เตรียมตัวเก็บของแบบอลังการงานสร้าง นี้ตัดออกไปแล้วบางส่วนนะครัช แต่ต้องพร้อมครัชเดินทางคนเดียวครั้งแรก เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เตรียมตัวให้พร้อมคือสิ่งเดียวที่เราทำได้

มาขึ้นรถที่อู่ 509 สายยาว ลงหมอชิต 2 มานั่งรอประมาณ 30 นาที รถออก 16:00 ถึงหมอชิต ประมาณ 18:00

ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า สบายกว่า นั่งขนส่งมวลชนประเภทอื่นครัช

ราคา เวลา ก็ตามนี้เลยครัช

เวลาเหลือก็ตามหาอะไรทานที่หมอชิต เตรียมตัวให้พร้อม เตรียมนอนอ่าครัช

ต้องตุน เพื่อการเดินขึ้นภูพรุ่งนี้ และจะบอกเลยว่าดีใจมากที่ตุนไป เพราะเราเดิน เราหิว เราก็พักและแกะกินเลย ไม่ต้องรอให้ถึงซำใดๆ

นั่งรถทัวร์ที่หมอชิต ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ครั้งล่าสุดที่นั่งไปทำกิจกรรมหมาลัยที่หาดใหญ่ปี 2554 ตื่นเต้นนิดนึง โชคดีที่คนน้อยมาก เราใช้บริการของ บขส. นะครับ ดีมากเลย ผ้าห่มอุ่น มีน้ามีขนม มีคูปองทานข้าว ตอนเที่ยงคืน

ก็มาถึงร้านเจ๊กิม ประมาณ 04:00 ล้างหน้า แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัว ทางร้านเค้ามีบริการให้ด้านหลังร้าน จากนั้นก็หาอะไรทานอุดหนุนทางร้านเค้านะครับ พอไปถึงภูกระดึงจะได้พร้อมเดินขึ้นเลย

กระเป๋าเราเอง แบกเอง 16 โล และใครที่ไปคนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเหมารถแดงนะครับ ถ้าไปถึงเวลาเดียวกันกับเรา คือเช้ามืด มีคนที่เดินทางมาคนเดียวเหมือนกัน เค้ารอจับกลุ่มกันนั่งรถแดงและถ้าโชคดีก็ชวนกันเข้าแก๊งค์และเที่ยวด้วยกันจนจบทริปเลยทีเดียว ซึ่งของเราเป็นแบบนั้น ถือว่าโชคดีมากๆเลย

นั่งรถแดง 300 บาท หาร 4 คน ก็คนละ 75 บาท ระหว่างทางจากร้านเจ๊กิม มาภูกระดึงประมาน 15 นาที หนาวและมืดดี เพราะเวลาประมาณ 05:15

จากนั้นเมื่อได้เวลา คือ 06:00 ก็เริ่มตามกระบวนการที่เจ้าหน้าที่เค้าแจ้ง ของเราจองจาก QueQ ไปก็ยื่นแอพให้กับทางเจ้าหน้าที่ดู และก็เข้าสู่กระบวนการต่อๆไป ส่วนใครที่คิดว่าจะไปวันธรรมดาไม่ต้องจองผ่านแอพก็ได้ครัช นทท.ไม่เยอะ แต่ถ้าเป็นศุกร์เสาร์ ควรจองผ่านแอพมานะครับ

ใครต้องจ้างลูกหาบก็ให้มาถึงสักประมาณ 05:30 ให้จัดการเรื่องลูกหาบให้เรียบร้อยแล้วค่อยทำการลงทะเบียนเอกสารต่างๆกับอุทยาน วันธรรมดาลูกหาบไม่หมดแน่นอนแต่อย่ามาสายเกินไปละกันนะ แต่ตอนวันที่เราลงมาเป็นวันศุกร์ เราเห็นแบกของขึ้นไปกันเองเยอะมาก นทท.หลายคนเลย เราก็นึกว่าเค้าจะทดสอบความแข็งแรง แต่เปล่าเลย ลูกหาบหมดครัช

ก่อนเดินขึ้นภูกระดึง ต้องถ่ายกับ 2 ป้ายนี้ทุกคน เพิ่งเป็นการลั่นกลองรบเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตัวเราเอง

ใครไม่ได้พก trekking pole มาเอง เชิญเลือกด้านขวามือ ขนาดที่ชอบ น้ำหนักที่ใช่ได้เลยนะครับ ไม่งั้นไม่รอด ไม่ถึงหลังแป นะครัช

ก้าวแรก ตอนรับนทท.ประมาณนี้ นะครัช

เดินกินดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ

ก็ถึงซำแฮก ซึ่งหนักเอิาเรื่องนะครับ ทางขึ้นซำแรก แต่สปอยไว้ก่อนเลย ไม่มีส่วนไหนหรือซำไหนของภูกระดึงที่ไม่ชันเลยนะครับ อย่าตีความเอาเองว่าหลังจากซำแฮกแล้วจะรอด แล้วจะสบาย บอกเลยครัช คิดผิด 

ร้านค้าที่ซำแฮก เลือกเลยครับร้านไหนก็ได้ แต่ของเราเจอป้าแววร้านที่3ทางขวา ตกมาตั้งแต่ทางเดินแล้ว ป้าใจดีมากนะเรียกหาชื่อร้านป้าได้เลยถ้าหาไม่เจอ มาถึงจุดนี้แนะนำให้ทุกคนพัก กินแตงโม ดื่มน้ำและเกลือแร่ อย่าเพิ่งห้าวนะครัช เพราะนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินที่ยาวนานและชันขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนขึ้นเจอป้าข้างล่างเค้าบอกเราเอาไว้ว่าจะกินแตงโมอ่าระวังท้องเสียนะ เราก็กล้าๆกลัวๆ แต่พอเดินมาถึงซำแฮก ไม่กลัวไรละ กลัวไม่มีแรง มากกว่า เลยบอกป้าแวว แตงโมหนึ่งครัช

เดอะแก๊งค์ที่เดินด้วยกัน เพิ่งมาถึงกันฮะ ก็คงค่อยๆเดิน ค่อยๆพักแหละ เพราะเป็นครั้งแรกของทุกคน แต่เราเองเนื่องจากแบกกระเป๋าหนักเราต้องรีบจ้ำก่อนจะหมดแพชชั่นในการเดิน และหมดแรงถอดใจไปซะก่อน

ป้าๆที่ซำแฮกบอกว่า หลังจากนี้ไปก็ทางราบแล้ว อย่าไปเชื่อนะครับ ดูจากภาพเลย

จากนั้นก็มาถึงซำบอน ซึ่งไม่มีร้านค้าหรือจุดนั่งพักใดๆ อารมณ์เหมือนไม่อยากให้เราเดินไกลเกินไปกว่าจะถึงจุดพัก ก็เลยมาสร้างป้ายซำบอนเอาไว้ เพื่อให้เราชื้นใจว่าถึงซำบอนแล้ว

ต่อด้วยป้ายซำกกกอกและยังไม่มีที่พักและร้านค้าใดๆ

เดินกันต่อครัช แรงยังมี แพชชั่นยังเหลือ

ไงละ หลังซำแฮกทางราบ อยากร้องไห้

เจอทางที่เป็นซีเมนต์และมีราวเหล็กให้จับแบบนี้ 4 อันติดกันนะครัช

ยังนะ ยังไม่ถึงซำที่มีที่ให้พักอีก

ถึงสักที ซำกกหว้า แต่ไม่ได้ถ่ายนะครัช ไม่ไหว ไม่ไหวคืออะไร เดินไปถ่ายไม่ไหวครัช เพราะต้องการการพักอย่างเร่งด่วน

ระหว่างนี้ก็ได้นั่งพักคุยกับคุณป้าและที่เจ๋งไปกว่านั้นคือป้าเป็นญาติกันกับป้าแววที่ซำแฮก ป้าบอกว่าเป็นเครือญาติกันหมดแหละที่นี่ ก็เลยถามป้าว่า ซำกกหว้า คืออะไร ป้าก็เลยบอกให้เอาบุญว่า 

ซำ = ตาน้ำ กกหว้า = ต้นหว้า ซำกกหว้า คือที่ที่มีตาน้ำและมีต้นหว้าขึ้นอยู่หนาแน่น ครัช

ป้าเล่าให้ฟังเรื่องช้างต่อว่าปี 2557 มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตนะ เดินหรือเที่ยวที่นี่ก็ให้ปฏิบัติตามกฎของอุทธยานนะจ๊ะ

