ทริปนี้เกิดจากการชักชวนพี่ที่เคยร่วมเดินทางด้วยกันมาก่อน
พวกเราจะไปสัมผัสผืนป่าดงดิบที่สมบูรณ์ที่สุดในจังหวัดชายแดนใต้
บ้านที่เป็นที่อยู่ของนกเงือกและสัตว์ป่าหายากหลากหลายชนิด
กับที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นอเมซอนแห่งเอเซีย อยู่ที่จังหวัดนราธิวาส
ที่นี่ครับ ผืนป่า "บาลา ฮาลา"



เราออกเดินทางกันช่วงเย็น ๆ จากสนามบินดอนเมือง
มุ่งหน้าสู่สนามบินหาดใหญ่ไปถึงกันค่ำ ๆ พอดีครับ


นั่งเครื่องบินไปไม่นาน ถึงแล้วครับสนามบินหาดใหญ่
พวกเราไม่รอช้าขึ้นรถสองแถว เพื่อต่อไปยังโรงแรม Red Planet กันครับ


คืนนี้เราจะพักที่ตัวเมืองหาดใหญ่กันหนึ่งคืน
ก่อนที่จะออกเดินทางกันแต่เช้า ที่สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ครับ


ฟ้ามืดแล้วพวกเราก็เดินหาของกินกันเลยครับ
ขนมขึ้นชื่อของที่นี่คงหนีไม่พ้น ซาลาเปาทอดร้านโกอ้วนนี่แหละครับ
แป้งหนานุ่มกรอบนอกนุ่มในดีแท้ ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ที่ได้มากินครับ



หลังจากเดินกินกันอย่างจุใจ ได้เวลากลับไปนอนแล้วครับ
พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นกันแต่เช้า เช็ครอบตารางรถไฟเวลาที่ออกเร็วสุดหกโมงครึ่ง!!!!!


แผนที่เราวางไว้กินว่าจะแต่เตี้ยม
ตำนานความอร่อยเมนูเด็ดแดนใต้ ต้องสลายไปในคืนนี้เลยครับ



เราตื่นกันด้วยสภาพงัวเงียสุดๆ เดินออกจากโรงแรม
เพื่อไปขึ้นรถไฟยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ ไม่ไกลครับ เดินกันได้สบาย ๆ



ผู้คนที่นี่เดินทางด้วยรถไฟกันเป็นส่วนใหญ่ คนมาใช้บริการกันแต่เช้าครับ



ซื้อตั๋วกันเสร็จแล้ว ขึ้นรถไฟกันเลยครับ
ผิดหวังจากแต่เตี้ยม แวะซื้อข้าวเหนียวไก่ทอดกินแทนละกันครับ


พี่ ๆ ทหารคอยดูแลรักษาความปลอดภัยประจำสถานี ปฎิบัติงานกันอย่างอารมณ์ดีครับ


เจ้าลิงจ๋อก็มาด้วย นั่นแน่สงสัยจะอาย

ไม่ยอมหันหน้าให้เราเลย



จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟสุไหงโกลกครับ


เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลา เราไม่รู้เลยว่าวันนี้เราจะเจออะไรกันบ้าง
กับเส้นทางใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ ตลอดเส้นทางรถไฟสายล่องใต้นี้


บรรยากาศข้างทางรถไฟยามเช้าครับ ต้นไม้สีเขียว ๆ อากาศดี ๆ
ที่ปะทะเข้าสู่ใบหน้า ความรู้สึกแรกที่เราได้สัมผัสกันครับ


ดูบรรยากาศข้างทางกันไปเพลินๆ เหลือบไปเห็น อุ้ยนั่นใคร
ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่ที่ร่วมเดินทางไปกับเรานั่นเอง
คึกคักกันแต่เช้าเลยครับ

แล้วพระอาทิตย์ก็ออกมาต้อนรับเรา


การได้นั่งจิบชาเย็น ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้
ก็ทำให้เราสุขใจได้ดีทีเดียวครับ


แล้วช่วงเวลาของการเรียนรู้
วิถีชีวิตผู้คนในรถไฟของเรา ก็เริ่มต้นขึ้นครับ


พี่คนนี้ที่นั่งข้างเรา เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่อ.เทพากับอ.รือเสาะครับ
ซึ่งที่ที่พี่เค้าสอนอยู่เป็นวิทยาลัยชุมชนเล็ก ๆ ที่เปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้มาเรียนใกล้บ้าน
ถือว่าเป็นที่ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่ดีอีกทางหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ที่นี่ทำอาชีพเก็บยางพาราเป็นหลักครับ


