ทริปตรุกีแผนเผินอะไรไม่มีทั้งนั้น ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 13 วัน

โดยเริ่มจากที่แรกคือ Istanbul ซึ่งใน content นี้เราจะขอเล่าประสบการณ์ที่เราเจอในแต่ละที่ให้ทุกคนได้อ่านกัน อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับของคนอื่นที่ได้อ่านมา ก็ขอให้ทุกกับการเดินทางของเราในครั้งนี้และใครที่กำลังไปตุรกี ขอให้มีทริปที่สนุกสุดเหวี่ยงเลยนะคะ


เราเดินทางช่วงโควิดเลยได้ตั๋วค่อยข้างถูกแต่ใช้เวลาในการเดินทางและ Lay over ค่อนข้างนาน รวมกันแล้วเกือน 17 ชั่วโมง เราเดินทางออกจากสุวรรณภูมิช่วงบ่ายและมาถึง Istanbul ช่วงสายของอีกวัน พอมาถึงก็ทุลักทุเล Skill การเดินทางก็ต้องเอามาปัดฝุ่นใหม่ กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องขึ้นรถบัส Havist มาลงตัวเมือง กลับหาซื้อบัตร Metro​ ไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่มีพี่สาวใจดีเอาบัตร Metro ของเค้าให้เราใช้แถมนั่งเลยสถานีไปอี๊ก ต้องเสียเวลานั่งกลับไปกลับมา สนุกเชียว

ปล. ภาพนี้ขอให้เลย focus เราไปแล้วมองข้างหลังเลย

พอถึงที่พักก็รีบแต่งตัวออกมาจากที่พัก (เดี๋ยวเที่ยวไม่คุ้ม)​ หลังจากเดินอยู่พักนึงก็เห็นป้ายว่ามีสวนสาธารณะ​อยู่ใกล้ ๆ เลยเปิด GPS แล้วเดินตามไปประมาณประมาณ 10 นาทีสวนสาธารณะ​ Yenikapi Sehir เป็นสวนสาธารณะ​ เลียบชายฝั่งทะเล Marmara ซึ่งเป็นทะเลที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลอีเจียน ซึ่งแยกตุรกีในทวีปเอเชียจากตุรกีในทวีปยุโรป คนส่วนมากจะมานั่งดูพระอาทิตย์​ตกตอนเย็นสำหรับเรา รอพระอาทิตย์​ตกไม่ไหว เพราะหนาวและลมแรงมากและหิวมากกกกด้วย


หลังจากกลับมาจากสวนสาธารณะไม่ถึง 3 นาที ไฟก็ดับเลยจ้าาาาาาตอนแรกคิดว่าจะแปบเดียว แต่ 30 นาทีก็แล้ว 1 ชั่วโมงก็แล้ว ไฟก็ยังไม่มาเดินลงไป lobby ไปคุยกับเจ้าของก็แล้ว กับเพื่อนร่วมชะตากรรมก็แล้ว ไฟก็ยังไม่มา จนตัดสินมากลับมานอนท่ามกลางความมืด ร่วมเกือบ 5 ชั่วโมงกว่าไฟจะมาแถมเจ้าของพี่พักน่ารักมาก ไม่มีขอโทษ หรือ offer อะไรทั้งนั้น 


