หลายครั้งของการท่องเที่ยว

ระหว่างทางที่ขับรถผ่านคือเสน่ห์และความสนุกชั้นดีที่ทำให้ตลอดทริปนั้น กลายเป็นความทรงจำที่ประทับใจไม่แพ้ปลายทาง

จากประสบการณ์การเดินทางในช่วงที่ผ่านมาหลายปีของผม ประเทศไทยมีถนนหลายสายน่าขับรถท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย หรือที่เรียกกันว่า “Road Trip“ ซึ่งเป็นการสำรวจและให้ความสำคัญระหว่างทางพอๆ กับจุดหมาย เพราะแต่ละแยกหรือแต่ละโค้งอาจมีรายละเอียดที่น่าสนใจในแบบที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ เหมือนกับถนนเส้นนี้ครับ “สวนผึ้ง - สังขละบุรี”

คนที่ไปเที่ยวอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี จะรู้จักกันอย่างดีในแง่ของความสวยงามของธรรมชาติ ที่พักสวยสะดวกสบาย มีกิจกรรมให้อาหารสัตว์ แต่อีกมุมหนึ่งเมื่อขับรถออกจากถนนหลัก 3028 แล้ว เราจะพบกับเส้นทางเลียบเทือกเขาตะนาวศรีที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า และนี่เองครับเป็นจุดเริ่มของ Road Trip

เส้นทางหมายเลข 4019 จะพาเราไปค้นหาความสวยงามที่ซ่อนตัวอยู่…เพียง 10 กม. ใครจะรู้บ้างว่า? ที่นี่เคยเป็นเหมืองแร่ที่ชื่อว่า “เหมืองตะโกปิดทอง” มาก่อน ยุครุ่งเรืองจะอยู่ราว พ.ศ. 2480 ทั้งคนไทย กะเหรี่ยง มอญ ต่างมีชีวิตที่สุขสบายก่อนร่วงโรยไปตามกาลเวลาในช่วงปี พ.ศ. 2535 หากอยากเห็นเหมืองเก่าในมุมสวยๆ และสูงๆ ก็ไม่อยากครับ ที่ท้ายหมู่บ้านจะมี “สำนักสงฆ์เขาหัวช้าง” หรือวัดบางหญ้าแพรกตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ พร้อมกับเจดีย์สีทองเหลืองอร่าม ศิลปะไทยผสมผสานกับพม่า ตั้งตระหง่านตัดกับเทือกเขาที่เล่นระดับสูงต่ำ ซ้อนทับกับต้นไม้ที่ปกคลุมอยู่มากมาย จนไม่น่าเชื่อว่าที่นี่เคยเป็นเหมืองแร่ดีบุกมาก่อน

ภูเขาที่คดเคี้ยวก่อนจากสวนผึ้ง พาให้คิดไปว่าอยู่ภาคเหนือที่มีโค้งซ้ายทีขวาทีให้ตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ไม่ต้องห่วงครับ เส้นทางนี้ลาดยางเป็นอย่างดี เพราะชาวบ้านในพื้นที่ใช้เป็นทางสัญจรหลัก เพื่อขนส่งสินค้าเกษตรอย่างเช่นอ้อยและข้าวโพด เราจะเห็นภาพวิถีชีวิตของเกษตรกรเช่นนี้อยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งเข้าสู่อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี บนเส้นทางหลายเลข 4024 จะเปลี่ยนเป็นภาพของไร่มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำเยอะ ส่งผลให้ที่นี่มีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กๆ อยู่มาก วิวสองข้างทางช่วงนี้จึงดูเพลินๆ ไปอีกแบบครับ

ผมยังเลาะเลี้ยวต่อไปสู่ทางหลวงหมายเลข 3209 เพื่อพบกับความอันซีนที่อยู่ในพื้นที่ของกองผสมสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก นั่นคือ “ต้นจามจุรียักษ์อายุ 100 กว่าปี” กิ่งก้านของเขาแผ่ขยายไปรอบด้านกินอาณาเขตถึงหนึ่งไร่ครึ่ง! ขนาดลำต้นต้องใช้มากกว่า 10 คนโอบครับ ผมสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุเกือบ 90 ปี บอกว่าไม่รู้ว่ามีใครมาปลูกต้นจามจุรีนี้ เห็นตั้งแต่เด็กก็สูงโตมากๆ และโตขึ้นอีกเรื่อยๆ อย่างที่เห็นกัน สำหรับเทรนด์ฮิตปัจจุบันของที่นี่คือ หนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานทั้งในกาญจนบุรี จังหวัดใกล้เคียง หรือไกลถึงเชียงใหม่ นิยมมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันมากขึ้น คล้ายๆ จะบอกว่าความรักกำลังจะขยายกิ่งก้านแก่กันและกันตลอดไป…ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่และซึ้งดีครับ

