วันนี้ รีวิวกระบี่ค่ะ ไม่เกริ่นนำอะไรมาก เอารายละเอียดคร่าวๆ ไปก่อน

ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน (ช่วงเดือนพฤษภาคม 59 กลับมาปุ๊ป ฝนฟ้าคะนองนาปั๊ป)

การเดินทาง รถยนต์บ้าง เรือบ้าง สลับกันไปมา

งบประมาณ 6000++ บาท ต่อคน

อุปกรณ์ประกอบการถ่ายภาพ :: Fuji, Canon, Iphone6s

ปกติถ้าเดินทางไกลๆ แบบนี้จะไปเครื่องบินก่อนแล้วค่อยไปเช่ารถขับเพื่อประหยัดเวลาและพลังงาน จริงๆ ชอบนั่งรถไปเรื่อยๆ นะ แต่ด้วยความสามารถส่วนตัวแล้วทำไม่ได้ เลยต้องเจอกันคนละครึ่งทาง แต่คราวนี้เพื่อนร่วมทริปบอก ขับรถไปกันดีกว่า (ก็ดีซิฮ้า...ได้ชื่นชมวิวสองข้างทางอย่างที่ตั้งใจ)

ไปตอนกลางคืน กะเช้าที่กระบี่ออกเที่ยวได้เลย (แป่ว)

เอานะ ขากลับยังมี road trip จึงเกิดขึ้น

เราออกเดินทางจากย่านรังสิตประมาณทุ่มกว่าๆ ค่ะ รถติดพอสมควรชวนให้ง่วง แวะกินข้าวเย็นในปั๊มแถวเพชรบุรี ปั๊มที่สองจากแยกปากท่อ วังมะนาว ปั๊มที่โฆษณาว่า ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แวะกินก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟคนละชาม สองชาม (ไม่ได้ถ่ายภาพไว้ คือลืม+หิวมาก)

จบจากมื้อเย็นใครมีหน้าที่ขับก็ขับไป ส่วนเรามีหน้าที่หลับนอนค่ะ ตื่นเป็นระยะๆ (ช่วงชุมพร เรียกทั้งจังหวัดเลยแล้วกัน ถนนแย่มาก เป็นปัญหาต่อการหลับนอนอย่างยิ่ง) เส้นทางที่ใช้จากชุมพรไปสุราษฎร์ค่ะ ระยะทางประมาณ 800 กว่ากิโล ไปเช้าแถวๆ สุราษฎร์ ได้วิวสองข้างทางมาให้ชม อย่าถามนะว่าแถวนี้คือส่วนไหนของสุราษฎร์

เราแวะปั๊มเพื่อแต่งหน้าเตรียมท่องเที่ยวแถวๆ นั้นค่ะ ตั้งใจแรกจะเข้าเมืองไปกินอาหารเช้าในเมือง เค้าเรียกว่าไรนะ แต่เตี้ยมหรืออะไรนี่หละ แต่ดูเวลาแล้วกว่าจะเข้าเมืองคงสายพอดี จังหวะไม่ได้ เลยเปลี่ยนใจกินข้าวราดแกงง่ายๆ ที่ปั๊มแล้วกัน ค่อยไปหนักมื้อกลางวันแทน อาหารใต้มื้อแรก เผ็ดมากกกกก (จริงๆ เลือกเมนูกลางๆ นี่หละ แต่เค้าทำเผ็ดไปนิด)


อิ่มแล้ววิ่งยาวๆ เข้าเมืองค่ะ เก็บวิวมาฝากอีกเล็กน้อย


แวะเที่ยวจุดแรก ไปดูจุดชมวิวตรงอนุสาวรีย์ปูดำ ที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือพอดี ว่ากันว่าตรงนี้วิวดีค่ะ เพราะจะเห็นเขาขนาบน้ำเป็นฉากอยู่ด้านหลัง ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ปูดำ จะ อนุสาวรีย์นกออก (นกอินทรีย์) ซึ่งถือเป็นนกประจำท้องถิ่น ปูดำ และนก ถือเป็นสัตว์ที่แสดงความอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดค่ะ (ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ไม่ได้มีความรู้ด้วยตัวเองหรอกนะ จะบอกให้) ตรงนี้ถือเป็นกิโลเมตรที่ 0 ด้วย