ข้างหลังเราครับ คุณลุงคนนี้เป็นครูที่เกษียณอายุราชการมานานแล้วครับ
ไม่ว่าเราจะถามสถานที่ไหน อยากรู้อะไรก็ตาม คุณลุงตอบเราได้หมดเลยครับ


นั่งกันไปสักพัก รถไฟพาเราเข้าสู่เขตจังหวัดปัตตานีกันแล้วครับ
ชื่อสถานีที่ใครหลายคน ต้องคุ้นเคยกันอย่างแน่นอนครับ


แล้วสมาชิกในรถไฟ ก็ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
น้อง ๆ พวกนี้กำลังเดินทาง ไปงานแต่งงานครับ


แล้วพวกเราก็เข้าสู่เขตจังหวัดนราธิวาสกันแล้ว ธงสีเขียวที่โบกสะบัด
เป็นสัญญาณที่ดีว่า การเดินทางยังคงเคลื่อนต่อไปเรื่อย ๆ ครับ


น้อง ๆ ที่นั่งมาด้วยกัน ลงที่สถานีนี้ครับตันหยงมัส

มิตรภาพดี ๆ ที่เกิดขึ้นบนรถไฟครับ


หลังจากนั่งกันอยู่หลายชั่วโมง ถึงกันแล้วครับปลายทางของเรา
สถานีรถไฟสุไหงโกลก ผู้คนที่นี่ใช้บริการรถไฟกันอย่างหนาแน่นเลยครับ


เด็ก ๆ ที่นี่น่ารักมาก มาถ่ายรูปด้วยกัน
อย่างไม่มีเขินอายเลยครับ


เฮ้ยนี่มันพี่วินซุนหงอคงรึป่าวเนี่ย
เห็นหน้าของพี่เค้าแล้วยิ้มตามเลยครับ



พี่ ๆ ทหารยิ้มต้อนรับเรา อย่างเป็นกันเองครับ


มาถึงที่นี่แล้ว
ถ่ายรูปกับพี่ทหารไว้เป็นที่ระลึกหน่อยครับ


ภารกิจของพวกเราต่อจากนี้ จะไปปักหมุดกันที่ป่าบาลาฮาลา
พร้อมแล้วก็เหมารถสองแถวไปกันเลยครับ


ระหว่างทางก็จะมีด่านตรวจแบบนี้ตลอดทาง เพื่อการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดครับ



ถึงแล้วครับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา
หลายคนอาจจะสงสัยว่าบางคนก็เรียกว่าฮาลาบาลาบ้างบาลาฮาลาบ้าง
จากที่เราถามเจ้าหน้าที่มา ฮาลาบาลาเป็นป่าดงดิบ 2 ผืน ที่ไม่ต่อเนื่องกันแต่มีชื่อเรียกคู่กัน
ป่าฮาลาบาลา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดยะลา ส่วนป่าบาลาฮาลา คือป่าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสครับ

บ้านพักของพวกเรา กินนอนกันง่ายๆ ครับ


ห้องน้ำของที่นี่มีหลายห้อง กว้างขวางสะอาดดีครับ


สำหรับใครที่ต้องการจะเข้าพื้นที่มาศึกษาธรรมชาติที่นี่
ต้องทำหนังสือแจ้งความประสงค์ล่วงหน้ามาที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา
ตู้ ปณ. 3 อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส 96160 ครับ


วางเป้แต่งตัวกันเรียบร้อย

วันนี้เราจะไปโครงการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับป่าภาคใต้

ไปชมพันธุ์ไม้หายากกันครับ


พี่เจ้าหน้าที่คนนี้ ชื่อบังแอร์ครับ



ตลอดทางของที่นี่เราก็จะเจอพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดครับ



เดินไปเดินมาบางคนก็โดนเจ้าทาก ดูดเลือดไปโดยไม่รู้ตัว
เหมือนอย่างกับที่พี่เจ้าหน้าที่คนนี้โดน ติดหนึบเลยครับ


