ทริปนี้จริงๆ เราวางแพลนจะไปกันตั้งแต่ปี 2563 แต่ปรากฏว่าเจอพิษโควิดเข้าไป ทำให้เราต้องพับแผนไปโดยปริยาย แต่พอเข้าสู่ปลายปี 2564 สถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น แถมเราก็มีวัคซีนเต็มแขนแล้วด้วย สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจหยิบแพลนเดิมขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง

กระดุมเม็ดแรกที่ต้องติดสำหรับทริปนี้ก่อนที่จะดำเนินการอย่างอื่นต่อก็คือ การจองที่พักในบ้านรักษ์ไทยที่มีชื่อว่า ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท” (Leewine Rukthai Resort) ให้ได้ ถึงขนาดที่ว่า ถ้าที่พักเต็ม เราก็จะย้ายวันเดินทางจากช่วงกลางเดือน ก.พ. ไปเป็นช่วงอื่นแทน

เราเริ่มจองที่พักกันแบบจริงๆจังๆ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ย. ปี 64 ซึ่งก็โชคดีที่ยังมีห้องว่างให้เราได้เลือกอยู่ (ณ วันที่เขียน ผมลองเช็คเล่นๆช่วง High season ตั้งแต่ ต.ค. - ม.ค. ปี 66 คือเต็มหมดแล้วนะ แต่เดือน ก.พ. ปี 66 ยังพอได้ลุ้น)

สำหรับการจอง สามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ https://reservation.roomscope.... ได้เลย ซึ่งราคาที่พักก็จะขึ้นอยู่กับช่วงที่เราไปและจำนวนคนที่เข้าพัก แต่ราคาไม่แรงครับ ตอนที่เราไป เราจองบ้านที่ชื่อว่า “บ้านชาหลงจิ่ง” สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 5,700 บาท ไปกัน 6 คน ก็ตกคนละไม่เกิน 1,000 บาท

Tips:

1. ที่พักของลีไวน์บ้านรักไทย ค่อนข้างมีความเก่านิดหนึ่งนะครับ แต่ถ้าใครอยากได้ห้องพักที่ดูใหม่ แนะนำห้องพักโซนบนสุดที่ชื่อว่า “บ้านไวน์ลูกพลัม” (เหมาะสำหรับกลุ่มใหญ่ 6 – 12 คน), บ้านไวน์พีชและบ้านไวน์มะข้ามป้อมที่แบ่งแยกย่อยเป็น 3 ห้อง (เหมาะสำหรับกลุ่มเล็กๆ 2 – 4 คน)

2. หลังจากออกจากที่พักปรากฏว่าเกือบจะทุกคนมีอาการคันบริเวณขา ไม่แน่ใจว่าเกิดจากพวก Bed bug หรือ อาจจะแพ้แมลงหรือพืชบางชนิดจากการเดินแถวไร่ชา ดังนั้น เพื่อความชัวร์แนะนำให้ใส่เสื้อและกางเกงขายาวนอน หรือ ติดปลอกหมอนไปเองจะก็น่าจะดีนะครับ

3. ถ้าเราจองที่พักของ “ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท” ไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีอีกหลายที่พักที่น่าสนใจนะครับ เช่น ชาสารักไทย รีสอร์ท / Wojia我家 (ล่าสุดเห็นว่าปิดปรับปรุง และจะกลับมาเปิดอีกครั้งปี 66) เป็นต้น

4. สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ เห็นว่าทางรีสอร์ทเขาก็ใจดีให้คนนอกสามารถเข้ามาเดินเล่นได้ในช่วงที่แขกเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้ว (ไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาไหน แต่ถ้าจำไม่ผิดคือช่วง 11.00 – 14.00 แต่ยังไงก็ลองเช็คกับทางที่พักดูอีกทีนะ)

หลังจากที่จองที่พักสำเร็จเรียบร้อย เราก็ทำการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักในวันอื่นๆ และรถตู้พร้อมคนขับกันต่อ ปล. เราลองเช็คราคาเช่ารถยนต์มาขับกันเองสำหรับ 6 คนเทียบกับการเช่ารถตู้แล้ว ปรากฏว่าราคาไม่ต่างกันมาก ซึ่งด้วยความอยากสบาย เราเลยตัดสินใจจองลองรถตู้ไปเลยจ้า สนนราคาก็ประมาณ 1,800 บาทต่อวัน + ค่าน้ำมันอีกประมาณ 2,000 บาท ณ ตอนนั้น ซึ่งรวมๆแล้ว 5 วัน ค่าเดินทางก็ตกอยู่ที่ 10,000 นิดๆ หาร 6 คนครับ (ย้ำนะครับ ราคาน้ำมันเป็นช่วงก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ถ้าไปช่วงนี้ รับรองว่าจุกๆแน่นอน)

เมื่อทุกอย่างพร้อม 3 4 ขอเชิญพบกับ “รีวิวบ้านรักไทย – ปางอุ๋ง – ปาย - เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน | Day 1 - 2: บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน" กันเลยยยยย!!!!


