อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่ได้ตกเลขด้วย 2 คืนที่ปีนัง แต่ใช้เวลาในการเดินทางและใช้ชีวิต 5 วัน สองคืนเท่านั้น สองคืนเท่านั้นจริงๆ เป็นการเดินทางที่ยาวนาน แต่มันพิเศษมากที่สุดในชีวิตที่ต้องลองซักครั้งโดยที่ไม่รู้สึกเสียดายเวลาเลย และเราจะไม่มีวันลืม


เราเป็นคนชอบนั่งรถไฟเที่ยว มันเพลินดี ได้ซึมซับบรรยากาศ ได้นั่งคิดอะไรนานๆ ด้วยระยะทางที่วิ่งนานของรถไฟไทยนั่นแหละค่ะ เคยอ่านเจอนะ ว่าเวลาคนเราคิดอะไรไม่ออก ให้ออกไปลองนั่งรถไฟนานๆ มันจะพอช่วยอะไรได้ และนี่ ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรานั่งรถไฟนานที่สุด และไกลที่สุด


หลายเดือนก่อน เคยนั่งรถไฟไปเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์ และหลายครั้งที่นั่งรถไฟจะเจอรถไฟอยู่ขบวนนึง ที่วิ่งสวนมาตลอด ที่นั่งตรงหน้าต่าง จะมีแต่ชาวต่างชาติ ที่นั่งกินข้าวอย่างชิลล์ ข้างบนมีไวน์ห้อยๆอยู่ด้วย อย่างหรู ตอนนั้นไปอยุธยาเจอเพื่อนร่วมทางผู้หญิงที่ค่อนข้างคุยถูกคอและสนุกกับการนั่งรถไฟเที่ยว ต่างคนต่างถามกัน เห้ย!ขบวนนี้ไปไหนอ่ะ? แว่วเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนบอกขณะรถไฟสวนว่า "บัตเตอร์เวอร์ธ บัตเตอร์เวร์ธ" เราเลยแบบคุยกัน เห้ยมันน่าสนใจอ่ะ หาข้อมูลเลย เห้ยนี่มันวิ่งไปมาเลย์นิ่ อยากนั่งบ้างเนาะ นั่งรถไฟไปต่างประเทศ เก๋อ่ะ คุยกับเพื่อนร่วมทางสนุกสนาน แล้วก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่เป็นแฟนของผู้หญิงที่เราคุยด้วยแทรกขึ้นมาว่า "เสียเวลา!! เมื่อยก็เมื่อย นานก็นาน นั่งเครื่องไปแป๊บเดียวก็ถึงละ" บรรยากาศสนทนาจึงเงียบลง และหมดอารมณ์มาก!!!!


ความข้องใจ รวมถึงความคับแค้นใจจากคำพูดวันนั้น มาถึงวันนี้ (เหมือนโดนดูถูก) เราจึงตัดสินใจใช้เวลาหยุด 5 วันแทนที่จะไปเที่ยวสบายๆเหมือนคนอื่น แต่เราใช้เวลาทั้งหมด 5 วันนี้ไปกับการผจญภัยคนเดียว ซึ่งไม่รู้จะเจออะไรข้างหน้าบ้าง ไปกับรถไฟ กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ โดยซื้อตั๋วล่วงหน้าแค่ 1 อาทิตย์ หาข้อมูลแบบลวกๆมาก จากวันนั้นถึงวันนี้ เราว่าเวลาทั้งหมดที่ผ่านมา 5 วัน เราได้อะไรกลับมาเยอะมาก โดยเฉพาะการพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และความสะดวกสบายในแบบที่ไม่ลำบากเหมือนอย่างที่คิดเลยกับรถไฟขบวนนี้ มันเป็นการเดินทางที่แสนพิเศษ อยากเจอผู้ชายคนนั้นอีก แล้วบอกกับเค้าว่า "ชั้น...นั่งรถไฟสายนี้มาแล้วววววววววว" โสดก็ดีแบบนี้แหละค่ะ ไม่ต้องมีใครมาห้าม อะไรอยากทำก็ให้รีบทำซะตั้งแต่ตอนนี้


พอดีเพิ่งกลับจากปีนังมาถึงกรุงเทพเมื่อวานตอนบ่าย รูปยังลงคอมไม่หมด ตอนนี้ออกมาข้างนอกด้วย เดี๋ยวกลับไปเขียนนะคะ

อาจหาสาระไม่ค่อยได้ เพราะหาข้อมูลแบบผ่านๆ เที่ยวตามความรู้สึก อยากเดินไปไหนก็เดิน อยากกินอะไรก็กิน อะไรที่เป็นซิกเนเจอร์เรื่องกินหรือสถานที่ที่ต้องไปในเมืองนี้อาจจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ต้องแนะนำไปทาง google และหากข้อมูลผิดพลาด ขออภัยด้วยนะคะ


ก่อนเดินทาง 1 อาทิตย์ เราไปซื้อตั๋วรถไฟด้วยตัวเองที่หัวลำโพง แต่ที่สำคัญก่อนหน้านั้นควรจะตรวจสอบตั๋วผ่าน call center เพื่อความแน่ใจก่อนว่าที่นั่งยังเหลืออยู่มั้ย? รถไฟไทยเห็นเหมือนจะเก่าๆ ไม่มีคนขึ้นแบบนี้ เอาเข้าจริงๆ พอถึงเวลา เต็มตลอดนะคะ และอีกอย่างเราสามารถจองผ่าน call center ได้เหมือนกัน แต่นี่ตื่นเต้นไง อยากเห็นตั๋วเลย ว่าหน้าตาจะเป็นยังไง ตัดสินใจนานเหมือนกันนะกว่าจะตัดใจซื้อได้ เพราะถ้าเทียบกับนั่งเครื่อง แล้วต่อรถตู้เข้าปีนัง ราคาต่างกันแค่ไม่กี่บาทเลย เอาก็เอา!!! ตั๋วรถไฟไทยที่แพงที่สุดในชีวิตอยู่ในมือละ ในความคิดแบบว่าแอบแพงนะ อีกใจนึงก็คิด นี่นั่งข้ามประเทศเลยนะแก


ต้องเซ็นเซอร์ข้อมูลส่วนตัวนิดนึง เป็นชื่อและเลขบัตรประชาชน


ราคาตั๋วรถไฟจะต่างกัน เราเลือกนอนเตียงบนเพื่อความปลอดภัย ใครจะทำอะไรจะได้ยากกับการเสียเวลาปีนหน่อย ถ้าจะมีคนขึ้นมาข่มขืน ถีบมันลงเลยค่ะ!! ตกลงไปเจ็บมากๆเลยแหละ แต่ต้องมั่นใจว่าตัวเองนอนไม่ดิ้นจริงๆนะ ตกลงมาแข้งขาหักไม่รู้ด้วย สูงเอาเรื่องเลย และเตียงบนจะดูแคบกว่าเตียงล่าง ไม่มีวิวหน้าต่างให้ดู ราคาเตียงบน 1,120 บาท เตียงล่าง 1,210 บาท


การเลื่อนเดินทาง ต้องโทรแจ้ง จนท.ก่อนอย่างน้อยล่วงหน้า 1 ชม.ตั๋วไม่สามารถคืนได้ ถ้าคืนก็จะถูกหักเป็นเปอร์เซ็นไป ตามจำนวนวัน อันนี้สอบถาม จนท.ได้เลยค่ะ


Day 1


14.45 น. ขึ้นรถไฟ ออกเดินทางจากหัวลำโพง อ่อ...ก่อนหน้านั้นควรจะมาก่อนเวลา รถไฟไทยช้าก็จริง แต่เวลาออกเป๊ะมากกกกกกก ตกรถไฟตกแล้วตกเลย มาก่อนเวลาก็จะได้เตรียมตัว หาข้าวกิน เข้าห้องน้ำ หรือซื้อเสบียงไปตุนบนรถไฟก็ได้ ฉันนี่ยัดขนมกับนมกล่องไปเพียบเลย แบกสิคะ กินให้หมดด้วย


ตื่นเต้น ตื่นเต้น นี่เรากำลังจะได้นั่งบัตเตอร์เวอร์ธ จริงๆแล้วเหลอ นี่เรากำลังจะนั่งรถไฟไปต่างประเทศคนเดียวจริงๆเหลอ


มองหาเลขที่นั่งโก๊ะๆกังๆ แล้วก็มีลุงฝรั่งท้วมๆคนนึง ทำมือชี้ๆให้ดูข้างล่าง อ่อ...เลขที่นั่งอยู่ข้างล่าง เบอร์ 11


ก่อนหน้าที่จะมาซื้อตั๋ว อ่านรีวิวมาบ้างว่าให้เลือกที่นั่ง 20-22 จะมีที่ชาร์ตแบตให้ด้วย (ห่วงอยู่เรื่องเดียว) ไอ้เราก็ท่องๆๆ ว่าต้องเอาเลขนี้ ไปซื้อตั๋วจริง มัวแต่ตื่นเต้น ถามนั่นนี่ ลืมเลือกที่นั่งเลยจ้า ได้เลขที่นั่งไม่ดีทั้งไป-กลับเลย แต่พอขึ้นมาบนรถไฟแล้ว มีที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์หลายที่นะ นี่ถ้าใครได้นั่งใกล้ปลั๊กเสียบนะ เอาโน้ตบุ๊คมานั่งทำงานด้วยยังได้เลย อย่างชิลล์


ขึ้นมานั่งเรียบร้อย ไม่มีคู่แฮะ นั่งคนเดียวสบายเลย เบาะนุ่ม สักพักก็จะมี จนท.มาตรวจตั๋ว เอาเอกสารมาให้เซ็นว่าใคร ชื่ออะไร นั่งเบอร์ไหน แล้วมีคืนเงินให้เรา 20 บาทด้วย ยืนงงแป๊บ!! แล้วถาม "คะ คะ ค่าอะไรคะ" "ค่าเตียง" จนท.บอกแล้วเดินหนีเลย หะ ห๊ะ!! ค่าเตียง!! งงอ่ะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปถามว่าคืนค่าเตียง คืออะไร?


