สวัสดีค่า นี่เป็น Blog แรกของเราที่อยากจะบันทึกแบ่งปันจุดเริ่มต้นและประสบการณ์การเดินทางด้วยตัวคนเดียว

ซึ่งจุดเริ่มต้นของการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกของเรานั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เรา 'อกหัก' เชื่อว่าคงเป็นเหตุการณ์คลาสสิคของใครหลายๆคนโดยที่ไม่ต้องอธิบายให้มากความ 

จุดหมายปลายทางในหัวตอนนั้นของเราเลือกที่จะไปจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความที่เคยดูภาพยนต์เรื่อง Low Season เหมือนเป็นจุดประกายแวบแรกที่เข้ามาในหัว และในตอนนั้นเราแค่อยากจะพาตัวเองออกไปจากจุดนี้ ไปที่ไหนก็ได้ไกลๆสักที่ เพื่อให้ได้เยียวยาความรู้สึกตัวเองกับคำถามในใจมากมายที่มันประดังประเดเข้ามาในหัวอย่างล้นหลาม และได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักเพื่อคิดทบทวนอะไรเงียบๆคนเดียว 

วินาทีนั้นเราไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ตัดสินใจกดจองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Air Asia ซึ่งหมุดหมายปลายทางคือ 'เชียงใหม่' ต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เราไปเป็น High Season คงไม่ต้องคาดหวังเรื่องราคาค่าตั๋วเครื่องบินว่าจะถูก ยิ่งเป็นทริปพักใจกระทันหัน แต่กัดฟันเป็นไงเป็นกัน แพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย


เริ่นต้นด้วยเช้าวันที่ 26-12-2023 

ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่เวลาประมาณ 10 โมง ซึ่งที่แรกที่เราเลือกจะไปคือแม่กำปอง

โดยการเดินทางเราเลือกที่จะนั่งรถตู้โดยสารที่ได้ทำการจองล่วงหน้าไว้ ราคาขาไปและขากลับเที่ยวละ 150 บาท สามารถขึ้นได้ที่ตลาดวโรรส รอบเวลาที่คิวรถตู้มีคือ 07:40, 09:30, 11:40, 14:30 

ส่วนเราเลือกจองรอบ 11:40 แต่ด้วยความที่วันนั้นโชคดี พี่ที่คิวรถตู้บอกว่ารถพร้อมอาจจะออกก่อนเวลาประมาณ 11 โมง ทำให้เรามีเวลาเหลือประมาณ 30 นาที เลยขอพี่เค้าฝากกระเป๋าและเดินเล่นแถวตลาดวโรรสเพื่อหาของกินรองทองก่อนออกเดินทาง

เราเลือกลองไปกินร้านปาท่องโก๋ชื่อดังร้าน 'โกเหน่ง' เพราะเห็นรีวิวมานานมาก ร้านอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถตู้ เดินไปประมาณ 100 กว่าเมตร เราลองสั่งมากิน 1 ชิ้น ส่วนราคาขึ้นอยู่กับว่าเราจะสั่งเป็นตัวอะไรในรายการที่ร้านมี 

เราสั่งเป็นตัวไดโนเสาร์รูปร่างน่ารักมาก ราคา 20 บาท ด้วยความที่ไม่อยากกินเยอะจนอิ่ม เพราะกะว่าจะรอไปกินทีเดียวที่แม่กำปองเลย 

หลังจากนั้นพอใกล้เวลาก็เดินกลับมาที่ท่ารถตู้เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสู่ 'แม่กำปอง' ของเรา ระยะเวลาที่ใช้เดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง 

เมื่อถึงแล้วรถตู้จะส่งบริเวณลานจอดรถ ที่เป็นจุดจอดรถรับส่งหลายๆคันทั้งขามาและขาไป หลังจากนั้นเราได้ทำการนั่งรถรับจ้างจากชาวบ้านต่อเพื่อขึ้นที่พัก ราคาประมาณ 20 บาท

และแล้วก็มาถึงที่พักของเราชื่อว่า 'The Tree Home' จะอยู่บริเวณด้านบนหมู่บ้านแม่กำปอง ราคาห้องของเราคืนละ 1000 บาท อยู่ระหว่างตลาดกับคาเฟ่ระเบียงวิว 

