เคยรู้สึกอยากเจอเพื่อน แต่ไม่อยากนัดร้านในกรุงเทพฯ อยากไปทะเล แต่ขี้เกียจขับรถไกล อยากเจอเพื่อน แต่ก็อยากพาครอบครัวไปเที่ยวด้วย อาจจะดูโลภมากและเป็นไปได้ยาก แต่ทริปนี้เราทำแบบนั้นค่ะ
ชลบุรีที่เที่ยวหลากหลาย ไม่ไกล มีทะเลแน่นอน ตรงตามโจทย์เป๊ะ

เอ...แต่ว่าที่พักนี่สิ ถ้าอยากได้เป็นหลัง ปิ้งย่างได้ก็คงต้องไปแถวสัตหีบ แต่น้องในทริปเรานางหนึ่ง เธออยากถ่ายรูปที่คาเฟ่สะพาน ที่สะพานชลมารควิถีค่ะ และในที่สุดเราก็ได้ที่พักถูกใจ ปิ้งย่างได้ อยู่ใกล้อ่างศิลา ทริปนี้จึงเกิดขึ้น

เราออกเดินทางกันตอนสาย ไม่เร่งรีบอะไรเพราะมีเด็กๆ ไปด้วย เราแวะหาออะไรรองท้องที่จุดพักรถแล้วเดินทางต่อไปยังที่พักเพื่อ Check In

Happy @Patoey House

มองไปทางไหนก็เจอต้นไม้ ดอกไม้ บรรยากาศแบบร่มรื่นมาก

พวกเราพักกันที่ #PatoeyHouse เป็นรีสอร์ทเปิดได้ไม่นานห้องยังใหม่กริ๊บ แถมมีห้องให้เลือกหลายแบบด้วยค่ะ ทริปนี้เราไปกัน 3 แก๊งใหญ่ค่ะ จองห้องพักไว้ 2 หลัง คือ...

หลังแรกให้เพื่อนที่พาครอบครัวมาด้วย 

ส่วนอีกหลังเป็น 2 ห้องติดกัน คือห้องเตียงคู่ให้สองหนุ่มนอนด้วยกัน 

อีกห้องเป็นห้องเตียง 2 ชั้น สาวๆ นอนด้วยกัน 4 คน ได้นอนแบบนี้นึกถึงบรรยากาศโฮสต์เทล เวลาไปเกาหลีหรือญี่ปุ่นเลย

ติดต่อที่พักตรงนี้เลยค่ะ เลี้ยวรถเข้ามาก็เจอเลย

บ้านหลังที่เราพักนี่มีเตาปิ้งย่างไว้ให้พร้อม แต่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาเองนะคะ จะไปยากอะไรเดี๋ยวเราจะออกไปอ่างศิลาอยู่แล้ว

Patoey House อยู่แถวๆ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ทำให้ขับรถมาไม่ไกล แต่ทางเข้าอาจจะซับซ้อนนิดหน่อยนะคะ มาตาม GPS ก็ไม่ยากเกินไป และเพราะความที่เขาอยู่ลึกเลยทำให้ใกล้ชิดธรรมชาติมาก อากาศดี และคนไม่พลุกพล่านค่ะ 

บ้านแต่ละหลังมีระยะห่างจากกันพอสมควร เราว่าเหมาะมากเวลามาเป็นแก๊งแล้วเมาท์มอยกันมันอาจจะสนุกจนเสียงดังไปบ้าง แบบนี้ไม่ต้องกลัวรบกวนหลังอื่นเลยค่ะ

ห้องพักเราหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ ไม่หรูหราแต่นอนสบายๆ นะคะ

ห้องพักขอเราค่ะ มีสี่สาว สี่เตียงพอดีเลย
ห้องน้ำค่ะ หน้าตาเป้นแบบนี้ ไม่หรูหราแต่สะอาดสะอ้านดี

แก๊งผู้ชายอยู่ห้องติดกับเราแต่ลืมถ่ายรูปค่ะ

ส่วนน้องที่พาครอบครัวมาได้พักห้องสไตล์ loft เป็นปูนเปลือย ห้องนี้อยูบนชั้นสองเลยมองเห็นบรรยากาศ รอบๆ ด้วย ตื่นเช้านั่งจิบกาแฟชมนกชมไม้ ชิลมากก

