เส้นทาง ที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวหลายๆคน

เส้นทาง ที่เป็นจุดหมายของนักวิ่งเทรล

เส้นทาง ที่เป็นจุดหมายของเรา

เขาหลวงสุโขัย เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่หลายคนหวังจะมาพิชิต เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เป็นเส้นทางสวนหลังบ้านที่ชันมาก ด้วยระยะทางเพียงแค่ 3.7 กิโลเมตร แต่ความสูงพอๆ กับภูกระดึงเลยทีเดียว ครั้งนี้ คงถึงวัย 40+ อย่างเราบ้างที่ต้องมาพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันนั้น

และแล้วการเดินทางแบบสบายๆ (ก็ 40+ แล้วอ่ะนะ) ของเรากับน้องก็เริ่มต้น ด้วยการเลือกขับรถชิวๆแล้วพักที่ตัวเมืองสุโขทัยก่อน 1 คืน คงไม่ต้องบอกเนอะว่าทำไมไม่ขับรถไปถึงเช้าแล้วขึ้นเขาหลวงเหมือนกับคนอื่นเขา ก็อายุอานามปูนนี้แล้ว…ชิวแค่ไหนน่ะหรอ ชิวแบบที่ว่าตอนเช้าในเมืองสุโขทัย เรากับน้องก็ออกมาตักบาตรพระที่สะพานที่วัดตะพังทอง (ที่นี่เขาตักบาตรยามเช้าที่สะพานกันทุกๆ วันมีเซตตักบาตรสวยๆ ขายด้วยไม่ต้องห่วง บรรยากาศดีมากใครได้ไปแนะนำเลย) ก่อนซื้อเสบียงมื้อเช้า และเที่ยง แล้วค่อยออกเดินทางไปอุทยานแห่งชาติรามคำแหง

เอาละทีนี้ก็ถึงเวลาผจญภัยของสองศรีพี่น้อง เราตัดสินใจว่าจะแบกเป้กันเอง เพราะไม่มีอะไรมากแค่ของใช้ส่วนตัว บอกแล้วว่ามาชิลๆ ที่นี่ก็สนองความชิลของเราสองคนได้เป็นอย่างดี เพราะเขามีทุกอย่างให้เช่า ทั้งเต็นท์ ที่รองนอน เสื่อ แถมเครื่องครัวก็มีให้เช่านะถ้าใครจะทำกับข้าว ขนาดมีแค่ของใช้ส่วนตัว เป้แต่ละคนที่อยู่บนหลังก็แบกน้ำหนักไป 10 กิโลกรัม กันเลยทีเดียว

ช่วงแรกของการเดินทางของเราสองคนก็ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ เส้นทางก็เป็นเส้นทางไม่ชันมากในช่วงแรก (แค่ช่วงแรกจริงๆ) หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่โหมดขึ้นเขา 40+ สองคนก็ค่อยๆ ใต่ขึ้นไป กว่าจะผ่านแต่ละ 100 เมตรนี่ รู้สึกว่ายาวนานเหลือเกิน เหงื่อท่วมร่างกันไป คงเพราะด้วยเส้นทางขึ้นเขาเป็นป่าทึบ ลมพัดผ่านเข้ามาได้ยาก ทำให้ไม่ค่อยมีอากาศถ่ายเทเท่าไหร่ ต้องรอหมอกเย็นๆ ที่จะพาดผ่านมาให้ชื่นใจได้นานๆ ที กว่าจะถึงจุดมาร์คแต่ละจุด มันช่างยาวนาน

เดินกันเหงื่อออกเป็นน้ำเลย
ป่าทึบ ที่นานๆ หมอกจะผ่านมาให้ชื่นใจสักที

มาถึงจุดชมวิว เป็นพื้นที่โล่งเห็นวิวกว้าง มีลมพัด แต่แดดก็แรงเช่นเดียวกัน จะว่าเป็นจุดเดียวตลอดเส้นทางก็ได้ที่ไม่มีต้นไม้ทึบๆ พักหายใจให้โปร่ง ชมวิวสวยๆ แล้วเดินต่อกัน

จุดชมวิวที่แดดแรงมาก

เดินต่อไปจนได้ระยะประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะมีจุดพักให้เติมน้ำตรงตะเคียนคู่ เราสองคนเอาน้ำขึ้นมากันคนละขวดเพราะอ่านรีวิวมาแล้วว่ามีน้ำให้เติม (ลดภาระการแบกน้ำ 555) ตรงนี้ฟังจากน้องๆที่นั่งพักด้วยกันเกี่ยวกับความวังเวงของโซนนี้ ก็รู้สึกได้ว่า เราไม่ควรเดินผ่านโซนนี้คนเดียวนะ

เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

มาๆ เดินต่อกันจ้า ระยะทางจากตะเคียนคู่ไป ก็พอจะลดระดับความชันลงจากช่วงแรกที่เดินขึ้นมา มีโซนทางเรียบ (ที่สั้นมากๆ) ให้พอทอดน่องได้บ้าง แวะชื่นชมความงาม และถ่ายรูปกันอีกทีก็ตอนถึงโซนไทรงาม ต้นไทรสูงสง่า ทั้งน่าเกรงขาม และงดงามในทีเดียวกันตั้งอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส เราทั้งสองใช้เวลาถ่ายรูปกันตรงนี้สักพัก แล้วจึงเดินต่อ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้ว เพราะมาถึงโซนไทรงามนี้ก็ได้ระยะประมาณ 3 กิโลเมตรแล้ว