ห้องที่เราได้เป็นห้องที่ใกล้ชิดติดกับลำธารมากและอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรสุด ทำให้เราได้ยินทั้งเสียงนกและเสียงสายน้ำที่ไหลผ่านลำธารตลอดทั้งวัน มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบมาก

หลังจากเก็บกระเป๋าสัมภาระเสร็จสรรพ เราก็ไม่รอช้ารีบเดินขึ้นไปด้านบนที่เป็นจุดชมวิวของหมู่บ้านแม่กำปอง ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะขึ้นไปที่ร้านระเบียงวิว ระหว่างทางก็เดินชมความงดงามของธรรมชาติไปเรื่อยๆ มองแสงของพระอาทิตย์ที่ลอดผ่านต้นไม้ เรารู้สึกว่าเนี่ยแหละมันคือความงดงามของธรรมชาติอย่างแท้จริงที่ไม่ต้องรังสรรปรุงแต่งใดๆเลย

แต่ด้วยความที่เหนื่อย 55555 เพราะทางขึ้นค่อนข้างจะชันและพอเมื่อมองไปไกลๆแล้วเห็นจำนวนคนที่นั่งโซนระเบียงที่ร้านค่อนข้างเยอะ อาจจะช่วงนั้นเป็นช่วงวีคสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ คนมากหน้าหลายตาก็แวะเวียนมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้คิดว่าไม่มีที่ให้เรานั่งแน่ๆ คงสู้กับจำนวนคนไม่ไหวและไม่อยากรอด้วย เราเลยตัดสินใจเดินเข้าอีกร้านคาเฟ่ที่ชื่อว่า 'บ้านอิงดาว' ซึ่งจำนวนคนไม่เยอะและได้วิวที่ใกล้เคียงกัน

เราสั่งน้ำและขนมหวานมานั่งกินพร้อมใช้เวลาจดจ่อจ้องมองทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกที่สงบ ได้ผ่อนคลายและไม่มีความคิดใดๆในหัวเลยตอนนั้น แค่อยากจะมองด้วยตาเปล่าให้นานที่สุดและสร้างความทรงจำดีๆให้กับตัวเอง 

หลังจากเสพบรรยากาศอิ่มเอมใจอย่างเต็มที่แล้ว เราก็เดินกลับลงมาที่ตลาดเพื่อหาของกินต่อ ตอนนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น อากาศค่อนข้างเริ่มเย็นลง ระหว่างนั้นก็เดินดูร้านอาหารไปเรื่อยๆ และก็ได้กลิ่นอันหอมมาจากร้านนึงคือร้านแหนมหมูย่างห่อใบตอง กลิ่นย่างหมูหอมกวนกระเพราะขนาดนี้จะพลาดได้ไงล่ะ เลยทำการแวะซื้อแหนมหมูย่าง 1 ห่อ ไว้เอากลับไปกินที่ที่พักต่อ

แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆ จนมาเจอร้านหมูกระทะปิ้งย่างชื่อร้าน 'เก๊าบ่าเฟือง' ไม่รอช้ารีบจ้ำเดินไปจองคิวเพื่อให้ได้นั่งกิน พอได้คิวแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งด้านโซนระเบียง โดยทางร้านจะมีทั้งแบบปิ้งย่างและชาบูสามารถเลือกได้ ส่วนเราแน่นอนเลือกปิ้งย่าง 55555 พอได้เซตอาหารที่เราสั่งมาแล้วก็ลุยโลดดด 

เป็นวันที่นั่งกินหมูกระทะที่ฟินมาก นั่งปิ้งหมูไปพร้อมกับนั่งมองผู้คนด้านล่างที่แวะเวียนผลัดเปลี่ยนเทียวกันมาเดินเที่ยวย่านตลาด รวมถึงบรรยากาศเย็นๆกับไออุ่นจากเตาหมูกระทะพอมาบรรจบกันทำให้ได้อุณหภูมิในระดับที่พอดี เป็นอะไรที่หลายๆคนก็น่าจะชอบรวมทั้งเราด้วย 

หลังจากรับประทานเสร็จก็เวลาประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ เราเลยเดินกลับที่พักพร้อมกับเที่ยวชมบรรยากาศยามเย็นไปเรื่อยๆ

