เทศกาลหยุดยาวต้อนรับวันเข้าพรรษา ตัดสินใจไปเที่ยวภาคเหนืออีกครั้ง

แต่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน จึงไม่มีการวางแผนของตำแหน่งสถานที่เที่ยวแบบจริงจัง

เรามีเป้าหมายอยู่ 3 ที่ หลักๆ ที่ต้องไปแน่ๆ คือ

  • สะพานซูตองเป้
  • ปางอุ๋ง
  • ห้วยน้ำดัง

เริ่มต้นการเดินทางจาก กทม - เชียงใหม่ เลือกใช้บริการ รถทัวร์ จากสถานีขนส่งหมอชิต ไปสถานีขนส่งผู้โดยสารอาเขต ขาไปผมผิดหวังนิดหน่อยกับรถทัวร์ เพราะ มันเป็นทริปที่ค่อนข้างฉุกเฉิน นึกอยากไปก็ไปเลย ทำให้ไม่ได้แพลนสายรถทัวร์และสถานที่ท่องเที่ยวไว้ และอีกอย่างหากเลือกการเดินทางโดยเครื่องบิน 2 คน คงไม่ไหวแน่ๆ เพราะไม่ได้จองล่วงหน้าไว้ครับ ต้องบอกเลยครับ ถ้าใครคิดจะไปช่วงวันหยุดยาวกรุณาจองไว้ล่วงหน้าดีที่สุด ขนาดผมเลือกไปกับรถทัวร์ พบว่าเที่ยวบริการรถรอบปกตินั้นมันเต็มและเต็มทุกรอบจริงๆ สุดท้ายรอบที่ได้ไปคือรถเสริม เอาล่ะซื้อตั๋วไปแล้ว ไปก็ไป ออกจากสถานนี้ขนส่งหมอชิตก็ปาไป 20.30 ละครับ ถึงเชียงใหม่ 7.00 โมงเช้า (โชคยังดีที่รถเสริมรอบนี้ยังโอเคอยู่ครับ)

แต่รถเช่าที่ผมได้จองไว้นัดส่งรถเที่ยง เอาละสิเวลาที่เหลือทิ้งจะไปไหนดี แต่เราขอที่จะเลือกออมแรงไว้ก่อนดีกว่า โดยการหาห้องพักรายวันแถวๆ อาเขตครับ 200 บาท ป้าบริการดี ห้องตามสภาพขอมีน้ำอาบพอ 200 บาท มี WiFi ฟรี ห้องพัดลม แถมทีวี 555 เพื่อที่จะได้อาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตา และขอนอนสักงีบ

ได้เวลาล่ะ ผมก็ไปรอรับรถที่ร้านแมคโดนัลด์แถวๆ อาเขตละครับ ในระหว่างรอขอสั่งอะไรมากินสักอย่างสองอย่างรองท้องไปก่อน โดยบริษัทรถที่ผมใช้บริการนั้น มีคนแนะนำมาครับ กินเที่ยว รถเช่า เชียงใหม่ kinteawrentacar จะบอกว่าพี่เขาบริการดีมากๆครับ ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้บริการ ที่ผมเลือกใช้ รถยนต์ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน ไม่สามารถเดาได้ว่าจะเจอฝนที่ไหนบ้าง

ปล. ใครที่อยากจะเปิดเพลงฟังระหว่างการขับรถ ขอบอกว่าถ้าได้ขึ้นเขาเมื่อไหร่ บอกเลยไม่มีสัญญาณวิทยุครับ ควรเตรียมเพลงไปเปิดฟังในรถด้วยนะครับ

หลังจากรับรถยนต์ที่จองไว้แล้ว เป้าหมายแรกคือ สะพานซูตองเป้

การขับรถครั้งนี้มีความท้าทายมากจากจำนวนโค้งที่มากเหลือเกิน มากจริง มีทั้งทางชันและทางลาด ตั้งแต่ เชียงใหม่ ไป ปาย และจาก ปาย ไป แม่ฮ่องสอน ดังนั้น ต้องมีสติทุกครั้ง

และแล้วก็มาถึง สะพานซูตองเป้ โดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่งโมง จากเชียงใหม่ รวมเวลา จอดพักรถ

