หลังจากดองงานเขียนมา 8 วันวันนี้ได้ฤกษ์ 10.07 น. 19 ก.ค.2565 เปิดเพลง ‘ ช่วงเวลา ’ บิ้วงานเขียน เสียงพี่ปูเศร้ามาก เหมือนผมกำลังสิ้นหวังอะไรสักอย่างทั้งที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น กลับมาเข้าเรื่องเดินทางของผมที่ไม่ได้ใช้หมูดำเดินทางมากว่า 1 ปี หลังจากถ่ายน้ำมันเครื่อง ผมจึงอยากพาเขาออกไปเที่ยวบ้าง


   การเดินทางเริ่มขึ้นง่ายๆ ไปจังหวัดใกล้ๆ อย่างกาญจนบุรี ที่มีโจทย์ด้วยระยะทางไม่เกิน 200 กม.จากที่ที่ผมอยู่ วันที่10 ก.ค. 09.30 ล้อเคลื่อตัวออกไปเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง วันธรรมดาที่เป็นวันอาทิตย์ ภาพในหัวเรียบเรียงไปถึงนิ้วที่กำลังเคาะแป้นพิมพ์อย่างมีความสุข ความหนาวเข้ามาเยื้อนเมื่อนึกถึงช่วงเวลาฝนตกของการเริ่มต้นเดินทาง ผมจอดแวะปั้มเพื่อหลบฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่ไม่นานนักลมก็ย้ายเมฆฝนก้อนหนั้นไปที่อื่น ผมฉวยเวลาเดินทางต่อ แต่สิ่งเดียวที่ฉวยไม่ได้คืออายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ

   ผมยัดหูฟังปิดเพลงฟังดังๆ แต่ก็ไม่สู้เสียงของลม กับความเร็ว100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปเรื่อยๆ ตามสายลมจนถึงวัดถ้ำพุหว้า ผมล้างหน้าล้างตาหาที่นั่งพักตามต้นไม้ ดูรอยไหมของแขนที่ถูกแดดเผาเพราะช่องโหว่ของเสื้อคลุม รู้สึกถึงการมีชีวิต คิดถึงความฝัน คิดถึงหลายอย่างที่เราอยากทำ ตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว คิดถึงอดีต ความสงบในวัดทำจิตฟุ้งและล่องรอยไปเรื่อย จนหายเหนื่อยจึงออกไปทำบุญหยอดตู้ค่าน้ำค่าไฟและไหว้พระ โดยมีคุณแฟนร่วมทำด้วยเพราะเป็นวันเกิดของเขาที่ผมดันจำผิดเป็นวันที่ 13 ก.ค. ผมไหว้พระแล้วขอพรให้ทุกคนที่มีพระคุณและเจ้ากรรมนายเวร

   เดินถ่ายรูป มองผู้คน มองคนไหว้พระ บางคนไหว้นาน บางคนไหว้แปปเดียว ผมเองก็ไม่นานเพราะท่องได้แค่อะระหัง กับ นะโนตัสสะ ผู้คนที่มาคงมีเหตุผลต่างกัน บางคนมาด้วยความหวังเรื่องขอพร บางคนตั้งใจมาทำบุญ บางคนมาซื้อยาแก้ปวด(ยาทา)ส่วนผมมาเพื่อ...

   บริเวณวัดกว้างใหญ่มาก เวลาผมก็จำกัดผมจึงไม่ได้เดินทั่ว แค่เดินหามุมถ่ายรูป และหาที่เย็นๆนั่ง บ้างก็มีคนเรียกให้ถ่ายรูปให้ จึงช่วยทำให้ไม่เหงาเกินไป เสียงนาฬิกาดังเตือนว่าถึงเวลาไปจุดหมายต่อไป ซึ่งตอนแรกต้องไปโรงงานกระดาษและน้ำตกไทรโยคน้อยก่อน แต่วันนี้โรงงานกระดาษปิดประจวบกับใช้เวลาเดินทางไปเยอะจึงเหลือเวลาไม่มากพอ ผมจึงรีบออกเดินทางไป วังโพแค้มป์ปิ้ง ต่อเพราะอยากให้อาหารช้างมาก พี่เจ้าของออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูเป็นคนคุยเก่งเหมือนผม ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นร่างอวบแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับที่พัก ผมเก็บของเข้าที่พักและออกไปทานข้าว น้องช้างเดินออกไปรอริมน้ำเพื่อกินกล้วย กล้วยที่นี่ตะกร้าละ 40 บาท ถือว่าไม่แพงครับความสุขอยู่ตรงที่ได้ป้อนให้ช้างกิน ผมกับแฟนรวมกันได้ 7 ตะกร้า แม้จะไม่ได้มาด้วยกันแต่เธอเห็นช้างแล้วบอกน่ารักอยากให้ช้างกินเยอะๆ น้องช้างทั้ง 2 ตัวมีชื่อว่า แอปเปิ้ลกับงามน้อย