พิกัดของการเดินทางต่อไปคือเส้นทางหมายเลข 323 สิ่งที่ไม่อยากให้พลาดก่อนพ้นอำเภอไทรโยคคือ “พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด” ผมยืนยันได้เลยว่านี่คือพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดในเมืองไทยครับ แต่ละจุดที่เดินไปตามช่องเขาขาดจะสัมผัสได้ถึงภาพและเสียงที่อธิบายในหูฟัง ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ที่ยากที่สุดในการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ หรือที่เรียกกันว่า Hell Fire ช่องไฟนรก ซึ่งมีที่มาจากคบเพลิงที่ถูกจุดไว้ทั้งวันทั้งคืน 24 ชม. เพื่อบังคับและเร่งให้เชลยศึกขุดเจาะช่องเขานี้ให้เป็นทางรถไฟไปยังพม่าให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จเพราะญี่ปุ่นแพ้สงครามในครั้งนั้น

เส้นทางนี้ยังพาเลาะเลียบไปกับเทือกเขาตะนาวศรี ผ่านโค้งที่ค่อยๆ สูงชันขึ้น หยุดพักสักนิดตรง “ป้อมปี่” ก่อนก็ดีครับ แต่อย่าคิดว่าที่นี่มีป้อมอะไรตั้งอยู่ ชื่อนี้เพี้ยนมาจากคำว่าเปอปี่ แปลว่าต้นอ้อที่มีอยู่มากในภาษากะเหรี่ยง ทำให้มีลมเย็นๆ พัดตลอดเวลาริมเขื่อนวชิราลงกรณ กับวิวพาโนรามา 180 องศาเลยครับ จากนี้เพียง 20 กม. เราจะถึงจุดหมายของทริปนั่นคือ “สังขละบุรี” ที่บรรจุวิถีชีวิตของคนไทย มอญ พม่า และกะเหรี่ยงไว้ได้อย่างลงตัว หลักฐานที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ “สะพานมอญหรือสะพานไม้อุตตมานุสรณ์” มีความยาวประมาณ 450 เมตร ถือว่ายาวที่สุดในประเทศ และเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสะพานอูเบ็งของพม่าที่มีความยาวกว่า 2 กม.

สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับสังขละบุรีคือ “การล่องเรือเที่ยวเมืองบาดาล” หรือวัดวังก์วิเวการาม (เก่า) ที่จมน้ำหลังการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ใน พ.ศ. 2527 เป็นสถาปัตยกรรมที่อัศจรรย์และโด่งดังไปทั่วโลก ใครที่มาในช่วงพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จะสามารถเดินเข้าไปชมโบสถ์ที่จมน้ำมาตลอดปีได้สบายๆ และลุงเณรผู้บุกเบิกล่องเรือเมืองบาดาลเสริมให้ฟังอีกว่า “…ไปอีกฟากหนึ่ง เราจะเจอดกับวัดสมเด็จ (เก่า) ถึงเป็นอันซีนใหม่เลยนะครับ เพราะเป็นสถานที่เดียวในสังขละบุรีที่ไม่จมน้ำตอนสร้างเขื่อน พระพุทธชินราชจำลองที่เป็นพระประธานยังสมบูรณ์มากๆ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปีแล้ว” แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นจริงๆ ครับ ด้วยความที่วัดนี้อยู่บนเนินสูง น้ำจึงไม่สามารถท่วมถึงได้ โบสถ์ที่ตั้งอยู่อาจผุกร่อนไปตามเวลาบ้าง แต่ความสวยงามนั้นประทับใจแน่นอนครับ

ระยะทางทั้งหมดประมาณ 250 กม. จากสวนผึ้งสู่สังขละบุรี เสมือนการดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีวิถีชีวิตและสถานที่ต่างๆ ให้ค้นหาเรื่องราว ภายใต้เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สามารถเก็บเกี่ยวความสนุกได้ทุกหลักกิโลเมตร

งั้นอย่ารอช้าครับ…สตารท์รถ! กับ Road Trip นี้กันได้เลย

...

สามารถติดตามเส้นทางการเดินทางของ#GetRoute เพิ่มเติมได้ที่

https://linktr.ee/getroute292022

...

#GetRoute

#TravelRouteSetter

#GetRouteClub

#การรับรู้เป็นประสบการณ์จริงด้วยการเดินทาง

#Thailand

GetRoute Official

 วันพฤหัสที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 15.20 น.

ความคิดเห็น