บ้านบางหลังเล็กๆ ดูน่ารักดีค่ะ คล้ายบ้านฮ็อบบิทเลย อย่างเราชอบอยู่หลังหนึ่งที่มีหลังคาปกคลุมด้วยต้นองุ่น มันน่ารักมุ้งมิ้งมากอะ เห็นแบบนี้ข้างในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบนะคะ แถมห้องยังสะอาดมากๆ ด้วย เปิดเข้าไปไม่มีกลิ่นอับเลย เราว่าน้องที่ดูแลเขาค่อนข้างเอาใจใส่ค่ะ ถามเราตลอดเลยว่ามีอะไรขาดเหลือหรือเปล่า

บ้านพักที่นี่มีห้องให้เลือกหลายแบบ มาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นหมู่คณะ หรือเป็นครอบครัวใหญ่ได้หมดเลยค่ะ หลากหลายดี

อ้อ! นอกจากบ้านจะมีหลายแบบหลายขนาดแล้ว ที่นี่น่าจะถูกใจคนรักสัตว์มากๆ เลยค่ะ เพราะนำน้องๆ มาเที่ยวด้วยได้ แถมราคาไม่แพงอีกต่างหาก ที่ล็อบบี้จะมีน้องแมวลายสลิดคอยต้อนรับเพื่อนๆ แบบนี้ด้วยค่ะ

ถ่ายรูปเก๋ๆ บรรยากาศดีที่คาเฟ่ริมทะเล

พอเก็บของเสร็จ อาบน้ำแต่งตัว พร้อมลุย ก่อนไปเดินซื้ออาหารทะเลที่ตลาดปลาอ่างศิลา เราชวนกันไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ริมทะเลซะหน่อย 

พวกเราขับรถตามกันมา 30 นาทีก็ถึงที่หมาย Austin café คาเฟ่ริมทะเลฟีลดีเวอร์ ที่นี่เขาจะมี 2 โซนให้เลือกนะคะ โซนร้านอาหาร กับ โซนคาเฟ่ ซึ่งมีที่นั่งริมทะเลแบบนี้ แม้จะร้อน สาวๆ ก็ไม่หวั่น ขอให้ได้รูปสวย จริงมั้ยคะ


มาคาเฟ่ ก็ต้องพูดถึงเครื่องดื่มกับขนมซะหน่อย สำหรับเราเครื่องดื่ม และขนมโดยรวมรสชาติดีค่ะ ราคาอยู่ที่ 120-200 ค่ะ ก็มาตรฐานทั่วไป


เดินช็อปอาหารทะเลสดๆ วิวดีๆ @ตลาดปลาอ่างศิลา

ถ้าพูดถึงตลาดปลาหลายคนอาจจะนึกถึง ความเฉอะแฉะใช่มั้ยล่ะ แต่ที่นี่ใหม่และสะอาดมาก เห็นว่าเขาเพิ่งปรับปรุงใหม่เมื่อไม่นานนี่เอง พวกเราก็เพิ่งเคยมากันครั้งแรกนี่แหละค่ะ

จากคาเฟ่ขับย้อนกลับไป 5 นาทีก็ถึงตลาดปลาแล้วค่ะ ตลาดที่เราไปอยู่ตรงสะพานปลาพอดีเลย จะบอกว่าของสดมาก อย่างพวกกุ้ง ปู เขามีบริการนึ่งให้ด้วยนะคะ เราให้เขานึ่งปูค่ะ แต่กุ้งนี่จะเผาเอง นี่ขนาดเราไม่เลือกน้องแบบเป็นๆ นะคะ ใจไม่ถึงพอ แต่ก็ยังสด เนื้อหวานมากค่ะ

นอกจากอาหารทะเลสดๆ แล้ว ที่นี่ยังมีแลนด์มาร์คให้เราได้มาถ่ายรูปสวยๆ กันด้วยค่ะ วันนั้นพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี สวยมากๆ แค่บรรยากาศก็คุ้มแล้ว เสียดายวันนั้นฝนตก เลยได้รูปน้อยไปหน่อย

