“รถไฟสายทรานไซบีเรีย" คำๆนี้เข้ามาอยู่ในหัวของผมครั้งแรกจากการดูรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่ง ของ “เรย์ แมคโดนัลด์" และก็ใฝ่ฝันมาตลอดว่าสักวันหนึ่ง เราอยากจะไปสัมผัสกับรถไฟสายนี้บ้าง



ต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่นักเดินทางที่เก่งอะไร และทริปส่วนใหญ่จะออกแนวไปตายเอาดาบหน้า ผมถือคติว่า “อย่ามองปัญหาในการท่องเที่ยวว่าเป็นอุปสรรค แต่จงมองมันว่าเป็นความท้าทาย"



(กระทู้นี้เป็นเพียงแค่กระทู้สร้างแรงบันดาลใจ)



“แม้จะเดินทางในเส้นทางเดียวกัน แต่ประสบการณ์ระหว่างทางย่อมไม่เหมือนกัน ฉะนั้นแล้ว...จงออกไปค้นหาประสบการณ์ระหว่างทางของคุณ ด้วยตัวคุณเอง"



#แท็กทีมเที่ยว



ฝากเพจน้องใหม่สดๆร้อนๆไว้ด้วยครับ จะพยายามทยอยเขียนทริปที่เคยไปมาลงเพจให้ https://www.facebook.com/tackteamjourney/?fref=ts



จากการค้นหาข้อมูลของรถไฟสายนี้แล้ว ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้ว รถไฟนั้นแบ่งออกเป็น3สาย

1.ทรานไซบีเรียน เริ่มรัสเซีย จบรัสเซีย

2.ทรานแมนจูเลียน เริ่มจีน จบรัสเซีย

3.ทรานมองโกเลียน เริ่มจีน ผ่านมองโกเลีย และไปจบที่รัสเซีย

(รูปภาพจาก Google)



ในทริปนี้ผมเดินทางกับเพื่อนอีกหนึ่งคน(ท็อป) ซึ่งช่วงเดินทางนั้นตรงกับช่วงวันสงกรานต์พอดี ทำให้พวกผมมีระยะเวลาราวๆ 9-10 วัน(รวมวันลางานเพิ่ม) หลังจากปรึกษากับท็อปแล้ว ผมมองว่ามันจะเสียเวลาเกินไปถ้าเราจะนั่งรถไฟเต็มสาย “ทรานไซบีเรียน" เพราะเวลาส่วนใหญ่ เราจะต้องไปหมกตัวอยู่แต่บนรถไฟ อีกทั้งพอดูแผนที่แล้ว พวกผมเหลือบไปเห็นประเทศๆหนึ่งที่มีรางรถไฟ1ใน3สายนี้พาดผ่าน ใช่ครับ...ประเทศที่ผมเคยได้ยินมาด้วยว่า “ไม่ต้องใช้วีซ่าสำหรับคนไทย" อ้าววว น่าสนใจขนาดนี้ จะเสียเวลาอยู่ไย


ไปพิชิตรถไฟ “Tran-Mongolian" กัน!!!


หนึ่งทริปสามประเทศ

เส้นทาง

DAY 1.กรุงเทพฯ – ปักกิ่ง

DAY 2.ปักกิ่ง - นั่งรถบัสไปเมืองเอ้อเหลียน(เมืองชายแดนจีน)***

DAY 3.เรียกแท็กซี่ข้ามฝั่งไปมองโกเลีย – เมือง Zamun Ude(เมืองชายแดนมองโกเลีย) - นั่งรถไฟไปเมืองอูลานบาตอร์

DAY 4.อูลานบาตอร์

DAY 5.Teraji National Park***

DAY 6.นั่งรถไฟไปเอียร์คุต

DAY 7.อยู่บนรถไฟ

DAY 8.อยู่บนรถไฟ

DAY 9.เอียร์คุต – ทะเลสาบไบคาล***

DAY 10.เอียร์คุต – กรุงเทพฯ

ปล. พวกที่มี *** เป็นตอนที่แนะนำว่าไม่ควรพลาด



ตั๋วเครื่องบิน

ขาไป ใช้บริการของสายการบิน Shanghai Airlines บินตรงสู่ปักกิ่ง

ขากลับ ใช้บริการของS7 บินตรงจากเอียร์คุต สู่กรุงเทพฯ

ราคาตั๋วไปกลับ อยู่ที่ 16,000 บาท อันนี้แล้วแต่ใครจะจองถูกจองแพง ผมจองล่วงหน้าก่อนบินไม่นาน



