สวัสดีครับ สำหรับรีวิวนี้
ผมได้รับเชิญจากทาง JW Marriott Bangkok ให้ไปชิม SteakHouse อันขึ้นชื่อของทางโรงแรม
การันตีด้วยคุณภาพและการบริการ ที่มีมายาวนาน
เป็นอีกหนึ่ง Fine Dining ที่ SOtraveler อยากชวนทุกคนมาอร่อยด้วยกัน
**คลี่ผ้าดัง พรึ่บ !!! วางบนตัก
เริ่มกันเลย
. . . เมื่อเข้ามาในห้องอาหาร สิ่งแรกที่ผมประทับใจ ก็คือ
การบรรจงจัดเรียงอุปกรณ์บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าขาวอย่างประณีต
แถมด้วยการพับผ้าเช็ดปาก ตามแบบฉบับของห้องอาหารที่นี่
ที่จะสามารถคลี่ผ้าออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ผมเองเห็นแล้วรู้สึกประทับใจในรายละเอียดเล็กๆ บนโต๊ะ
ตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดเมนูอาหาร
การจัดเรียงโต๊ะภายในห้องอาหาร กำลังพอดี
ดูไม่เยอะ ไม่น้อยเกินไปครับ นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งภายในห้องอาหาร
ด้วยชั้นวางจานที่ใช้สำหรับรับประทานเสต็ก และไวน์
เพิ่มความโดดเด่นภายในห้องอาหาร มากๆ ครับ
กรณีที่คุณมากันเป็นกลุ่มใหญ่
ทางห้องอาหารก็มีโต๊ะสำหรับบริการลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้เช่นเดียวกันครับ
ซึ่งบรรยากาศภายใน มีการใช้ไฟส่องเป็นจุดๆ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว
ขณะกำลังอยู่บนโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี
ห้องอาหารมีบรรยากาศ ที่สัมผัสได้
ของความเป็น Exclusive Dinner
ห้องอาหารเปิดให้บริการ Opening Hours: 18:00 – 23:00
` ผมก็เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเลยล่ะครับ
เปิดเมนูมา ต้องทึ่งกับความอลังการของการคัดสรร
เนื้อน้ำเข้าเกรดพรีเมี่ยม ที่ทางห้องอาหาร New York บอกเลยว่า
ที่นี่มีการนำเข้าเนื้อวัวที่ดีที่สุด และมากที่สุด ซึ่งกระบวนการคัดสรร
และขั้นตอนกว่าจะผ่านด่าน มาถึงห้องอาหาร
มีการควบคุมและตรวจเช็คคุณภาพอย่างละเอียดยิบ
เรียกว่า ถ้าพบเนื้อที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ตีกลับหมด
ในส่วนของเครื่องดื่มก็ไม่ควรพลาด มาร์ตินี่
...ที่มีรสชาติละเมียดละไม
ได้บรรยากาศความหรู จากมหานครนิวยอร์ค ...
