บ้านอีต่อง ชื่อนี้ยังคงมีเสน่ห์เสมอสำหรับนักท่องเที่ยวสายชิล เรียกได้ว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่โรแมนติกมากๆ ควรค่าแก่การไปเที่ยวสุดๆ หรือใครหลายคนอยากจะหลบหนีความวุ่นวายจากเมืองหลวง มาพักชาร์จแบตเพิ่มพลังชีวิตกับสถานที่ดีๆ อากาศดีๆ ณ บ้านอีต่อง อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี
เราเห็นใครหลายๆ คนชอบไปกาญจนบุรีเที่ยวตัวเมือง เข้าคาเฟ่ นอนแพ แต่น้อยคนนักที่จะมาบ้านอิต่อง หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา ที่นี่หมอกเยอะมากๆ แต่กว่าจะมาถึงต้องผ่านการเดินทางมากกว่า 399 โค้ง แต่พอมาแล้ว ฟีลเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงเลย คุ้มค่าการมา เป็นสถานที่ธรรมชาติน่าหลงใหลมากๆ
เอาจริงๆการเดินทางก็แอบไกลอยู่พอสมควรนั่งรถถผ่านมาก็หลายร้อยโค้งแต่มันก็คุ้มกับสิ่งที่เราจะได้มาเจอที่เราจะได้มาสัมผัส กิจกรรมที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากมาย เดินเล่น ถ่ายรูป เสพบรรยากาศ สูดอากาศดีๆ ทำตัวช้าๆ ใช้ชีวิตชิลๆ มาที่นี่ทำกันอยู่แค่นี้ก็สุขสุดๆแล้ว ยิ่งฤดูฝนแบบนี้ ฝนปรอยๆ มีหมอกมาเยือนดีต่อใจ แถมอากาศเย็นมากๆ ที่สำคัญภายในหมู่บ้านมีที่เที่ยวน่ารักๆเยอะมาก
หากใครชอบเที่ยวแบบนี้ชอบการมาพักผ่อนแบบนี้ ก็ลองสะกิดคนข้างๆ ชวนแฟน ชวนเพื่อน ชวนคนข้างๆ ออกมาเที่ยว ออกมาพักผ่อนกันแบบทริปสั้นๆแต่ชาร์จพลังได้แบบเต็มๆ กันที่ อิต่อง กันน้า
#มีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง
#บ้านอิต่องลองไปแล้วหลงรักเลย
DAY 1
กรุงเทพ - กาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - บ้านอีต่อง
เริ่มต้นการเดินทางเราขึ้นรถตู้จากกรุงเทพ มากาญจนบุรี ประมาณ 2 ชั่วโมงมาลงที่ขนส่งกาญจนบุรี นั่งรถตู้ต่อมายังทองผาภูมิ
การเดินทางขึ้นสู่หมู่บ้านอีต่องจากตัวเมืองกาญจนบุรีใช้เส้นทาง กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ โดยตลอดเส้นทางจะเป็นทางลาดยางอย่างดี แต่เมื่อมาถึงช่วงที่เป็นทางขึ้นเขาสู่หมู่บ้านอีต่อง ประมาณ 30 กิโลเมตรทางจะค่อนข้างอันตรายมีความแคบและถนนขรุขระเป็นบางช่วง ผู้ขับขี่รถขึ้นไปเองควรใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างสูง และต้องมีความชำนาญในการขับขี่ แต่ก็ถือว่าไม่ยากจนเกินไปในการขึ้นสู่หมู่บ้านอีต่อง
หลังจากขับรถผ่านโค้งโยกไปมาลงหลุมกันมาเกือบชั่วโมง มาถึงจุดแวะพักรถ ซึ่งมีจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาเขียวขจีและเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่อยู่ข้างล่าง ถือว่าช่วยคลายความมึนโค้งและความล้าจากการขับรถได้เป็นอย่างดี