หลังจากเมื่อคืนเราได้นอนอย่างเต็มอิ่ม (ก็แน่สิ ไฟดับไม่มีไรทำเลยนอนเร็ว)เราก็ใช้สองขาพาร่างตัวเองไปยังจุดหมายแรกของวัน นั่นก็คือ Blue Mosque หรือสุเหร่าสีน้ำเงินซึ่งเรียกได้ว่าถ้าไม่ได้มาก็ถือว่าไม่ถึงตุรกีกันเลยทีเดียวโดยสุเหร่าแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า สุเหร่าสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan ahmet I) ซึ่งที่มาของการสร้างคือความต้องการที่จะเอาชนะ วิหารเซนต์โซเฟียในสมัยนั้น ซึ่งวิหารเซนต์โซเฟียได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์​ของโลก แต่ก็เป็นสถาปัตยกรรม​ที่น่าอัศจรรย์​อยู่ดี รวมทั้งก็เป็นหนึ่งใน bucket lists ของเราอีกด้วยวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น เลยจับยัดใส่อะไรที่ช่วยประทังความหนาวได้ เลยออกมาเป็น style มั่ว ๆ แบบที่เห็น 5555ที่นี่ไม่มีค่าเข้า แต่ผู้หญิง​ต้องคลุมหัว และตอนเวลาละหมาดก็ห้ามเข้าไปด้านใน เพราะฉะนั้นใครมาที่นี่อย่าลืมเอาผ้ามาคลุมหัวกันด้วยนะ


ถัดมาคือวิหารเซนต์​โซเฟีย หรือที่เรียกในปัจจุบั​นว่าสุเหร่า Hagia Sophia และบางคนอาจจะรู้ว่ามันคือความเจ็บช้ำของชาวคริสจักรเพราะเมื่อไม่กี่ปีมานี้ทางตรุกีได้มีการเปลี่ยนสถานะของฮาเกีย โซเฟียจากพิพิธภัณฑ์​ที่อยู่มานานกว่า 86 ปี และทำหน้าที่เป็นมหาวิหารมานานกว่า 916 ปี เป็นมัสยิด เนื่องจากตัดสินว่าเป็นทรัพย์สิน​ของสุลต่านเมห์เหม็ด แห่งจักวรรดิ​ออตโตมันมานานกว่า 482 ปี ดังนั้นเมื่อเข้าไปที่สุเหร่าแห่งนี้ก็ยังจะเห็นสถาปัตยกรรม​ของทางศาสนาจักรต่าง ๆ ที่ยังเหลืออยู่บ้าง ถึงยังไงสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงแสดงถึงความอลังการและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้เห็นอย่างดี


อีกสถานที่นึงที่อยู่ใกล้กับ Blue Mosque​ คือ พระราชวังโทพคาปี และโบสถ์ฮาเกียไอรีนเรามาเริ่มกันที่พระราชวัง​โทพคาปีกันก่อน ก็เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นสมัยจักรวรรดิออตโตมัน โดยใช้เป็นสถานที่พำนัก ทำงาน ก่อนจะย้ายไปที่พระราชวัง Dolmabahce และถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์​ในปี 1924 ให้เรามาเยี่ยมชมจนถึงปัจจุบันโดยแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก ได้แก่ Courtyard I, Courtyard# II, Courtyard III, Courtyard IV และส่วนของฮาเร็ม (Harem)ส่วน Hagia Irene หรือเซนต์ไอรีน (Saint Irene) เป็นโบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์ตะวันออก ที่แรกในกรุงคอนสแตนติโนเปิล และยังเป็นโบสถ์ ที่ยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดเราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะอากาศดีเดินได้เรื่อย ๆ ไม่เบื่อเลย