   น้องช้างทั้ง 2 มีความน่ารักแตกต่างกันตัวนึงชอบให้ป้อนที่ปาก ส่วนตัวนึงแค่ยื่นให้ที่งวงก็พอ พร้อมทั้งก้มขอบคุณด้วย ฉลาดมาก เมื่อภารกิจให้อาหารน้องช้างเสร็จผมก็เดินถ่ายรูปเล่นบริเวณรอบๆต่อ ที่นี่ค่อนข้างกว้างและสงบ และมีราคาที่สมเหตุสมผล(สามารถสอบถามจากเพจที่พักได้เลยตอบไวมาก) นำเต้นท์มาเองเสียค่ากาง100บ. ผมเลือกมาเช่าเต้นท์ของทางแคมป์มีราคาอยู่ที่500บ.และมีพัดลมด้วย ส่วนชุดนอนก็ตามภาพเลยครับ(ข้าวไข่เจียวในรูปเล็กอร่อยมากครับ)

 

   ในเต้นท์ปลอดโปร่งไม่ร้อนกลางคืนมีหนาวๆ ผมตื่นมาอยู่ในสภาพขดตัวเป็นกุ้ง เพราะฝนตี 5 ตกผมลุกขึ้นมามองความสวยงามแต่มองอะไรไม่เห็น เลยปิดพัดลมและล้มตัวหลับต่อ แล้วเสียงนกก็ปลุกอีกทีตอน 7 โมงเช้า อากาศดีมากมีน้ำหยดเล็กๆเหมือนเป็นการสั่งลาของฟ้าฝน ไม่นานเม็ดฝนก็หายไปทิ้งไว้แต่ความสดชื่น อากาศดีจนสมควรนอนต่อ แต่ผมเลือกที่จะเป็นเศรษฐีของความสุข จึงหยิบกล้องและเดินออกไปถ่ายอะไรอีกนิดหน่อย โดยมีขี้ตาอยู่เป็นเพื่อน โดยมีน้องช้างซ่อนรอยยิ้มไว้ในดวงตาอยู่ไกลๆ

   ผมอาบน้ำสั่งไข่กระทะกาแฟ และขอกล้วยไว้อีก 2 ตะกร้า เพื่อให้น้องช้างทั้งสอง เพราะความน่ารักของเขา(ดูได้จากในคลิปได้นะครับ) นั่งคุยกับพี่เจ้าของเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาที่ผมจะไปที่สุดท้ายก่อนกลับ ทางรถไฟสายมรณะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาทั้งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ยังคงพูดคำเดิมๆ ครับว่าสวยมากๆ อากาศก็ดี มีของขายเยอะแยะ ผมยังทำแบบเดิมๆ ที่เหมือนจะน่าเบื่อแต่มีความสุขคือหาที่นั่งกับพื้นมองผู้คน มองต้นไม้ เดินถ่ายรูป บ้างก็พูดคุยกับผู้คนที่ผ่านไปมา และก็ถ่ายรูปให้คนที่วานเรา ทุกคนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนมากจะเป็นคุณลุงคุณป้าน่ารักๆ ที่มาเป็นแก๊งค์ แม้ผู้คนจะบางตาแต่ก็มีมาเรื่อยๆ

   จนถึงเวลากลับได้เจอคุณลุงคุณป้าที่ผมฝากหมวกไว้ คุณลุงเข้ามาพูดคุยทักทาย แล้วก็บอกว่า “เมื่อก่อนลุงก็แบบนี้ขับคนเดียวเที่ยวคนเดียวเคยมี Phantom คันนึงขายไปแล้ว แบบนี้เลยลุงน่ะ ไปแบบหลิว เต๋อหัว ในผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ แต่ไม่มีคนซ้อนก็เท่านั้น ” ไม่นานคุณป้าก็เบรกคุณลุงแบบน่ารัก “ เธอนี่ขี้โม้จริงๆ ”

   ...ผมไหว้คุณลุงคุณป้า จากนั้นก็ร่ำลากันจึงเก็บรูปคุณลุงอาหว๋อไว้เป็นที่ระลึก 1 ใบ ผมบิดรถกลับอย่างรวดเร็วราวกับได้รับมอบหมายจากลูกพี่ใหญ่ ทรัมเป็ต...






ROAD MOVIE

 วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 23.03 น.

ความคิดเห็น