เป็นเหมือนกันมั้ย.. ถ้าเที่ยวเชียงใหม่ ไม่ว่าจะรอบที่เท่าไหร่ มากี่ครั้งก็ยังชอบเหมือนเดิม

Day1

"Back to Travel ... ได้เวลาเที่ยวแล้ว!"

เช้าวันที่ฝนตกพรำเบาๆ และเกือบทำให้เกือบไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน

เป็นความรู้สึกร้อนใจที่เช้ามืดวันนี้ เรายืนรอรถแท็กซี่ที่แทบไม่มีผ่านมาเลย บางคันก็ไม่จอดรับ ยืนรอจนสุดท้ายก็มีรถจอดรับและรีบขับไปส่งเราที่สนามบิน  

หลังจากเช็คอินเสร็จก็รีบรุดมาที่เกททันที เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว หลังจากเครื่องLandingไปไม่นาน เราก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วง เพราะต้องตื่นแต่เช้า

หลับไปได้สักพักก็ตื่นขึ้นเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา เป็นภาพยามเช้าที่สวยงามมากจริงๆ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมออะไรแบบนี้สินะ และหลังจากนั้นก็หลับต่อ 555555

ราวๆ สัก 07.30 น. เสียงประกาศบนเครื่องดังว่า ตอนนี้ถึงเชียงใหม่แล้ว และกำลังจะลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ตอนนั้นงัวเงียและรู้สึกเวียนหัวมาก พอลงจากเครื่องมาเดินเซ เวียนหัวแทบล้ม ดีที่พี่ๆแอร์กราวด์ช่วยเดินมาส่งจนสุดทาง

หลังจากนั้นก็รอเพื่อนมารับ และไปหาของกินก่อนเข้าสู่ทริปของเราแบบจริงจัง!!

ที่แรกที่เราแวะมา เป็นคาเฟ่ Nature Talk  ออกนอกตัวเมืองไปแถวละแวกแม่ริม ครั้งแรกที่เห็น ก็เห็นจากในรีวิวว่าเป็นสถาปัตยกรรมธรรมชาติสุดอาร์ต บ้านสีขาวหลังใหญ่ ดีไซน์แปลกตา พอมาถึง โอ้โห! มันน่ารักจริงๆ ด้านล่างเป็นคาเฟ่ ด้านบนเป็นที่พัก รอบๆ บริเวณมีจุดถ่ายรูปที่ถ่ายตรงไหน มุมไหนก็สวยยยย

แต่วันนี้ฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว เมฆครึ้มดำมาตั้งแต่เช้า เลยไม่ค่อยมีแดดจัดสักเท่าไหร่นัก รูปท้องฟ้าวันนี้เลยอาจดูไม่สดใสเท่าที่ควร

นี่แฟนเพื่อนเราเอง ถ่ายด้วยกันแรกๆ ก็จะเป็นเกร็งๆ กันอยู่หน่อยๆ

เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะมุมถ่ายรูปมันเยอะจริงๆ คือ ลั่นชัตเตอร์ไปเป็นร้อยยยย  นี่ขนาดยังไม่ได้ไปไหนเลย เล่นเอาแบตกล้องเกือบหมด

หลังจากเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป และใช้เวลาไปเยอะมากจนเกือบๆ เที่ยง เลยแวะกินมื้อกลางวันกันที่ร้านริมทางร้านหนึ่ง ซึ่งหิวมากเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเลยย แหะๆ

และไปต่อที่วัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน หรือ วัดบ้านเด่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินชื่อวัดนี้ จุดเด่นที่เราเห็นชัดและทำให้รู้สึกแตกต่างจากที่อื่นมากเลยคือ หลังคาที่เป็นสีน้ำเงิน และกุฏิไม้สักทองทรงล้านนาที่สวยงามมาก มีความวิจิตรงดงามตระการตาด้วยศิลปสถาปัตยกรรมไทยล้านนา

แต่พอลองค้นดูข้อมูลกลับพบว่าวัดนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น จีน จนถึงขั้นขนานนามว่าเป็น Blue Temple ราวกับที่เรียกวัดร่องขุ่นว่า White Temple เลยทีเดียว

ใช้เวลากับที่นี่ไปราวชั่วโมง ก็เตรียมตัวไปยังจุดหมายต่อไปของวันนี้ นั่นคือสถานที่นัดพบเพื่อไปยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้