เนื่องจากเรามาถึง สะพานซูตองเป้ ในช่วงเย็น ทำให้เหลือคนที่มาเที่ยวน้อยมาก อีกอย่างการมาเที่ยวฤดูนี้มีดีแน่นอนคือไม่ต้องมาแย่งใครถ่ายรูปครับ เดินชิวๆไปแบบยาวๆ


มองดีๆ ไม่มีใครนอกจากพระและเณร ท่านก็เดินถ่ายรูปเช่นกัน

หน้าฝนนี้สวยไม่แพ้หน้าอื่นนะครับ ต้นข้าวอุดมสมบูรณ์มากๆ ขอบอก

นี้แหละสิ่งที่อยากจะเห็น ธรรมชาติเขาให้มาครับ ภูเขา และไอหมอก แต่ถ้ายืนชมวิวนานกว่านี้ อาจจะเจอกับฝนด้วยครับ ^^


หลังจากนั้น ไปนอนพักในตัวเมือง แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า เมื่อไปถึงที่พัก พบว่า ที่พักเหลือหลายห้องเหมือนกันครับ ผมเดินเลือกห้องพักได้เลยในราคาเดียวกัน^^ คงเป็นเพราะช่วงฤดูฝน คนเลยมาเที่ยวไม่เยอะ หลังจากเก็บของสัมภาระเสร็จ คืดว่าจะออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินซักหน่อยแต่โชคไม่ดี เนื่องจาก ฝนตก จึงไม่มีตลาดถนนคนเดิน แถมร้านค้าก็ปิดหมดแล้ว จบที่ ก๊วยเตี๋ยวต้มยำ ริมทาง เพราะมีคนมากินที่ร้านนี้เยอะมาก จึงแวะลองดู.....รสชาติอาจไม่คุ้นปากแต่ก็อร่อยอยู่ครับ

วันที่สอง: ปางอุ๋ง บ้านรักไทย อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา

เช้าวันที่สอง ผมออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงเช้ามุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง เพราะยากไปให้ทันดูหมอก

ผมเคยมาปางอุ๋งแล้วครั้งหนึ่ง ตอนเดือนมกราคม 2555 ซึ่งขณะนั้น มากับทัวร์ที่ซื้อไว้จากปาย ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจทางที่ขึ้นมาสักเท่าไร เนื่องจากนั่งอยู่ในรถตู้ แต่ครั้งนี้ต้องขับรถขึ้นมาเอง ทุกโค้งที่ผ่านมานั้น ขอบอกเลย... ลุ้นมาก...ว่ารถเราจะผ่านไปได้ไหม 555 แต่มันก็ผ่านมาได้วันนี้โชคดีมาก ฝนไม่ตก ^^ ได้สัมผัสอากาศเย็นตลอดทางที่ขับขึ้นมาปางอุ๋ง

ถึงแล้วครับปางอุ๋งที่รอคอย น้ำลด และมาสายไปนิดนึงคือไม่มีหมอกแล้ว รู้สึกเสียดาย (ทำเวลาแล้วนะครับ แต่เส้นทางมันไม่เอื้อเท่าที่ควร จึงขับมาเรื่อยๆดีกว่า ปลอดภัยดี) แต่อย่างน้อยได้เพลินกับหมอกในช่วงทางขึ้นมาปางอุ๋งแล้ว

นี้แหละครับขอให้เป็นสีสันของที่นี้แล้วกันหงส์ดำสองตัวนี้ ว่ายน้ำไม่กลัวคนเลย สงสัยโดนถ่ายรูปบ่อย จนชินกับกล้อง แถมว่ายเข้ามาหาคนด้วย นั่งดูสักพักใหญ่ๆ เลย เพลินดีครับ อากาศก็เย็นสบาย

มีคนเอาดอกไม้มาวางไว้บนที่นั่ง คงเอามาถ่ายรูป งั้นผมขอสักรูปแล้วกันครับ

เจ้านี้คงเฝ้าใครสักคน เล่นกับทุกคน ไม่กลัวใครเลยขอเก็บภาพสักหน่อย ปีหน้าหวังว่าผมจะได้เจอมันอีก