Day 1: บ้านรักไทย

เราเดินทางกันตั้งแต่เช้าของวันที่ 16 ก.พ. 2565 ด้วยสายการบิน Thai Smile โดยออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 07.25 และใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ พอมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะหนทางยังอีกยาวไกล เราก็รีบติดต่อไปหาพี่รถตู้ที่จองคิวไว้

หลังจากรถตู้มาถึง เราก็แวะไปทานข้าวเช้ากันก่อน (กองทัพต้องเดินด้วยท้องอ่ะเนอะ) และก็ยิงยาวประมาณ 6-7 ชั่วโมงไปยัง "บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน" ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของเราในวันนี้ ปล. เรามีแวะทานข้าวกลางวันระหว่างทางด้วยนะ จำได้ว่าเป็นร้านเล็กๆ ใกล้ๆปั๊ม PTT

Tips:

1. รถตู้ที่เราใช้บริการชื่อพี่วัฒน์ (ไม่แน่ใจสะกดถูกไหม) เบอร์ติดต่อ 093-192-8281 โดยเราแจ้งแค่เที่ยวบิน + เบอร์ติดต่อ ส่วนค่ามัดจำไม่ต้อง ซึ่งบอกได้เต็มปากเลยว่าพี่เขาบริการดีมาก ก.ไก่ ร้อยตัว ทุกคนในทริปประทับใจหมดครับ ถึงขนาดทริปต่อไปที่เราจะไปเชียงราย-น่าน ในช่วงปลายปี ก็ต้องกลับไปใช้บริการพี่เขาอีกครั้ง

2.สำหรับคนที่ขับรถมาให้เติมน้ำมันที่ปั๊มแถวๆ ตัวเมืองปายมาเลยนะครับ หรือ ถ้าจำไม่ผิด ถ้าเลยปายมาแล้วก็จะมีปั๊ม PT (นิยมบริการ) อยู่ เพราะข้างบนแถวบ้านรักไทยเหมือนจะไม่มีปั๊มแล้ว อีกทั้งบางคนขึ้นมาทั้งทีอาจจะขับรถไปเที่ยวปางอุ๋งด้วยเลย จะได้ไม่เสียเที่ยว ดังนั้นคนขับต้องคำนวณเชื้อเพลิงดีๆนะ

หลังจากนั่งรถกันจนก้นด้าน เราก็มาถึงบ้านรักไทยกันแล้วครับ ส่วนถามว่าเส้นทางมันยากลำบากไหม ก็ขอบอกเลยว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะนั่งหลับมาเกือบทั้งทาง จำได้แค่ตอนเจอโค้งเยอะๆ ยาเมารถที่กินมาก็เหมือนจะเอาไม่ค่อยอยู่ แต่จากที่ได้อ่านรีวิวมา คิดว่าน่าจะไม่ยากเกินความสามารถของคนที่ขับรถได้อยู่แล้วและทางก็ไม่ได้ชันมากนะครับ

ก่อนเข้าชมบรรยากาศบ้านรักไทยก็ขอเข้าสู่ช่วงสาระมีอยู่จริงกันซะหน่อย เผื่อทุกคนจะได้มีเอาไปเล่นเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้คนในทริปฟังได้

"บ้านรักไทย ชื่อนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นการแตกแบงค์พันเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยแต่อย่างใดนะครับ ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานที่ในสมัยอดีตเคยเป็นทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) หรือที่เรารู้จักกันว่า ก๊กมินตั๋ง"

หลังจาก Check-in กับทางที่พักเรียบร้อย เราก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบ Slow life เดินสำรวจหมู่บ้านพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงเย็น สังเกตได้ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงวัฒนธรรมแบบจีนไว้อย่างเหนียวแน่น มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และมีบ้านเรือนที่ทำจากดินโอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของไร่ชาที่ไล่ระดับและทิวเขาที่สวยงาม ซึ่งเหมาะมากกับการหลีกหนีความวุ่นวายเพื่อมาหาความเงียบสงบ

บ้านรักไทยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร เพราะฉะนั้นเลยทำให้พื้นที่แห่งนี้มีอากาศเย็นสบายเกือบทั้งปี ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชาและขาหมูหมั่นโถว โดยเราก็ได้แวะมาทานอาหารเย็นกันที่ร้านลีไวน์รักไทย ซึ่งน่าจะเป็นร้านที่ดังที่สุดของที่นี่แล้ว