วีซ่า

รัสเซียไม่ต้องใช้ มองโกเลียไม่ต้องใช้ จีนต้องใช้แต่ทำง่ายไม่ยุ่งยาก



***ค่าใช้จ่ายทั้งทริป รวมทุกอย่าง หมดไป 29,000 บาท แต่รายละเอียดจำไม่ได้นะครับ เพราะไม่ได้จดไว้ ก็ใช้ๆไป ไม่ได้ประหยัดอะไรมากมาย เหลือกลับมาก็นับๆดู สรุปใช้ไปเท่านี้

รูปเปิดทริป พร้อมลุย!!

ขาไปบินของ China Eastern บินตรงจาก กรุงเทพฯ สู่ เมืองปักกิ่ง ซึ่งจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้ บรรยากาศบนเครื่องถือว่าดีทีเดียวครับ แต่ติดที่ผมหลับไม่ค่อยลง หลับๆตื่นๆทั้งคืน ZZZzzzz….!!!

และรุ่งเช้าอีกวันเราก็มาถึงปักกิ่ง ด้วยความที่เครื่องถึงเช้ามาก ราวๆตี5 ทำให้ผมต้องมานั่งรอรถไฟฟ้าที่จะวิ่งจากสนามบินเข้าสู่ใจกลางเมืองปักกิ่งระหว่างรอเวลารถไฟเปิด ก็เอาเวลาไปล้างหน้าล้างตา เดินเล่นในสนามบิน

การมาเยือนปักกิ่งครั้งนี้ ผมใช้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น ลงเครื่องเช้า ตอนเย็นจะออกเดินทางไปเมืองอื่นต่อทันที มีเวลาอยู่ที่นี่แค่ราวๆ8 ชั่วโมง จุดหมายต่อจากนี้คือเมือง “เอ้อเหลียน" ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของจีนที่ติดกับมองโกเลีย (เรียกว่าเสียค่าวีซ่าเพื่อมาอยู่เพียงแค่ 8 ชั่วโมง รู้สึกขาดทุนนิดๆ 555)



ความรู้สึก

- ปักกิ่งมิได้สกปรกขนาดนั้น

- “พระราชวังต้องห้าม" นี่คือกว้างมาก มากจริงๆ สามารถจัดเป็น Trekking ขนาดย่อมได้เลย

- เป็ดปักกิ่ง ถึงชื่อจะมีคำว่าปักกิ่ง แต่โดยส่วนตัวยืนยันว่าที่ไทยอร่อยกว่าเยอะ


อันนี้เป็นอาคารที่ซื้อตั๋วรถครับ

หน้าตาของตั๋วรถ ราคาคนละ 180 หยวน เป็นรถนอน

หลังจากได้ตั๋วรถแล้ว ยังพอมีเวลาเหลือ ผมกับไอ้ท็อปก็เลยตัดสินใจว่าจะแวะไปเดินเล่นที่ “พระราชวังต้องห้าม" ด้วยความที่สถานีรถบัสไม่มีที่ให้รับฝากกระเป๋า พวกผมจึงต้องเดินแบบมีเป้ติดหลัง บอกเลยว่าหนัก!!!


มาถึงแล้ว พระราชวังต้องห้าม พื้นที่วังนี่ขอบอกเลยว่าใหญ่โตอลังการงานสร้างมากๆ นักท่องเที่ยวจีนก็เยอะมากๆ หาที่ว่างๆถ่ายรูปไม่ได้เลย ติดนักท่องเที่ยวหมด วังเค้ากว้างจริงๆครับ พอเดินเข้าไปแล้ว กว่าจะเดินอ้อมออกมาได้ เดินกันเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว

เดินกันจนเหนื่อย ท้องเริ่มร้อง คุยกับไอ้ท็อปว่า มาถึงปักกิ่งแล้ว ต้องโดนของขึ้นชื่อกันหน่อยไหม แน่นอนคนที่เพิ่งเคยมาจีนอย่างมัน ตอบรับอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่คือของขึ้นชื่อที่ว่า....คือเจ้านี่

เป็ดปักกิ่ง!!!