ต่อจากนั้นเราแวะไปสุสานหอยกันค่ะ น่าเสียดายที่วันที่ไปน้ำขึ้นทำให้เดินลงไปด้านล่างไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้ดูหอย เราก็ดูหิน ถือว่าซ้อมดูวิวทะเล


จากสุสานหอย เราลัดเลาะเลียบหาดไปค่ะ ตั้งใจอีกเช่นกันว่าอาจจะลงเดินเล่นชายหาดก่อนนั่งเรือไปเกาะ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะค่ะ น้ำขึ้นจนจะเกยถนนอยู่ละ หาดเหิดไรเลยไม่ได้เดิน ได้แต่มองจากในรถไปเพลินๆ ถือว่าซ้อมดูวิวทะเล (อีกแระ)


เราจอดรถกันที่อ่าวนางค่ะ แวะไปติดต่อเรื่องเรือที่จะพาทัวร์เกาะแล้วไปกินข้าวกลางวันกันก่อนกับร้านเคียงธารา อยู่ติดๆ กับที่จอดรถและบูธเรือเช่า ไปถึงร้านประมาณ 11 โมง คนยังไม่เยอะค่ะ

คนนึงมุ่งมั่นกับหอยชักตีน อีกคนก็มุ่งมั่นกับสะตอ ทริปนี้เลยมีสองเมนูนี้เยอะหน่อย ส่วนเราอาหารใต้ไม่ถนัดไม่เผ็ดมากก็กินได้ (เกือบ) หมด (มั๊ง) สั่งกันเบาๆ ค่ะ 4 คน

ส้มตำปูม้า

ยำหอยแครง

สะตอผัดกุ้ง

หอยตลับผัดโหระพา

หอยชักตีน

ปลาทรายทอดกระเทียม

นั่งกินกันเงียบๆ เก็บเรียบทุกจานนะฮ้า...


ได้เวลาออกทะเลกันแล้วค่ะ ด้วยสังขารอันชราโรยมติเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะไม่เก็บทุกเกาะในวันเดียว ใครทำได้ แต่เราทำไม่ได้ มีเวลา 2 วันค่ะ ค่อยๆ ไป เราเหมาเรือไปเพื่อความเป็นส่วนตัว (เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก) ราคาต่อคนอาจจะแพงกว่ารวมกันไปแบบเต็มลำนิดหน่อย แต่เที่ยวแบบอิสระดีค่ะ โปรแกรมที่เลือก คือ หมายเลข 5 5 เกาะ (ปอดะ ไก่ ทะเลแหวก ถ้ำพระนาง ไร่เลย์) เหมาๆ 2,200 บาท บนฝั่งมีห้องน้ำไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ แต่...ค่ะ...แต่...จังหวะไม่ดีเจอทัวร์เพิ่งลงเรือกลับมานะ ห้องน้ำนี่จะชุลมุนทันที ขาไปเราสงบเรียบร้อยค่ะมาเจอตอนขากลับ

ข่าวฝากที่ 1 ปรับปรุงห้องน้ำให้รองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

เริ่มเดินทางเก็บเกาะกันค่ะ


เกาะแรกที่ “ไร่เลย์" ที่นี่มีที่พักไว้บริการด้วย สแกนด้วยความรวดเร็วส่วนใหญ่เป็นต่างชาติค่ะ เนื่องจากมีที่พักไว้บริการเลยดูไม่ค่อยสงบเงียบเท่าไหร่


ไปต่อเกาะที่สอง กับ “ถ้ำพระนาง" ลักษณะคล้ายๆ กับที่แรกแต่ที่นี่ชื่อก็บอกแล้วว่าถ้ำ ดังนั้นมีถ้ำค่ะ สุดทางลิบๆ เดินไปเรื่อยๆ