ตื่นเช้าถ่ายรูปที่ Café on สะพาน @สะพานชลมารควิถี

เช้าวันรุ่งขึ้นช่างภาพอย่างเราก็ชวนสาวๆ ไปถ่ายรูปกับพระอาทิตย์สิคะ แต่มีสาวเดียวที่ตื่นไหว ไปกันกันเล้ย ขับรถมาประมาณ 15 นาที ก็ถึงคาเฟ่แล้วค่ะ ที่นี่เปิดเช้าเพราะ ช่วงเช้าจะมีคนมาวิ่งกันค่ะ แสงเช้านวลและนัวมาก เป็นคนละอารมณ์กับแสงเย็นเลย ที่สำคัญคือคนน้อยเราชอบค่ะ ช่วงเย็นคนจะเยอะ และรถเยอะกว่านี้มาก แต่ถ้าสาวๆ คนไทนตื่นไม่ไหวก็ช่วงเย้นโลดดดด สวยเหมือนกันค่ะ เราโชคดีตรงที่เลือกนอนที่ Patoey House ด้วยแหละ มันเลยใกล้ที่สะพานมากกว่านอนแถวๆ บางแสนหรือพัทยา

ถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชิมขนมกับเครื่องดื่มซะหน่อย แต่เอาจริงๆ นะ ที่ร้าน Café on สะพาน มีจุดถ่ายรูปที่เราชอบมากตั้งแต่เสริชหาข้อมูลละ เราก็เลยอยากมาที่นี่ มันเป้นที่นั่งกลมๆ ยื่นไปในทะเล แต่เสียดาย วันนั้นน้ำลง ทะเลของเราเลยไม่สวยเท่าไหร่


จุดถ่ายรูปที่เป็นเหล็กกลมๆ ยื่นลงไปในทะเลนี่สวยนะ แต่อาจจะถ่ายรูปยากสักหน่อย เพราะมันจะย้อนแสง ไม่ว่าช่วงเวลาไหนมันคือย้อนแสง เทคนิคการถ่ายรูปของเราคือ ถ่ายมาสองรูปให้คนสว่าง 1 รูป และ ถ่ายให้คนมืดแต่ได้รายละเอียดบรรยากาศด้านนอก แล้วเราก็นำสองรูปนี้มาซ้อนกัน คนอื่นอาจจะมีเทคนิคดีกว่านี้นะ แต่เราถนัดแบบนี้ก็เลยเอามาแชร์กัน

จริงๆ ถ้าใช้กล้องมือถือไม่ค่อยมีปัญหานะ ยิ่งรุ่งใหม่ๆ ใช้โหมด Portrait หรือ ถ่ายภาพบุคคล มันจะปรับให้เลย ได้ทั้งคนและบรรยากาศสวยงาม


อาหารเช้าธรรมดาท่ามกลางธรรมชาติ

จริงๆ ที่นี่ไม่ได้มีอาหารเช้าไว้บริการประจำ แต่ถ้าเราสั่งที่รีสอร์ทจะจัดให้ เป็นอาหารง่ายๆ เป็นพวกข้าวกะเพรา ไข่กระทะ ข้าวต้มอะไรทำนองนี้ แต่รสชาติดีเลยล่ะ แถมกินไปฟังเสียงนกร้องไปได้ฟีลอีกแบบหนึ่ง


และเราก็มารู้ทีหลังว่าที่พักที่นี่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลจ้า ดีจัง มาเที่ยว Eco ซะงั้น ช่วย Save สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานไปในตัว

ถ้าทุกคนสนใจและชอบที่นี่เหมือนเรา สอบถามละเอียดเพิ่มเติมได้ตามนี้เลยค่ะ

โทร : 099-1822888

Facebook : Patoey House

Instagram : patoey.hous

การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้เราได้เจอน้องๆ และเพื่อนๆ หลังจากไม่ได้เจอกันนาน เป็นการพบปะสังสรรค์กันแบบง่ายๆ สบายๆ และสนุกจริงๆ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ ถ้ามีอะไรสงสัยสอบถามได้เลยค่ะ ถ้าชอบที่เรารีวิวก็เม้นท์บอกกันบ้างน้า

เรารักการถ่ายรูป และชอบเดินทาง เราว่ามันมักให้คำตอบ และแนวคิดดีๆ กับชีวิตเราเสมอ หรืออย่างน้อย เรามักจะได้พลังบวกกลับมาด้วยทุกครั้ง แล้วทุกคนล่ะ ชอบการเดินทางเพราะอะไร...แล้วพบทริปหน้านะคะ

ติดตามเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

Youtube : Trip Aperture Channel
Facebook Page : Trip Aperture
IG : Trip_a_perture (ยอด Follow น้อยมาก ตามไปช่วยฟอลกันหน่อยน้า)

Trip Aperture

 วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 17.44 น.

ความคิดเห็น