ถ้าถามผมเรื่องรสชาติ บอกได้เลยครับ ว่ามันไม่อร่อยเลยยยยยยย 5555 แต่อย่าเชื่อลิ้นผมนะครับ มันอาจจะมีร้านอื่นๆที่อร่อยกว่า

จนแล้วจนรอด มันไปต่อไม่ได้จริงๆ คือกินกันแบบไม่ถูกปากสุดๆ ทนไม่ไหวต้องสั่งซี่โครงหมูน้ำแดงมาเพิ่ม ส่วนซี่โครงหมูจานนี้อร่อยอยู่ครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาไปขึ้นรถ นี่คือหน้าตาของรถบัสที่จะใช้โดยสารไปเมืองเอ้อเหลียน เป็นรถนอน บนรถมีหมอน ผ้าห่มให้ พอตกดึกบนรถหนาวเอาเรื่องเลยครับ

คืนนี้หลับสนิทเลยครับ เพราะเดินมาทั้งวัน บวกกับเมื่อคืนบนเครื่องบินก็นอนไม่ค่อยจะหลับเช้าวันต่อมา ราวๆ 6 โมงเช้า รถก็มาถึงเมืองเอ้อเหลียน สภาพเมืองนั้นดูใหญ่โตทีเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าเมืองชายแดนจะเจริญขนาดนี้ และนี่คือบรรยากาศของเมืองเอ้อเหลียน

หลังจากลงรถบัส พร้อมสัมผัสกับอุณหภูมิเกือบ0องศา พวกผมก็รีบพุ่งไปเรียกรถแท็กซี่เพื่อข้ามแดนไปฝั่งมองโกเลีย รถแท็กซี่ที่นี่เค้ารับจ้างขนส่งทั้งคน และสิ่งของข้ามแดนกันเป็นประจำอยู่แล้วครับ ต่อรองราคากันได้ตามความพอใจ แต่ความสนุกของเมืองชายแดนมันมีมากกว่านั้นครับ



พอผมตกลงราคากับพี่คนขับเสร็จปุ๊บ พี่แกก็โอเคๆขึ้นรถเลย ขับออกมาได้สักพัก พี่คนขับแกหันมาบอกเดี๋ยวเค้าขอแวะไปเอาของแปบนึงนะ ผมก็ อ่อ..ได้ครับ ไม่มีปัญหา (เป็นคนมีน้ำใจ)



คราวนี้เฮียแกจัดเต็มเลยครับ ขนทั้งข้าวสาร ยางล้อรถ น้ำมันพืช บลาๆๆ ขนขนาดที่ว่าขอให้ผมเอากระเป๋าเป้ไว้บนตัก เพื่อจะได้มีพื้นที่ไว้วางของเพิ่มขึ้น เอิ่มมม(แต่ก็อย่าไปคิดมากครับ คือที่นี่เค้าจะเป็นอย่างนี้ปกติอยู่แล้ว สำหรับใครที่ไม่ได้หาข้อมูลไปก่อน อาจจะเกิดการโวยวายกันได้)



เอ้า!! ไหนๆก็มากันขนาดนี้แล้ว จัดไปเฮีย “เฮียสบายใจแบบไหน...เอาแบบนั้น!!"(บอกแล้วเป็นคนมีน้ำใจจจจT^T)



เสียเวลาให้เฮียแกขนของไปเป็นชั่วโมง และแล้วแกก็พาผมข้ามแดนมาได้สำเร็จ

ปล.จริงๆแล้วเมืองเอ้อเหลียนก็มีความน่าสนใจไม่น้อยครับ แม้จะไม่ได้หาข้อมูลอะไรของเมืองนี้ไปก่อนเลย เพราะคิดภาพไว้ว่าเป็นเมืองชายแดนเล็กๆ คิดแล้วก็เสียดายที่พวกผมจำเป็นจะต้องรีบข้ามไปมองโกเลียเพื่อจองตั๋วรถไฟ ไม่เช่นนั้นคงได้ทำความรู้จักกับเมืองเอ้อเหลียนมากกว่านี้



พอข้ามฝั่งมามองโกเลียแล้ว เราจะมาถึงเมืองที่ชื่อว่า “Zamin Uud" พี่คนขับก็พาพวกผมมาส่งที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วรถไฟเข้าไปยังเมือง “อูลานบาตอร์" ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย

กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วครับ การนั่งรถไฟไล่ล่าความฝัน โดดเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย

รถไฟตู้นอนมองโกเลียนั้น ก็สภาพไม่ต่างจากรถไฟตู้นอนของไทยมากนัก ถ้าให้เปรียบเทียบข้อดีกว่าของรถไฟมองโกเลียก็คือ มันตรงเวลากว่ารถไฟของไทย อิอิ


บรรยากาศบนรถไฟก็ดี สะอาดดีครับ ทั้งห้องน้ำ เตียงนอน ทางเดิน ช่วงที่ขึ้นรถไฟใหม่ๆ พระอาทิตย์กำลังตกด้วย

-กล้องถ่ายรูปที่แบกมา เริ่มถูกพวกผมรัวกดชัดเตอร์

-เพลงที่กระหน่ำโหลดมาจากบ้าน เริ่มถูกทยอยเปิดฟัง

-หนังสือเพียงเล่มเดียวที่พกมา เริ่มถูกหยิบออกมาเปิดอ่าน

-ขนมที่ซื้อมาก่อนขึ้นรถ เริ่มถูกทยอยฉีกออกทีละซอง

กิจกรรมบนรถไฟก็ไม่ค่อยมีอะไรมากครับ แต่ชิลล์ดีเหมือนกันครับ ผมว่าสบายกว่านั่งเครื่องบินอีกถึงแม้จะช้ากว่า



โดยทั่วไปแล้ว คนที่เดินทางแบบนี้จะต้องมีกิจกรรมหนึ่งที่เรียกว่า “กิจกรรมสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้อง" จะเล่นไพ่ นั่งพูดคุยอะไรกันก็ว่าไป ก่อนขึ้นรถไฟผมก็คิดเช่นนั้น “ขึ้นไปนะ จะไปเม้าท์ๆๆ" แต่บังเอิญญญ...เพื่อนร่วมห้องของผมนั้น ดันเป็นป้าชาวมองโกเลีย 2 คน(นอนเตียงล่าง)ซึ่งพูดอังกฤษไม่ได้ จีนก็ไม่ได้ ทำให้เราทั้งสี่คนสื่อสารกันค่อนข้างลำบากทีเดียว ส่วนใหญ่จะผ่านทางภาษามือเป็นหลัก เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สนุกๆครับ

และแล้ว รถไฟก็มาหยุดเทียบที่สถานีอูลานบาตอร์ ล่ำลากับป้าเพื่อนร่วมห้องเรียบร้อย ก็จัดแจงเอาเป้ขึ้นหลัง

ความรู้สึก

- การจราจรที่อูลานบาตอร์นั้นติดขัดมาก แต่อาจจะไม่เท่ากรุงเทพฯ

- รถที่ใช้ขับที่นี่ มีทั้งพวกมาลัยซ้าย และ ขวา ในอัตราปริมาณที่เท่าๆกัน

- บรรยากาศมองโกเลียหน้าหนาว กับ หน้าร้อน จะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ชอบ

- ร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่น สามารถหาได้ทั่วไปในเมืองอูลานบาตอร์ มีค่อนข้างเยอะ



มาถึงแล้วก็เดินสำรวจหาที่พักสำหรับคืนนี้ จนสุดท้ายมาได้โฮลเทลนี้ “Sunpath Mongolia Tour & Hostel" ราคาประมาณ 300 บาทต่อคน/คืน

ในห้องจะมีทั้งหมด 6 เตียง แต่วันที่ผมเข้าไปพักนั้น ในห้องนี้มีผู้เข้าพักแค่ผมกับท็อปแค่ 2 คน (สวีทเลย ^_^)

ใครที่เคยคิดภาพไว้ว่าประเทศมองโกเลีย คงจะมีแต่ทุ่งหญ้า มีม้าเยอะๆ คนใช้พาหนะคือม้าเป็นหลัก(เหมือนกับที่ชาวตะวันตกคิดว่าคนไทยยังขี่ช้างไปโรงเรียนล่ะมั้ง) ก็ไม่ผิดซะทีเดียวครับ แต่สำหรับเมืองอูลานบาตอร์ซึ่งเป็นเมืองหลวง ถือว่ามีความเจริญในระดับนึงเลยทีเดียว ประเมินจากสายตา ผมว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ เวียงจันทร์ของลาว หรือแม้กระทั่ง ฮานอยของเวียดนาม ด้วยซ้ำไป