นอกจากการนั่งจิบชาท่ามกลางอากาศดีๆ แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การปั่นจักรยานชิลๆรอบหมู่บ้าน หรือจะนั่งเรือล่องไปในอ่างเก็บน้ำกลางหมู่บ้านก็ได้ ซึ่งถ้าอากาศหนาวจัดก็จะมีหมอกคลอสายน้ำให้ได้ชมกัน ซึ่งในวันถัดไป เราวางแพลนว่าจะไปล่องเรือกันครับ


Day 2: บ้านรักไทย - ปางอุ๋ง

เนื่องจากเราจองเรือช้า (จองก่อนเดินทางมาถึงประมาณ 15 วัน) ก็เลยได้ขึ้นเรือรอบเร็วสุด 8.20 แต่ด้วยความที่เราอยากตื่นขึ้นมาดูหมอกยามเช้า ก็เลยถือโอกาสก่อนขึ้นเรือเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบไปพลางๆ ซึ่งวันนี้โชคดีที่เราได้เห็นหมอกในยามเช้า ถึงจะไม่มาก เป็นแค่หมอกจางๆและควัน แต่ก็บอกได้เลยว่า ฟินสุดๆ

เมื่อใกล้ถึงเวลานัด เราก็มา Standby รอขึ้นเรือ ถ้าใครกระหายน้ำก็สามารถไปนั่งจิบชาหรือจะจิบชานมไข่มุกแบบเกร๋ๆได้นะ ส่วนถ้าใครยังมีแรงเหลือก็ตามเก็บภาพบรรยากาศรอบๆได้ มีมุมสวยๆให้ถ่ายเยอะเลย ปล. ดอกไม้สีชมพู คือ ดอกพญาเสือโคร่งที่จะบานพร้อมกันหลายจุดในทะเลสาบและในหมู่บ้านช่วงกลางเดือน ม.ค. เป็นต้นไป

ถ่ายรูปไปมาบนฝั่งสักพัก ก็ถึงคิวเราขึ้นเรือสักที ซึ่งหลังออกเรือไปได้สักพัก ปรากฏว่ามีเพื่อนในทริปคุกเขาขอแต่งงานบนเรือแบบไม่บอกกันล่วงหน้าจ้า หยิบกล้องมาถ่ายให้แทบไม่ทัน ตื่นเต้นและลกไปหมด ใครสนใจเอาไปเป็นไอเดียขอแต่งงานได้เลยนะเนี่ย Romantic สุดๆ

เราใช้เวลาล่องเรืออยู่ประมาณ 30 – 40 นาที จากนั้นก็แวะทานเข้าเช้ากันที่ร้านลีไวน์รักไทย ร้านเก่าเจ้าเดิมกับเมื่อวาน และก็ไม่ลืมซื้อของฝากพวกใบชาต่างๆนาๆติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย

Tips:

สำคัญมากๆ!!!! การนั่งเรือล่องในอ่างเก็บน้ำ ถ้าอยากได้เวลา Golden time เช่น 6.30 – 7.30 ที่เราจะมีโอกาสเห็นหมอกพร้อมกับแสงพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะขึ้น (ถ้าเอาให้ชัวร์ประมาณ 7.00 น่าจะเซฟสุด) แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป ไม่ควรไปจองหน้างาน โดยสามารถแอดไลน์ Leewai Boat (093-538-8172) ไปได้เลยครับ โดยเรือ 1 ลำจะนั่งได้สูงสุด 4 คน (ถ้านั่ง 2 คน ราคา 390 / 3 คน 450 บาท / 4 คน 550 บาท) ปล. ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ราคาจะปรับขึ้นตามเงินเฟ้อแล้วหรือป่าว

และเนื่องจากที่พักให้ Check out 11.00 เราก็เลยต้องรีบกลับไปเก็บข้าวเก็บของ เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป นั่นก็คือ ปางอุ๋ง” ที่ซึ่งไม่ไกลจากบ้านรักไทยมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึง

    ก็จบไปแล้วกับ "รีวิวบ้านรักไทย – ปางอุ๋ง – ปาย - เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน | Day 1 - 2: บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน" โดยรีวิวตอนต่อไปจะเป็นภาคต่อ "รีวิวบ้านรักไทย – ปางอุ๋ง – ปาย - เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน | Day 2 - 3: ปางอุ๋งยังไงก็รอติดตามต่อได้เลยน๊าา เร็วๆนี้ 

    พิกัด:

    ภาพถ่ายทั้งหมดโดย (By My Side: ผลัดกันถ่าย)

    ติดตามทริปอื่นๆของพวกเราได้ที่:

    By My Side: ผลัดกันถ่าย

     วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 18.42 น.

    ความคิดเห็น