คำแนะนำที่ 1 เก็บรองเท้าไว้บนเรือให้เดินเท้าเปล่าได้เลยจะสบายกว่า

เกาะที่สาม สี่ อยู่ติดกันค่ะ สามารถเดินต่อถึงกันได้ (ถ้าไม่ขี้เกียจแบบเรานะ) “ทะเลแหวก" กับ “เกาะไก่"

คำแนะนำที่ 2 ที่นี่ให้ใส่รองเท้าเดินค่ะ

เพราะตลอดแนวหาดทรายมีเปลือกหอย และหินค่อนข้างเยอะ เรานี่พลาดเลยลงไปเดินแบบย่องเงียบกันไป ช่วงที่ไปนักท่องเที่ยวเยอะค่ะ ไทย จีน ฝรั่งมาหมด ได้ถ่ายรูปหมู่กันไป

คำแนะนำที่ 3 ถ้าเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะๆ ให้ใจเย็นๆ ค่ะ เพราะเค้าจะมาเป็นกลุ่มแล้วรีบมารีบกลับ ดังนั้น รอจังหวะเค้ากลับ ทะเลก็เสร็จเรา

พอคนน้อย ชายหาดก็เป็นของเราค่ะ


เกาะที่ห้า จบครึ่งวันทริปของเราที่ “เกาะปอดะ" เริ่มเหนื่อยขึ้นเรือ ลงเรือ เกาะนี้เน้นนั่งพักใต้ต้นไม้แทน


กลับขึ้นฝั่งเข้าที่พักค่ะ จองที่พักไว้ชื่อ ANYAVEE TUBKAEK BEACH RESORT ทั้ง 2 คืนเลย เคยรีวิวส่วนของโรงแรมไว้แล้วจากกระทู้

https://th.readme.me/p/3939

มื้อเย็นตกลงกันว่าเข้าไปหาอะไรกินในเมืองค่ะ มื้อนี้กับ “ร้านน้องโจ๊ก" แปะ GPS :: 8.050507, 98.917036

อาหารโดยรวมอร่อยทุกอย่างค่ะ มีบางอย่างหน้าตาแปลกๆ ไปบ้างแต่พูดไป กินไป แล้วก็หมดกันไป

แกงกะทิเนื้อปู เส้นหมี่ (น้ำแกงค่อนข้างเผ็ดแต่หวานมันกลมกล่อม ปูหมดแต่อยากได้น้ำแกงกลับไปคลุกข้าวกินต่อที่บ้าน)

กุ้งผัดกะปิสะตอ

ปลากระบอกต้มส้ม (ขอไม่เผ็ดไป ได้ตามที่สั่งค่ะ แต่เอาจริงๆ นะ อย่าไปสั่งเลยไม่เผ็ดนะ ลองกินรสมือดั้งเดิมเลยจะดีกว่า)

ใบเหลียงผัดไข่ (เมนูนี้ที่ว่าหน้าตาแปลกไป ปกติจะเป็นแบบผัดมาพร้อมกับไข่เลย อันนี้ออกแนวเอาไข่มาโปะไว้ด้านบน แต่หมดนะ ที่บ่นๆ ก็บ่นไปงั้นๆแหล่ะค่ะ)

กรรเชียงปูนึ่ง (เนื้อหวาน น้ำจิ้มเด็ด หักคะแนนที่น้อยไปนิด)

นอกจากอาหารคาวแล้ว ที่นี่มีของหวานเป็นถ้วยๆ ใส่ตะกร้ามาวางไว้ให้ตามโต๊ะค่ะ ไม่สั่งแต่ร้านจะเสิร์ฟ ไม่กินไม่ว่า แต่ดูหน้าตาแล้วเชื่อเถอะค่ะว่าต้องโดนกันบ้างหละ