เดี๋ยวๆ แล้วนายมาเดินไรแถวนี้อ่ะ?? กลางถนนเลยนะเฟ่ย

เดินไปเพลินๆ ถ่ายรูปไปเพลินๆ แล้วก็เดินมาถึงSukhbaatar Square มีลักษณะเป็นลานจัตุรัสกว้างๆ ตั้งอยู่กลางเมืองอูลานบาตอร์


วัด Gandan ว่ากันว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในเมืองอูลานบาตอร์

องค์พระที่อยู่ภายใน สวยมากครับ

เขา Zaisan Hill เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่ง ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวตัวเมืองอูลานบาตอร์ที่ดีที่สุดอีกด้วย สามารถมองเห็นตัวเมืองอูลานบาตอร์ได้แบบใกล้ชิด อีกทั้งตั้งอยู่ไม่ห่างจากใจกลางเมืองมากนัก นั่งรถเมล์ราวๆ 20 นาทีจากใจกลางเมือง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะขึ้นไปคือช่วงตอนเย็นๆเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตก

สิ่งที่ได้กลับมา...สุดยอดวิว!!!

วันต่อมา พวกผมตัดสินใจซื้อทัวร์บริการรถรับ-ส่ง ของบริษัทอังกอร์ เพื่อเดินทางไปยัง Terelj National Park ราคาตกอยู่ที่คนละ100 ดอลล่า รวมอาหารสามมื้อ+ทัวร์ขี่ม้าหนึ่งชั่วโมง


รถที่ใช้รับ-ส่ง

พี่คนขับบอกว่าระหว่างทางถ้าอยากแวะถ่ายรูปตรงไหนบอกเค้าได้ เดี๋ยวเค้าจอดให้ลงไปถ่ายรูปให้ ระยะทางจากตัวเมืองมาถึงอุทยาน ใช้เวลาขับประมาณ2ชั่วโมง สองข้างทางนั้นสวยงามมากครับ เป็นทุ่งโล่งๆสุดลูกหูลูกตา ใครที่ชอบแนวนี้ แนะนำให้ลองมาเยือนครับ

อันนี้เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ชื่อว่า “หินเต่า" เพราะรูปร่างลักษณะคล้ายๆกับเต่าเกาะอยู่บนโขดหิน สีขาวๆที่เห็นนั้นคือแม่น้ำที่แข็งตัวเป็นน้ำแข็งนะครับ

ทัวร์ขี่ม้า(รวมอยู่ในค่าทัวร์) สำหรับคุณผู้ชายที่ไม่ได้ขี่ม้าบ่อยๆ ผมบอกได้เลยว่าหนึ่งชั่วโมงนั้นคือระยะเวลาที่ไม่น้อยเกินไปครับ เพราะตอนขี่ไปได้สักประมาณครึ่งชั่วโมง ผมกับท็อปเริ่มมองหน้ากัน แม้ไม่ต้องพูดก็เป็นอันเข้าใจกันได้ว่า มันช่างกระแทกเหลือเกิน อดทนไว้นะลูก T^T

ที่พักสำหรับคืนนี้พิเศษหน่อยครับ เค้าว่ากันว่ามามองโกเลียแล้วไม่ได้มานอนเกอร์(ที่พักแบบชาวมองโกล) ก็เหมือนมาไม่ถึงมองโกเลีย


ภายในเกอร์ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีเตาผิงไว้จุดไฟให้ความอบอุ่น มีเตียงนอน และหลอดไฟ1ดวง ไว้ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน แต่อันนี้เป็นเกอร์ที่สร้างไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวมาพักนะครับ เกอร์ที่ชาวมองโกลอยู่จริงๆแล้ว จะมีข้าวของเครื่องใช้มากกว่านี้ครับ

ก่อนนอนลุงคนดูแลเค้าจะมาก่อไฟให้ เพราะเดี๋ยวพอตกดึกภายนอกเกอร์อุณหภูมิจะต่ำลงจนถึงขั้นติดลบ แต่ถ้าฟืนใกล้หมดนี่เราต้องเป็นคนคอยเติมเอง