แต่คำถามแรกที่ขึ้นมาในหัวเลยก็คือ "ไหนไวน์อ่ะ ที่มันห้อยๆอ่ะ" ไม่มีน่ะสิสรุป เห็นป้ายบนรถไฟด้วยว่าห้ามดื่มของมึนเมา สงสัยเป็นขบวนพิเศษอีกอันที่โคตรจะวีไอพีแน่ๆ อ้าว! สรุปเข้าใจผิด แต่ความเข้าใจผิดนี่แหละที่จะพาเดินทางแบบโก๊ะกังไปเจออะไรต่อมิอะไรบ้างก็ไม่รู้ ก็ดีละ ผู้หญิงตัวคนเดียว เมาไวน์ขึ้นมาใครจะดูแล และดูท่าทางแพงมากด้วย สักพัก จนท.ก็จะมาเดินมาถามใครจะรับอาหารจากห้องเสบียงมั้ย คือแพงเลยแหละ ไม่เป็นไร กินข้าวมาละ มีขนมด้วย


15.40 น. จนท.แจกอาหารเฉพาะคนที่สั่ง กางโต๊ะพรึ่บๆ คล่องแคล่วมาก โต๊ะพับอยู่ใต้ที่นั่งเรานั่นเอง สงสัยมานานว่าเอามาจากไหน คนไทยไม่ค่อยมีใครสั่งกิน ต่างชาติและคนดูมีตังค์ทั้งนั้นที่สั่งกิน แล้วก็จะมีแม่ค้าขึ้นมาขายข้าวด้วย ตอนแรกกะไม่ซื้อ แต่ซื้อรองท้องหน่อยก็ดี ซื้อในรถไฟแพงแน่ กล่องนี้ โดนไป 50 บาท


19.14 น.พระอาทิตย์ตกแล้ว จนท.มาขอปูเตียงทุกเตียง อ้าว!! เห้ยๆ อะไรคะ นี่มันเพิ่งทุ่มนึง ปกติชั้นนอนตี 2 นะ (คิดในใจ) จนท.ไม่สน ปูเตียงเนี๊ยบและเร็วมาก 2 เตียง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที พรึ่บผับ!! หะเห้ย! แล้วอีกคนอ่ะ ข้างล่างที่เค้านอน ใครอ่ะ นี่ต้องปีนขึ้นไปนอนแล้ว ยังไม่รู้จักเพื่อนร่วมทางเลย


อ่ะ...อย่าเพิ่งห่วงคนอื่นค่ะ ห่วงตัวเองก่อน ปีนสูงเหมือนกันแฮะ ร่วงลงไปนี่ทั้งเจ็บทั้งอายนะบอกเลย มองลงไปเห็นรองเท้า สูงเอาเรื่อง


รออะไรล่ะ สร้างแลนด์มาร์คสิ จะให้นอนแล้ว นอนไม่หลับแน่ๆ แต่หมอนกับเบาะนุ่มมากเลยนะ ใหม่ๆเลย (รูปเบลอหน่อย แสงไม่ค่อยพอ) หัวเตียงจะเป็นแบบนี้


อันนี้นี่ปลายเตียง ข้างนอกม่านมีที่วางของทั้งชั้นบนชั้นล่างนะ แต่ถ้ามีของมีค่าหรือของสำคัญ เอามานอนเบียดกับเราไว้ก็ดีค่ะ อุ่นใจกว่า


สำหรับใครที่กลัวหล่น บอกเลยปลอดภัย เพราะด้านข้างเตียงจะมีผ้า หรือว่าเค้าเรียกอะไรอ่ะ สายพานป้ะ? 2 เส้น กั้นอยู่ กันคนร่วงลงไป เรานอนไม่ค่อยดิ้น คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร สบายอยู่แล้ว สายปีน สายนอน ยาวไปเลยลูกพี่!! แต่ในใจคิด อีกคนที่นอนข้างล่างจะขึ้นรถไฟมาเมื่อไหร่ว้าๆๆๆๆๆ


ระหว่างรถไฟวิ่งฉึกฉักและรอผู้ร่วมทางอีกคน เราตัดภาพมาที่การวางแผนเข้ามาเลย์กันเถอะค่ะ เรื่องใหญ่เลยไม่ใช่เรื่องที่เที่ยว แต่มันคือ เรื่องเงิน และ ภาษา ที่ต้องใช้เพื่อความอยู่รอดตลอด 5 วันนี้ ข้อมูลอะไรอย่างอื่นไปหาเอาข้างหน้าค่ะ


ค่าเงินที่มาเลเซียหน่วยเป็นริงกิตกับเงินเซนต์ ถ้าเทียบค่าในเว็บแล้วอาจไม่ตรงเป๊ะ แต่เราเอาตามความเข้าใจของเรา แค่เติม 0 ข้างหลังเงินบาท แค่นี้ก็นับง่ายละ เช่น 1RM = 10 บาท 20RM = 200 บาท 2.95RM = 29 บาท 50 เซนต์ (อันนี้เข้าใจง่ายโดยดึงจุดทศนิยมออก) เรานำเงิน 4,000 บาทไทย ไปแลกที่ super rich ถ.สีลมตัดนราธิวาส แลกสี่พัน จนท.คืนให้ 1 บาทไทย แถมนำเงินริงกิตมานับแล้ว ได้มา 4,800 กว่าบาทแน่ะ ได้เยอะกว่าที่แลกด้วย สบายล่ะ


ภาษา!!


บอกเลย โง่อังกฤษมาก แต่ได้พองูๆปลาๆก็อยู่ที่นี่ได้แล้ว เช่นการถามทาง สั่งข้าวกิน แต่อาจจะปวดหัวสักหน่อย นอกจากภาษาไม่แข็งแรงแล้ว ยังเจอแขกที่พูดอังกฤษนะ แต่แร๊บรอเรือทุกคำในประโยค ต้องเงี่ยหูฟัง กับกลุ่มคนจีน อาม่า อาอึ้มงี้ โดยส่วนใหญ่นี่จะไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย ใช้ภาษามือ โดยเฉพาะร้านอาหาร แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปภาพหน้าร้านติดไว้ให้เลยว่าเราจะกินอันไหน ชี้เอาเลย ก็ไม่ต้องสื่อสารมาก


แต่....มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ภาษาพูดไม่เท่าไหร่ แต่งงกับภาษาเขียนที่ เอ่อ....TAXI เป็น TASI


คือกำลังจะหมายถึงห้ามสูบบุหรี่ ฝ่าฝืนปรับ 10,000 บาทไทยใช่มั้ย ถึงกับ translate เป็นภาษาอินโดแทบไม่ทัน


แอบนอยด์ว่าทำไมปูเตียงเร็ว ปกติเป็นคนนอนดึกนะ คนข้างล่างยังไม่ได้ขึ้นมาเลย ไปๆมาๆ เผลอหลับไปตอนประมาณ 4 ทุ่มมั้ง สะดุ้งตื่นมาอีกที เที่ยงคืน รถจอดสถานีไหนก็ไม่รู้ คาดว่าเป็นหาดใหญ่ เสียงคนตะโกน (สำเนียงใต้ๆหน่อย) "บัตเตอร์เวอร์ธหมายเลข 12" ไอ้เราก็อืม....12 เนาะ ของเรา 11 อ้าว!! 12 มันเตียงข้างล่างเรานี่นา พยายามขยุกขยิกส่องดูผู้ร่วมทาง มองไม่เห็นเลย ง่วงแล้ว นอนต่อเจอกันพรุ่งนี้เช้า


อ่อ...สำหรับผู้หญิงมาคนเดียวแล้วนอนรถไฟ ถ้าไม่ติดสบาย นอนยังไงก็นอนได้ นอนไม่ดิ้น แนะนำว่าปีนได้ ปีนค่ะ นอนเตียงบน เราก็ค่อนข้างเซฟตัวเอง กลัวว่าถ้านอนเตียงล่างจะมีใครเข้ามาทำอะไรได้ง่ายกว่า สำหรับผู้หญิงหน้าตาแอบดีอย่างเรา (ขีดเส้นใต้ว่าแอบดี) นอกจากนอนเตียงบนแล้ว ชายผ้าม่านยังเอามาเหน็บกับใต้เตียงได้ เผื่อมีใครมาเปิดดูเราจะได้รู้สึก แต่นอนเตียงบนสบายตรงที่ไม่สะดุ้งง่ายๆว่าใครจะเดินผ่าน เพราะคนลุกเข้าห้องน้ำ แต่ก็มั่นใจว่ารถไฟสายนี้ปลอดภัย เพราะราคาตั๋วแพงขนาดนี้ ไม่มีไก่กาอาราเร่ขึ้นมาได้แน่นอน เพราะ จนท.ขอบัตรประชาชนตอนซื้อตั๋วด้วย



Day 2


06.00 น. จะตื่นมาทามม้ายยยยยยยยย!!! เช้ามากกกก ไม่เคยตื่นเวลานี้นานแล้ว อันที่จริงเปล่าค่ะ หนาววววววววว ตื่นมาควานหาถุงเท้ากับผ้าปิดตา คือบนรถไฟเค้าจะเปิดไฟสว่างมากทั้งคืน (แต่ก็ดีเพื่อความปลอดภัยเนาะ) ไม่ซีเรียสเรื่องเปิดไฟนอนอยู่แล้ว จำได้ว่าหลับๆตื่นๆเพราะไฟแยงตา เอาผ้าปิดตามาแต่ดันลืมใส่ก่อนนอน หยิบถุงเท้ามาใส่ เพื่อ?? ทุกอย่างมันผ่านไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนป้ะ? ทนหนาวแอร์ ทนไฟแยงตามาทั้งคืน คิดได้ก็มานั่งเซ็ง


07.10 น. เซ็งไปเซ็งมาถึงพัทลุง เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา (น้ำไม่อาบ) ยุกยิกๆ แอบส่องว่าใครนอนข้างล่างเราแต่ก็ไม่เห็น แต่แค่รองเท้าก็รู้ละ "ผู้ชาย" ทำไมไม่มีใครตื่น ไม่สนใจชั้นเลย ชะนีตื่นเช้าไปใช่มั้ย ก็ได้ ชั้นจะไม่ทน!! แล้วก็ปีนขึ้นไปนอนต่อ