แล้วอยู่ ๆ เจ้านกเงือกก็โผล่มาให้เราเห็น
ในโครงการสำรวจนี้ เชื่องน่าดู ไม่หนีไปไหนเลยครับ


แล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็ชี้นกให้เราดูครับ เอากล้องถ่ายคงจะไม่ได้การ
ส่องกล้องพี่เจ้าหน้าที่ดีกว่าครับ ชัดเจนกว่าเยอะ



คนนี้ชื่อพี่บังรีครับ นกตัวไหนโผล่มาไม่มีพลาด


เจ้าตัวนี้ชื่อ เหยี่ยวแมลงปอขาดำครับ


ก่อนจะไปเล่นน้ำตกกันต่อ แวะดูเจ้าค่างแว่นหน่อยครับ
ซนน่าดูตัวนี้เป็นเพศเมีย จับมือแต่กับผู้ชายครับร้ายจริง ๆ


แล้วพวกเราก็มาแวะเล่นน้ำตกกัน ที่น้ำตกสิรินธรครับ


น้ำตกที่นี่ไม่ใช่น้ำตกที่ไหลมาจากผาสูง

มีลักษณะเป็นธารที่ค่อย ๆ ไหลมาจากป่า

มีแอ่งน้ำลานหินให้นั่งเล่นพักผ่อนได้ครับ

อย่างพี่คนนี้นั่งเหงา
จนเราอยากจะเข้าไปถ่ายเอ็มวีให้พี่เค้าซะจริง ๆ

เล่นน้ำกันชื่นใจแล้ว เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิว
บนผืนป่าบาลาฮาลาแห่งนี้กันครับ
แรงยังเหลือครับแต่ละคน วิ่งแข่งโชว์กันเลยครับ

ยัง ยังไม่หมด ยังจะกระโดดกันต่อ
จะฟิตกันไปไหนเนี้ยยยย


มาดูอีกมุมหนึ่ง
พี่ ๆ พวกนี้หิวข้าวกันแล้วครับผม
ดูหน้าแต่ละคนไม่ไหวแล้ว อยากกลับแล้ว ฮ่าๆๆๆ


เดี๋ยวก่อน!!! เราหันไปเห็นเจ้าดอกไม้ดอกนี้พอนี้
แอบซ่อนสายตาเราไว้ในพงหญ้า
ถามเจ้าหน้าที่มา เราเลยรู้ว่าเจ้าดอกนี้ชื่อดอกยี่โถปีนังครับ


พระอาทิตย์ตกดิน ได้เวลากลับไปกินข้าวเย็นกันแล้วครับ


อาหารมื้อเย็นของพวกเราครับ


บางคนแรงยังเหลือ ก็นั่งเม้าท์กันไปยาว ๆครับ


เม้าท์กันนานมากไม่ได้ครับ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปดูทะเลหมอกกัน
ที่ที่เราจะไปกันเพิ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เองครับ

หลับกันยังไม่เต็มอิ่มดี ได้เวลาผลักตัวเอง
ออกเดินทางกันต่อครับ


ทางเดินขึ้นมาดูทะเลหมอกที่นี่ ทำไว้ดีเลยครับ
เป็นขั้นบันไดปลอดภัยครับ


เมื่อพระอาทิตย์เริ่มส่องแสง สิ่งสวยงามทางธรรมชาติ

ก็ออกมายลโฉมให้เราเห็นครับ


จุดชมวิวทะเลหมอกสองแผ่นดินที่นี่ ปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างทั้งสองเทือกเขา
คือเทือกเขาสันกาลาคีรีในฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซีย โดยมีแม่น้ำสุไหงโกลกไหลผ่านครับ

เด็ก ๆ ที่นี่มาถ่ายรูปกับพวกเรา รอยยิ้มเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากคนในพื้นที่
กลับกลายเป็นความสุขใจที่เราได้เห็นครับ

หลังจากชมทะเลหมอกกันเต็มที่แล้ว
กลับบ้านพักไปเติมพลังกันหน่อยครับ เรายังต้องไปกันอีกหลายที่

แล้วอยู่ ๆ นกเงือกก็โผล่มาให้เราเห็นอีกแล้ว
ที่เห็นอยู่นี่มันบินมาเกาะที่ต้นไทรเพื่อกินลูกไทรสุก
ที่หลังบ้านพักเราครับ เจ้าตัวนี้ชื่อนกกก เป็นนกเงือกชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดครับ


ก่อนจะลงพื้นที่พี่ ๆ บางคนทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
มีหนังสือคู่มือดูนก เตรียมพร้อมมากครับ

ที่แรกที่เราจะไปกันวันนี้
จุดชมสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาครับ
เฮ้ยหนูไม่ใช่สัตว์นะ มาชี้หนูทำไม!!!