วันที่สองที่กระบี่ มี 2 ทางเลือกค่ะ ทางแรก คือ ไปสระมรกต ทางที่สอง คือ ไปทัวร์เกาะ ช่วงเช้าใจเอียงไปทางสระ แต่เดินไปเดินมาเห็นเรือจอดรถนักท่องเที่ยวอยู่ตรงหาดหน้าโรงแรมเลย ถามราคาก็แพงกว่าไปเหมาลำที่ท่าเรือตรงอ่าวนางประมาณ 2-300 บาท (ต่อลำ) มติเป็นเอกฉันท์ ไปเกาะค่ะ วันนี้เราเลยทัวร์เกาะกันอีก เก็บอีก 3 เกาะ ราคาเรือเหมาลำ 2300 บาท


ออกเดินทางสู่เกาะแรกกันค่ะ กับ “เกาะห้อง" การเดินทางเข้าเกาะนี้จะพิเศษกว่าเกาะอื่นๆ นิดหน่อยตรงที่เราต้องเดินข้ามทุ่นยาวๆ นี้ไปค่ะ น้ำจะพัดทุ่นให้ซ้ายทีขวาที เชือกที่มีให้เกาะก็มีบ้าง ขาดบ้าง เลยใช้เวลากันพักใหญ่ๆ กว่าจะถึงพื้นทราย ว่ายน้ำเข้าฝั่งไปเร็วกว่า


ที่นี่หาดทรายละเอียด และสวยกว่าเกาะที่ไปมาวันแรกค่ะ ชอบทรายกับวิวเกาะนี้มากกว่า นอกจากเดินเล่นแล้วที่นี่มีจุดให้นักท่องเที่ยวได้ดำน้ำตื้นดูปลา จะมีการกั้นเขตพื้นที่ที่สามารถดำน้ำได้เพื่อความปลอดภัย


ตอนแรกก็ว่าจะดำนะ ถือสนอคเกิ้ลลงมาด้วย พอคลื่นแรงขาไม่ถึงเท่านั้นแหล่ะ....ป๊อดเลยคร่า...


อยู่ที่เกาะนี้ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ เกาะที่สอง เรียก “ลากูน" ต่อจากเกาะห้องมานิดเดียว ถ้าน้ำไม่ลึกให้เดินอ้อมเขาไปค่ะ (ไม่ใช่แล้ว) ลักษณะเป็นภูเขาที่โอบล้อมรอบเข้าด้วยกัน และมีช่องทางให้เข้าระหว่างภูเขาสองลูก ด้านในเลยมีลักษณะเป็นห้องที่มีภูเขาเป็นผนังค่ะ น้ำตื้นสามารถเดินเล่นได้ แต่อย่าไปไกลนะ ดูสีน้ำด้วย ถ้ามืดๆ ดำๆ นั่นหนะลึก


เกาะสุดท้าย “เกาะผักเบี้ย" ก็ตามสเต๊ปเดิมค่ะ เกาะสุดท้ายมักจะนั่งพักใต้ต้นไม้ อาศัยแพนๆ กล้องถ่ายวิวด้านนอกไป ช่วงสนทนากับคนขับเรือ

ชาวคณะ :: เกาะนี้เด่นเรื่องอะไรอ่ะ

ชาวเรือ :: หอยเม่นครับ

ชาวคณะ :: หอยเม่น?? หืมมมม

ชาวเรือ :: เดินระวังๆ ก้อนดำๆ ที่พื้น หอยเม่นจะตำเท้าเอา

ชาวคณะ :: อ้อออออออออ

ปิดจบภารกิจทัวร์เกาะค่ะ


ขากลับน้ำลดทรายโผล่ เรือเลยจอดส่งได้ไกลๆ ต้องเดินฝ่าแดดเข้าไปอีกพอสมควร


กลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่ายสอง แวะกินกลางวันที่พักแบบเบาๆ เน้นว่าเบาๆ เพราะพวกเราเน้นอาหารเย็น มาลงตัวที่พิซซ่าค่ะ จัดไป 1 ถาด ครึ่งหนึ่งเป็นหน้าซิกเนเจอร์ของโรงแรม ชื่อหน้า “บล่าๆๆ อัญญาวี" ส่วนอีกครึ่งเป็นหน้ามาตรฐานฮาวายเอี้ยน ค่ะ เครื่องแน่น รสชาติดี ฝีมือเยี่ยม ช่วง 5 โมงเย็นเป็น happy hours ซื้อเครื่องดื่ม 1 แถม 1 เลยลองไปซัก 1 รสชาติเข้มข้นดีค่ะ