09.05 น. งีบแป๊บๆก็ได้ยินเสียง "ชิกเก้น ชิกเก้น" ในใจคิด "เสียงอะไรวะชิกเก้น" โผล่หน้าออกผ้าม่าน แม่ค้าไก่ทอดขึ้นมาเพียบเลยจ้า ถึงหาดใหญ่แล้ววววววว "ไก่ทอดหาดใหญ่" ซิกเนอร์เจอร์ของหาดใหญ่ขึ้นมาบนรถไฟ แต่ก็ไม่ซื้อ เพราะไม่หิว เมื่อวานยัดขนมไปเต็มที่เลย ระหว่างนั้น จนท.ก็จะมาถามใครจะแลกเงินริงกิตมั้ย? เดินถามทั่วเลย ดีอ่ะ มีให้แลกด้วย


เท่าที่อ่านรีวิวมาจอดที่หาดใหญ่จะนานหน่อยเพื่อถอดโบกี้ของรถไฟออกบางส่วน (หรือต่อนี่แหละ) รถไฟจะกระตุกตลอดเวลา อันนี้รายละเอียดไม่แน่ใจ google เลยจ้า (ฉันนี่มาแบบไม่มีสาระ ไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าเลย)


10.30 น. ตรวจคนเข้าเมืองที่ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา อำเภอที่ทางด้านทิศใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย ใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว ขนสัมภาระทุกอย่างเพื่อตรวจคนเข้าเมืองค่ะ ส่วนถุงขนมจองที่ไว้ กลัวมีคนมานั่งแทน แหะๆ


ก็ไม่มีอะไรมาก กรอกแบบฟอร์ม ตรวจพาสปอร์ต สแกนนิ้วชี้ 2 นิ้ว สแกนกระเป๋า แล้วก็ขึ้นรถไฟโลด ข้างบนเก็บเตียงหมดแล้ว เจอผู้ร่วมทางละ เมื่อเช้าปีนบันไดลงมาเกือบเหยียบหัวเค้า ซอรี่แล้วซอรี่อีก


เป็นผู้ชาย อายุเยอะละ คนจีน ผอมๆ ไม่มองหน้าเราเลย ก้มอ่านแต่ตำราจีนของนางอย่างเดียว ชะนีสแกนแล้วว่าไม่หล่อ ปล่อยผ่านค่ะ!! 55555


11.00 น.ตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็เดินทางต่อกันเลย ถ่ายวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ซักพักก็จะเริ่มเห็นภูเขาที่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนภูเขาบ้านเราละ


14.10 น. ถึงแล้วสถานีบัตเตรอ์เวอร์ธ ปิดอินเตอร์เน็ต ปรับเวลาให้เร็วกว่าไทย 1 ชม. จากนี้ไปต้องใช้ชีวิตคนเดียว เดินคนเดียว ทำอะไรคนเดียวในต่างแดนแล้ว ห้ามใช้ภาษาไทย ปฏิบัติ!!! แล้วก็โก๊ะกังหาท่าเรือ FERI เพื่อข้ามไปเกาะปีนัง เดินๆก็งงๆทิศไหนเป็นทิศไหนหาไม่เจอ ดีที่เจอ จนท.บอกทางให้ ไกลเอาเรื่องนะกว่าจะเดินถึง


ถ่ายบนอาคาร มองลงไปเห็นรางรถไฟซะหน่อย


เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ อย่าต้อนรับเราด้วยภาษาแบบนี้ เราดูเป็นแต่รูป


แหะๆ ถึงละ


ชมวิวแถวท่าเรือก่อนออก


ค่าเรือ 1.2RM จ่ายขาไป ขากลับไม่ต้อง มีที่ให้แลกเหรียญด้านหน้าแล้วก็หย่อนเหรียญลงไปคล้ายๆรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเรา


15.40 น.เรือข้ามฟากออก อากาศดี ลมเย็น อ่อ...ช่วงที่เรามาก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ยังมีข่าวเรื่องควันไฟป่าอยู่เลยด้วย แต่ก็ตัดสินใจมา เพราะหาโอกาสที่จะได้นั่งบัตเตอร์เวอร์ธไม่ได้แล้ว กลัวๆอยู่เหมือนกันว่าสถานการณ์ต้องรุนแรงแน่ มโนต่างๆนานา แต่เอาเข้าจริงๆ อากาศปกติมาก ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ไม่มีใครใส่ผ้าปิดปากเลย แต่ท้องฟ้าจะไม่เห็นเมฆมากเท่าไหร่ เหมือนควันอยู่ข้างบนหมด ไม่ลงมาเลย สบายล่ะคราวนี้


ไกลๆนู่นเห็นมั้ย ตึกสูงที่สุดของปีนัง komtar ถ้าหลงก็ให้มาเริ่มต้นตึกนี้ (แต่บางทีเราก็ว่ามันไม่จริง)


เมื่อเรือใกล้ถึงฝั่งปีนัง สังเกตง่ายๆเลยจะเห็นเสาสีดำพวกนี้


16.00 น.ถึงฝั่งแล้ว จอร์จทาวน์ ปีนัง มาเลเซีย แต่ก็ต้องเดินอีก เดินอีกไกล สายเดินอย่ายอมแพ้


ถึงทางออกปุ๊บยืนงงเลยจ้า ไปทางไหนต่อ รถเมล์เต็มไปหมด จะเดินหรือจะขึ้นรถ แผนที่ในมือก็ไม่มี นี่แหละนะไม่เตรียมความพร้อม นี่แหละนะรสชาติของชีวิต ฮือๆๆ เย็นมากแล้ว ต้องไปเช็คอิน จะไปที่พักยังไงอ่ะ เอายังงายยยยยยย แล้ว...... ชะนีก็ตัดสินใจเลี้ยวขวา


แผนที่อยู่ที่ปาก เอาว่ะ เห็นใครต่อใครบอกไปไหนไม่ถูกให้ไปเริ่มที่ตึก komtar ก่อน อย่างน้อยก็มีเอกสารจองห้องพักผ่านอินเตอร์เน็ตนี่แหละ ที่มีที่อยู่ของที่พัก ไปคอมต้าให้ได้ก่อนทีนี้ เดินเงอะงะไปถามเด็กนักเรียน เด็กทำหน้าแบบเอือมป้าจัง ชี้ไปที่ จนท.แล้วบอก asks them ก็ได้...เค้าผิดเองที่ถามเธอ ไปถามเจ้าหน้าที่บอก CAT ไอ้เราก็งง ยังพูดย้ำอีก ทีนี้เขียนลงกระดาษเลยจ้า C-A-T อะไรวะ? แคท? อ๋อ....นึกออกแล้ววววว (เคยอ่านเจอ) รถฟรี!!!! thanks ค่ะ แล้วเดินไปอีกฝั่งเพื่อรอขึ้นรถฟรี นี่สมกับเป็นประเทศมุสลิมที่มีแต่แมวจริงๆเลยเนาะ ขนาดรถบัสยังเป็น CAT เลย


ระบบขนส่งที่นี่ดีกว่าที่บ้านเราเหมือนที่คนอื่นบอกจริง ชอบตรงที่ให้ขึ้นประตูหน้าและลงประตูหลัง จะได้เป็นระเบียบ พอถ้าใครไปรอขึ้นประตูหลังปุ๊บ จะถูกมองแบบ...อะไรอ่ะคนนี้ ไม่รู้เรื่องเล้ยยยยย


อีกหนึ่งอย่างที่คนขึ้นรถเมล์ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราคือเค้าจะไม่ค่อยนั่งกัน บางทีที่นั่งเหลือ แต่เค้าก็ยืนกันเต็มเลยอ่ะ อาจเป็นเพราะรถไม่ติด ระยะทางสั้น หรือแอร์เย็น เราลุกให้คนแก่นั่ง แกก็ยังไม่นั่ง เออดีอ่ะ เป็นบ้านเราสิ แย่งที่นั่งกันแทบจะตบกันเลย


นั่งรถฟรีไปก็มองหาแหล่งท่องเที่ยวที่พอจะนั่งรถฟรีมาแวะได้ ออกแนวงก กะนั่งรถฟรีตลอด สักพักเราก็มาถึง komtar


ถึงแล้ว แล้วไงต่อ สภาพเหมือนจะหลงอีกแล้วนะ แผนที่ไม่มี ปากนี่แหละ ถามทุกคน พ่อค้า แม่ค้า คนเก็บขยะ รปภ. ตำรวจ ถามๆๆ เดินไปเรื่อยๆ ดีที่จองห้องผ่านเว็บมาก่อน ปริ้นเอกสารการจองมาเรียบร้อย มีที่อยู่และเบอร์ให้ ยังไม่โทรแต่มีแค่ที่อยู่ก็น่าจะใช้ได้แล้ว ไม่เปิดใช้เน็ต (เปลือง) คิดว่ายังไม่ค่อยจำเป็น เพราะที่พักมี wifi แต่ถ้าใครอยากเปิดซิมที่นี่ก็ตึก komtar นี่แหละ เป็นห้างสรรพสินค้า ชั้นล่างซิมเพียบ!!!