หลังจากเราใช้เวลากับ ฺMosque ต่าง ๆ ไปแล้วเราก็นั่ง Metro มาที่ตัวเมือง เพื่อมาดูวิว Istanbul แบบ 360 องศา ที่ Galata Tower หรือหอชมเมืองนั่นเอง Galata tower ถือว่าเป็นหนึ่งในหอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นอีกนึงสัญลักษณ์​สำคัญของเมือง Istanbul​ ในสมัยก่อนหอคอยนี้ใช้เป็นหอคอยที่ใช้ในการเฝ้าสังเกต​ไฟไหม้ (Galata Fire Tower) แต่ในปัจจุ​บัน​เป็นพิพิธภัณฑ์​และหอชมเมืองซึ่งในปี 2556 หอคอยนี้ ถูกรวมอยู่ในรายการชั่วคราวของมรดกโลกในตุรกีโดย UNESCOหอคอยมีทั้งหมด 9 ชั้น ด้านบนเป็นที่ชมวิว ส่วนชั้นอื่น ๆ เป็นงานจัดแสดงพิพิธภัณฑ์​ต่าง ๆตอนขาขึ้นมีลิฟต์​ให้ แต่ตอนลงต้องเดินลงกันเองนะเราไปตอนกลางวัน แต่มีคนแนะนำว่าวิวตอนกลางคืนคือว้าวมาก ที่สำคัญ ด้านบนส่วนระเบียงค่อนข้างแคบ เดินถือหรือยืนโทรศัพท์​ไปถ่ายรูปก็ต้องระวังกันด้วยนะโดยรอบหอคอยก็มีร้านอาหาร ร้านขายของฝากส่วนราคาก็หลากหลายวาไรตี้กันไป ค่าเข้าชม : 100 TL เปิดให้ชมทุกวัน ไม่มีวันหยุด


ขากลับเราตัดสินใจเดินกลับ ก็ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ที่ตัดสินใจเดินเพราะอยากเห็นสะพานกาลาต้า แถมด้านล่างสะพานคนในพื้นที่บอกเราว่าอาหารทะเลอร่อยและไ่ม่แพง 



บนสะพานกาลาต้ามีคนตกปลา แม้อากาศจะเย็นแค่ไหน แต่ดูแล้วทุกคนก็ยังชิว ๆ อยู่ เรามีแอบดูในกะละมังเค้าเหมือนกันว่ามีปลาไหม เพราะอากาศเย็นมาก สงสัยว่าปลามันจะมีแรงว่ายมากินเหยื่อหรอ สรุปคือเค้าก็ตกปลากันได้นะ มีอยู่เต็มถังเลย


หลังจากข้ามสะพานมาก็เป็นท่าเรือที่มีทัวร์ล่องชมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Cruise) เรามีเวลาไม่พอที่จะนั่งเรือแถมขาก็ไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจซื้ออะไรกินแล้วเดินกับไปโรงแรม

วันที่ 3 ก็ยังอยู่กันที่ istanbul​ วันนี้ตื่นเช้ามาฝนก็ตกพร่ำ ๆ เลย แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเราได้วันนี้เราไปกันที่พระราชวังที่ได้ขึ้นชื่อว่าใช้เงินในประเทศมากมาย จนกระทั่งเป็นหนี้ นั่นก็คือพระราชวัง Dolmabahceเรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า พระราชวัง Topkapi​ ที่อยู่เดิมของสุลต่าน​ Abdulmecid ไม่หรูหรา​ไฮโซ จึงอยากสร้างพระราชวังใหม่ และให้ชื่อว่า โดมาบาเช่ (Dolmabahçe Palace)แต่ด้วยความหรูหรา​ที่อยากได้ ต้องแลกมาด้วยเงินทองจำนวนมาก จนต้องเป็นหนี้สาธารณะ​ และเรียกกันว่า " The sick man of Europe" คือแทนที่จะได้แสดงถึงพลังอำนาจ ความใหญ่โต แต่กลับต้องแลกมาด้วยหนี้และภาษีของประชาชนแต่ถึงอย่างนั้นพระราชวังแห่งนี้ก็เป็นที่พำนัก ทำงานของสุลต่านมาถึง 6 รุ่น และสิ้นสุดเมื่อ Mustafa Kemal Ataturk บิดาแห่งชาวเติร์ก มาปลดปล่อยชาวเติร์กให้เป็นอิสระ ในปี 1924ด้านในไม่ให้ถ่ายรูป แต่ก็เห็นคนแอบถ่ายมากมายมหาศาล 5555 ส่วนเราก็ขอใช้ตาจำ ดีกว่ามาระแวงตอนยกกล้องวันนี้ฝนตก คนเลยไม่เยอะมาก Lucky สุด

Sa.isaround

 วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.27 น.

ความคิดเห็น