปนอน

DAY : 4

แน่นอนตุ๊ดต้องตื่นเช้า
สิ่งที่ชั้นรักในตัวเองมากคือ ชั้นตื่นเช้าตลอดเวลาไปเที่ยว
ชั้นจะใช้เวลาสำรวจโลก และคุยกับตัวเองในยามเช้า
ชั้นแอบหนีออกมาจากห้องอย่างเงียบๆเพื่อเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้า
บ้านเมืองหลวงพระบางที่สงบจริงๆ และพระก็มาบิณฑบาตร กันเช้ามากกกก
ตีห้าครึ่งนี่จะเสร็จกิจละ


คือพระที่นี่เยอะมาก มีการป๊ะกันแบบต้องหยุดรอตลอด


ดื่มด่ำกับความสงบประมาณ 1 ชั่วโมง
ก็ไปปลุกเพื่อนสาวมารับประทานอาหารเช้า
นางอยากกินอะไรร้อนๆ ก็เลยไปร้านเฝอ และร้านกาแฟยามเช้า ร้านดังประชานิยม
อันนี้จากใจจริงเลยนะ ห้ามว่ากัน
ไม่มีอะไรอร่อยเลย แล้วแพงมากด้วย
ตุ๊ดสั่งข้าวผัดหมู กาแฟเย็นไม่หวาน และ ไข่ดาว
คิดเงินมา 250 โอ้มายก๊อดดดดดดดดดด
ข้าว 120 กาแฟ 90 ไข่ดาว 40
บาย บาย บาย บาย บาย บาย บาย บาย



จริงๆแอบนอยกับความแพงนิดหน่อยแต่ก็ช่างเถอะ
จากนั้นเราไปคุยเรื่องรถเพื่อเดินทางไปยังตาดกวางสี
เช่นเคยว่าฝากของไว้ที่ซื้อตั๋วรถ แล้วก็อาบน้ำที่นั่นแหละ
ตั๋วรถไปตาดกวางสี 50000 กีบ เป็นรถตู้แอร์เย็นสบาย
และก็จองตั๋วกลับไปเวียงจันทร์ เป็น Sleeping bus ราคา 180,000 บาท
รถมารับเราเวลา 11 โมงครึ่ง
รับนักท่องเที่ยวเป็นชาวออสซี่ 2 มาเล 1 เกาหลี 2 ไทย 4 และอีกคนนั่งหน้าไม่ได้คุยด้วย
นั่งรถไปไม่นานมาก 45 นาทีเห็นจะได้
เราก็ได้เสียเงินอีก 20,000 กีบ
แต่บอกเลยว่าคุ้มมาก คุ้มสุดๆ สิ่งที่เราจะเจอสิ่งแรกไม่ใช่น้ำตกนะคะ
มันคือหมี!!! ซึ่งมีประมาณ 30 ตัว


จากนั้นก็ไปยังน้ำตก ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก
ดูรูปเอาเลยดีกว่า ทั้งนี้แต่ละชั้นไม่ได้ไกลกันมาก ถ้าเวลาจำกัด
อยากแนะนำให้ไปดูให้สุดก่อน แล้วค่อยเลือกว่าจะเล่นน้ำที่ชั้นไหน
เพราะบางคนมาถึงแค่อันแรกก็ชอบละ พอละ ไม่ไปต่อ


หลังจากถ่ายรูปชาวบ้านหนำใจแล้วก็ถึงช่วงเวลาของชั้นแล้วเพื่อนสาวเอ้าโดด!!!

จากนั้นเราก็เล่นน้ำไปทีละชั้นเริ่มที่ชั้นแรก


ไปต่อที่ชั้นที่ 2


และชั้นที่ 3 ก่อนถึงน้ำตกใหญ่



และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เมื่อชั้นนึกพิเรนจะไว้ไปยังโขดหิน
แต่เกือบจมน้ำตาย 555 จริงๆตอนนั้นกลัวมาก
คือลืมไปว่ามันว่ายทวนน้ำ และคิดว่าตรงที่น้ำตกกตมาเป็นม่านน้ำบางๆ
ที่ไหนได้ทวนน้ำก็หมดแรงแล้ว เจอน้ำตกกดลงอีก
ตอนนั้นคิดในใจว่าว่ายกลับจะไหวมั้ยหรือว่ายต่อไป สรุปว่ายต่อ
แต่พอถึงโขดหินคือขาสั่นตัวสั่นเพราะกลัวมาก
และนำว่าอย่าประมาทนะคะ เตือน เตือน