ช่วงเย็นเราคุยกันว่าจะไปหาของกินในถนนคนเดินค่ะ ใจนี่คิดถึงถนนคนเดินเชียงใหม่เลยนะ 3 ชั่วโมงเดินไม่ทั่วอ่ะ ปรากฎว่าผิดคาด ที่นี่เป็นถนนสายสั้นๆ เดินเร็วๆ สุดถนนแระ

คำแนะนำที่ 4 ใครขับรถไปจอดตามซอยต่างๆ ในเมือง อย่าไปจอดฝั่งที่มีเสาไฟฟ้านะคะ เพราะตรงนั้นถิ่นนกค่ะ ขาไปไม่มีอะไร

แต่ขากลับขี้นกเต็มคันอ่ะ

รอบนี้เราไม่โดนค่ะ เพราะรอบที่แล้วเพื่อนที่ไปด้วยโดนมาแล้วเลยบอกต่อ

จอดรถห่างจากสายไฟเรียบร้อย เราแวะกินโรตีเจ้าดังก่อนค่ะ โชคดีที่ตอนไปคนยังไม่เยอะมากได้โต๊ะไว แต่ระหว่างกินก็มีโดนกดดันจากลูกค้าที่ยืนรออยู่บ้างนะคะ

อย่างที่บอกค่ะถนนคนเดินที่นี่สายตรง และสั้นมาก ตั้งใจจะหาโต๊ะนั่งกินที่นั่นเลย มีจัดโต๊ะนั่งกินไว้พอสมควรค่ะ แต่เต็มนะ ก็เลยเปลี่ยนใจซื้อกลับไปกินที่โรงแรมแทน


ตอนแรกดูว่าซื้อไม่เยอะนะ แต่พอไปกองรวมกันเท่านั้นแหล่ะ เยอะแฮะ


วันที่ 3 กลับแล้วค่ะ ขากลับเราไม่รีบค่ะ (ถ้ารีบก็มาเครื่องแล้วซินะ) แวะเก็บนู้นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ที่แรก “ท่าปอม คลองสองน้ำ" ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะแวะ สารภาพว่าได้ยินเป็น “ท่าปอม คลองส่งน้ำ" เราก็คิดในใจ เฮ้ย พามาดูคลองส่งน้ำ คลองระบายน้ำ เนี๊ยะ...นะ จนกระทั่งเจอป้ายถึงได้รู้ว่า เอ่อ...หูเพี้ยนไปเยอะเลย


ความพิเศษของที่นี่อยู่ตรงน้ำเป็น 2 สี ค่ะ สีฟ้า และเขียวแบบตัดกันชัดเจน แต่ขึ้นอยู่กับเวลาและน้ำทะเลหนุน

ถ้าเป็นขึ้น 12 ค่ำ – แรม 5 ค่ำ น้ำทะเลหนุนสูงไปรวมกับน้ำจืดในคลอง น้ำก็จะกลายเป็นสีฟ้าขุ่นๆ

เมื่อน้ำทะเลลง น้ำจืดก็กลับมา จะมองเห็นเป็นสีเขียวใสแจ๋ว จุดที่สวยงามอีกจุดคือนอกจากน้ำจะเป็นสีเขียวใสแล้ว ใต้น้ำจะเต็มไปด้วยรากไม้ที่ที่แตกรากเลี้อยเลาะไปตามคลอง บางรากอยู่ใต้น้ำ บางรากก็โผล่ขึ้นมา เป็นเหมือนภาพวาดใต้น้ำค่ะ