17.13 น.เดินจนล้า เวลาก็เย็นลงทุกที ยังไม่ได้เที่ยวที่ไหนเลย จะหมดวันแล้ว นี่ชั้นต้องเสียเวลาไปกับการหลงทางจริงๆเหลอ ในที่สุด เราก็ ถึงแล้ววววววว ที่พัก Muntri House


อยากหนีความวุ่นวายในเมืองกรุง อยากเจอคนไม่รู้จัก เลยหนีเที่ยวคนเดียว นอกจากแบคแพคขึ้นรถไฟข้ามประเทศ ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาเที่ยวคนเดียวแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ อยากรู้จักคนแปลกหน้าก็ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าสิ เพราะฉะนั้น ห้องพักที่เราเลือกจึงเป็นห้อง Female Dorm จะนอนห้อง mixed อาจจะโหดไป ชะนีโก๊ะกังมาคนเดียว ครั้งแรกเหมือนกันที่จะแบคแพคมานอนกับคนแปลกหน้า จะทำตัวยังไง จะเจอคนชาติไหน จะคุยยังไง ของจะหายมั้ย คิดสารพัด


เช็คอิน ก็จะเก็บค่าเซอร์วิสอีก 50 เซนต์ หรือ 5 บาท ค่ามัดจำกุญแจห้อง 10RM (100 บาท) จะคืนให้หลังจากเช็คเอาท์ บรรยากาศที่พักก็เหมือนบ้านคนปกติ ตึกแถวติดๆๆกันหมดเนี่ยก็ทำเป็นเกสเฮาท์หมดเลย นักท่องเที่ยวเยอะ ข้างในมืดๆอึมครึมหน่อย ถ่ายรูปมาแสงอาจไม่ค่อยพอ ห้องแบบที่เราเลือกแค่คืนละ 196 บาท(มีเศษเป็นสตางค์เท่าไหร่ไม่แน่ใจจำไม่ได้)


อันนี้บรรยากาศด้านนอก มีจักยานให้เช่าด้วย แต่ไม่ได้ถามว่าเท่าไหร่ นี่ก็สะอาดโอเคเลย เหมือนอยู่บ้าน


ราคาเบียร์ตรงเคาท์เตอร์นี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ


ตอนเค้าพาไปดูห้องนี่อย่างตื่นเต้น ไม่ได้ตื่นเต้นห้อง แต่ตื่นเต้นว่ารูมเมทจะเป็นใคร


พอเปิดห้องปุ๊บ!! ตะลึงในความสะอาดก่อน โอยยยย...ดีอ่ะ ราคาไม่ถึง 200 บาท แต่ห้องโอเคมากอ่ะ ห้องน้ำอยู่ข้างนอก แยกห้องอาบน้ำกับห้องส้วม ใช้ร่วมกัน แต่สะอาดสะอ้าน (อันนี้ไม่ได้ถ่ายมา) ห้องไม่มีหน้าต่าง แต่รู้สึกไม่อึดอัดนะ


มาถึงแล้วก็ต้องสร้างแลนด์มาร์ค


ใช้ 3 รู


พักผ่อน เก็บของแล้วเราก็เดินเท้าไป komtar ก่อนออกมาก็ติดแผนที่มาด้วย ที่พักมีให้ฟรีค่ะ


เดินไปหลงไป มาเป็นคู่ก็ช่วยกันดูทางกระหนุงกระหนิง


ตัดภาพมาที่ชะนีค่ะ! อยู่คนเดียว อยู่ลำพัง หว่าเว้ หลงเอง หลงลำพัง ว้าเหว่


ที่แรกที่จะไปทั้งๆที่คิดว่าไม่เปิดให้เข้าแล้วแน่นอน แต่ยังไงก็จะไปให้ได้ เห็นเจ้าแม่กวนอิมนิดเดียวก็ยังดี อยากเห็นแค่นี้ พรุ่งนี้คงไปที่อื่น ไปเวลานี้แหละ ไปถึงเราก็รอรถเมล์สาย 204 ค่ารถ 2RM ไม่มีกระเป๋ารถเมล์ พอขึ้นรถก็บอกคนขับว่าไปไหน เค้าจะบอกราคา เราหยอดเงินปุ๊บ เค้าก็จะฉีกตั๋วให้ พยายามย้ำกับคนขับถึงแล้วบอกด้วยนะ เพราะรู้สึกทางไกลมากอ่ะ คนเริ่มลงจากรถหมดแล้ว ฮือๆ เรานั่งเลยรึเปล่า


ในที่สุดก็ถึง ถึงแค่ข้างล่าง เพราะเราต้องเดินขึ้นไปอีก


ร้านขายของก็เริ่มปิดหมดแล้ว เอาไงล่ะ วัดอยู่นู่นเลยนะ


เอาจริงๆนะ มาถึงตรงนี้ ถ้ามากับเพื่อน เพื่อนชวนกลับแล้ว แต่เรา....ถอยซะที่ไหน เดินขึ้นเขาตอนเย็นนี่แหละ เดินอยู่คนเดียวเลย มีมอเตอร์ไซค์ชาวบ้าน มีนักปั่นจักรยานปั่นสวนไปมาเป็นเพื่อนบ้างก็ยังดี สักพักเจอคุณพี่คนนี้ก็ถาม เค้าก็บอกทางให้ แล้วก็ยิ้มๆ ประมาณว่าเธอจะไหวมั้ยเนี่ย แรกๆก็แอบกลัวนะ จะโดนฆ่าหมกป่ารึเปล่าวะ หน้าตาแบบแขกคล้ำขนาดนี้


ความจริงเค้าจะมีลิฟท์ให้ขึ้น แป๊บเดียวถึง แต่มาเวลานี้ปิดหมดแล้ว เดินขึ้นอย่างเดียว อ้อมมากด้วย มีแผนที่ในมือ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ออกนอกเมืองมาไกล แผนที่ไม่ถึง เดินมาเรื่อยๆจนถึงทางเข้า น้ำตาจะไหล


ยังๆ ไม่ใช่แค่นั้น เดินขึ้นไปอีก เกือบถอดใจหลายครั้ง แต่ใจมาก่อนล้วนๆ


เจอตอนค่ำๆนี่สะดุ้งเลยนะ กรี้ดสามบ้านแปดบ้าน


ถึงแล้ว เห็นแล้ว เห็นแค่นี้ก็ยังดี Kek Lok Si Temple ยืนไหว้ข้างนอก เวลาเปิด 08.30-17.30 น. ปิดแล้ว แต่ถ่ายรูปข้างในก็คงไม่สวยเท่าไหร่ ตอนนี้บูรณะอยู่ เอาไว้มาใหม่เนาะ เห็นในเว็บยิ่งตอนกลางคืน เปิดไฟเต็มเลย ทั่วทั้งเขา ยิ่งตอนมีเทศกาลด้วย สวยมาก เจ้าแม่กวนอิมน่าจะสูงประมาณตึก 10 ชั้น


ยืนแค่ประตูฐาน จากผู้หญิงตัวใหญ่ ดูตัวเล็กลงไปเลย


ครั้งนี้เราไม่ได้ไป Penang Hill นะคะ บอกแล้วไม่เที่ยวตามซิกเนเจอร์ เที่ยวตามใจตัวเอง และควันก็แลดูยังคลุมเมืองอยู่นะ ขึ้นไปก็คงไม่เห็นอะไร ไม่คุ้ม ตั้ง 300 บาทแน่ะ ขึ้นมาถึงวัดแล้ว ดูวิวตรงนี้ก็ได้ เหมือนกันเลย เดินเหนื่อยๆมาเห็นวิวแล้วชื่นใจ


ถึงเวลาเดินลงแล้วสินะ หอบค่ะ


ฟังเสียงนกร้อง ฟังเสียงน้ำตกไหล มองลงไปในป่า ป่าชื้นเลยอ่ะ เริ่มกลัวละ ลงมานี่คือตอน 2 ทุ่มนะ สองทุ่มของที่นี่แต่ยังเหมือน 6 โมงเย็นบ้านเรา เวลาเร็วมาก แต่พระอาทิตย์ช้า


ตอนเดินขึ้นรู้สึกไกลมาก พอเดินลงงี้แป๊บเดียว แต่หอบ อิจฉาคนปั่นจักรยาน ถ้ามีนะ ก็คงปั่นขึ้นไปเขาสูงกว่านี้ เห็นนักปั่น ปั่นกันไปอีกทาง


หิวน้ำมาก ขวดน้ำก็ลืมไว้บนรถไฟ ถ้าไม่ลืมก็ไม่ต้องซื้อแล้ว กรอกน้ำที่เกสเฮาส์ ราคาน้ำที่นี่ค่อนข้างแพง อาจเพราะอยู่บนเกาะรึเปล่าไม่รู้ เดินลงมาเจอเซเว่น ดั่งสวรรค์ประทาน ซื้อน้ำขวดใหญ่ 1 ลิตร ราคา 2.95RM


แป๊บๆ มืดเร็วมาก ตกใจเหมือนกัน เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลย รอรถเมล์ถึง 3 ทุ่มก็ไม่มา จะร้องไห้ กลัวรถหมด ป้ายรถเมล์ก็ไม่มี อยู่บนเขาด้วย ฮือๆๆๆๆๆ ถามทางเค้าตลอดทาง มาเจอบ้านอาม่าทำความสะอาดหน้าบ้านอยู่ แต่นางไม่พูดภาษาอังกฤษ ขนมากันทั้งบ้านเลยมาช่วยบอกทางว่าให้รอรถเมล์แถวไหน และก็ได้คำตอบ ฮ่อๆ After Van After Van ประทับใจตรงนี้แหละ เค้าช่วยเราสุดตัว เห็นเราเป็นคนต่างถิ่น เงอะงะ หน้าเสียมาก กลัวรถเมล์หมด ถนนโล่งมาก เหมือนต่างจังหวัดเลย บ้านหลายหลังนี่ปิดหมดแล้ว


21.21 น.รถเมล์มากระโดดขึ้นเลยจ้า สาย 204 บอกไป komtar คนขับบอกไม่ใช่ ให้นั่ง 201 กระโดดลงแทบไม่ทัน เห้ย! ไม่ได้ขึ้นคันเดิมเหลอ งงอ่ะ จะร้องไห้ จะมีรถมั้ย มืดแล้วอ่ะ ต้องนั่งไปลง komtar แล้วต้องเดินเข้าที่พักอีกไกลเลยนะ แต่ในที่สุดรถก็มา เฮ้อ!! น้ำตาจะไหล ค่ารถเมล์ขากลับ 2RM


ไม่ใช่แค่นั้น นั่งรถผิดจ้า นั่งมาสุดสายมาท่ารถ JETI ซะงั้น ท่ารถที่เราออกมาจากท่าเรือแล้วขึ้นรถฟรี หลงสิคะหลง นั่งรถฟรีกลับไป komtar ใหม่ วนอยู่แค่เนี้ยะ


มาถึงซะมืดเลย ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ หิวก็หิว อยากกินร้านข้างทางก็ปิดหลบฝนไปหมดแล้ว


ตอนแรกจะแวะเซเว่นหาซื้อขนมเข้าไปกินแล้ว ถึงซอยที่พักแล้วด้วย แต่ตาเหลือบไปเห็นป้ายไฟคล้ายร้านอาหารใกล้ๆ ห่างกันประมาณ 50 ม. อ่ะ...เดินไปดูซะหน่อย