จากจุดชมวิวเราก็นั่งรถต่อมาอีกเกือบชั่วโมง ผ่านมาอีกหลายโค้ง แต่คุณลุงก็มีแวะพักให้เราซื้อน้ำ ซื้อขนมไว้กินระหว่างทาง และคุณลุงก็ถามว่าเราจะไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่นไหม จะอยู่ก่อนถึงหมู่บ้าน เราและพี่ที่พบกันบนรถก็ตัดสินใจเหมาคุณลุงจ่ายเพิ่มอีกคนละ 20 บาทเองแกรร๊
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น เป็นชื่อภาษาพม่าที่เพี้ยนมาจากคำเดิมว่า ‘ก๊อกกระด่าน’ โดยคำว่า ‘จ๊อก’ หรือ ‘ก๊อก’ นั้นหมายถึง หิน ส่วนคำว่า ‘กระดิ่น’ หรือ ‘กระด่าน’ แปลว่า น้ำตก เมื่อคำเหล่านี้มารวมกันแล้วมีความหมายว่า น้ำตกที่ไหลผ่านซอกหินผานั่นเอง ชาวบ้านเค้าบอกก๊อตด้วยนะว่าน้ำตกแห่งนี้นี่แหละคือแหล่งน้ำกินน้ำใช้ทั้งหมดของหมู่บ้าน โดยเฉพาะน้ำแร่นี่ก็มาจากที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่นที่อุมไปด้วยแร่ธาตุเยอะแยะมากมาย
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตอนแรกที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเท่าไหร่ แต่พอเราได้มาเห็นน้ำตกจ๊อกกระดิ่นของจริงนั้น คือโคตรสวย! โดยช่วงที่ได้ไปเที่ยวนั้นเป็นหน้าฝน และฝนตกหนักทั้งวัน ทำให้น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ณ ตอนนั้น น้ำคือมาเต็ม แรง และยิ่งใหญ่อลังการมาก
กว่าจะลัดเลาะภูเขาโดยการขับรถผ่านโค้ง 399 โค้ง พร้อมหลุมถนนเป็นล้านหลุมแล้ว เรียกได้ว่า พวกเราคือผู้พิชิตบ้านอีต่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กว่าจะถึงที่ตัวหมู่บ้านก็เกือบเย็นแล้วแหละ แน่นอนว่ากิจกรรมแรกของการมาเที่ยวที่บ้านอีต่อง-เหมืองปิล๊อก ก็ต้องเดินเล่นตัวหมู่บ้านของเค้าก่อนเลย โดยตัวหมู่บ้านอีต่องเองก็มีขนาดน่ารัก สามารถเดินเป็นวงกลมรอบนึงได้สบายๆ เพียง 10-15 นาทีแค่นั้น
สิ่งแรกเลยที่เราจะสามารถสัมผัสได้ตลอดทางที่มาบ้านอีต่องนั่นก็คือธรรมชาติป่าไม้ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์มากๆ ทุกพื้นที่ระหว่างขึ้นสู่บ้านอีต่องผ่าน 399 โค้งนั้นเต็มไปด้วยความเขียวขจีตัดกับหมอกสีขาวขุ่นๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นถนนตลอดทาง
หมู่บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับชายแดนไทยพม่า ทางฝั่งจังหวัดกาญจนบุรี เป็นหมู่บ้านโบราณที่มีการทำเหมืองแร่มาแต่สมัยโบราณ โดยมีผู้ประกอบการทำเหมืองแร่หลายแห่งในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้เหมืองแร่ได้ปิดตัวลงไป เหลือไว้เพียงสถานที่ท่องเที่ยวภายในหมู่บ้านอีต่องเท่านั้น ซึ่งที่นี่ถือเป็นอันซีนไทยแลนด์ที่ซุกซ่อนอยู่หลังม่านหมอกของจังหวัดกาญจนบุรีเลยทีเดียว