หมู่บ้านรักไทย หมู่บ้านแห่งขุนเขา ชมไร่ชาและชิมชาฟรี (มีให้ชิมหลากหลาย) ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปปางอุ๋ง จะมีป้ายบอกชัดเจน ตรงทางแยก ระหว่างทางไปปางอุ๋ง และ หมู่บ้านรักไทย

ออกจะดูเงียบเหงานิดนึงนะครับ แต่ขอบอกห้องพักเต็มทุกหลัง ใครคิดจะมาแล้วเข้าพักเลย อาจจะหาโอกาสยากหน่อยนะครับ โทรจองจะดีกว่า


หมู่บ้านรักไทยที่มองจากอีกฝั่งนึงครับ

เขาว่ากันว่ามันคือไหเหล้า ไม่แน่ใจจริงหรือเปล่า แต่เอามาประดับให้ดูสวยงามเรียบร้อยแล้ว


ที่สะดุดตาก็เจ้าโคมนี้แหละ มันก็สวยไปอีกแบบครับ

หลังจากเดินชิมชา ชมวิว เสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา แต่ระหว่างทางจะผ่าน น้ำตกผาเสื่อ จึงแวะลงมาถ่ายรูปเล่นและเดินดูน้ำตก (แต่น้ำตกมีน้อยมาก)

นี้แหละครับข้อดีของหน้าฝน มองไปทางไหนก็เขียวสดชื่นไปหมด แถมอากาศก็เย็นสบาย

อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา

สถานที่แห่งนี้อยู่ริมถนนเห็นป้ายชัดเจนครับ ทางผ่านระหว่าง ปายกับแม่ฮ่องสอน

ต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อน และ ได้ประทับตราของอุทยานลงบน หนังสือ Passport To National Park of Thailand

เดินจนทั่วอุทยานแล้ว มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย เพื่อจะพักที่ปายอีกหนึ่งคืน โดยระหว่างทางกลับนั้นแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่ หมู่บ้านจ่าโบ๋ (ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ราคาหลักสิบ วิวหลักล้าน) ก๋วยเตี๋ยวอร่อยมากครับ

แคปหมูที่นี้ราคาแค่ 5 บาทเท่านั้นนะครับ แอบตกใจนิดหน่อย เพราะแถวบ้าน 10 บาท 15 บาท ส่วนปริมาณเยอะกว่าราคารับรองครับ แถมอร่อยเลยขอซื้อติดมือมาอีก 3 ถุงครับ เคี้ยวเล่นในรถ

จุดแวะชมวิวอีกจุดหนึ่งคือ จุดชมวิวกิ่วลม

สำหรับการเดินทาง จุดชมวิวนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนคงต้องผ่าน เลยแวะสูดอากาศนิดนึงก่อนเดินทางต่อ ที่นี้คนค่อนข้างเยอะครับ เพราะมันคล้ายๆ กับจุดพักรถเลย

หลังจากนั้นก็มาถึงตัวอำเภอปาย เดินเล่นถนนคนเดินปาย

ของขายมากมาย ของทำมือสวยๆ มีขนมจีนนั่งยองด้วยนะครับ แต่โทษทีผมไม่ได้ถ่ายมา และไม่ได้เข้าไปชิมด้วย เนื่องจากคนเยอะเกิน ของที่นี้ไม่แพงอย่างที่คิดนะครับ ขายถูกๆ มีอยู่มากมายแถมสวยๆ ทั่งนั้น


เขาว่ามาที่นี้ถ้าไม่ได้กิน ข้าวปุกงาดำ มาไม่ถึงปาย รสชาติก็แปลกใหม่อร่อยดีครับ

วันที่สาม เป้าหมายคือห้วยน้ำดัง แต่ก็ได้แวะเที่ยวทางผ่านคือ

Coffee in Love at PAI

สวยไปอีกแบบครับมีสาวๆจีนมายืนถ่ายรูปอยู่ คือเขาพยายามที่จะนั่งบนจักรยาน แต่ผมกลัวมันจะพังซะเหลือเกิน

PAI CANYON


ไม่ค่อยมีคน อากาศกำลังร้อนได้ที่เลยครับ

สะพานประวัติศาสตร์ปาย

คือมีสามล้อเก่าๆ อยู่ 1 คัน ถามว่ามีคนไหม มีนะครับ แต่แค่ 2 คน เขามาเป็นคู่ ส่วนผมก็มาเป็นคู่เช่นกัน