เห้ยดีอ่ะ...กินตรงนี้แหละ อาหารก็แพงอยู่ แต่ไม่มาก มีนักร้องร้องเพลงให้ฟังด้วย ร้องเพราะเลยแหละ พวกเพลงสากลไรงี้ ร้องบนเวทีเลย เป็นแบบคล้ายๆศูนย์อาหาร เป็นเต๊นท์


ร้านอาหารเยอะมาก มีร้านอาหารไทยด้วย แม่ค้านี่พูดไทยจ้อเลย แต่แบบ...แพงอ่ะ ข้าวน้ำพริกเป็นชุดก็ 80-100 บาท รู้สึกกลับไปกินที่ไทยก็ได้นะ มานี่ก็กินอาหารบ้านเค้าก็ได้ แต่ดูจะกินไม่ได้ซักอย่าง เพราะช่วงนี้ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่เมื่อจำเป็นก็ต้องกิน หน้าร้านส่วนใหญ่ก็มีรูปภาพเป็นเมนู อยากกินอันไหนก็ชี้ๆเอา เลือกข้าวจานนึง มัสมั่นไก่ แล้วขนมปังเป็นก้อนกลมๆ (30 บาทเอง) คล้ายปาท่องโก๋ แต่ไม่อมน้ำมันเลย อร่อยมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นไส้กรอกด้วย แต่ราคานี้ไม่น่าจะใช่ มัสมั่นก็ถึงเครื่อง อร่อยมากหรือว่าหิว(สงสัยอย่างหลัง) ค่าอาหารโดนไป 10.9RM ค่าน้ำเปล่า 1 ชวด 1.6RM (รวมแล้ว 125 บาท) อิ่มมาก อิ่มที่สุด แล้วก็กลับเข้าห้องพัก


เฮ้!! ไม่มีรูมเมท!! สงสัยช่วงโลวซีซั่นและคนคงกลัวหมอกควัน เลยไม่ค่อยมีใครมาเที่ยว สบายเลย ห้องนี้เป็นของเรา เปิดไฟนอนจ้า วางแผนเดินทางต่อพรุ่งนี้ ตั้งนาฬิกาปลุก 6 โมงเช้า แต่เวลานอนตี 1 ไว้พรุ่งนี้ออกแต่เช้าจะได้ไม่ค่อยร้อน ราตรีสวัสดิ์ ^^


Day 3


ตื่น 6 โมง!! ตื่นมาทำไมแต่เช้าๆๆๆๆๆ กะออกไปสูดอากาศตอนเช้าที่นี่ไง จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวชิลล์ๆ แล้วไปเปิดประตู 07.00 น.


ร้องไห้หนักมาก ประตูเปิดไม่ได้ แต่ที่สำคัญที่หนักไปกว่านั้นคือ มองออกไปข้างนอก มืดมาก เห้ย! นี่มัน 7 โมงเช้านะ สว่างแล้ว ทำไมมืดเหมือนตี 5 เลย แล้วก็ได้ยินเสียงอะซาน(เสียงสวดเตรียมละหมาด)มาแต่ไกล เอ่อ....ไม่ไปก็ได้เนาะ สรุป!! ปรับตัวกับเวลาที่นี่ไม่ได้จ้า นี่ขนาดเร็วไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง ชะนีเลยคอตกเข้าห้อง ไปงีบต่อ


เผลอหลับ สะดุ้งตื่นมา 09.00 น. ได้เวลาอาหารเช้าพอดี ทานได้ตั้งแต่ 08.00-10.00 น.


ราคาห้องถูกขนาดนี้ มีอาหารเช้าแค่นี้ดีแค่ไหนแล้ว ดีกว่าไม่มี อาหารเช้าที่นี่ก็มี ชา กาแฟ ขนมปังปิ้ง แอ๊ปเปิ้ล ตามอัธยาศัย


อิ่มแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูป แล้วเดี๋ยวกลับเข้ามาเช็คเอาท์ ใช่ค่ะ!! เช็คเอาท์


เก็บภาพบรรยากาศ บ้านเมืองเค้าซะหน่อย


สามล้อถีบนี่เรียกแขกเยอะหน่อย โดยเฉพาะถ้าเห็นต่างชาติ บางทีเซ้าซี้มาก แต่บ้านเรา มากกว่าเยอะ เราก็มั่นหน้ากันไป ชั้นไม่ง้อ ชั้นไปถูก แต่ความจริง หลง!!


อ่ะ..หลงอีกละ


ชอบอ่ะ...ชอบมากเลยแหละ มันไม่วุ่นวาย



ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าว เลยหันไปมอง เด็กๆยังเปิดเรียนอยู่นะ ไม่ได้ปิดเพราะควันไฟป่า


10.30 น.กลับที่พัก นั่งเล่นสักพักแล้วเก็บของ


11.30 น. เช็คเอาท์ ไปที่พักใหม่ คืออันที่จริงตั้งใจจองไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าจะพักแต่ละที่ไม่ซ้ำกัน


12.00 น. เช็คอินที่นี่พอดี Kimberley House ที่นี่คนบอกว่าดีเยอะนะ แต่เราว่าไม่อ่ะ เอาจริงๆ ไม่โลกสวยค่ะงานนี้ ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ มีชากาแฟให้ แต่ไม่มีอาหารเช้า คนมาพักเยอะเพราะน่าจะเป็นจุดที่ใกล้สถานที่สำคัญเช่นตลาดและ Komtar ที่นี่คนเลยค่อนข้างพลุกพล่าน จองห้องรวมเหมือนเดิม เข้าไปก็ไม่มีรูมเมทอีกแล้ว คิดในใจว่าจองห้องรวม ใจคอจะให้นอนคนเดียวทั้ง 2 คืนเลยเหลอ 5555 ออกแนวสังคมรังเกียจรึเปล่า รีวิวนิดนึงนะ มืด กล้องถ่ายมาไม่ชัดนะ


สร้างแลนด์มาร์ค ใช้ 2 รูนะ


13.00 น. แล้วก็ออกไปตามหา street arts ต่อ ความจริงอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่มๆหาไม่ยากนะ แต่ก็ถ่ายมาไม่ครบอยู่ดี เพราะมัวแต่เดินดูอย่างอื่น ทั้ง street arts ทั้งที่เป็นลวดเหล็กดัดจะมีอยู่ให้เห็นทุกมุมของเมืองจริงๆ


รูปเด็กผู้หญิงคนนี้ ถ้าพักที่ Muntri House เวลาเปิดประตูออกมาให้เลี้ยวซ้ายมา 50 ม. จะเจอวาดอยู่ตรงตึกฝั่งตรงข้ามนะ


คุณลุงพายเรือนี่เหมือนกัน เดินตามทางต่อจากรูปเด็กผู้หญิงมาประมาณ 100 ม. ก็เจอ คิดว่าเป็นรูปที่สมบูรณ์และสีสวยที่สุดกว่ารูปอื่นแล้ว เพราะหลบมุมแดด รูปอื่นทั้งแดดเลีย ทั้งคนมือบอนไปแกะ ไปแงะ อันนี้ไม่ดีเลย


รูปนี้อยู่ในหลืบซอยหน่อย เดินหาอยู่ ชาวบ้านใจดีบอก บรูซลี! บรูซลี! แล้วชี้บอกทางเราโดยที่เราไม่ต้องถามเลย


ถ้าถ่ายมุมกว้างจะเป็นแบบนี้ เอ่อ...โลกไม่สวยอย่างที่คิดนะ อยู่เขตก่อสร้างเลยจ้า ต้องรีบมาถ่ายนะ เพราะรูปนี้ใกล้จะเลือนลางมากที่สุดกว่ารูปอื่นแล้ว


เนื่องจากเป็นเมืองมุสลิม ถิ่นมีแต่แมว ทาสแมวน่าจะชอบ เพราะ street arts รูปสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแมว คลับคล้ายว่าเหมือนวาดเพื่อรณรงค์เรื่องสัตว์เร่ร่อนประมาณนี้


ถ่ายคุณแมวตัวใหญ่ข้างบนแล้วอย่าลืมถ่ายคุณหนูตัวนี้ด้วย หลบคุณแมวอยู่มุมตึก


มีทั้ง street arts และ street arts อยาก Art


ตอนแรกก็ไม่เชื่อว่าลวดเหล็กดัด เพราะเหมือนรูปวาดมากกว่า มาเห็นด้วยตาถึงเชื่อ


เห้ยนี่มาเหล็กแข็งโป๊กเลยแกร เค้าทำได้ไง เก่งอ่ะ ขยันทำด้วย พวกเหล็กดัดพวกนี้เดินไปมุมไหนก็เจอ เยอะหว่า street arts อีก


แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ลวดดัดธรรมดา ภายใต้รูปนั้นยังเล่าผ่านถึงวิถีชีวิตของผู้คนในปีนังอีกด้วย เช่นจักรยานถีบสามล้อให้นักท่องเที่ยวนั่งเล่น ก็ยังมีให้เห็นอยู่


อีก 1 ภาพที่มีความสำคัญซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของบุคคลสำคัญในปีนัง บ้านเกิดของ Choo เด็กชายผู้ประดิษฐ์รองเท้า ให้มีดีไซน์ที่สวยงาม จนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ในนามของแบรนด์ที่มีชื่อว่า "๋Jimmy Choo"


ลวดเหล็กดัดนอกจากกลางวันจะสวยงามแล้ว กลางคืนยังเปิดไฟเพื่อเพิ่มความสวยงามและยังสามารถถ่ายรูปได้อีกด้วย


คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่หลักๆแล้วก็มาตามล่า ถ่ายรูปกับ street arts กัน แต่นอกจากตึกรามบ้านช่องสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่เราชอบ ที่นี่ยังเป็นอีกที่นึงที่เราชอบมาก


Chew Jetty หมู่บ้านชาวประมง


ที่นี่สงบ เงียบ และได้บรรยากาศเก่าๆดีอ่ะ หนุ่มสาวก็จะออกหาปลา ส่วนอาม่าอาอึ้มก็จะอยู่บ้าน ดูทีวี ฟังเพลงเป็นภาษาจีน ใช้ชีวิตเรียบง่าย อย่างชิลล์ นี่สินะ slow life ของจริง