เราโชคไม่ดี ไปตอนน้ำทะเลขึ้น เค้าเรียกว่า “น้ำใหญ่" เลยได้สีฟ้าขุ่นๆ ไปชมแทน

คนดูแลด้านหน้าบอกว่าซักบ่ายสามเดี๋ยวน้ำก็ลง ให้แวะมาดูใหม่นะ ตั๋วที่จ่ายไปไม่ต้องซื้อใหม่ วันเดียวเที่ยวได้ แหม...ถ้าบ้านอยู่แถวนั้นก็จะแวะอะค่ะ นี่ห่างไปอีก 800 กว่าโล คงต้องขอตัวค่อยกลับมาเก็บรอบหน้าแล้วกัน

(คนดูแลแล่งใต้แบบรัวเลยนะ เอาจริงคือฟังไม่ทัน ได้แต่ อ๋อ ค่ะ ค่ะ พยักหน้า เดินออกมาไกลๆ ค่อยมาแปลกันอีกที เมื่อกี้ลุงเค้าพูดว่าอะไรนะ)

ที่ท่าปอมนี่นอกจากเรื่องน้ำสวยแล้ว หอยก็ดีด้วยค่ะ ระหว่างทางเข้าจะมีร้านอาหารใหญ่ๆ อยู่ 2 ร้าน อาหารที่โชว์ไว้คือ หอยแครง แต่ตัวใหญ่ว่าปกติ 2-3 เท่า เค้าว่า เรียก หอยครางนะ ไปค่ะ ลองกินซะให้รู้เรื่องกันไป

สั่งมาหมด หอยแครง หอยคราง หอยตลับ หอยชักตีน ข้าวผัดกุ้ง ยำทะเล

ร้านอาหารบ้านๆ ราคาน่าคบ หมดนี่ 900 บาท เริ่ดที่สุด แนะนำค่ะแวะดูน้ำ แวะกินหอย อิ่มอร่อยทั้งครอบครัว

จากกระบี่เรายาวมาจนถึงปากน้ำ ชุมพรค่ะ แวะชมชายหาดยามเย็นนิดหน่อย


จากชายหาดเราลัดเลาะเลียบทางชนบท (ทางหลวงปกติดีดี มีไม่ขับ)


แล้วไปยังไงมายังไงไม่รู้ ไปผ่านคลองตะโก


วิวสวยปุ๊ป เราแวะปั๊ป ประมาณเกือบ 6 โมงเย็นได้วิวอาทิตย์กำลังจะตกพอดี


ออกจากคลองตะโกเราแวะขึ้นไปศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จุดชมวิวบนเขาสูงกันค่ะ ด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหาดทรายรีได้ชัดเจน


จากจุดชมวิวเราแวะกินอาหารเย็น มื้อท้ายสุดก่อนเข้ากทม.กันที่ร้านแถวสถานีรถไฟชุมพร ชื่อ “ร้าน papa seafood" ตั้งอยู่ตรงมุมถนนพอดีเยื้องกับสถานีรถไฟ อาหารเบาๆ เพราะเดี๋ยวหลับกันหมดค่ะ ใบเหลียงผัดไข่ สะตอผัดกุ้ง (เป็นสองเมนูที่สั่งประจำตลอดทริป) หมูมะนาว และแกงเหลืองปลาอะไรซักอย่าง รวมๆ รสชาติดียกเว้น หมูมะนาวค่ะ


ปิดจบ Road Trip ค่ะ ถ้ามีโอกาสคาดว่าจะมีทริปแบบนี้ในเส้นทางอื่นๆ ต่อไป สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวิวสองข้างทาง แวะเก็บเรื่องราวระหว่างทางไปด้วยแนะนำหาโอกาสเดินทางด้วยรถยนต์แทนนั่งเครื่องดูค่ะ ช้านิดหน่อย แต่แวะอร่อยได้ทุกจังหวัด (วิวก็เอา แต่ปากท้องสำคัญกว่า)

สรุปว่า ทั้งไปและกลับ ไม่ได้ดูวิวข้างทางเท่าไหร่ เพราะไปดึก กลับมืด เลยเห็นแต่ท้ายรถสิบล้อ

ไปกินไปเที่ยว - หญิงเฮเทกระจาด

 วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.22 น.

ความคิดเห็น