จากซำกกหว้า เจอบันไดแบบนี้ครัชทุกคน เราจะไม่ร้อง เราฮึบไว้ เราเลือกเองและนี่ก็ยังไม่ใช่จุดพีคซะด้วย

ช้างเป็นสัตว์มีชีวิตที่มีอยู่จริงนะครัชที่ภูกระดึง เพราะระหว่างทางเดินก็เจอขี้ช้าง เอ๊ะหรือเจ้าเอามาวางไว้เพื่อหลอกให้เรากลัว หยอกๆนะครัช มันคือขี้ช้างป่าจริงๆเลย ที่คอยนเฟิร์มได้ไม่ใช่เพราะลองชิม เพราะเจ้าหน้าที่บอกเรามา 5555+

ท่องไว้ว่าทางราบ ท่องไว้ว่าไม่ชัน หลอกตัวเองให้ได้นะครัช

พอถึงซำกกโดนปุ๊บ จำได้เลยเกิดอาการหิวขึ้นมากระทันหัน กางถุง 7-11 ที่เตรียมมาจากหมอชิตออกมา และจัดการไข่ต้มสองฟอง ยำสาหร่ายญี่ปุ่น เค้กกล้วยหอม จัดหนักกันเลยทีเดียว พอรู้ตัวอีกทีมันคือเที่ยงแล้วนี่นา ไม่น่าทำไมถึงหิวขนาดนี้ ระหว่างกินเดอะแก๊งค์ก็เดินมาถึงพอดี

และก็มาถึงจุดพักสุดท้ายที่มีของกิน ไอติมและข้าวเหนียวปิ้งอร่อยนะครับร้านค้าที่ซำนี้ ซำนี้ทุกอย่างจะแพงกว่าซำแฮก 10 บาท ก็แน่นอนละครัช เพราะดูจากทางมนการเดินที่ผ่านมา 

มาถึงซำแคร่ จัดการกิน จัดการเตรียมใจให้เรียบร้อยให้ครบถ้วนนะครัช คุยกับตัวเองให้ดีว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะเส้นทางหลังจากนี้ก่อนจะถึงหลังแปนี่บับ.....

จริงๆมีความโหดที่อยากจะแชร์มากกว่านี้นะครัช แต่เอาแค่นี้พอก่อนดีกว่า เด่วจะยกเลิกการจองไปภูกระดึงกันซะก่อน

ถึงหลังแปแล้ววววววววววทุกคน

ขอลองแบกดูซะหน่อย เพื่อจะเปลี่ยนอาชีพ แต่บอกเลย ไม่มีทางเพราะพวกพี่ลูกหาบที่นี่คือยอดมนุษย์ทั้งวัยรุ่น วัยกลางคน และคนมีอายุ แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

เดินต่อทางแบบนี้ ร้อนแบบนี้ ทรายๆแบบนี้ ไปอีก 3.5 โลสิครัช คิดว่ารอดแล้วมาถึงหลังแปและเดินต่อทางราบ แต่บอกเลย การที่เหนื่อยล้าสะสมมา กระเป๋ายิ่งหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันส่งผลต่อการเดินมากๆ จนทุกคนเดินด้วยความเงียบ 555555+

ถึงตรงนี้ ต้นสนที่ทุกคนต้องถ่ายรูปเพราะเป็นไฮไลท์หรอ ไม่ใช่เพราะเหนื่อย 5555 หยอกๆ เป็นไฮไลท์ที่ทุกคนต้องถ่ายนะครัช เห็นพี่เอ๊ะที่เดินทางด้วยกันบอกว่า เค้าชื่อ ต้นสนนักเลง เพราะเค้าไม่หลบใครเลย

ตัดไปแบบไวๆนะครับหลังจากนี้ เพราะช่วงที่เดินโหดๆ เดินยากๆอยากจะให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจเรียนรู้ให้ละเอียด ณ จุดๆนี้ คือเดินมาถึงลานกางเต็นท์ เลือกที่กางเต็นท์แล้ว ลานสนไม่ไกลจากห้องน้ำ แต่บอกเลยทำไรไม่ได้ต้องนอนพักอย่างเดียว เหมือนความดันจะขึ้น

แต่ก็นะ ยังพอมีแรงและอากาศดี ก็ขอถ่ายรูปสักหน่อย

กางเอ็งนะครับ เต็นท์ใหม่ Naturehike Cloud Up 2 เพิ่งถอยมา กลางที่นี่ที่แรกเพราะเราต้องการเต็นท์ที่แบกเองได้และน้ำหนักเบา