นี่เป็น street arts อีกจุดที่อยู่ในแผนที่ เรียกว่าเป็นจุดแรกเลย แต่วาดบนไม้ โดนแดด โดนฝน ก็ไปหมดแล้ว


มีแต่บ้านไม้สีลูกกวาด


สภากาแฟตอนเช้ารึเปล่า?? แก๊งค์เก้าอี้สีลูกกวาดไรงี้


สร้อยคอน้องหมายังฮิป


แมวที่หมู่บ้านชาวประมง


มองทะเลไปทางนู้น นี่แหละควันไฟป่าที่ปกคลุม แต่ไม่มีกลิ่น ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ไม่มีใครต้องใส่ผ้าปิดปากด้วย ใช้ชีวิตปกติ


ส่วนใหญ่หน้าบ้านแต่ละคนก็จะเปิดเป็นสถานที่ขายของที่ระลึก ราคาก็แพงอยู่นะ บางอันชิ้นเล็กนิดเดียวเป็นร้อยเลย แต่ของก็เหมือนๆบ้านเรา ซื้อบ้านเราก็ได้


มาสะดุดกับร้านนี้ที่อาม่าทำหน้าตาน่าสงสารอ่ะ เห็นคนมุง แกนั่งเฝ้าหน้าร้านให้ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เฝ้าให้เวลาคนหยิบ พอจะจ่ายเงินก็เรียกลูกหลานในบ้านออกมาช่วยบอกว่าราคาเท่าไหร่ สมุดโน้ตลาย street arts ราคาไม่แพงเลย เล่มเล็ก 1RM เล่มใหญ่ 1.5RM แลดูเป็นของฝากจากที่นี่ที่หาในไทยไม่ได้ เลยซื้อติดไม้ติดมือมานิดหน่อย


14.00 น. เริ่มหิวแล้ว หาอะไรกินหน้าหมู่บ้านชาวประมงนี่แหละ กินง่าย อยู่ง่าย นั่งกินร้านข้างทางกับอาแปะ


อาม่าอาแปะนั่งล้อม สั่งอาหารก็ชี้ๆรูป เพราะเค้าไม่พูดอังกฤษกันเลย เออง่ายดี ส่วนใหญ่อยากกินอะไรก็ชี้เลยนะ หลายร้านจะมีรูปอาหารให้ดู ได้ Mee Hok Kien มา 1 ชาม 3.5RM กับน้ำผลไม้ เป็นสัปปะรดยัดใส้เงาะ อร่อยอ่ะ อร่อยเลย 1.6RM


ใกล้เย็นแล้ว เดินไป Komtar เพื่อไปเริ่มต้นหาทางไปดู gallary ernest zacharevic ศิลปินที่เป็นคนวาดรูป street arts ในปีนัง หลงทาง ถามทางอยู่นาน หายากเหมือนกันนะ ต้องเดินมาอีกฝั่งของตึก เป็น gallary เล็กๆ มีคาเฟ่ นั่งเล่นชิลล์ๆ ที่นี่เข้าฟรีนะ


เด็กวัยรุ่นมาเลย์บางกลุ่มก็จะมารวมตัวเล่นบอร์ดกันที่นี่


ภาพสไตล์ street arts ในนี้ก็มีนะ


แป๊บๆ 5 โมงแล้ว เร็วมาก ตอนแรกว่าจะไป penang hill นะ แต่อย่างที่บอก หมอกควันลอยข้างบนเยอะ ไปดูคงไม่มีอะไร ค่าดูตั้ง 300 บาทแน่ะ เลยกลับไปนั่งรถเมล์ฟรี แล้วไปลงที่สวนสาธารณะริมทะเลปีนัง


เห็นป้าย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ esplanade park อะไรนี่แหละ ถ้าข้อมูลผิดขออภัย


ที่นี่เป็นคล้ายกับป้อมปราการ ที่มีพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่ เหมือนบ้านเราด้วย ค่าเข้าแอบแพงไปนิด 100-200 บาท แต่แอบส่องดู ไม่ค่อยมีอะไร ปืนบ้านเราใหญ่กว่าเยอะ อ่อ...เคยดูรายการท่องเที่ยวรายการนึงบอกว่าปืนใหญ่ที่นี่คนจะมาลูบๆ เพื่อขอลูกกันด้วย ที่นี่เลยเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวซะเป็นส่วนใหญ่ เงียบสงบดี ไม่วุ่นวาย


อากาศดี คนไม่พลุกพล่านด้วย กว้างมาก แถมอยู่ริมทะเล แต่ทะเลบ้านเราสวยกว่าเยอะ


ประเทศที่มีประชากรแมวมากกว่าหมา แต่ผอมกว่าบ้านเราไปหน่อย แมวตัวกระจึ๋ง ตัวเล็กจนลงไปเล่นผลุบๆโผล่ๆในรูของท่อระบายน้ำ โผล่มาให้ตกใจเป็นระยะ


หยิ่งนะ ไม่ค่อยให้เราเล่น หรืออีกอย่างอาจจะฟังภาษาเราไม่ออก


แล้วก็ไปแย่งเด็กเล่น


เดินเล่นสักพัก ก็นั่งรถเมล์ฟรีกลับ ฟรีอีกละ ยอมรอ 555555


ไปลงท่ารถ คือหลงยังไงก็หาเรื่องกลับไปลงไม่ท่ารถก็ Komtar อ่ะ แล้วก็เดินมาถ่ายรูปเล่นที่หมู่บ้านชาวประมงอีกแป๊บ เริ่มเย็นแล้ว อากาศไม่ร้อนละ เดินสบาย ตกเย็นตามบ้านเรือนต่างๆก็จะขายของหน้าบ้านตัวเอง ทำของที่ระลึกขาย เล่นดนตรีเปิดหมวก เพลงเปิดหมวกที่นี่ร้องดีนะดี


ชอบลุงคนนี้มาก กอไก่แปดแสนล้านตัวเลย เพลงมิกซ์มันส์มาก แถมตีกลองก็เข้ากัน กึ่งตื๊ดกึ่งโจ๊ะ บอกไม่ถูก ดีอ่ะ คือดีมาก


เดินไปเดินมา หิวอีกละ หมูก็ไม่ค่อยกิน เนื้อก็ไม่ค่อยกิน อาหารที่นี่ก็ไม่ค่อยมีผัก มาคนเดียวแล้วยังเรื่องมากอีก!! จบที่แป้งเหมือนเดิม ตอนเย็นหน้าหมู่บ้านชาวประมงเริ่มขายของเยอะขึ้น มื้อนี้อาหารข้างทาง โดนไปก๋วยเตี๋ยวก็ 4RM เกี๊ยวน้ำก็ 3.5RM แต่โค้กกระป๋องนี่สิ 2.1RM หน้ามืดเลย ที่นี่ อะไรที่เป็นน้ำแพงกว่าบ้านเราทุกอย่างเลย อ่อ...แล้วร้านอาหารที่กินมาทั้งหมดตั้งแต่รีวิวมาอ่ะนะ ส่วนใหญ่ถ้าใครกินเสร็จแล้ว วางช้อนส้อม ดื่มน้ำปุ๊บ เค้าจะเข้ามาเก็บจานเลย คือต่อหน้าเลย แต่เราจะนั่งต่อก็ได้ คือเค้าเคลียร์โต๊ะเกลี้ยงเลย ไอ้เราก็ถือแก้วน้ำแน่น กลัวเค้าเก็บ เห้ย! กินอยู่นะ อาจจะดูเสียมารยาทกับลูกค้า แต่เราว่าดีนะ เหมือนจะกดดันแต่ก็ไม่นะ คือข้างหน้าโต๊ะเราจะไม่รกด้วยไง เออ...กินเสร็จก็รีบลุกดิ่ คนอื่นจะได้นั่งต่อไรงี้


อิ่มๆๆ อิ่มมาก เดินต่อแล้วก็มาเจอ นี่มันที่คนรีวิวเยอะๆนี่นา เป็นไม้ๆ ทาสีตรงปลายไม้ที่ราคาไม่เท่ากัน ให้ยืนกินตรงนั้นเลย แต่อิ่มอ่ะ งั้นไปละ


ชอบบ้านเมืองที่นี่ นอกจากเงียบแล้ว มองไปทางไหนก็ชิโนโปรตุกีสเต็มไปหมด ภูเก็ตมีแค่ไม่กี่ซอย แต่ที่นี่มันมากกว่าภูเก็ตเป็นสิบๆเท่า ไม่ว่าจะอาคาร มัสยิด ศาลเจ้า บวกไปหลายเท่าเลย


ชอบตรงบ้านเมืองเงียบ ไม่วุ่นวาย ใช้ชีวิตเรื่อยๆ ขอให้เป็นแบบนี้ต่อไป อย่าได้มีความทันสมัยมากจนเกินไปมาทำลายได้


ชอบที่เล็กๆน้อยๆก็เก็บรายละเอียดมาทำเป็นงาน art ได้หมด ของเหลือใช้ก็เอามา DIY ได้


รดน้ำต้นไม้ก่อนนะ


ก็ยังนั่งได้อยู่นิ่


อย่าจอดขวางนะ


มีจดหมายมามั้ย?