พอถึงที่พักก็มีคุณตาเป็นเจ้าของที่พักโฮมสเตย์ข้างๆหลังที่เราพัก เห็นเรามาคนเดียวคุณตาเลยชวนเราไปนั่งผิงไฟด้วยกันกับคุณยาย นั่งพูดคุยกันกับคุณตาคุณยายสักพักตามประสาคนแปลกหน้า พร้อมกับนั่งเอามืออังไฟจากเปลวไฟอุ่นๆ ซึ่งขาดแค่มันเผาก็จะครบสูตรแล้ว 555 ก็ถือว่าเป็นประสบกาณ์แปลกใหม่อีกรูปแบบที่รู้สึกดี ได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ มิตรภาพดีๆ น้ำใจจากคนแปลกหน้าที่เราอาจจะหาได้ยากจากในเมืองใหญ่

จากนั้นเราก็ขอตัวแยกย้ายกับคุณตาคุณยายกลับเข้าห้องพัก เราโทรไปถามทางที่พักว่ามีรถพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ 'กิ่วฝิ่น' มั้ย ซึ่งทางที่พักบอกว่าถ้าเราสนใจเจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อจองรถชาวบ้านให้มารับในตอนเช้าตี 5 ครึ่ง แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างนึงคือ ถ้าเราทำการจองแล้วทางที่พักเค้าขอให้เราไปตามนัดนะ เพราะเคยเกิดกรณีลูกค้ามาเป็นกลุ่มแล้วจองแต่ปรากฏว่าตอนเช้าไม่มีใครตื่น ทำให้รถที่มารับเสียเวลาและทางที่พักจะเสียชื่อ

ได้ยินแบบนั้นเราก็ตัดสินใจอยู่นานมากว่าตอนเช้าจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วฝิ่นทันมั้ย 5555 แต่ด้วยความที่ใจสู้คิดว่ามาตั้งไกลขนาดนี้แล้วไม่ได้จะมากันบ่อยๆ เลยตัดสินใจลงชื่อจองไปกิ่วฝิ่น และค่ำคืนนั้นก็พักผ่อนร่างกายเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเช้าวันใหม่


เช้าวันที่ 27-12-2023

เวลาประมาณตี 5 ครึ่ง ในที่สุดความตั้งใจปณิธานมันก็ชนะความง่วงได้ เราตื่นขึ้นมาท่านกลางความเงียบงันและวังเวง เพราะที่พักมีแค่เราคนเดียวที่ลงชื่อไปกิ่วฝิ่น พอทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาจากห้อง มองออกไปด้านนอกมืดสนิทจนสามารถจินตนาการไปได้ร้อยแปดอย่าง 5555

ตอนนั้นเวลาตี 5 ครึ่ง อุณหภูมิประมาณ 9 องศา หนาวมากสำหรับเราที่เป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว แต่ก็สู้อะเนอะ กายพร้อมใจพร้อมเราทำได้

เราเดินขึ้นไปจุดที่รอรถรับจ้างชาวบ้านมารับ มีค่าเดินทางรับส่งไปกลับ 100 บาทต่อคน จ่ายเงินเสร็จก็มานั่งรอเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถ พอรถไปรับคนจากที่พักอื่นๆ ที่จะไปกิ่วฝิ่นเหมือนกันครบแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง 

ระหว่างทางก็คือมืดมากกก มืดจนพอมองออกไปรู้สึกส่วนลึกในใจแอบกลัวนิดๆ เพราะพอพ้นหมู่บ้านออกมาก็คือข้างทางมีแต่ป่าและป่าเท่านั้น ไม่มีไฟถนนแต่อย่างใด มีแค่แสงไฟจากหน้ารถที่กำลังแล่นผ่านไปตามทาง

ระยะทางจากหมู่บ้านแม่กำปองจนถึงกิ่วฝิ่นก็ประมาณ 4 กิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาที 

เมื่อมาถึงแล้วจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นเราจะต้องเดินต่อไปเองอีกไม่กี่เมตร ส่วนด้านล่างจะเป็นตลาดชาวบ้านที่ขายเครื่องดื่มและอาหารต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น

โดยจุดชมวิวกิ่วฝิ่นจะอยู่ระหว่าง 'ลำปาง' และ 'เชียงใหม่' ซึ่งตลาดชาวบ้านตั้งอยู่ในโซนจังหวัดลำปาง ที่พอเราก้าวเท้าไปแล้วก็ถือว่าเข้าเขตจังหวัดลำปางแล้ว ว้าวว ไปเที่ยว 1 ที่แต่ไปได้ตั้ง 2 จังหวัดแหนะ ^^