เทของสิครัชรออะไร จากนั้นก็ไปอาบน้ำและนอนพักและลุกไปกินข้าวต้มหมูสับและเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก

บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ภูกระดึง จ.เลย ก็จะฟินแบบนี้นะครัช

บรรยากาศตอนเดินกลับเต็นท์ ได้ฟีลสีของท้องฟ้าทั้งสองแบบ

จากนั้นก็กลับไปกินน้ำเต้าหู้เพราะอากาศหนาวมากและน้ำเต้าหู้อากาศแบบนี้คือดีมากๆ

จากนั้นก็ล้างหน้าแปรงฟันนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

วันที่สอง

ตื่นจริงๆตั้งแต่ตี4 ทำธุระส่วนตัว และออกไปรวมตัวกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่พาเดินไปที่ผานกแอ่นนะครับ ทางอุทธยานไม่อนุญาตให้เดินไปโดยไม่มีเจ้าหน้าที่นะครัช อยู่ที่นี่ก็ดีนะ ต้องเช็คสภาพอากาศทุกวัน

เดินไปไม่ไกลมากค่อยๆเดินไปกับ นทท. คนอื่นๆ แต่หนาวมาก ณ ตอนนั้น แต่ก็ถือว่าคุ้มนะ พระอาทิตย์ขึ้นซะสวยเชียว ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีครัช

จากนั้นก็กลับเต็นท์ททานข้าวเช้าและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเดินทางไกล ตามภาพเลยครับที่เรียกว่าพร้อม เราเลือกการเดินทางแบบย่อนะ ไม่ได้เลือกว่าต้องไปให้ครบ เพราะเราเดินเราไม่ได้ปั่นจักรยาน 

เราเริ่มจากการเดินไปที่พระพุทธเมตตา น้ำตกถ้ำใหญ่ สระอโนดาต ตัดไปผาเหยียบเมฆทานเข้าเที่ยงที่นี่ครับ ผาแดง ผาหลอกลวง และ ผาหล่มสัก ถ่ายรูปเสร็จ เติมพลังด้วยเย็นตาโฟ และเดินกลับมาดูกพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก จากนั้นกลับเต็นท์ อาบน้ำทำธุระส่วนตัวและทานข้าวเย็นและน้ำเต้าหู้แล้วนอนครับ

น้ำตกถ้ำใหญ่ที่ไม่มีน้ำแล้ว ถ้ามีน้ำน่าจะสวย สงบ แต่ยิ่งใหญ่น่าดู

ออกจากน้ำตกเพื่อที่จะไปสระอโนดาต ระหว่างทางก็จะเป็นแบบนี้ แต่บอกเลยว่าแดดเปรี้ยงมากนะ แต่ไม่ร้อน แต่ควรจะมีอุปกรณ์กันแดดไม่งั้นกลับบ้านไปผิวหลายสีแน่นวล

อากาศดี แสงเยี่ยม น้ำใส และวันธรรมดาคนไม่เยอะ ก็เอ็นจอยถ่ายรูปกันไป

จากสระอโนดาตเราก็เดินตัดไปที่เส้นหน้าผา ซึ่งเป็นผาเหยียบเมีย เอ้ย ผาเหยียบเมฆ ก็เที่ยงตรงพอดี เราไปถึงคนยังถ่ายรูปกันเยอะอยู่ เราก็เลยพักทานข้าวกลางวันที่เตรียมมาก่อน นั่นคือไข่ต้มและขนมปัง แต่ที่ผาเหยียบเมฆ ตรงนั้นมีร้านค้าขายข้าว ขายน้ำนะครัช ไม่ต้องเตรียมไปก็ได้แต่น่าจะแพงกว่าที่กางเต็นท์ 10 บาท ทุกอย่าง

จะลองแตะเมฆ เหยียบเมฆ หรือกระโดดดูก็ได้นะครับ ก็จะได้ภาพประมาณนี้ แต่ตอนกระโดระวังนะครัช น่ากลัวอยู่นะ

จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ผาหล่มสักละครัช แต่ระหว่างทางจะผ่านผาแดงและผาหลอกลวง ซึ่งผาหลอกลวงไม่มีป้ายนะครัช ต้องสังเกตุแหง่งหินนี้เอาเอง และอีกอย่างนึงคือ ไม่ใช่ทุกคนจะถ่ายได้ต้องใช้พลังแขนสูงมากเลยทีเดียว ก็ลองไปถ่ายกันดูนะครัช

ถึงสักทีนะครัช ผาหล่มสัก เดินกันหน้าซีด แต่ก็ถือว่าคุ้มนะ เพราะจุดไฮไลท์ถ่ายรูปสวยมาก แต่คนถ่ายก็ต้องถ่ายเป็นและใจกล้าด้วยระดับนึงนะครัช เพราะคนถ่ายก็ต้องนอนชิดริมผาอยู่อีกฝั่งนึง พลาดไม่ได้เลยเหมือนกัน

ระหว่างนั้น ก็มีพี่ๆมารบกวนให้ช่วยถ่ายอยู่ 2-3 คู่รัก ซึ่งเราก็เต็มใจมากๆเพราะเรานอนถ่ายให้เพื่อนกันอยู่แล้ว พี่เค้าก็เอาขนมมาให้เป็นน้ำใจและตามมาขอบคุณหลังจากเช็คภาพแล้ว 55555

จากนั้นเราก็ไปนั่งกินเย็นตาโฟที่ผาหล่มสัก มีอยู่ร้านเดียวที่ขาย เพราะระหว่างทางเดินมามีคนแนะนำบอกว่าให้มากินเย็นตาโฟนะอร่อยมากเลย

เมื่อกินเสร็จเราก็เดินกลับทางเดิมเส้นริมผา ผ่านผาต่างๆ เผื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกอีกครั้ง แต่พระอาทิตย์ตกก่อนที่เราจะไปถึง แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสเพราะเมื่อสานก็ดูไปแล้ว

จากนั้นเราก็กลับไปที่เต็นท์อาบน้ำทำธุระส่วนตัว ซึ่งน้ำเย็นมาก แต่พออาบน้ำแล้วหนาวน้อยลง ไม่รู้เป็นอุปทานหรือปลอบใจตัวเองหรือเปล่า จากนั้นก็ทานข้าวเย็นและพลาดไม่ได้คือน้ำเต้าหู้ก่อนนอน

ก่อนเข้าเต็นท์ยืนดูดาวและพระจันทร์สักเล็กน้อย พระจันทร์ดวงใหญ่กลมโต แต่ดาวมีเล็กน้อย แต่ก็พอทำให้รู้สึกดีว่าอยู่บนดอย ไม่ใช่ที่บ้าน

วันที่สาม

เช้านี้ตื่นได้สายหน่อย เพราะจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ เดินไปไม่กล้าเลยตื่น 05:30 และพร้อมเดินตอน 06:00 ไปถึงก็ยังมืดอยู่ และวันนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นนะครัช ตามภาพเลย มีหมอกเมฆเยอะมาก

แต่จุดนี่เองก็ได้ไปเจอกับพี่ที่เดินทางคนเดียวเหมือนกัน นั่นก็คือพี่เอ๊ะนั่งวิ่งเทรลหญิงระดับติดโพเดียวทุกรายการ พี่เอ๊ะก็ชวนเดินไปเห็นอีกวิวนึงหลังอ่างเก็บน้ำ

จากนั้นพี่เราก็พูดถึงเรื่องความน่าเสียดายว่าครั้งนี้ขาดอย่างเดียวคือเจอเมเปิ้ลแดง พี่เอ๊ะก็บอกว่าเมื่อวานพี่ไปสำรวจมา ยังแดงอยู่นะไปไหมอยู่ที่น้ำตกวังกวางเราเดินไปแปปเดียว ก่อนที่เราจะเก็บของและเดินลง เรากับเดอะแก๊งค์อีก1คน ก็รีบตบปากรับคำ และภาพก็ได้ประมาณนี้

ซึ่งเราดีใจและตื่นเต้นมาก จริงๆถ่ายไว้เป็นหลักสิบรูปเลยนะแต่ลงแค่นี้พอ 55555+

จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางกลับละครัช เราได้ผู้ร่วมอุดมการณ์แบกเป็ลงภูเพิ่มอีกคนนั้นคือ พี่เอ๊ะ ส่วนบูญ แบกขึ้นมากับเราตั้งแต่วันขึ้นภูแล้ววว