รอดมาได้


Farewell ตาดกวางสี

สรุปคือตาดกวางสีเต็ม 10 ให้ 10 10 10 เราว่าน้ำพอดีเล่น
ดับกระหายคลายร้อน ทุกอย่างคือ Peaceful อยากอยู่ต่ออีกนานๆ
แต่ก็ต้องกลับเพราะเดี๋ยวคนที่มาด้วยจะตบเอา
และแล้วก็อาบน้ำล้างตัวแล้วก็นั่งรถกลับ
รถไปถึงหลวงพระบางประมาณ 4 โมงเย็น ตุ๊ดก็เลยบอกเพื่อนสาวว่าชั้นจะไปเดทนะ
เดี๋ยวทุ่มนึงเจอกัน เดี๋ยวมากลับห้องก่อนแล้วจะต่อค่ะ

หลังจากนั้นก็ไปพบปะเพื่อนของเพื่อน
ซึ่งเป็นเจ้าของร้านไวน์ นั่งถามสาระทุกข์สุขดิบกันไป
จะบอกว่าร้านนี้คือ the best wine bar in หลวงพระบางเลยนะ จากประสบการณ์
(เพราะเคยไปร้านเดียว555)

จากนั้นเพื่อนต้องไปประชุม เราก็เลยได้มีเวลาเดินถ่ายรูปหลวงพระบาง
ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
จะว่าไปแล้วเวลา 2 วันนี่ไม่พอจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้ไปในทุกที่ ที่อยากไปแล้ว
บรรยากาศเมืองเป็นดังนี้


พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ว่าแล้วก็ลงไปดูริมน้ำดีกว่า
ส่องๆดู อู้วๆๆ คนอาบน้ำอยู่
ส่องๆดูอีก อู้ววว ฝรั่งนั่งอยู่คนเดียว
เลยถือโอกาสเข้าไปทักทาย ได้ความมาว่าเป็นเด็กฝรั่งเศสวัย 21
กำลังดรอปเรียนแล้วมาเที่ยวเพื่อค้นหาตัวเอง
อาทิตย์หน้าจะไปที่เสียมเรียบ และครอบครัวจะบินมาฉลองวันเกิดวัย 22 ของเค้าที่นั่น
ชั้นถามเค้าว่าเธอจดบันทึกอะไร เค้าตอบมาว่า เค้ากำลังเขียนจดหมายถึงตัวเค้าในอนาคต
เผื่อวันนึงได้กลับมาอ่านอีกครั้ง


จากนั้นชั้นก็ทำการร่ำลาเพื่อไปขึ้นรถ
ไม่น่าเชื่อว่าทริปของชั้นได้จบลงแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อน ขึ้นชื่อว่าตุ๊ดแบกกล้องความหายนะมันมีเสมอ
เพราะ Sleeping bus ขากลับของเรานั้นเป็น Shared bed นั่นคือนอนสองคนในเตียงเดียว
ไม่รู้จักกันก็นอนด้วยกัน ตัวเหม็นก็ต้องนอน
ขนาดชั้นรู้จักกับเพื่อนสาวชั้นยังไม่อยากนอนเลย
ความสาหัสคือคนลาวต้องมานั่งระหว่างทางเดินเพราะไม่มีตั๋วรถ
แถมขับไปซักพักควันขึ้น เหม็นกลิ่นเบรครถมากกก
และนี่คือวิธีการซ่อม

คนรถค่อยๆรถน้ำไปทีละล้อ ทีละล้อ คือตุ๊ดแบบผวามาก
แต่สุดท้ายก็มาถึงนะ 555

แล้วเราก็มาถึงเวียงจันทร์ประมาณเช้าตรู่
ก็อีกเช่นเคยต้องเสียค่าตุ๊กๆไปขึ้นรถเพื่อกลับไทย
แต่สายตาเล็กเห็นว่ามีรถเมล์เลยขึ้นไปนั่งรถเมล์
จำราคาไม่ได้แต่ไม่เกิน 40 บาท ตอนแรกว่าจะขึ้นรถกลับอุดรเลย
แต่ว่าอยากพาเพื่อนสาวแวะดูนั่นนู่นนี่ซักหน่อย
พอลงรถเมล์ปุ๊ปบริเวณหน้าวัดไซ เราก็หาข้าวกิน
แล้วก็พบว่าเงินเราที่เหลือนั้นไม่สามารถไปไหนต่อได้แล้ว 5555
คือถ้าจะไปต้องเดินอย่างเดียว
เลยคิดว่าเอาไว้ครั้งหน้าละกันค่อยมาใหม่
จากนั้นก็นั่งจิบกาแฟ แล้วก็นั่งรถกลับบ้าน