ประตูหน้าต่างก็อย่าทิ้ง


ในปีนังนี่พิพิธภัณฑ์เยอะมากนะ ค่าเข้าก็ 100-200 บาท ถือว่าแพง เท่าที่ดูรีวิวต่างๆแล้ว ข้างในพิพิธภัณฑ์ไม่ค่อยมีอะไร และตัดเวลาดูพิพิธภัณฑ์ออกไปเพื่อเราจะได้ไปที่อื่นด้วย เลยไม่ได้ไปดูที่ไหน มีพิพิธภัณฑ์กล้องอยู่ในซอยที่พักที่แรก Muntri Street ออกมา 50 ม.เลี้ยวซ้ายเจอเลย ติดกับ Cat Cafe (ซึ่งอันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปดูเหมือนกัน รู้สึกแมวบ้านเราน่ารักกว่า)


พิพิธภัณฑ์กล้อง ข้างล่างถ่ายได้ ฟรี แต่ขึ้นข้างบนต้องเสียตังค์


นี่ก็รูปใบละ 100 บาท เทคนิคการถ่ายรูปให้เราลอยอยู่บนอากาศได้


เดินแป๊บๆก็เริ่มมืด เริ่มเห็นแสงสี


19.00 น. เมื่อยมาก ไม่อยากเดินต่อแล้ว ฟ้าร้องเหมือนฝนกำลังจะตกแล้วด้วย กลับเข้าที่พัก อาบน้ำ นอน แต่คราวนี้เห็นกระเป๋าวางอยู่ 2 เตียง เห้ย! เรามีรูมเมทแล้ว วิญญาณโคนันเข้าสิง น่าจะเป็นคนชาติไหนนะ ส่องอยู่เตียงตัวเองแล้วส่องไปส่องมา เห็นขวดน้ำดื่มตราสิงห์ เห้ย! คนไทย!! หรือไม่อาจเป็นต่างชาติที่ไปเมืองไทยแล้วเลยมาแวะที่ปีนังก็ได้ แต่....มั่นใจ คนไทยชัวร์ มา 2 นาง เปิดแอร์ทิ้งไว้ 18 องศา โอยยยยย....กะฆาตกรรมรูมมชเมทเลยทีเดียว


นอนเล่นโทรศัพท์นานแล้วก็ยังไม่มา เรานอนหันหลังให้ ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ตอนแรกได้ยินเสียงดัง พอเห็นเรานอนแล้วก็ซุบซิบเบาๆกัน พอเราหันไปคุยปุ๊บ "คนไทย!!!" นางก็สตั้นไป 3 วิ มองหน้าเรา โชคดีจัง เจอ backpacker สาวโสด เป็น นศ. ป.โทจาก ม.สงขลาฯ มาธุระส่งเพื่อนชาวเกาหลีชาย(ที่นอนอีกห้อง)มาต่อวีซ่าที่ปีนัง นางเล่าปกตินางจองห้อง mixed ด้วย นับถือเลย ยังไม่กล้าพอจะนอนห้องมิก นางบอกที่ชอบแบคแพคไปนอนห้องรวมเพราะกลัวผี มาที่นี่นางจองห้องมิกเหมือนกัน แต่เจ้าของที่พักเห็นเรามาคนเดียว เลยส่งนางมาอยู่กับเรา (เปลี่ยนห้องให้เฉย สงสัยเห็นเป็นคนไทยเหมือนกัน) ตามประสาสาวโสดเม้าท์เรื่องชอบเดินทางคนเดียว เปลี่ยนกันออกไปดูฝรั่งที่แปรงฟันหน้าห้องน้ำ "แปรงฟันตูดบิดว่ะแก ชั้นว่าเป็น" นางบอก ไปซัดเบียร์มา 3 ขวด 450 ร้องไห้หนักมาก "บอกแล้วภาษีเหล้าที่นี่แพง ไม่ชวน จะได้หาตัวหาร5555" เม้าท์ๆ ยาวเหมือนรู้จักกันมานาน เม้าท์ยาวมากจนเผลอหลับตี 1 ตี 2 ตื่นปุ๊บเม้าท์อีก งัวเงียบอก... "อีลุงห้องข้างๆกรนดังทะลุมาห้องเราเลยแก ดีนะที่เรามานอนห้องนี้" เราก็ดีใจที่เธอมานอนห้องนี้ เจอคอเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนๆกัน คุยกันเพลินจนเผลอหลับไปตี 1 อันนี้ที่เล่ามาหมดนี่ไม่มีภาพประกอบนะ สภาพตอนกลับมา เป็นศพไปละ นอนเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว อ่อ... wifi ที่นี่หลุดบ่อยกว่าที่พักที่แรกนะ ที่แรกดีกว่าเยอะ


Day 4


08.00 น. รูมเมทตื่นก่อน แต่งตัวก่อน ออกไปก่อนอีก ไปเช็คเอาท์ แล้วฝากกระเป๋า แล้วหาอะไรกิน เรางัวเงียตื่นมาบอกลา แล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ออกไปหาอะไรกิน เห็นหลังไวๆ รูมเมทกินติ่มซำร้านข้างๆที่พัก แต่ก่อนหน้านั้นเราเซอร์เวย์มาแล้ว แถวนี้มีตลาดสดตอนเช้า เดินเข้าตลาดเลยจ้า


ที่พักไม่มีอาหารเช้า แต่ น้ำ ชา กาแฟ ฟรี


09.00 น. ไปตลาดกัน


เหมือนบ้านเรานะ แต่ทำไมรู้สึกผักผลไม้แพงมาก


เกี๊ยะไม้นี่ เห็นที่พักที่แรกเค้าเอาไว้ใส่ตอนเข้าห้องน้ำ


คุณพี่คนนี้ขายไก่ไป ร้องเพลงจีนไป (เสียงดังมาก)


มีเหมือนบ้านเรา แต่อันที่จริงก็มีทุกมุมโลก สงสารอ่ะ


เดินวนไปวนมา ไม่รู้จะกินอะไร มีแต่บะหมี่ ก็เดินเข้ามาเจอแต่คนจีน ฝากท้องกับคนจีนอีกแล้วสินะ เข้าร้านมานั่งกับอาแปะ อาม่าละกัน


กินเป็นแค่ไม่กี่อย่างอ่ะเนาะ แต่อร่อยมากเลยอ่ะ โดยเฉพาะกาแฟใส่นม อร่อยมาก แล้วก็หมั่นโถวยัดไส้ขาหมูสามชั้น นี่อร่อยหรือหิว


เนื้อแน่น


มื้อนี้ก็รวมแล้ว 7.5RM


อิ่มแล้วเดินย่อย เข้าไปเก็บของ เช็คเอาท์ 10.30 น. เดินไป Komtar ขึ้นรถฟรีไปท่าเรือเพื่อข้ามเกาะไปขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ


ดูบรรยากาศรอบๆห้างเค้าหน่อยเนาะ ก็ไม่มีอะไรอ่ะ เดินห้างบ้านเราก็ได้


โดนล็อคล้อแน่ๆ


11.00 น. ขึ้นเรือ กลับกันเหอะ ขากลับไม่ต้องเสียค่าเรือ


เอารถข้ามเกาะได้


กำหนดการตามเวลารถไฟออกของเราคือ 13.15 น. นี่ก็รีบมาก่อน กลัวตกรถไฟที่สุด แต่ที่ไหนได้ รอแล้วรออีก เดินพล่าน กลัวตกรถไฟ ไปถามเจ้าหน้าที่ สรุป รถไฟเลทจ้าาาาาา เลทสาหัส


ตอนแรกคิดว่าแค่บ่ายสอง สรุปปาไป 15.00 น. จ้า


และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ถ่ายรูปบริเวณรอบๆสถานีบัตเตอร์เวอร์ธให้ดูกัน ดูดีกว่าบ้านเราเยอะ และอนาคตคงก่อสร้างอะไรๆน่าสนใจอีกเยอะเลย


ลิฟท์ตรงนี้แหละที่เค้าให้เราลงไปต่อท่าเรือข้ามเกาะไปปีนัง


สักพักรถไฟก็มาถึง คนก็ไปออกันเต็มอ่ะ เข้าแถวค่ะเข้าแถว บรรดาอาม่า อาอึ้ม ก็จะเข้าก่อนให้ได้ แต่ยังเข้าไม่ได้ ต้องรอให้คนลงจากรถไฟให้หมดก่อน เพื่อความเป็นระเบียบ


15.17 น. ออกเดินทาง บ๋ายบายปีนัง วันหลังมาใหม่


แต่...เดี๋ยวๆ นี่ไง ที่เราว่าฝรั่งนั่งหรูๆ นี่เป็นขบวนสีเขียว ตามที่คอมเม้นต์ข้างบนให้ข้อมูลมาเลยค่ะ กว่าจะมีโอกาสได้นั่ง เก็บเงินหัวฟูเลยนะนั่น


ขึ้นรถไฟละ คราวนี้ผ้าม่านสีชมพู รูปลักษณ์เปลี่ยน ดูสะอาดกว่าเดิม คนขึ้นก็เยอะกว่าเดิมด้วย เจ้าหน้าที่เห็นเราเดินโก๊ะกังหาที่นั่ง เค้าก็ถาม "เลขอะไรครับ" อร๊ายยยยย คนไทย!!! คือมองหน้ารู้เลยคนไทย เลยทักเราเป็นภาษาไทย ถ้าพูดจีนได้ จะโช้งเช้งแกล้งซะหน่อย เดินไปทางไหนก็มีแต่คนเห็นชัดว่าเราคนไทย สงสัยหน้าไทย


เจอที่นั่งแล้ว เตียงบนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่มีที่ชาร์ตแบต ร้องไห้หนักมาก


15.30 น. จนท.เอาเมนูมาให้ดู ใช่ค่ะ อาหารบนรถไฟที่แพงนักหนา ตอนแรกกะจะปฏิเสธทันที แต่ไหนๆก็มาละ อยากมีโมเม้นต์นั่งกินข้าวบนรถไฟ ชมวิวชิลล์ๆบ้าง ไม่รอช้า สั่งเลย โดย จนท.เชียร์นั่นนี่ให้หลายอย่าง สั่งไป 1 ชุด มีอาหารไก่ผัดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวสวย ผลไม้เป็นแตงโม และเครื่องดื่มมีให้เลือก เป็นโอวัลตินเย็น,ร้อน ชา หรือกาแฟ จ่ายเงินมาเลย์คิด 22RM เงินไทย 170 บาท เราจ่ายเงินไทย แถมยังเชียร์แซนวิชตอนเช้าอีกนะ ชิ้นละ 40 บาท โอย....พอละ ขอบอกว่าขนมเหลือด้วย ขนจากไทยไปปีนังแล้วขนกลับ กินไม่หมด กินข้าวที่นู่นอิ่มทุกอย่าง แทบไม่พึ่งขนมที่ติดไปเลย อาหารทั้งหมดที่เราสั่งได้ 18.00 น.