เจ้าถิ่นแถวนี้ ซี้ใหม่ท็อปเค้า

หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องออกไปเดินเล่น บอกได้เลยครับว่าบรรยากาศแถวนั้นสุดยอดมาก วันที่ผมไปถึงโชคดีมีหิมะตกด้วย

รุ่งเช้าวันต่อมา ก่อนจะกลับพวกผมขอแวะถ่ายรูปกับคุณป้าคนดูแลที่นี่ น่ารักมากแม้จะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่พวกเราก็พยายามสื่อสารกัน

ในโปรแกรมทัวร์ที่ซื้อมา ขากลับจะมีให้แวะชม“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน" ซึ่งที่นี่ถือเป็นอนุสาวรีย์ของเจงกิสข่านที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย แต่ถ้าจะเข้าชมด้านในต้องเสียค่าเข้าเพิ่มเติมนะครับ ถ้าจะแค่ถ่ายรูปข้างนอกก็ไม่เสียครับ ไหนๆมาถึงแล้วทั้งที...ต้องเข้าสิครับ

ถามว่าดูจากรูปแล้วมันใหญ่ขนาดไหน ก็ใหญ่ขนาดที่ว่าพอเสียค่าเข้าเข้าไปแล้ว เราสามารถขึ้นลิฟท์เพื่อไปดูวิวรอบๆแบบ 360องศาจากด้านบนได้ ซึ่งที่ๆให้ขึ้นไปชมวิวนั้น ก็อยู่ตรงบริเวณที่เป็นหัวม้านั่นแหละครับ

ดื่มด่ำกับวิวเสร็จแล้ว ก็พุ่งตรงกลับมาที่อูลานบาตอร์ เพื่อขึ้นรถไฟไปยังจุดหมายต่อไป



“เมืองเอียร์คุต ประเทศรัสเซีย"รถไฟของรัสเซียนั้นดูหรูหราและไฮโซกว่ารถไฟของมองโกเลียมากครับ ดูเป็นรถไฟอีกระดับนึง รู้สึกว่าตัวของรางรถไฟก็จะกว้างกว่าของมองโกเลียด้วย

บรรยากาศภายในรถไฟ


มาถึงเมืองเอียร์คุตราวๆ7โมงเช้า อีก2วันต่อมา หลังจากลงรถเสร็จ พวกผมรีบออกเดินหาที่พัก และก็มาได้ที่นี่ครับ The Best Hostel Irkutsk


ความรู้สึก

- เอียร์คุตเป็นเมืองที่สวยงาม ออกแนวเมืองโรแมนติกๆ เหมาะสมที่จะไปกับคู่รัก

- เกิดมาจนโต ยังไม่เคยเห็นทะเลสาบแข็งเป็นน้ำแข็งขนาดนี้ อันนี้คือสุดจริงๆ

- อาหารรัสเซียรสชาติดีกว่ามองโกเลีย

- ผู้หญิงรัสเซียนั้นสวยมากกกกกก

ปล.คืนนี้โฮสเทลที่พัก ผมบังเอิญเจอคนไทยมาพักรวมกันทั้งหมด 15 ชีวิตพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย (ถ้าเกิดพี่ๆคนไทยที่เจอผมที่นี่ผ่านเข้ามาดู ทักทายกันได้นะครับ)



สองคนนี้เป็นพี่คนไทยที่ผมไปเจอที่โฮลเทลครับ

ปล.พี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง คือคนที่เริ่มต้นทริปจากการนั่งรถไฟจากหัวลำโพง มาทางบกถึงเมืองเอียร์คุต โหดมาก

หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ราวๆ10โมง พวกผมเดินออกมายังท่ารถตู้ เพื่อขึ้นรถไปยัง “ทะเลสาบไบคาล" อันเลื่องชื่อ อารมณ์ท่ารถก็คล้ายๆกับท่ารถตู้ตามอนุเสาวรีย์ชัยฯบ้านเราแหละครับ คือขึ้นไปปุ๊บก็นั่งได้เลย และเดี๋ยวตอนลงค่อยจ่ายเงิน ราคาก็ตามระยะทางที่จะไป