จิบ ครับ จิบ
เริ่มรายการอาหารจานแรก ผมจะเรียกว่าเป็น Complimentary ก็ได้ครับ
เพราะทางห้องอาหารนำมาเสิร์ฟ เปิดมื้ออาหาร เพื่อเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี
ขนมปังก้อน ถือว่าเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของที่นี่ ที่ประกอบด้วยขนมปังถึง 4 ชนิดในก้อนเดียวกัน
ได้แก่ ธัญพืช, หัวหอม, ฟอคกาเซียใส่โรสแมรี่ และถั่วเหลือง เสิร์ฟพร้อมกับ
เนยแบบ เนยล้วนและ เนยกระเทียม
" ตัวเนื้อขนมปังมีความนุ่มสุดๆ จนทำให้ผมยังใจไม่อยู่
รู้ตัวอีกทีขนมปังทั้งจานก็หายวับไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว "
สำหรับผู้ที่`ติดใจ
สามารถขอเพิ่มได้นะครับ อ่อ แต่อย่าลืมอาหารจานหลักที่สั่งไว้ล่ะคับ
เดี๋ยวเพลินกับขนมปังจนอิ่มแปล้เสียก่อน
Lychee Martini แก้วนี้ เป็นค็อกเทลรสชาติละเมียดละไม่ อย่างที่ผมได้เกริ่น
พร้อมเสิร์ฟอยู่ข้างโต๊ะอาหาร
โดยพนักงานจะเตรียมอุปกรณ์มา เช๊ก เช๊ก เช๊ก !! กันถึงโต๊ะ
เพื่อให้รสชาติของส่วนผสมของว้อดก้า น้ำผลไม้ ลิ้นจี่ และเลมอน
ผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มยังคงโดดเด่นทันทีที่ได้สัมผัสกับลิ้นของผู้ดื่ม
แก้วนี้เหมาะกับสาวๆ เป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากแอลกอฮฮล์ไม่เข้มจนเกินไปนะครับ
หลังจากแนะนำ รายการอาหารเริ่มต้นและเครื่องดื่มไปแล้ว
ก็ถึงเวลาเริ่มทานกันแล้วนะครับ ขนมปังนิ่มๆ กับ เครื่องดื่มที่มีรสชาติหอมหวาน
แม้ความรู้สึกว่าทั้ง 2 รายการมีความแตกต่างกัน แต่ตอนเริ่มทาน ความรู้สึก
กลมกล่อมเกิดขึ้นจนผมรู้สึกได้
เมนูสลัดของที่นี่ จะมีพนักงานนำรถเข็นที่มีชามไม้ใบโต เข้ามาเทียบถึงข้างโต๊ะ ผมจะเรียกกิจกรรมนี้ว่า
"พิธีกรรมการทำสลัด" เพราะการปรุงนั้นพนักงานจะเริ่มถามผม ว่าผมสามารถทานอะไรได้บ้าง หรือชอบ
อะไรเป็นพิเศษบ้าง เพื่อที่จะได้บรรจงทำน้ำสลัดจากวัตถุดิบที่ผมชอบ ให้ได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ตรงตาม
ที่ต้องการ
การบรรจงใช้ช้อนคลุกส่วนผสมต่างๆ ด้วยความเร็ว ทำให้น้ำสลัดมีความพองตัวจากฟองอากาศเล็กๆ ขณะที่
กำลังทำน้ำสลัดนั้น คุณโรสได้บอกกับผมว่า บางครั้งถ้าทำแล้วเห็นน้ำสลัดเริ่มมีความพองตัวและมีความหนืด
นั้นก็บอกได้แล้ว ว่าสลัดในวันนั้นจะมีรสชาติอร่อยขนาดไหน ผมเองได้แต่ฟังแล้วก็อุทานอยู่ในใจเบาๆ แทบ
ตลอดเวลา
หลังจากที่คุณโรส ผู้จัดการของที่นี่ได้ทำน้ำสลัดซีซ่าให้ผมเรียบร้อยแล้ว ก็จะตามด้วยการนำผักสลัดทีละน้อย
ค่อยๆ ลงไปคลุกในชามสลัด โดยบรรจงคลุกให้น้ำสลัด กระจายตัวให้ทั่วสลัดแต่ละใบ และต้องค่อยๆ
ปรุงอย่างนุ่มนวล เพื่อให้สลัดคงรูปใบที่สวยงาม ไม่เกิดรอยแตกขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ นำขึ้นมาเสิร์ฟในจาน
เมื่อผักสลัดทุกใบผ่านการคลุกด้วยน้ำสลัดอย่างทั่วถึงและตักขึ้นจานพร้อมเสิร์ฟแล้ว คุณโรสก็ไม่ลืมที่จะโรยชิส
ขนมปังและเบคอนกรอบ เพื่อให้สลัดมีรสชาติสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
หลังจากได้ลิ้มรสซีซ่าสลัดไปแล้ว ก็มาถึงเวลาของ
"Lump Snow Crab Cake"
ซึ่งมองครั้งแรก ก็แอบคิดในใจเล็กๆ ว่า
สิ่งที่เห็นตรงหน้าคืออาหารคาว หรืออาหารหวานกันแน่ แต่พอได้ลองชิมด้านใน อู๊ว หูววววว เนื้อ
ปูเรียกว่าจัดเต็มมากๆ แน่นอยู่ภายในคลุกเคล้ากับมันฝรั่งบด เหมือนรอให้เราได้เซอร์ไพรส์กันเลยจริงๆ ...