หลายคนสงสัยว่าเอาโต๊ะกินข้าวจากไหน นี่ค่ะ ใต้เก้าอี้ที่เรานั่งนี่แหละ


นั่งจากบัตเตอร์เวอร์ธมาอีกสองสามสถานีก็ยังเป็นของมาเลย์อยู่นะ มีวัยรุ่นมุสลิมขึ้นมาระหว่างทาง 4 คน ชาย 3 คน หญิง 1 คน คุยภาษาอื่นอีกละ ไม่มาเลย์ก็อินโด ฉันนี่มองตาปริบๆ ฟังไม่รู้เรื่อง น้องผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้หันหน้าหาเราก็ก้มหน้าเล่นโน้ตบุ๊คอย่างเดียวเลย เอาวะ ไม่มีใครสนใจเราเลย ต้องเจอท่าไม้ตายของเราหน่อยแล้ว หลับสิคะ รออะไร!!


17.00 น.เผลอหลับไปได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกน "อะรัว อะรัว" ห๊ะ! อะไรนะ? มีคนมาขายขนมอาลัวเหลอ กำลังอยากกินพอดี แต่เปล่าค่ะ ถึงสถานี ARAU เด็กๆที่ร่วมทางกับเรามาแค่ไม่กี่ป้ายแล้วลงป้ายนี้ นั่งคนเดียวยาวเลยทีนี้


17.30น. ถึงปาดังเบซาร์ เพื่อตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนรู้สึกนานกว่าปกติ เพราะได้ยินลุงคนข้างหลังเหมือนจะขนเหล้ามาด้วย หรือด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ นานเลย เราก็ขึ้นมานั่งรอบนรถไฟ ตอนนั้นเอากระเป๋าลงหมดเหมือนรอบแรก แล้วเอาน้ำวางไว้จองที่ เผื่อใครขึ้นมานั่งแทน ทำทุกอย่างเหมือนตอนเข้ามา แต่ขึ้นรถไฟปุ๊บ จนท.บอก "ลืมบอกไป ไม่ต้องเอากระเป๋าลงก็ได้ครับ" อ่ะอ้าว ก็ไม่รู้นี่นา เอาลงหมดเลย เออ...แล้วสรุปรอบนี้ก็ไม่ต้องผ่านเครื่องสแกนจริงๆด้วย แบกลงเซ็งเลย


ขณะรอ จนท.ก็เอาอาหารที่เราสั่งมาเสิร์ฟ นี่แหละ หน้าตาอาหารบนรถไฟราคาแพง แต่แค่นี้จริงๆ เหมือนเราซื้อเอาบรรยากาศมากกว่านะ เอาน่าสักครั้งในชีวิต อยากมีโมเม้นต์นี้ และในใจคิดอย่างเดียว เปิดเน็ตและปรับเวลาได้เต็มรูปแบบแล้วใช่มั้ย จะได้เล่น


มันฟินเลยแหละ ข้างทางก็เป็นทุ่งนา


18.37 น. รถไฟออก วิ่งมาเรื่อยๆ 19.00 น.ถึงสถานีคลองแงะ จ.สงขลา มีผู้หญิงขึ้นมาบนรถไฟ "ตื่นเต้นจังเลย ไม่มีความรู้สึกแบบนี้มานานละ นั่งรถไฟ" บอกเลย เราก็เหมือนกัน ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้นั่งรถไฟ อ่อ....บัตเตอร์เวอร์ธ ไม่ได้รับแค่คนซื้อตั๋วพันกว่าจากกรุงเทพไปมาเลย์เท่านั้นนะ เพราะยังแวะรับคนอื่นระหว่างทางด้วย อันนี้ต้องสอบถามการรถไฟเองว่ารับที่ไหนบ้าง แต่รูมเมทของเราตอนอยู่ปีนังบอกว่าเวลามาจากหาดใหญ่เข้าปีนังจะนั่งคันนี้ตลอด เพราะสะอาด และบริการดีที่สุดในบรรดารถไฟไทยสายอื่นแล้ว


รถไฟวิ่งมาเรื่อยๆ ได้ยินตลอดทางว่าใครเปิดเพลงลูกทุ่ง ลุกมอง และเดินหา เปิดแต่ก็อต จักรพันธุ์ทั้งอัลบั้ม มีแต่เพลงเร็วๆ เดินไปเจอลุงอ้วนๆคนนึงเปิดจากวิทยุอันเล็กของแก คือเพลงลูกทุ่งสลับกับเสียงปู้นๆของรถไฟอ่ะ คือแบบ...โคตรชิค เพลงก็ดี นั่งเพลินเลย "ทำไมน้องไม่แต่งาน จะอยู่อีกนานเท่าไหร่" ฟังไปกินโอวัลตินเย็นไป อย่างเพลิน รถไฟก็วิ่งมาเรื่อยๆ จนมืด


19.30 น. ถึงหาดใหญ่ ใช่เลย! แน่นอน! แม่ค้าขึ้นมาตะโกนเหมือนเดิม "ชิคเก้น ชิคเก้น"


20.00 น. รถไฟออกจากหาดใหญ่


20.45น. จนท.มาปูเตียงละ พรึ่บ พรึ่บ อย่างรวดเร็ว


21.35น. แวะรับคนที่ไหนซักที่ ไม่รู้เรื่องเลย เพราะนอนข้างบน ได้ยินเสียงเด็กด้วย แต่คนที่นอนเตียงล่างเรา เป็นป้าคนนึงมานอนข้างล่าง

Day 5


08.00 น. ตื่นมาเพราะได้ยินเสียงเด็กวิ่ง จะรำคาญก็ไม่เชิง ดีละที่ปลุกให้ตื่น แต่ก็ยังนอนเล่นบนเตียงอยู่ 11.45 น. จนท.ถึงมาขอเก็บเตียง วิ่งยาวเข้ากรุงเทพแล้ว เห็นสภาพชุมชนรถไฟข้างทาง ที่นี่กรุงเทพ!!


คนลงเกือบหมดละถึงได้ชาร์ต อีกฝั่งนึง


ตอนนี้ก็เข้ากรุงละ จบการเดินทางคนเดียวของเราอีกครั้ง ด้วยการนั่งรถไฟที่สายยาวที่สุด ข้ามประเทศ ใช้เวลานานที่สุด ข้ามแผ่นดิน ข้ามทะเล เพื่อไปปีนัง มันเป็นประสบการณ์ที่จะจดจำไปตลอดไม่มีวันลืม ถามว่าเสียเวลามั้ย ไม่เลย มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ อยากทำ และได้ทำ ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ทำอีกหรือเปล่า กับ 5 วันการเดินทาง ความจริงถ้าซื้อตั๋วเครื่องบิน ราคาก็พอๆกัน หรือถ้าช่วงโปรอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่มันคนละฟีลกันจริงๆ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ได้ลอง และถ้าเป็นไปได้ก็อยากเดินทางแบบนี้อีก ขบวนนี้บริการดี สะอาด และดูปลอดภัยที่สุดแล้ว อยากให้คนไทยได้ลองมานั่งรถไฟไทยเยอะๆ มันไม่ได้แย่เสมอไปเหมือนที่เราคิด แถมครั้งนี้ก็ยังเป็นการจองห้องพัก นอนกับคนแปลกหน้าอีก ประสบการณ์ใหม่ๆ ถ้าไม่ลองทำ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นยังไง ท้ายนี้เก็บภาพภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงมา เผื่อใครยังไม่เคยเดินทางด้วยรถไฟ เดี๋ยวเรามาสรุปค่าใช้จ่ายกันว่าเดินทางครั้งนี้ หมดไปเท่าไหร่


ห้องน้ำสะอาด


ค่าเสียหาย 5 วัน


ค่ารถไฟ 1,120 บาทไป-กลับ 2,240 บาท แต่ จนท.คืนค่าเตียงให้ 20 บาท สรุปรวม 2,220


ค่าห้องพัก 2 ที่ 2 คืน รวมเซอร์วิสฯแล้ว 400 บาท


ค่าอาหารบนรถไฟ รวม ไป-กลับ 220 บาท


ค่ารถเมล์ ค่าเรือค่าฟาก รวม 52 บาท


ค่าอาหารรวม 376 บาท (ทำไมถูก ก็กินแต่แป้ง อิ่มเป็นวัน)


ของที่ระลึก 95 บาท


รวม 3,363 บาท เรียกว่าไม่เน้นกิน ไม่ใช่สายกิน ไปเปิดหูเปิดตาอย่างเดียว ไปคนเดียวก็ดีงี้ อยากกินอะไรก็กินไง


เดี๋ยว! เดี๋ยว! เดี๋ยว! อย่าลืมว่าตอนแลกเงิน เราได้เงินเกินมานะ เกินมา 830 บาท บวกลบแล้วสบายตัวเลย


เนื่องจากกระทู้ตกเร็ว หากใครต้องการพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นไปในเรื่องของการเดินทางด้วยรถไฟมากกว่าอ่ะนะ เข้าไปพูดคุยกันเพิ่มเติมได้ในเพจ "จะเที่ยวคนเดียว Lady Journey" ของเราที่จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวคนเดียว


รายละเอียดเรื่องเที่ยวที่นู่นคงต้องไปสัมผัสกันเอง แต่เรื่องของการเดินทางโดยนั่งรถไฟแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ค่ะ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องเดินทางคนเดียว ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายในการใช้ชีวิตบนรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ บรรยากาศต่างๆ ผู้คน สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ต้องเตรียมตัวก่อนขึ้นบนรถไฟ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้สภาพบ้านเมืองที่นู่นเค้าจะสงบและสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสบ้านเค้าจะสวยและมีเยอะมาก มานั่งคิดถึงบ้านเรา อะไรที่จะสู้เค้าได้น่ะเหลอ วัดไทย! วัดไทยเท่านั้นค่ะ มีเยอะ และสถาปัตยกรรมสวยวิจิตรที่สุดในโลกแล้วที่จะสู้บ้านเค้าได้จริงๆ/center]

See You!


สำหรับผู้หญิงที่รักการท่องเที่ยวคนเดียว เข้าไปคุยกันในเพจ "คนเดียว เที่ยวไปเถอะ" ได้ค่ะ มาแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวกัน

Boe_Stories

 วันพฤหัสที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 01.35 น.

ความคิดเห็น