ไฮไลท์คือช่วงที่ผมเดินทางนั้น ผมได้ข่าวมาว่าทะเลสาบไบคาลตอนนี้กำลังแข็งเป็นน้ำแข็งอยู่ จะงดงามขนาดไหน เดี๋ยวตามมาดูกันครับ

ปล.ราคาค่ารถต่อเที่ยว ประมาณ 160 บาท

นั่งรถมาประมาณชั่วโมงเศษ และแล้วก็มาถึง ทะเลสาบที่ลึกที่ใหญ่สุดในโลก


ยินดีแนะนำให้รู้จักกับ...ทะเลสาบไบคาล

หากคุณกำลังคิดว่ามันแข็งตรงไหน?? มันแข็งขนาดไหน?? ผมกับท็อปจะไปพิสูจน์กันให้ดูเดี๋ยวนี้ครับ

อันนี้คือเดินออกจากฝั่งมาไกลประมาณนึงแล้วเหมือนกัน

แต่ถ้าหากอยากออกไปไกลๆกว่านี้ แต่ขี้เกียจเดินละก็ เรือลำนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ โดยคนขับจะขับพาเราออกไปกลางทะเลสาบ ให้เราลงไปยืนถ่ายรูป แล้วขับวนไปรอบๆทะเลสาบให้เราชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ แต่อัตราค่าบริการก็แพงเอาเรื่องอยู่ครับ ราวๆ 2,500 บาท/30นาที แต่ว่าหารกันหลายๆคนได้นะครับ


ซึ่งแน่นอนครับ แพงขนาดนี้ พวกผมไม่ได้ขึ้นนะ 5555

เมื่อมาถึงทะเลสาบไบคาลแล้ว ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ที่จะต้องลิ้มลองปลาชื่อดังและมีเฉพาะที่นี่ “ปลาอุนมุล" ครับ


จริงๆแล้วลุงคนขายเค้าขายปลาหลายอย่างนะครับ แต่ที่แนะนำที่สุดก็ปลาอุนมุลนี่แหละ อร่อยทีเดียวครับ ใครมาที่นี่แนะนำว่าอย่าพลาด ปลาทุกอย่างที่นำมาวางขายลุงเค้านึ่งมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซื้อแล้วกินได้เลยครับ

สำหรับเมืองเอียร์คุตนั้น ได้รับฉายาว่า “ปารีสแห่งไซบีเรีย" เพราะมีลักษณะสถาปัตยกรรมของตึกรามบ้านช่องที่สวยมาก สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆอาจจะมีไม่เยอะมาก แต่แค่เดินชมเมืองก็เพลินแล้วครับ

ปล.รูปพวกนี้ผมตื่น7โมงเช้าอีกวันออกไปถ่ายนะครับ เดี๋ยวจะสงสัยกันว่าคนหายไปไหนหมด ^^



ถึงคราวต้องล่ำลากันแล้วครับ การเดินทางของผมมาจบที่เมืองเอียร์คุตแห่งนี้ ใจจริงพวกผมอยากจะลุยไปให้ถึงมอสโคว์ แต่เนื่องเวลาที่มีจำกัด ทำให้ไม่สามารถนั่งต่อไปจนสุดสายได้ แต่แค่นี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ไว้จะกลับมาซ่อมทรายไซบีเรียให้ได้สักวัน

ขากลับผมใช้บริการของสายการบิน S7 บินตรงจากเอียร์คุต สู่กรุงเทพฯ

ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ “ทริปสามประเทศ กับรถไฟสายทรานมองโกเลียน" ทุกๆวันล้วนแต่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ใครที่เคยใฝ่ฝันว่าอยากไปลองสัมผัส แนะนำเลยครับ หากมีการเตรียมแผนการที่ดีแล้ว จองตั๋วโปรฯแต่เนิ่นๆให้ได้ราคาดีๆ ผมรับรองว่าค่าใช้จ่ายมันไม่ได้เยอะอย่างที่คิดไว้ครับ ผมเชื่อว่าประเทศมองโกเลียจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่คุณหลงรัก


สำหรับพี่ๆท่านไหนที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม Inbox มาทางเพจ "แท็กทีมเที่ยว" ได้เลยนะครับ ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน


ท็อป : แต่งภาพ

ทีม : รายงาน

เพจ : แท็กทีมเที่ยว

Chaiyasith Phornphratang

 วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.04 น.

ความคิดเห็น