ระหว่างทางชั้นกลับมาทบทวนถึงการท่องเที่ยวในครั้งนี้
ชั้นได้เพื่อนใหม่เยอะมาก และชั้นเรียนรู้อะไรจากการท่องเที่ยวเยอะมาก
ชั้นสามารถสรุปได้พอสังเขปประมาณนี้

- หนุ่มยูเครน เดินทางมาคนเดียวเพื่อถ่ายรูปไป และขายรูปใน shutterstock ไปเรื่อย

- หนุ่มฟินแลนด์ที่มาพร้อมกับหนุ่มฝรั่งเศส พร้อมบทสนทนาอันยืดยาว (แอ๋มรักเค้า)

- สาวอิตาลีที่มาเที่ยวกับเพื่อนสาวชาวฮอนแลนด์ ผู้ขอให้แอ๋มส่งภาพไปให้นางเมลล์

- แก๊ง3สาวชาวอังกฤษที่มาเที่ยวสี่เดือนแล้ว เป็นแก๊งที่น่ารักมาก ประกอบด้วย สาวอ้วนขี้อาย สาวสวยนั่งเชิด และ สาวกล้าบ้าบิ่น ดูเป็นอะไรที่ลงตัว

- Nathan และน้องฝน คู่รักเจ้าของธุรกิจดำน้ำที่กระบี่ กับการ offer ให้แอ๋มไปดำน้ำฟรีที่อ่าวนาง

- คู่รักสาวเสปนที่เชียร์แอ๋มตลอดเวลาตอนกระโดดน้ำ

- แก๊งค์เด็กมหาลัยชาวอังกฤษและฝรั่งเศสที่ take gap year นั่งเม๊าส์กันเรื่อง South east asia ก่อนโดยสาวชาวจีนปล่อยบอม

- เจ้นีชาวเมกันผู้เวรี่สตรอง พาเดินหาที่พักที่หลวงพระบาง

-หนุ่มฝรั่งเศสวัย21ที่เรียนมหาลัยได้1ปีแล้วลาออก กำลังนั่งเขียนไดอารี่อยู่บนแพริมน้ำ พร้อมเฝ้ารอการมาของพ่อแม่เพื่อจะไปฉลองวันเกิดวัย22ที่เสียมเรียบในอาทิตย์หน้า

- พี่น้องชาวออสเตรเลียที่หน้าเอเชียเพราะพ่อแม่เป็นฮ่องกง เหมือนว่าจะเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่

- สองสาวชาวเกาหลีที่หนึ่งนาง take gap year อันนี้นางคิ้ว เลยได้กระโดดน้ำร่วมกัน

- หนุ่มมาเลเซียที่วีซ่าใกล้จะหมด

- พี่ฟางและพี่แอน เพื่อนซี้วัย30 ที่นิสัยตรงข้ามกัน แต่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด

- เจ้ต้อมสาวลาววัย 38 ที่ขอทิ้งลูกชายไว้กับสามีชาวฟินแลนด์ มาใช้ชีวิตวัยรุ่นที่ไม่เคยได้ใช้เป็นเวลา2เดือน

- น้าผู้ชายชาวลาววัย40ต้นๆที่ไปอยู่เมกาตั้งแต่8ขวบ และกลับมาบ้านครั้งแรก พูดลาวได้นิดหน่อย

- คู่รักชาวลาวที่พาแฟนมาเที่ยววังเวียงก่อนจะไปเยี่ยมบ้านที่หลวงพระบาง บังเอิญเจอกันที่ถ้ำจัง. บลูลากูน และไปเจออีกทีที่หลวงพระบาง

- แก๊งค์ 3 หนุ่มเกาหลี ที่บังเอิญเจอที่วังเวียง หลวงพระบาง และเวียงจันทร์

- Nick ฝรั่งหล่อสปีคลาวที่เพื่อนสาวแนะนำให้ไปดูหน้า เปิดร้าน 525ที่หลวงพระบางซึ่งร้านเวรี่คลู

- Matt เจ้าของร้านไวน์ชาวฝรั่งเศส คุยกันถูกคอเลยได้กินฟรี

- Ivan เพื่อนชาวรัสเซียที่เจอกันตอนไปเชียงใหม่ และมาบังเอิญเจอที่เวียงจันทร์

- ครอบครัวที่หอบลูกสาวสี่คนมาจาก คุกไอแลนด์

ถึงแม้การเดินทางจะสิ้นสุดลงแต่ความประทับใจยังคงอยู่เสมอ
Best Regard
ตุ๊ดแบกกล้อง

ตุ๊ดแบกกล้อง

 วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.34 น.

ความคิดเห็น