ไปถึงหลังแปแล้ว หัวเปียกกันเลยที่เดียว ฝนตกหมอกลง ถือว่ามาภูกระดึงรอบนี้ได้ครบทุกสภาพอากาศนะครัช

สุดท้ายรอดนะครับ ถึงข้างล่างด้วยสภาพตามภาพเลย แบกขึ้น16 แบกลง18 งงมากครัช และเดินขนาดนี้คิดว่าไม่ต้องออกกำลังกายไปสองเดือนกันเลยทีเดียว

สรุป

ทริป วัน 2 คืนนครับ

นั่งรถออกจากหมอชิต ของ บขช. ครับ (แจ้งที่ซื้อตั๋วว่าไปภูกกระดึง) คืนวันอังคาร 20:30 ถึง ผานกเค้า ร้านเจ๊กิม 04:00 (เช้าวันพุธ) 

วันแรก (วันพุธ)เดินขึ้นภูกระดึง 06:00 ถึงลานกางเต็นท์ 14:00 กางเต็นท์ เก็บของ อาบน้ำ นอนพัก หาข้าวกิน ไปดูพระอาทิตย์ที่ผาหมากดูก กลับมาจัดน้ำเต้าหู้ แล้ว นอนครับ

วันที่สอง (วันพฤหัส) ตื่น 04:00 ทำธุระส่วนตัว 05:00 เริ่มเดินไปพร้อมกันกับนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ ไปที่ผานกแอ่น เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นกลับมาทานเข้าเช้า และแต่งตัวเพื่อการเดินทางไกลสำหรับวันนี้ เราเลือกเวอร์ชั่นการเดินทางแบบย่อนะครับ เดินไปพระพุทธเมตตา น้ำตกถ้ำใหญ่ สระอโนดาต ตัดไปผาเหยียบเมฆทานเข้าเที่ยงที่นี่ครับ ผาแดง ผาหลอกลวง และ ผาหล่มสัก ถ่ายรูปเสร็จ เติมพลังด้วยเย็นตาโฟ และเดินกลับมาดูกพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก จากนั้นกลับเต็นท์ อาบน้ำทำธุระส่วนตัวและทานข้าวเย็นและน้ำเต้าหู้แล้วนอนครับ

วันที่สาม (วันศุกร์) ตื่น 05:30 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ กลับมาทานเข้าเช้า และตามพี่เค้าไปดูใบเมเปิ้ลแดงที่น้ำตกวังกวางครับ จากนั้น เก็บของ และเดินลงครับ เราเดินลงตอน 10:00 ถึง ข้างล่าง 15:00 (ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ซำแคร่) และนั่งรถแดงต่อไปยังร้านเจ๊กิม ซื้อตั๋วกลับหมอชิตที่ข้างร้านเจ๊กิม (แอร์เมืองเลย ซึ่งนอนไม่ค่อยหลับเลย) เราได้รอบ 20:30 ถึง กทม. 04:00

สิ่งที่ต้องเตรียม:

  1. เข้ากลุ่ม FB ชมรมคนรักภูกระดึง
  2. อ่านรีวิว วางแผนการเดินทางคร่าวๆ
  3. รองเท้าที่ใช้สำหรับเดินป่าหรือเดินทางไกล (ย้ำนะครับต้องเป็นรองเท้าเฉพาะทางนี้เท่านั้น เพราะเพื่อนร่วมทริปด้วยกันรองเท้าไม่พร้อม เกือบจะเดินกลับลงมาไม่ได้ตามกำหนด เพราะเท้าพอง เพราะเดินกันเยอะมากจริงๆครับ)
  4. ไฟฉาย
  5. ชุดและอุปกรณ์กันหนาว
  6. ออกกำลังกายอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนหน้าครับ
  7. เงิน สำหรับ อาหารการกิน อุปกรณ์เครื่องนอน ลูกหาบ และ จักรยานถ้าไม่อยากเดินครับ
  8. รอยยิ้ม

เราใช้งบ 2,500฿ ทั้งทริปครัช รวมทุกอย่าง 

*แต่งบการซื้ออุปกรณ์ก่อนไปขอไม่บอกละกันครับเพราะมันเยอะ* 55555555

อ่านจบแล้วเข้าแอพ QueQ จองเลยนะครัช 

ขอให้สนุกกับการเดินทางครัช

NewsPii's Journey

 วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.48 น.

ความคิดเห็น