ทริปนี้เรามาเที่ยวกัน 3 วัน 2 คืน และที่พักคืนแรกของเราคือ บ้านคุณพ่อโฮมสเตย์ ที่พักที่อยู่ห่างออกมาจากตัวหมู่บ้านไม่ไกลเท่าไหร่นัก อยู่ติดกับวัดเหมืองปิล็อค มาถึงที่พักประมาณ 14.00 น. เราก็เช็คอินเข้าห้องพักกันเลย
ภายในที่พักมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบ มาถึงเอาของเก็บเสร็จเรียบร้อยเราก็ไม่รอช้า สั่งหมูกะทะมากินกันตั้งแต่ยังไม่มืดก่อนเลย หิวกันหนักมาก #หมูกะทะสามารถสั่งกับทางที่พักได้เลย
ไฮไลท์ของตัวหมู่บ้านที่หลายคนจะชอบมาถ่ายรูปก็น่าจะเป็นบ่อน้ำตรงกลางหมู่บ้าน และตรงสะพานริมอ่างเก็บน้ำที่มองไปเห็นวิวของบ้านพักที่เรียงรายริมน้ำ ยิ่งเวลาหมอกลงมีคนบอกว่าเหมือนคลองโอตารุ ประเทศญี่ปุ่นมาก สะพานตรงนี้เค้ามีกิมมิคที่นักท่อเที่ยวหลายคนมักจะมาเขียนข้อความบนป้ายไม้ที่หาซื้อได้ตรงตลาดเพื่อแขวนบนนี้กันนั่นเอง บรรยากาศตอนนี้คือสวยนะ ฟีลหมอกลงหนาๆ อากาศเย็นๆ บรรยากาศคือโคตรดีย์เลยล่ะ
พอได้เวลาฟ้ามืด เราทานหมูกะทะกันเสร็จ ก็เตรียมตัวเดินไปยังตลาดอีต่อง ชมบรรยากาศริมสะพานอ่างเก็บน้ำ มองไปเห็นวิวของบ้านพักที่เรียงรายริมน้ำ พี่เจ้าของที่พักให้เราเอาตะเกียงไปไว้ถ่ายรูปที่สะพานด้วยจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที เราก็มาถึงที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
บ้านอีต่อง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ จะมีที่พักให้บริการอยู่มากมาย โดยส่วนมากผู้คนนิยมที่จะไปพักกันบริเวณริมบ่อน้ำตรงกลางหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คประจำหมู่บ้านอีต่องเลยก็ว่าได้ บรรยากาศดีสุดๆ เดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้ว
ในตลาดอีต่อง มีร้านค้าไม่กี่ร้าน ส่วนใหญ่ขายของฝาก ขนมทานเล่น ซึ่งมีไม่มากนัก เช่น เสื้อผ้าพื้นเมือง ชาพม่า แป้งทานาคา ตะเกียงสำหรับถือถ่ายภาพในตอนกลางคืน
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนบ้านอีต่อง คือ เดินเล่นชมบรรยากาศในยามค่ำ พร้อมถือตะเกียงใส่เทียนไขยืนถ่ายภาพริมอ่างเก็บน้ำ ตะเกียงมีขายในตลาดสามารถหาซื้อได้ในราคา 25-50 บาท ส่วนของเราทางที่พักมีให้ยืมไม่ต้องซื้อ 5555
ถ่ายรูปกันอยู่ดีๆ หมอกก็พัดผ่านมาปกคลุมทำให้มองอะไรไม่เห็นนอกจากแสงไฟสลัวๆ จากที่พักริมอ่างเก็บน้ำ เราใช้เวลาถ่ายรูปกันจนพอใจ เดินเล่นกันต่อแบบชิลๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย ก็เตรียมตัวกลับเข้าที่พัก
ซึ่งในหมู่บ้านอีต่องเองก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น สะพานเหมืองแร่ วัดเหมืองปิล็อก และจุดชมวิวเนินช้างศึก ซึ่งเราจะเที่ยวกันในวันพรุ่งนี้
DAY 2