วันนี้เราพักกันที่ “หมู่บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ” เป็นสถานที่ที่กำลังมาแรงและยอดฮิตเลยก็ว่าได้ แต่ที่แห่งนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายมากนัก เพราะที่นี่นอกจากจะอยู่บนเขาสูงชัน เดินทางลำบากที่ไม่สามารถนำรถขึ้นไปเองได้(นอกจากรถชาวบ้าน) สัญญาณโทรศัพท์มีของค่ายเขียว แต่สัญญาณเน็ตอ่อนแอมากๆ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังมีน้ำใช้อย่างจำกัดอีกด้วย

แต่หากคุณยอมรับเงื่อนไขในข้อเหล่านั้นได้ ที่นี่มันคือที่ที่คุณจะได้พักผ่อน และเสพบรรยากาศวิถีชีวิตในโฮมสเตย์บนดอยได้อย่างแท้จริงเลยล่ะ

ที่พักที่เราและเพื่อนจองไว้ชื่อ “บ้านซุกกิ๊ก โฮมสเตย์” เราจองผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยทางบ้านพักจะเป็นคนนัดหมายเวลานัดพบเราเอง แต่วันนั้นมีฝนตกด้วยทางขึ้นเลยค่อนข้างลื่น บวกกับความสูงชัน เป็นทุนเดิมแล้ว กว่าจะไปถึงบอกเลยว่าใช้แรงในการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัวไปหมดทั้งชีวิตแล้ววว แงงงงง

เข้าใจเลยว่า ไม่สามารถเอารถขึ้นมาเองได้จริงๆ

มาเช็คอินกับเจ้าถิ่นซะหน่อยยย

บรรยากาศหมู่บ้านก็จะประมาณนี้

พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า

นี่คือพี่ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันที่โฮมสเตย์นี้แหละ

แก... พระอาทิตย์ตกดินวันนี้ สวยมากเว้ยยย เราไม่ได้มายืนมองพระอาทิตย์ตกดินยามเย็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ..

หน้าตามื้อเย็นที่จัดเตรียมไว้ให้เรา ไม่อิ่มตักเพิ่มได้เลยยย หรือใครอยากหมูกระทะก็มีแจ้งคุณลุงที่ดูแลได้เลย

ส่วนลูกชิ้นทอด ซื้อมาจากร้านค้าในหมู่บ้าน

ราคาที่พักเราอยู่ที่คนละ 800 รวมอาหารเช้า-เย็น และค่ารถรับส่งขึ้นลงดอย แถมบริการเซอร์วิสดีๆ จากเหล่าพนักงานต้อนรับแก๊งแมวเหมียว ที่ทาสแมวต้องใจบางแน่นอน เพราะเจ้านายที่นี่เอาใจและไม่กลัวคนเลย

บ้านพักที่นี่จะเป็นไม้ไผ่ เดินทีเอี๊ยดอ๊าดทั้งบ้าน ได้ยินทั้งหมด เป็นแบบแชร์เฮาส์ แยกห้องนอนประมาณ 3-4 ห้องเท่านั้น

คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น เราชอบมากๆ เพราะเป็นอากาศที่หาไม่ได้จากในกรุงเทพฯ เราเป็นทัพหน้าลงไปอาบน้ำคนแรก ซึ่งดูจะเป็นที่ฮือฮาสำหรับเพื่อนๆ และผู้เข้าพักคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

แต่การอาบน้ำแล้วมานั่งผิงไฟอุ่นๆ นี่มันโคตรดีย์เลยยยยยยยยยยย

แต่อย่างที่ว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแสงสว่างเล็กๆ จากโซล่าเซลล์ ให้พอส่องสว่างได้เท่านั้น ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีทีวี ไม่มีไฟไว พอกลางคืนมามันเลยจะค่อนข้างเงียบ

หลังอาบน้ำ กิจกรรมที่เราตั้งใจเอามาเล่นกับเพื่อนคือ UNO จ้า ยังไม่ทันเริ่มตาแรก คนที่พักด้วยกันก็สนใจแจมร่วงวงด้วย จนถึงเที่ยงคืนก็แยกย้ายนอน เพราะเป็นกฎของที่นี่คือ ให้ใช้เสียงหรือนั่งสังสรรค์กันได้แค่เที่ยงคืนเท่านั้น

รู้สึกปลื้มปริ่มสำหรับการเผยแพร่ลัทธิUnoมากกกก เพราะตั้งแต่โควิดก็แทบไม่ได้เล่นกับใครที่ไหนเลยย เป็นเศร้า
 

เป็นวันที่สนุกดีเหมือนกันนะ หลายๆ อย่างอาจจะไม่เป็นไปตามหวัง หรือมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วนั่นแหละคือรสชาติของการเป็นนักท่องเที่ยว ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ จนคนแปลกหน้าได้รู้จัก ได้ทักทาย

รู้สึกโคตรดีเลยที่ตัดสินใจกลับมาเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง..

พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีก.. นอนกันเถอะะ

Day2
"ร่ำลาห้วยกุ๊บกั๊บ และสวัสดีดอยค้ำฟ้า ที่เกือบมาไม่ถึง"

เมื่อคืนนี้ค่อนข้างนอนหลับสนิทดีมากๆ เช้ามาได้ยินคนอื่นๆ เค้าคุยกันว่ามีเสียงหมาหรือแมวกัดกันดังมาก เรานี่ไม่รู้เรื่องเลยอาจจะเพราะเหนื่อยแพละเพลีย หลับไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีคือตอน 7 โมง ตามเสียงของนาฬิกาปลุก 

พระอาทิตย์เช้านี้สวยมากเธอจ๋าาาา

มากที่สุดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เราว่ามันก็สวยดี ไม่ว่าจะแบบไหนก็ดีหมดแหละสำหรับเรา

เห็นคนคูลๆ เค้าชอบทำกัน เลยลองบ้างไม่รู้ว่าดูคูลบ้างมั้ยยย ><!

อาหารเช้าวันนี้ เป็นข้าวต้มหมู + ไข่ลวกแบบออนเซ็น

เช้านี้ที่ห้วยกุ๊บกั๊บ

ไอต้าวน้อนนนนนนนนน

สภาพเด็กen เช้านี้ ไม่ใช่มะม่วงก็ร่วงได้ค้าบบบบบบบ

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศเช้าวันนี้ที่ห้วยกุ๊บกั๊บแล้ว ก็เตรียมเก็บสัมภาระ และเปลี่ยนชุดสำหรับการเดินทางต่อไป เช้านี้ไม่มีใครได้อาบน้ำจ้าาา เพราะอย่างที่บอกน้ำมีใช้อย่างจำกัด น้ำหมดถังไม่เพียงพอสำหรับการอาบ แค่เหลือไว้เข้าห้องน้ำได้ก็เท่านั้น  ส่วนรอบรถที่จะลองจากดอยที่พักจะเป็นคนกำหนดให้เราเอง ขาลงนี่เบาๆ ไม่น่ากลัวเท่าตอนขึ้น

เรามาแวะกันที่คาเฟ่กาแฟฮิมน้ำ ที่บรรยากาศริมน้ำน่ารักๆ ดูเวลาจวบจนใกล้เที่ยงเลยสั่งข้าวกินกันที่นี่แหละ

บรรยากาศมันดีมากๆ หลังจากท้องอิ่มก็นั่งพักกันที่นี่สักแปบก็เดินทางต่อไปยังปลายทางต่อไป นั่นคือ ดอยค้ำฟ้า แต่ก่อนจะไปถึงวันนี้เราไปแวะซื้อของที่ตลาดสำหรับการทำหมูกระทะในค่ำคืนนี้ของเรา

ที่ดอยค้ำฟ้านี่เราสามารถเอารถขึ้นมาได้นะ แต่ควรจะต้องเป็นรถ4x4 หรือรถที่สมรรถนะทนทาน แรงไหวต่อการขึ้นที่ชันๆ และที่สำหรับดอกยาง ล้อรถต้องดีนะทุกคนนนน

เนื่องจากบ้านแฟนเพื่อนเราอยู่ที่นั่น เลยให้พ่อเป็นคนขับรถพาขึ้นไป แต่ว่าวันนั้นเกิดมีฝนตกลงมา จากที่นั่งหลังกระบะกันไปแบบเท่ๆ ลุยๆ ก้อลม่านหนีฝน ย้ายของ ย้ายกระเป๋าเข้ารถกันให้ขวักไขว่

ไปได้เกือบครึ่งทางก็ตัดสินใจกลับลงมาเพราะถึงจะขึ้นไปได้ก็จริง แต่ขากลับลงมาด้วยสมรรถนะรถที่ไม่พร้อมอาจจะลื่นและเกิดอุบัติเหตุได้