ระหว่างทางเราก็ส่องสัตว์กันไป
เดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ


แล้วเจ้านกตัวนี้ก็โผล่มาให้เราเห็น พี่ ๆ เจ้าหน้าที่นี่ตาดีกันจริง ๆ


เจ้าตัวนี้ชื่อ นกจับแมลงสีน้ำตาลครับ


ส่วนตัวนี้นกกาฝากท้องสีส้มครับ


หลังจากชมธรรมชาติกันเต็มอิ่มแล้ว เราจะไปเล่นน้ำตกกันครับ
เส้นทางก่อนไปยังน้ำตก เราจะต้องผ่านอุโมงค์หญ้าแบบนี้แหละครับ
หลายคนโดนใบไม้ใบหญ้าข่วนกันเป็นแถว


ค่อย ๆ ลอดขอนไม้ เดินไต่เขากันลงไปครับ



ถึงแล้วครับน้ำตกสายรุ้ง คุ้มค่ากับที่โดนข่วนกันมาครับ


น้ำตกที่นี่ยังไม่เปิดให้เข้าอย่างเป็นทางการครับ
ต้องมีเจ้าหน้าที่พาเข้ามาเท่านั้น



สไลเดอร์น้ำตกที่นี่ ทำให้พวกเรายิ้ม
และสนุกไปกับสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ครับ


เล่นน้ำกันเต็มที่แล้ว เราจะไปต่อกันที่หน่วยพิทักษ์ป่าภูเขาทอง
ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลาครับ เราจะไปดูพันธุ์ไม้หายากที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่กัน

ระหว่างทางเราก็จะเจอ ดอกไม้แปลก ๆ ผุดขึ้นตามทาง
อย่างเจ้าดอกนี้ ชื่อดอกปุดครับ


เส้นทางลัดเลาะผ่านอ่างเก็บน้ำ ผ่านน้ำตกดูแล้วเพลินตาดีครับ



แล้วเราก็มาเจอพันธุ์ไม้หายากของที่นี่แล้วครับ
ต้นนี้เรียกต้นสมพงหรือกะพงยักษ์ ลำต้นของมันใหญ่ขนาด 27 คนโอบเชียวครับ


ในเส้นทางสายบ้านภูเขาทองนี้

ยังมีอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่รอให้เรามาเห็น นั่นก็คือ เนินพิศวงครับ


สถานที่นี้ดูผิวเผินเหมือนเป็นเนินที่มีความลาดเอียงตามปกติ
แต่เนินนี้มีความมหัศจรรย์ตรงที่เมื่อเราเอารถยนต์ มอเตอร์ไซค์
หรือวัตถุสิ่งของไปวางที่เนินแห่งนี้ มันจะดูเหมือนกำลังไหลขึ้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ววัตถุนั้นต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำครับ


หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออก ลองไปดูวีดีโอนี้กันครับ

https://www.youtube.com/watch?v=WEoFPWrYC_Y

หลังจากทึ่งกับสิ่งมหัศจรรย์นี้กันไปแล้ว หิวกันอีกแล้วสิครับงานนี้
วันนี้พวกเราตั้งใจจะไปกินโรตีกันในเมือง มาทั้งทีไม่กินเสียดายแย่
เอ้ายิ้มกันอยู่นั่น ขึ้นรถกันสิ หิวแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ


แล้วไฮไลท์ของเราวันนี้ ก็เกิดขึ้นระหว่างทาง

เจ้านกเงือกโผล่มาให้เราเห็น

เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า นกเงือกตัวนี้เป็นตัวโตเต็มวัย

ความน่ารักที่เราเห็นกันวันนี้ เจ้านกเงือกมันยืนเกาะต้นไม้คู่กัน
หยอกล้อกันโรแมนติกน่าดูครับ