ประมาณตีห้า รถก็มารับเราไปเที่ยวยังจุดชมวิวเนินช้างศึก ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ต้องขึ้นไป คิดราคาไปกลับคนละ 60 บาท เส้นทางไปยังจุดชมวิวช่วงสุดท้ายค่อนข้างชันและเป็นถนนดินแดง ไม่แนะนำให้นำรถส่วนตัวขึ้นไปถ้าไม่ชำนาญ รถเก๋ง รถตู้หมดสิทธิ์ จอดไว้ข้างล่างได้เลย ต้องเป็นรถกระบะเท่านั้น
หมอกหนามากทำให้เมื่อขึ้นไปจุดชมวิวเลยมองไม่เห็นวิวข้างล่าง มีแต่หมอกปกคลุมเต็มไปหมด
แต่พอฟ้าเริ่มเปิดได้เห็นวิวภูเขา และสายหมอกไหลเวียนอยู่เหนือผืนน้ำข้างล่าง เหลือไว้เพียงความสดชื่นในแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน มาพักผ่อนที่อีต่องจะรู้สึกได้ถึงโอโซนอย่างเต็มที่
ลงมาจากจุดชมวิว ก็มายังสะพานเหมืองแร่ อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวในหมู่บ้านอีต่องที่ไม่ควรพลาด ต้องมาเขียนข้อความบนแผ่นไม้แล้วผูกไว้บนสะพานแห่งนี้
แวะทานอาหารเช้ากันที่ร้านมะกินกัน อยู่ในตลาดไม่ไกลจากจุดลงรถ ใกล้กับที่ถ่ายรูป เป็นร้านอาหารตามสั่ง มีเมนูให้เลือกหลากหลาย นั่งทานชิวๆ มองวิวสระน้ำชิลมากๆ
ทานอาหารเสร็จเราก็กลับไปที่พัก นอนเล่นสักพัก ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บสัมภาระเตรียมตัวย้ายที่พัก คืนนี้เราจะไปนอนในหมู่บ้านบริเวณริมสระน้ำ เก็บของเสร็จเราก็เอากระเป๋าฝากไว้กับที่พักก่อน แล้วเดินขึ้นบันไดพญานาคไปยังวัดเหมืองปิล็อก ทางขึ้นอยู่ติดกับที่พักเลย
กำลังจะเดินขึ้นอยู่ดีๆ น้องหมอกก็มาทักทาย มาเยอะจัดจนทุกอย่างขาวโพลนไปหมด มองอะไรแทบไม่เห็นเลย แม้แต่ทางเดิน
"วัดเหมืองปิล็อก" ตั้งอยู่สุดชายแดนตะวันตกไทย-พม่า บนขุนเขาสูงใหญ่ ศิลปะแบบพม่า บรรยากาศวัดปลอดโปร่งเย็นสบาย นมัสการพระธาตุวัดเหมืองปิล็อก เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน
กราบนมัสการ “พระพุทธรัตนศากยมุนี ศรีทองผาภูมิ” เชื่อ ศรัทธากันว่า...ทรงมีชัยชนะเหนือหมู่มารได้ จึงเชื่อมโยงมาสู่ศรัทธาอันสำคัญยิ่ง นั่นก็คือหากได้มากราบไหว้นมัสการแล้ว ก็จักเสมอเหมือนเป็นการเสริมสร้างดวงชะตา เป็นการขอพรให้ชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสมหวังด้วยประการทั้งปวง อีกทั้งยังเป็นการเสริมดวงให้เข้มแข็งในด้านหน้าที่การงาน สำเร็จลุล่วงไปได้โดยปราศจากปัญหาและอุปสรรคนานัปการ แคล้วคลาดจากอุปสรรคอันตรายใดๆทุกๆอย่าง
หลังจากไหว้พระขอพรกันเสร็จ เราก็กลับไปเอากระเป๋าจากที่พัก เดินมายังตัวหมู่บ้าน บินโดรนภาพมุมสูงของหมู่บ้านคือสวยมาก
คืนนี้เราพักกันที่อาร์มโฮมสเตย์ ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้านเลย