ไทรงาม แผ่กิ่งก้านสาขา กว้างใหญ่ งดงาม

ช่วงหลังๆ การเดินผ่านแต่ละโซนให้ความรู้สึกเร็วกว่าการเริ่มเดินตอนช่วงแรกๆมาก (เพราะ แรงเริ่มอยู่ตัวแล้วหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ) ก่อนจะขึ้นถึงลานกางเต็นท์ก็มีจุดชันมากๆ ให้เราต้องฝ่าฟันกันอีกแล้ว เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้า แต่ขาจะขยับไม่ไหว 555

เธอเห็นจุดหมายข้างหน้านั่นไหม..... ใจ ไปถึงนานแล้ว

ในที่สุดเราก็มาถึงลานกางเต็นท์กันด้วยเวลา 3.24 ชั่วโมง หลังจากติดต่อเรื่องเต็นท์ ซื้อสไปร์ทเย็นๆ คนละกระป๋อง เราก็มานั่งเติมพลังด้วยข้าวเหนียวหมูที่ซื้อมาจากตลาด สำหรับมื้อเที่ยง หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน นอนพักกันสักหน่อยก่อนออกสำรวจพื้นที่กัน

บนนี้มีเต็นท์กางเรียงรายไว้อย่างสวยงาม มีน้ำดื่มให้เติม (จากก๊อกน้ำ) มีร้านสวัสดิการ มีห้องอาบน้ำถือว่าสบายมากๆ ที่หนึ่งเลย

คล้อยบ่ายแล้ว สองคนพี่น้องก็เติมน้ำใส่ขวด ออกเดินชมวิวตามสถานที่ต่างๆ บนเขาหลวงนี้ เริ่มจากยอดเขาพระเจดีย์ ก่อนเลย ระยะทางก็ไม่ไกล 750 เมาตรจากลานกางเต็นท์เท่านั้น มาถึงที่นี่ ก็ต้องหาที่หลบฝนกันหน่อย เพราะฝนตกปรอยๆ แต่ไม่ได้ทำให้เราล้มเลิกการเดินสำรวจแต่อย่างใด ฝนเม็ดเล็กๆหยุดตกเราก็เดินต่อไปยังยอดเขาภูกา

ภูกา

ภูกาเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆที่หนึ่งเลย ใช้เวลาถ่ายรูปกันที่นี่นานพอสมควร ก็ได้เวลาไปชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาพระแม่ย่า

มาถึงเขาพระแม่ย่า ถ่ายรูปเล่นกันสักพัก เมฆก้อนใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาเราจึงตัดสินใจเดินลงมาที่จุดตั้งแคมป์ ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก แต่ความสวยงามของหมอกและวิวบนนี้ก็ตราตรึงใจไม่น้อย ซาร์จแบตในร่างกายได้ดีมากๆเลยทีเดียว

จนแล้วจนรอด ก็ไม่ทันเจ้าฝนฟ้าจนได้ ฝนกระหน่ำเทลงมากจนเราสองคนพี่น้อง และน้องร่วมชะตากรรมอีก 2 คนเปียกมะล่อกมะแล่ก เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้ถือติดมาด้วย (หัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ ตรงจุดนี้)

กลับมาอาบน้ำ สระผมเรียบร้อย ก็มาสั่งข้าวไข่เจียวในตำนานของยอดเขาหลวง คนละจาน ข้าวเยอะมากจนกินกันไม่หมด (แต่ไข่เจียวหมดนะ) เอาละ…สำหรับวันนี้พักผ่อนกันดีกว่า กลับเต็นท์สิคะรออะไร

ข้าวไข่เจียวในตำนาน

ตื่นเช้ามาตี 5 ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินขึ้นไปที่ผานารายณ์ จุดไฮไลท์อีกจุด ไว้ชมพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกยามเช้า วันนี้เมฆเยอะอีกเช่นเคย เลยทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่วิวที่นี่ก็นั่งมองได้ไม่มีเบื่อ น้องๆที่มาบ่อย บอกกับพวกเราว่า หน้าฝนจะไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์หรือท้องฟ้าใสๆ แต่ทะเลหมอกจะโดนใจมาก ถ้าอยากชมพระอาทิตย์ต้องมาหน้าหนาว แต่หมอกจะหายากหน่อย (สายลุยคงต้องเลือกละว่าจะชมอะไร) สายหน่อยหมอกปุยๆขาวๆ ก็เริ่มเยอะ ถ่ายรูปกันพอสมควรเลยชวนกันลงมาเก็บข้าวของเตรียมลงเขากันดีกว่า

ไฮไลท์ที่ผานารายณ์

ขาลงก็คงรู้สภาพ ลง ลง ลง และลง อย่างเดียว เซฟเข่ากันหน่อยนะวัย 40+ แบบเรา ค่อยๆเดินกันเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ

ทริปนี้ถือว่าชาร์จแบตร่างกายได้ fully charge เลยทีเดียว เต็มอิ่มทั้งการเดินทาง ทั้งวิว ทั้งมิตรภาพ เป็นอีกทริปที่สำหรับเรายืนยันได้เป็นอย่างดี ว่ามิตรภาพดีๆ หาได้จากการเดินทาง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ขอบคุณมิตรร่วมทางทุกท่าน ยินดีที่ได้รู้จักนะ

ช่วงที่เราขึ้นเขาหลวงต้องเตรียมผลตรวจ ATK ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และปะวัติการฉีดวัคซีนด้วยนะ ที่สำคัญอย่าลืมจองผ่าน app Queq จ้า



Manglugg

 วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.48 น.

ความคิดเห็น