เพิ่มเติมอีกนิดถ้าได้บีบเลมอนลงไปอีกนิด จะชูรสอาหารได้ดีเลยครับ
เครื่องเคียงของเนื้อปูนุ่มๆ นั้นจะมาพร้อมกับ สลัดปูอัด และผักสลัด
Grilles Hokkaido Scallop in the Shell , , ,
สุดยอดชองหอยเชลล์ขนาดใหญ่พิเศษที่ทางห้องอาหารจัดเตรียมมา
ความสดของหอยเชลล์ และเนื้อที่หวานฉ่ำ เคล้ากับความหอมของกลิ่นย่างเบาๆ
จึงทำให้เป็นอีกครั้งในชีวิตของผมเลยครับ ที่ได้สัมผัสกับเนื้อหอยเชลล์ได้อย่างเต็มๆ คำ
American Lobster Bisque เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมติดใจมากครับ เพราะเป็น
ซุปล็อบสเตอร์รสเข้มข้นมากกกก (ก.ไก่ล้านตัวเลย)
ชนิดที่กล้าพูดเลยว่า ความเข้มข้นนั้นสุดๆ เท่าที่ผมได้เคยลองเลยครับ แถมในถ้วย ยังมีเนื้อ
ก้ามล็อบสเตอร์ให้ได้เคี้ยวเบาๆ อีกด้วยนะ จำไม่ได้เลยครับ ว่าช้อนแรก จนถึงช้อนสุดท้าย ใช้เวลาไปเท่าไร
รู้แต่ว่า ทุกช้อนที่ได้ตัก ผมรู้สึกถึงความประทับใจในทุกคำจริงๆ ครับ
Black Pepper Crusted Snow Fish
ปลาหิมะกรอบนอก นุ่มใน เป็นปลาหิมะทอดผิวด้านบนให้กรอบ
พร้อมกับพริกไทยดำ กลิ่นหอมเย้ายวนใจสุดๆ เลยครับ
และแล้วก็มาถึงพระเอกของเรา ที่ห้องอาหารภูมิใจนำเสนอมากๆ ถึงขนาดขึ้นรถเข็นกันเข้ามาเลยทีเดียว
"Spice Rubbed Australian Tomahawk Wagyu" เป็นสเต็กเนื้อโทมาฮอว์คชิ้นขนาด 1 กิโลกรัม
ถึงตอนนี้ ผมยอมรับเลยครับ ว่ากลิ่นของสเต็กชิ้นนี้ มันทำให้ความรู้สึกก่อนหน้าทั้งหมด
แทบจะหายไปเลยในทันที เสมือนว่า พระเอกมา งานนี้พระรอง ก่อนหน้าก็ต้องหลบไปเลยนะครับ
เนื้อที่ย่างมากำลังดี ขนาดกำลังพอดี กับคนจำนวน 3 - 4 คน
จากนั้น พนักงานจะค่อยๆ แร่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ และจัดวางเรียงลงบนกระดูก ความฉ่ำของเนื้อแดงๆ แบบมี
เดียมแรร์ งานนี้เห็นแล้วใจละลายเลยครับ
สำหรับท่านที่ต้องการความสุกของเนื้อในระดับที่สูงกว่านี้ ก็สามารถรอได้ครับ เพราะด้านล่างของสเต็ก จะมี
ความร้อนของไฟเบาๆ เพื่อทำให้เนื้อสุกมากขึ้น
ในชุดสเต็กจะเสิร์ฟพร้อมซอส 3 ชนิด คือ BBQ, Blue cheese และ Peppercorn ครับ
นอกจากนี้ จะมีเครื่องเคียงในชุด ประกอบด้วย มันฝรั่งอบโรสแมรี่ (Roasted Kipfler Potatoes with
Rosemary) และ สลัดผักรอคเก็ต ที่มี พาเมซานชีสอยู่ด้านบน (Wild Rocket, Parmesan Cheese
Salad)
นอกจากซอส และเครื่องเคียงในชุดแล้ว ก็ยังมาพร้อมกับ มัสตาร์ดอีก 3 แบบมีทั้ง English Mustard, Dijon