เจ้านกเงือกที่เราเห็นนี้ เป็นนกเงือกชนิดหัวแรดครับ


การได้เราได้มาเห็นนกเงือกในผืนป่าแห่งนี้ เป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่ได้ดี
จนบางคนเรียกว่าเป็นผืนป่าพรหมจรรย์กันเลยทีเดียวครับ


หลังจากปลื้มปริ่มกับนกเงือกไปแล้ว
เราจะเข้าไปในเมือง ไปดูวิถีชีวิตผู้คนในอ.แว้ง จ.นราธิวาสกันครับ


อย่างกรงนกเขาที่เห็นอยู่นี้เป็นของประจำบ้าน
ไม่ว่าเราจะผ่านไปบ้านไหนก็จะเห็นเจ้ากรงนกนี้แขวนไว้อยู่ทุกบ้านครับ



โรตีที่ทุกคนรอคอยครับ หลังจากบ่นอยากกินกันมาตลอดทั้งวัน


อาหารการกินที่นี่ มีหลากหลายอย่างให้เลือกกินครับ
เดินซื้อกันแทบทุกร้าน ที่สำคัญราคาไม่แพงอีกต่างหาก

ซื้อของเสร็จเรียบร้อย เราไปแวะกินกันที่บ้านของเจ้าหน้าที่
แต่ละคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยครับ

ได้เวลากลับไปยังบ้านพัก
ค่ำคืนสุดท้ายของพวกเรา กำลังจะผ่านไปครับ


เช้าก่อนกลับเมื่อคืนพวกเรานอนหลับกันอย่างเต็มอิ่ม
เนื่องจากไม่ต้องตื่นเช้า เหมือนในทุกวันที่ผ่านมา


อาหารเช้ามื้อสุดท้ายก่อนกลับครับ

พี่ ๆ แม่บ้านสองคนนี้ ดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเรา
ตลอดสามวันที่ผ่านมาครับ


การเข้าออกพื้นที่ของที่นี่จะเข้มงวดมากเป็นพิเศษ
เพราะที่นี่ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติแต่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าครับ


ได้เวลาบอกลาพี่ ๆ เจ้าหน้าที่กันแล้ว มิตรภาพ รอยยิ้ม และความทรงจำ
ทุกๆ ความรู้สึกค่อยๆ ดื่มด่ำจนกลายเป็นความประทับใจ
ที่พวกเราจะไม่มีวันลืมผืนป่าที่นี่อย่างแน่นอนครับ



การเดินทางสู่จังหวัดชายแดนใต้สุดปลายด้ามขวาน
พาเราไปเจอวิถีชีวิตมุมมองผู้คนหลายอย่าง



ความไม่สงบที่คนภายนอกเห็น กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหา


ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่จังหวัดชายแดนใต้อยากบอกให้พวกเรารู้
เมื่อมีโอกาสเราจะกลับมาอีกครั้ง...


" การเดินทางช่วยเรา
ก้าวข้ามผ่านความกลัวหลายอย่าง
แค่เราเปิดใจเข้าไปเรียนรู้
สิ่งที่เราได้รับมันมากกว่า
การปล่อยให้จุดเริ่มต้น
เป็นเพียงแค่ความคิดที่หยุดนิ่ง "



รายละเอียดค่าใช้จ่าย

ค่าเครื่องบิน ขาไป ดอนเมือง - หาดใหญ่ 1,420 บาท

ขากลับ นราธิวาส - ดอนเมือง 1,205 บาท

ค่ารถไฟ หาดใหญ่ - สุไหงโกลก 92 บาท

ค่ารถสองแถว จากสนามบินหาดใหญ่ - โรงแรม Red Planet คนละ 200 บาท

ขาไปจากสถานีรถไฟสุไหงโกลก - เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา

ขากลับจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา - สนามบินนราธิวาส

เหมารถ 3 วัน 3,500 บาท สองคันเฉลี่ยคนละ 350 บาท

ค่าโรงแรม Red Planet 1 คืน 800 บาท ห้องละ 2 คน คนละ 400 บาท

ค่าบ้านพัก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา หลังละ 600 บาท 2 คืน 1,200 บาท เฉลี่ยคนละ 60 บาท

ค่าอาหารและเครื่องดื่ม คนละ 1,800 บาท

ไปกันทั้งหมด 20 คน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 5,347 บาท


FB : Bean Skullflied

Bean Skullflied

 วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.04 น.

ความคิดเห็น