จากห้องพักมองเห็นวิวสระน้ำชิลมาก ติดตรงที่บ้านอยู่ติดเครื่องปั่นไฟ ช่วงที่มีการปั่นไฟประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม เสียงเครื่องปั่นไฟจะดังมาก หมู่บ้านอีต่องช่วงค่ำไฟไม่เพียงพอ ต้องปั่นไฟใช้ทั้งหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นเดินไปทางไหนก็จะได้ยินเสียงเครื่องปั่นไฟดังจนกลายเป็นเรื่องปกติ
ออกมาจากที่พักเราก็มาเดินหาอะไรทานกันในตลาด โซนตลาดอีต่องจะมีสินค้าและอาหารให้บริการอยู่หลายร้าน ทั้งร้านข้าว และคาเฟ่น่ารักๆ รวมไปถึงของสดต่างๆ สำหรับคนที่ต้องการจะประกอบอาหาร เราเดินมาเรื่อยๆ และแวะทานอาหารกันที่ร้านครัวเจ๊นี ยกเล มาบนเขา
ทานอาหารเสร็จเราก็เดินเล่นกันต่อในตลาดอีต่อง ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นการเดินเล่นในตลาดธรรมดา แต่เป็นการเดินเล่นกลางหมอก ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลา บ่ายโมงนิดๆ แบบนี้จะมีหมอกล้อมรอบตัวเราเยอะขนาดนี้
อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่อยากจะแนะนำให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูปก็คือบริเวณเหมืองปิล็อก
ซึ่งเป็นพื้นที่ทำเหมืองเก่า ปัจจุบันยังคงหลงเหลือ เครื่องมือทำเหมืองโบราณ และยานพาหนะที่ใช้ทำเหมืองไว้อยู่ เป็นพร๊อบในการถ่ายภาพคูลๆ ที่ทุกคนจะต้องได้รูปภาพสวยๆ เก็บความประทับใจกลับไปแน่นอน
และอีกหนึ่งจุดนอกจากเครื่องมือทำเหมืองแล้วภายในเหมืองปิล็อกยังมีน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลงในบ่อน้ำกลางป่า ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามสุดจะบรรยายจริงๆ ป่าไม้และต้นหญ้าสีเขียวขจีมีไอหมอกลอยละล่องอยู่เต็มพื้นที่ป่า ไปจนถึงน้ำตก ซึ่งในบ่อน้ำที่น้ำตกไหลลงมานั้นมีความใสสะอาดและมีปลาคราฟอาศัยอยู่ด้วย!
พื้นที่ตรงนี้เป็นดั่งดินแดนในฝัน เหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยก็ไม่เชิง ต้นไม้ในบริเวณนี้ดูสวยงามและแปลกตา ผสมกับสายหมอกหนายิ่งทำให้ดูน่าค้นหาและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเราทุกคนจริงๆ
ระหว่างทางเดินจะผ่านบ้านหลังนี้เป็นมุมไฮไลท์ที่หลายคนต้องมาเก็บภาพ กับความงดงามของบ้านที่มีวิวของภูเขาเป็นฉากหลัง บริเวณด้านหน้ามีสระน้ำ และฝูงปลาคราฟหลากสีสันแหวกว่ายมาทักทาย
โดยรวมแล้วบ้านอีต่องแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาสัมผัสด้วยตาตนเองสักครั้งจริงๆ ครับ ธรรมชาติที่ยังคงดิบและสมบูรณ์ของที่นี่ อากาศที่บริสุทธิ์เย็นสบาย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตร
เมื่อเดินไปจนถึงสุดตลาดก็จะได้พบอีกหนึ่งแลนด์มาร์คประจำบ้านอีต่อง นั่นก็คือจุดคล้องพวงกุญแจไม้ ซึ่งในจุดนี้เราจะสามารถมองเห็นวิวของบ่อน้ำกลางหมู่บ้านอีต่องซึ่ง ณ ขณะนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกจนหมดแล้ว!