หลังจากนั้นมุ่งหน้าสู้ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง

เรามาถึงประมาณ แปดโมงเช้า อากาศเย็นสบายมาก แต่ไม่มีหมอกให้เห็น

เริ่มต้นจากเสียค่าใช้จ่ายค่าเข้าชม และได้ประทับตราอุทยานบนหนังสือท่องเที่ยวอุทยานทั่วไทย เส้นทางวิ่งในตัวอุทยานค่อนข้างแคบ ดังนั้นเวลาขับรถต้องคอยระวังรถที่สวนทางลงมาด้วยครับ

ชอบสุดๆก็ตรงนี้แหะครับ คือมันธรรมชาติจริงๆ มอสเขียวบนหลังคาที่เกิดขึ้นเอง สวยไปอีกแบบ

บันไดไม้ ที่ดูสวยงามเหมาะกับสถานที่เป็นอย่างมาก

เมื่อออกจากตัวอุทยานก็มุ่งหน้าสู่เชียงใหม่

เรามีเวลาเหลืออีกครึ่งวัน เนื่องจากคืนรถเช่าเวลา 1700 น. จึงขับรถแวะเข้าไปเที่ยวที่ม่อนแจ่มและปางช้างแม่สา

เรามาถึง ม่อนแจ่ม ตอนเที่ยงกว่าๆ อากาศร้อนมาก นึกในใจว่า ยิ่งสูงยิ่งร้อนจัง นี่ฤดูฝนนะเนี่ย (แนะนำให้มาเที่ยวหน้าหนาวนะครับ อิอิ)

ปล. Avocado ราคาถูกมาก

แค่หันกล้องไปเท่านั้นแหละครับน้องเขาทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ คือโพสท่าให้เราได้ถ่ายรูปเลย

ส่วนคนนี้กำลังไล่จับเจ้าผีเสื้ออยู่ครับ

ดอกไม้ที่นี้สวยงามมากครับ แม้วันอากาศร้อนแบบนี้ก็ยังสวยอยู่


นี่คือแปลงกะหล่ำปลี แต่เค้าเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วครับ แต่ก็เป็นจุดถ่ายรูปได้เหมือนกัน

หนีอากาศร้อนมาเดินเล่นที่ ปางช้างแม่สา เรามาถึงที่นี่บ่ายสาม รอบการแสดงของช้างจบลงหมด จึงได้แค่เดินดูภายในปางช้างและได้ไปดูลูกช้าง ชื่อ น้ำเพชร เป็นสีสันของปางช้างแห่งนี้มาก

นี้แหละครับที่แฟนผมเดินตามหา ถามควาญช้างมาเรื่อยจนเจอ ทองศรีและน้ำเพชรครับ ช้าง 2 แม่ลูกเชือกนี้น่ารักมาก ผมเริ่มจะเข้าใจเมื่อรู้ว่าแฟนผมได้ไปเป็น FC ของช้าง 2 เชือกนี้จากในเฟส โดยยอมลงทุนค่าเข้าเพื่อมาดู 2 เชือกนี้ น้ำเพชรอายุ 7 เดือน กำลังซนและน่ารักมากครับ

จบทริปสุดท้ายที่ปางช้างแม่สา

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป 2 คน

ค่ารถทัวร์ไปกลับ กทม-เชียงใหม่ 2 คน 3,200 บาท

ค่าเช่ารถยนต์ 3 วันๆ ละ 1,000 บาท เท่ากับ 3,000 บาท (ค่ามัดจำ 3,000 บาท ได้คืน)

ค่าน้ำมัน 1,100 บาท

ค่าที่พัก 2 คืน 1,100 บาท

ค่าอาหาร โดยประมาณ 3,000 บาท (รวมค่าเข้าอุทยานฯ ซื้อของฝาก และอื่นๆ)

รวมประมาณ 11,400 บาท

และนี่เป็นเส้นทางที่ท่องเที่ยวช่วงฤดูฝน วันหยุดยาวครับ











Moonlover

 วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.33 น.

ความคิดเห็น