Mustard และ Pommery Mustard สุดแต่เราจะลิ้มลองได้เลยครับ
ผมได้ทำการจิ้มลงบนเนื้อแทบจะทันที ที่อาหารถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ ผมรู้สึกได้ถึงความฉ่ำของเนื้อแทบจะทันที
กลิ่นหอมของเสต็กเนื้อเริ่มทวีมากขึ้น เนื่องจากเนื้อจะถูกย่างให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ท้องของผม อยาก
จะทำงานอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ครับ
"US Prime Surf & Turf" เป็นการรวมตัวของอร่อยกันอย่างกุ้งมังกร เนื้อหวานนุ่ม มาพร้อมกับเสต็กเนื้อ
จาก USA ที่ผ่านการรับรองความนุ่มมาเรียบร้อยแล้ว บอกไม่ถูกว่านุ่มขนาดไหน เอาเป็นว่าพอเอามีดแร่เนื้อ
แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลยก็แล้วกันครับ
พร้อมลุยแล้วครับ
น่าทานจนนั่งถ่ายรูปเฉย ๆ ไม่ไหวแล้วค๊าบ
"Warm Mixed Berries" หนึ่งในขนมปิดท้ายของผม มาจากผลเบอร์รี่สดๆ หลากหลายชนิดทั้ง ราสเบอร์รี่
สตอร์เบอร์รี่ และ บลูเบอร์รี่ และยังมีไอศครีม Haagen-Dazs แม็คคาดิเมียวางอยู่ด้านบน
ก่อนทาน ก็จะมีการราดด้วยซอสเบอร์รี่รวม ออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ได้ชิมซักคำแล้ว จะหยุดไม่อยู่ อันนี้ไม่ได้
พูดเกินจริงนะครับ ทุกคำที่ได้ทาน เกิดความรู้สึกสดชื่น และสบายจริงๆ คงมาจากความกลมกล่อมจากเบอร์รี่
หลากหลายชนิดแน่นอน
"The Chocolate Dream" อีกความหวาน ที่เกิดจากความเข้มข้นของชอคโกแลต ตัดรสด้วยซอสเบอร์รี่
รวมถึงไอศกรีมจาก Haagen-Dazs ด้วยเช่นกัน
การได้มาลิ้มรสอาหารครั้งนี้ มีความสนุกและสาระอยู่เยอะพอสมควรครับ เนื่องจากคุณโรสผู้จัดการประจำ
ห้องอาหารได้เล่าถึงที่มาของวัตถุดิบชั้นเลิศ จากแหล่งกำเนิดระดับท็อปของโลก และมาตรฐานของห้อง
อาหารถึงขนาดมีผู้กล่าวขาน ว่าห้องอาหารแห่งนี้ถือได้ว่าเป็น Steak House อันดับต้นของประเทศกันเลยที
เดียว รวมถึงรูปแบบการบริการของพนักงาน เรียกได้ว่าทานกันไป หัวเราะกันไปเลยทีเดียว
สำหรับผมแล้วนอกจากรสชาติอาหารที่เยี่ยมยอดสมคำร่ำลือ รายละเอียดเล็กๆ แต่สำคัญในเรื่องของการบริการ
ก็ทำให้ผมประทับใจไม่แพ้กันเลย เรียกได้ว่าดีงามเกินมาตรฐานจริงๆ ครับ
แอบกระซิบไว้นิดนึงนะครับ โทรจองก่อน จะดีกว่ามากครับ เพราะลูกค้าประจำที่นี่เยอะจริงๆ และเนื้อที่คัดมา
ก็มีจำนวนจำกัดนะครับ อยากได้เมนูไหน สามารถบอกได้ก่อนด้วยครับ
SOtraveler.COM
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 21.19 น.