โลเคชั่นสวยๆ ในการถ่ายภาพ รวมไปถึงสายหมอกที่โอบล้อมพร้อมปะทะกับทุกคนที่มาเยือน เป็นดินแดนในฝันที่ไม่ไกลเกินความตั้งใจของนักท่องเที่ยวทุกคนครับ
ในช่วงฤดูฝนหมู่บ้านอีต่องน่ามาเที่ยวไม่แพ้ฤดูไหน เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อน รอบหมู่บ้านจะถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกฝน และความเขียวขจีของภูเขาและต้นไม้ อากาศเย็นสบายมองไปทางไหนก็สดชื่น
ร้านอาหารต่างในบ้านอีต่อง มีทั้งร้านอาหารทะเล ร้านหมูกระทะ ระหว่างทางเดินมีอาหารทานเล่น อย่าง ลูกชิ้น หมาล่า ปลาหมึกบด ข้าวโพดอบเนย ให้เราเลือกทานอีกด้วย
เราไม่รอช้า เลือกสั่งข้าวโพดย่าง กับ ขนมปังปิ้งมาไว้ทาน ตอนกลับไปยังที่พัก เราก็เดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศในตลาดกันต่อ อีกหนึ่งร้านขายของที่ระลึกแสนน่ารัก ขายทั้งเสื้อผ้าพื้นเมือง โปสการ์ด พวกกุญแจ หลายแบบ
จากนั้นเราก็เดินกลับไปถ่ายรูปเล่นหน้าที่พัก บอกเลยว่าหน้าห้องพักโซนริมน้ำ ถ่ายรูปตอนกลางคืนได้ฟิลอีกบรรยากาศเลยน้า ถ้ามาแล้วอย่าลืมแวะมาถ่ายกันด้วยน้า
ก่อนจะเข้าที่พัก มื้อเย็นเราสั่งเป็นจิ้มจุ่ม ทานกันบริเวณระเบียงหน้าห้องพักฟินมากๆ เลยแกรร๊
กินกันได้สักแปบ ก็ต้องรีบเข้าห้องเพราะฝนตกลงมาแบบไม่ได้นัดหมาย ดีนะที่กินหมดแล้ว 5555
DAY 3
บ้านอีต่อง - ทองผาภูมิ - กาญจนบุรี - กรุงเทพ
ตื่นเช้ามาวันนี้ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ เสียดายเช้านี้น้องหมอกไม่มาทักทาย ทั้งที่เมื่อคืนฝนตก
ก่อนกลับเราเดินมาที่ร้าน ฮัก ปิล๊อก post & café ที่เป็นร้านขายโปสการ์ดและร้านขายของที่ระลึก สามารถส่งโปสการ์ดแล้วหย่อนลงไปรษณีย์ได้เลยมีบริการส่ง จะส่งหาเพื่อน หรือส่งให้ตัวเองก็ได้
ใกล้ๆ กันมีร้านกาแฟสดปิล๊อคต๊อกแต๊ก เราก็ไม่พลาดที่จะสั่งชามะนาวมาลองชิมกันระหว่างรอรถออก
เรากลับรถรอบ 07.30 น. แต่เราออกมาก่อนเวลา รอบเวลารถโดยสารสีเหลือง
จบทริปการเดินทางของเราที่บ้านอิต่อง 3 วัน 2 คืน เป็นครั้งแรกของการเดินทางมาที่นี่ ไม่คิดว่าที่นี่จะดีมากขนาดนี้ หลงรักหมู่บ้านนี้เลย ในช่วงฤดูฝนหมู่บ้านอีต่องน่ามาเที่ยวไม่แพ้ฤดูไหน เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อน รอบหมู่บ้านจะถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกฝน และความเขียวขจีของภูเขาและต้นไม้ อากาศเย็นสบายมองไปทางไหนก็สดชื่น
การเดินทาง : จากขนส่งกาญจนบุรี ต่อรถประจำทาง กาญจนบุรี - ทองผาภูมิ มาลงที่ตลาดทองผาภูมิ จากนั้นต่อรถสองแถวจากตลาดทองผาภูมิมาลงที่บ้านอีต่อง
เพราะการเที่ยวเยอะๆ มันช่วยทำให้เราลืมเรื่องไม่สบายใจได้ระยะหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อลองไปเที่ยวดู
ช่องทางการติดต่อ :-
อย่าลืมกด Like กด Share และ Subscribe ด้วยครับ
Facebook https://www.facebook.com/EnvyJourney
Website : https://envyjourney.com/
Tiktok : @envyjourney
Instagram : https://instagram.com/king_jou...
เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 14.33 น.