ถึงใจอยากจะดื้อรั้นว่า ลุยไปเลยยยยย แต่อีกใจก็คิดว่าคนพื้นที่เขาเตือนก็ควรฟังหน่อย เกิดเป็นอะไรมามันไม่คุ้มกับความสนุกชั่วคราว ตอนนั้นถอดใจแล้วแหละ เพราะฝนมันก็ตกไม่หยุดจริงๆ

จนลงมาข้างล่างอุทยานปรากฎว่าเพื่อนพ่อหรือเจ้านายพ่อให้ยืมรถขึ้นไปจ้าเธออออ ใจฟูขึ้นมาอีกน้อยยยยย 555555555

Let's go go go กันเลยยยยยยยย

พอมาถึงฝนก็หยุดแล้ว มีเพียงไอหนาวๆ จากหมอกบนดอยค้ำฟ้าแห่งนี้

มาถึงจนได้จ้าาาาา วันนี้มากับไกด์ตัวน้อย หลานเพื่อนเราเอง

มาถึงแล้วก็ เดินเล่นชมวิว สำรวจพื้นที่เก็บภาพกันหน่อยยยย

เกือบไม่ได้มาเห็นภาพตรงนี้แล้วเธออออ

ค่ำคืนนี้ลมแรง และหมอกเริ่มหนา ฝนตกลงมาอีกครั้ง แต่ทว่าตอนนี้เรามานั่งย่างหมูกระทะที่หน้าเตากันแล้วววว สบายใจจจ สุขใดเล่าจะเท่าปิ้งหมูกระทะบนดอย

และเช่นเคย.. ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีที่ชาร์จแบต ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ฉะนั้นเตรียมแบตสำรอง เตรียมไฟมาให้พร้อมมม

ถ้าใครสะดวกอยากกางเต็นท์ก็ได้นะ แต่คืนนี้ฝนตกหนักมาก ลมแรงสุด สู้ไม่ไหวจริงๆ ขอหลบไปนอนที่บ้านพักเถอะะะ

Day3
No Plan Day

อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ ที่มองไปทางไหนก็มีแต่หมอกกกกก

หมอกเต็มไปหมด อย่างได้คาดหวังที่จะเห็นพระอาทิตย์ยามเช้านี้เลยยย

อากาศเช้านี้กี่องศากันนะ..จำไม่ได้เลยแฮะ

หลังจากเก็บข้าวของ เคลียร์สัมภาระเสร็จ ก็มูฟลงจากดอย ระหว่างทางเจอน้องควายด้วยย น้อนมาเป็นฝูงง

เป็นน้องควายของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้นี่แหละ

วันนี้ไม่รู้เรียกว่าเป็นแพลนเที่ยวได้มั้ย เพราะไม่มีอะไรในแพลนเลยจริงๆ ด้วยฝนตกต้อนรับไม่หยุด เลยไปหาข้าวเช้า+เที่ยงกินแถวๆเชียงดาว ก่อนตรงมุ่งหน้าต่อไปที่ดอยอ่างขาง

ช่วงนี้ดอยอ่างขางคงไม่มีอะไรให้เที่ยวมากเท่าช่วงปลายธันวา ต้นมกราสักเท่าไหร่ แต่ก็แอบคาดหวังนิดๆ ว่าจะมีอะไรให้เราชื่นชมบ้าง

แวะสักแชะ เวียนหัวโค้งมากกกกกก

เรามาถึงที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ด้วยความแคบของถนนและโค้งแสนจะอันตราย ดีที่มีสตอว์เบอร์รี่ติดรถมาด้วยช่วยได้เยอะเลยยย

ที่นี่มีค่าเข้าคนละ 50 บาท และค่ารถคันละ 50 บาทเช่นกันน

ค่อนข้างเงียบและไม่มีคนเลยยยยยย และ.. ร้อนมากกก วันนี้ใส่เสื้อไม่เข้ากับอากาศแล้ว แงงง

ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ภายในมีการตกแต่งและจัดสวนไว้อย่างสวยงามเลยทีเดียว แต่เราว่าเราเพลียโค้งและเพลียแดดมาก ไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรสักเท่าไหร่เลย 

ไม่อ้วกก็ดีเท่าไหร่แล้วเนี่ยย ฮือออออ

หลังจากหามุมถ่ายรูปเล่น เท่าที่ยังแฮปปี้อยู่ ก็มูฟลงจากดอยมาอย่างตื่นเต้น.. กลายเป็นว่าระหว่างทางทำให้เราตื่นเต้นมากกว่าปลายทางเสียอีก เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะโค้งที่แคบและชันนี่ยังไงล่ะ บ่นเพื่อนตลอดทางเลยยย  

แต่บางจังหวะทางมันก็สวยจริงๆ แต่ก็อันตรายมากๆเช่นกันน

วันนี้อย่างที่บอกว่าไม่มีแพลนอะไรเลยจริงๆ เพราะฝนก็ตกไปแล้วครึ่งวัน เลยไม่มีเวลาไปแวะไหนแล้ว เข้าที่พักเลยแล้วกัน

คืนนี้อาจจะเป็นที่พักที่นอนสบายที่สุดในระยะเวลา 2-3 คืนมานี้เลยแหละ TT

คืนนี้เราพักที่ Hotel Dawa เป็นโรงแรมเล็กๆ น่ารัก มินิมอลมากๆ มุมถ่ายรูปน่ารักๆเพียบบบบ แต่ห้องค่อนข้างไม่เก็บเสียงเลย ใครคุยกันข้างนอกคือได้ยินชัดแจ๋วมากกกก 

มื้อเย็นวันนี้.. เพื่อนบอกว่าอยากกินหมูกระทะ ใช่จ้ะ หมูกระทะ again เหตุผลคือ เมื่อวานยังรู้สึกไม่ใช่หมูกระทะที่แท้จริง !!

นี่สินะ หมูกระทะที่แท้จริง ><

ท้องอิ่ม กลับไปพักจ้าาาา พรุ่งนี้ลุยต่ออีกวัน

Day 4

Hinoki Land

เช้านี้ตื่นมาก่อนนาฬิกาจะปลุกอีก จัดการอาบน้ำ เก็บของแล้วไปกินมื้อเช้ากันน

เราชอบโรงแรมนี้นะ มีความปุ๊กปิ๊ก ญี่ปุ่นมากๆ เห็นแล้วสบายตาดี

วันนี้แพลนเที่ยวของเรามีแค่ Hinoki Land เท่านั้นเอง แต่ถึงจะแค่ทีเดียวแต่ก็ใช้เวลาไปเยอะเลย เพราะที่นี่เขากว้างมากๆ จำลองเมืองญี่ปุ่นย่อยๆ มาได้น่ารักเลยแหละ แต่อย่างเดียวที่จำลองมาด้วยไม่ได้ก็คืออากาศนี่ล่ะ ร้อนมากๆ อยากจะถ่ายรูปเยอะๆ เอเนจี้สดใสแบบวันแรกๆ คือไม่มีแล้ว 5555555 เอาเท่าที่ได้ ถ่ายเท่าที่ไหวเลยเราาาา

Hinoki Land อยู่ที่อ.ไชยปราการ และถ้าใครเป็นคนพื้นที่แถวนี้ ก็เข้าฟรีได้เลยยยย แต่ถ้าไม่ใช่ก็ซื้อบัตรเข้าชมได้คนละ 80 บาทเท่านั้น เราว่าราคาก็ไม่ได้แพง ข้างในมีชุดให้เช่าด้วยนะ แต่แดดเมืองไทยมันใส่บ่ไหวเล๊ยยยย

มีกิจกรรมนั่งช้างชมสวนด้วยนะ ไปเล่นกับน้อง ให้อาหารน้องได้

อากาศร้อนๆ ต้องไอติมสักหน่อยยย

หลังจากเดินเล่นถ่ายรูป เสพบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นของที่นี่แล้ว ก่อนที่เราจะกลับเราช่วยชาวดอยไม่รู้ว่าเผ่าไหน เห็นเค้านั่งขายของกันเหงาๆ เหงาจริงๆ ไม่มีคนเลย พอได้ลองไปคุยไปถาม ก็คือแย่ไปหมดเลยสถานการณ์แบบนี้ ได้แค่ช่วยอุดหนุนและเป็นกำลังใจให้เค้า และหวังว่าโควิดจะจบและทุกอย่างจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม

ถัดจาก Hinoki ไปไม่ไกล เราก็ไปแวะคาเฟ่นึงที่จำชื่อไม่ได้ มีการตกแต่งแบบญี่ปุ่นๆ (ญี่ปุ่นอีกแล้วว) ร้านค่อนข้างกว้าง มีหลายโซนเลยแหละ มีทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม

รู้สึกชื่อร้าน จะคนละชื่อที่แก้วเครื่องดื่มง่ะะ

พวกเราแวะเติมน้ำคนละแก้ว แล้วก็มุ่งหน้ากลับยังตัวเมืองเชียงใหม่

เราให้เพื่อนมาส่งเราที่โรงแรม 99 the Gallery hotel ที่จองไว้ ที่นี่เป็นโรงแรมสไตล์ล้านนาเลยแหละ ตอนเข้ามาในห้องความรู้สึกแรกคือแอบกลัวนิดหน่อย เพราะเพื่อนมันเปิดThe ghost radioมาให้ฟังระหว่างทาง 

ความจิตปรุงแต่งของฉันก็คืออออ ฮึบสุดดด ระหว่างนอนเล่นพักผ่อนก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้น ดังถี่เรื่อยๆ เหมือนมีใครตีหรือเคาะอะไร แบบไม่หยุดเลยย แล้วแก.. ตรงนั้นใกล้วัด ชั้นกลัวววว แต่พอเดินตามหาเสียง(ความคาใจอยากรู้) สรุปว่าน้ำแอร์หยด นองเต็มพื้นเลยย ต้องรีบเรียกช่างมาดู

ปกติก็ไม่ได้เป็นคนกลัวเรื่องลี้ลับอะไรหรอก แต่พอได้รับข้อมูลอะไรแบบนี้มาก็ทำให้ชวนคิด สรุปชั้นคิดไปเองทั้งนั้น ที่นี่ไม่มีไรนะทุกคน นอนหลับสบายมาก แอร์เย็นดี

ตอนเย็นๆ ไปเดินถนนคนเดิน ใกล้มาก เดินเลี้ยวไปไม่ถึง2นาที แต่ช่วงนี้คนน้อยมาก เราไปอุดหนุนพวงกุญแจแบบถักมือมาอันนึง แม่ค้าบอกว่าขายได้อันนึงก็ดีใจแล้ว ใจงี้บางไปเลย โควิดก็น่ากลัวแต่ชีวิตก็ต้องดิ้นรนอะ

เราได้ของกินกลับมาเพียบบบบ นอนดูหนังไปกินไปเพลินมาก

อันที่จริง จะนับว่าทริปเที่ยวเราจบเพียงเท่านี้ก็คงจะได้ ที่จริงทริปนี้ก็เป็นการพักผ่อนที่ดีนะ

ได้ตื่นเต้นกับการจัดกระเป๋า ได้กลับมาเที่ยว มาเห็นธรรมชาติสวยๆ เห็นผู้คน เห็นความเป็นอยู่ เห็นตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น

เอาจริงๆ เลยนะ เราแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมจะต้องพาตัวเองไปลำบากขนาดนั้น การไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือมีทรัพยากรอย่างจำกัดนี่ก็คิดอะไรได้หลายๆ อย่าง เราคงไม่ประหยัดมากไปกว่านี้หรอก เพราะมันจำเป็นสำหรับเราไปแล้ว เราแค่อาจจะตระหนักขึ้นว่าถ้าไม่มีจริงๆ เราก็อยู่ได้ และมีอีกหลายคนเขาก็อยู่ได้โดยไม่ลำบากอะไร

ที่จริงความฝันในการท่องเที่ยวของเรา คืออยากสัมผัส เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่เรื่อยๆ จะทริปลำบากลำบน หรือสบายย เราก็ไปได้หมด ขอแค่อย่างเดียวเลย ขอแค่มีเงิน ...

อยากให้ทุกคนเที่ยวอย่างมีความสุข มีสติ และปลอดภัยในทุกการเดินทาง

ขอบคุณนะ ถ้าใครอ่านมาได้ถึงตรงนี้ ขอบคุณจริงๆ

เพราะนี่ก็คงเป็นไดอารี่อีกหน้าที่อยากบันทึกไว้อ่าน ว่าครั้งนึงเราเคยไปที่เหล่านี้มาแล้ว และความรู้สึกตอนนั้นฉันถ่ายทอดมันผ่านรูปถ่ายและตัวหนังสือไว้ในไดอารี่ออนไลน์ฉบับนี้แล้ว

ด้วยรักและอยากเที่ยว

Arii - Sherry4869

SHERRY

 วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.46 น.

ความคิดเห็น