หลังจากเติมพลังด้วยโอวันตินร้อนๆกับขนมปังปิ้งแล้ว ก็เดินขึ้นไปยังด้านบนกิ่วฝิ่นที่เป็นจุดชมวิวเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน

ทุกคนบริเวณนั้นทั้งนั่งรอยืนรอ รอชมความสวยงามของแสงตะวันวันใหม่ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตั้งหน้าตั้งตารอชมและถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นเมมโมรี่ แต่บางคนก็ถอดใจเดินกลับลงไปเสียก่อนเพราะวันนั้นหมอกค่อนข้างที่จะหนา ทำให้กว่าจะเห็นดวงตะวันที่ถูกเมฆหมอกบดบังโผล่พ้นออกมาทักทายผู้คนก็ล่วงเวลาเกือบ 7 โมงเช้า 

พอได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นสมปรารถนาพร้อมบันทึกภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำแล้ว ก็เดินลงมายังด้านล่างที่เป็นจุดรับส่งที่คนขับได้ทำการนัดแนะกับคนที่มารอบเดียวกันไว้

ระหว่างทางที่กำลังเดินทางจะกลับเข้าไปยังหมู่บ้านแม่กำปอง พี่คนขับรถก็ใจดีแวะจอดที่ 'น้ำตกแม่กำปอง' ให้พวกเราคนที่มารอบรถคันนี้ได้เข้าไปเดินเที่ยวชมกัน

หลังจากเดินดูน้ำตกเสร็จประมาณ 10-15 นาที ก็กลับมาขึ้นรถและแวะซื้อของใส่บาตรก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าที่พัก

ใส่บาตรพระเสร็จเรียบร้อยก็เข้าห้องพักเพื่อเก็บสัมภาระและเตรียมตัว check out ออกก่อนเวลา 11 โมง และไม่ลืมที่จะมาบ๊ายบายเจ้าของที่พักสุดแสนน่ารักตัวนี้

เราฝากกระเป๋าให้พี่พนักงานที่พักเอาลงไปยังลานจุดจอดรถตู้ก่อน ส่วนตัวเราขอเดินลงไปเองเพื่อจะได้เดินเที่ยวชมบรรยากาศครั้งสุดท้ายก่อนกลับ

เดินทางกลับเข้ามายังตัวเมืองเชียงใหม่ถึงเวลาประมาณบ่ายโมง เราก็เรียกรถรับส่งจากแอพ Maxim เพราะราคาประหยัด ปักไปยังที่พักของเราชื่อว่า 'My Loft Hotel' ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีขนส่งช้างเผือก

โดยห้องที่เราจองราคาคืนละ 800 บาท ไม่แพงเลยและสภาพห้องดูใหม่มาก ทางที่พักมีลิฟต์ให้บริการด้วยเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีสัมภาระหนัก 

หลังจาก check in เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาออกไปตะลอนเดินเล่นและตามล่าของกินที่อยู่ในลิสต์รายการ โดยที่แรกที่เราไปกินคือร้าน Me&Bacon เป็นร้านแนว Breakfast and Brunch 

ราคาถ้าเทียบกับปริมาณคือไม่แพงมากและอาหารอร่อยทุกเมนูเลย เราสั่ง Big Bacon & Silky Egg ที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านกับ Spicy Tomato Cream Prawns สั่งมากินคู่กันตัดกันดีไม่เลี่ยนเลย

พออิ่มแล้วร้านที่มาร์คไว้ในลิสต์ก็ไม่ได้ไปต่อละ 5555 เลยไปเดินเล่นที่ 'คลองแม่ข่า' แทนเพราะเห็นในโซเชียลคนลงกันเยอะมาก ไอเราก็มาถึงที่แล้วอะเนอะก็ไปเดินให้เห็นกับตาสักหน่อย ไปถึงแล้วก็สั่งไอติมโคนมากินต่อแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทาง

เดินเล่นจนหน่ำใจแล้วก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ประตูท่าแพ เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมากพอๆกับฝูงนกพิราบเลย 5555 เราเลยเลือกที่จะเดินเลียบแล้วถ่ายรูปแชะนึงก่อนเดินไปต่อที่แถวถนนช้างม่อยเก่า มุมยอดฮิตที่เกือบทุกคนที่มาจะต้องแวะมาถ่ายรูป แต่ด้วยความที่เรามาคนเดียวเลยถ่ายแบบสตรีทไปก่อนแล้วกัน

หลังจากนั้นก็แวะไปไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนขึ้นปีใหม่ที่ 'วัดโลกโมฬี' ซึ่งเป็นวัดที่สวยมากและเงียบสงบ อาจจะเพราะไม่ใช่วัดดังที่ผู้คนจะเข้ามากราบไหว้ล้นหลามเหมือนวัดอื่นๆ แต่ก็ดีไปอีกแบบที่ไม่ต้องไปเบียดเสียดผู้คน

พอกราบไหว้ขอพรเสร็จแล้วก็ไม่รีรอเรียกพี่วินแว้นไปต่อที่ถนนคนเดินท่าแพ ด้วยความที่อยากจะไปดูไฟที่ประดับที่ซุ้มประตู แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่วันนั้นเจ้าหน้าที่เค้าดันปิดไฟไปบางส่วนเพื่อซ่อมไฟ ทำให้ไฟไม่ได้เปิดหมดทุกซุ้ม แต่ไม่เป็นไรเราก็ถือว่ามาเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยใช้ใจนำทาง ^^

เดินเสพบรรยากาศในเมืองจนพอใจแล้วก็ได้เวลาทานข้าว เรียกพี่วินไปต่อ โดยที่ร้านเป้าหมายคือร้าน 'ยำปูม้าเจ็ดยอด' เวลานั้นก็ประมาณ 5 ทุ่ม แต่มันอยากกินอะไรแซ่บๆ แถมร้านก็ไม่ไกลจากที่พักเรา ตามใจปากก่อนส่วนลำไส้เอาไว้ทีหลัง 55555

หลังจากที่ลำไส้กับกระเพราะร้องไห้กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พักเพื่อพักผ่อนและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทางไปยังเชียงดาวพรุ่งนี้


เช้าวันที่ 28-12-2023

เช้าวันนี้เราตื่นประมาณ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะได้ออกไปทานอาหารเช้าที่ร้าน 'โกเผือกโกดำ' ซึ่งก็เป็นอีกร้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากนัก เราเลือกที่จะแว้นพี่วินเหมือนเดิมเพื่อความสะดวกรวดเร็วและคล่องตัว

พอไปถึงร้านคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่กี่คิวก็ถึงคิวเราแล้ว เราเลยสั่งเซตขนมปังสังขยา ไข่ลวก และชาเย็น เติมพลังก่อนออกเดินทางใหม่ 

หลังจากกินเสร็จก็กลับไปยังที่พักเพื่อทำการ check out ออก และเรียกรถจากแอพเพื่อเดินทางไปที่สถานีขนส่งช้างเผือก เพื่อจะไปขึ้นรถบัสสายเชียงใหม่-ท่าตอน ในการไปยังเชียงดาวเชียงใจของเรา

ราคาค่าตั๋วจะอยู่ประมาณที่ 44 บาท ตอนซื้อตั๋วก็แจ้งเจ้าหน้าที่ขนส่งว่าลงที่สถานีขนส่งเชียงดาว

รอบที่เราไปคือประมาณเที่ยง รถออกค่อนข้างตรงเวลาพอสมควร โชคดีอีกรอบที่เราได้ตั๋วที่นั่งติดริมหน้าต่างทำให้ระหว่างเดินทางไปยังเชียงดาวเรานั่งชมวิวเพลินมาก 

ช่วงอยู่ในตัวเมืองรถจะค่อนข้างติดเนื่องจากใกล้เทศกาล แต่พอพ้นออกจากเขตเมืองวิ่งเส้นที่ขึ้นไปยังเชียงดาว พอรถวิ่งโฟลวขึ้นแล้วลมเย็นๆปะทะกับใบหน้าพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างดูวิวธรรมชาติข้างทางที่ผ่านตาไปเรื่อยๆ ทำให้ตลอดระยะเวลานั่งรถที่นานประมาณ 1 ชั่งโมงครึ่งสำหรับเราไม่นานเลย  

เมื่อมาถึงสถานีขนส่งเชียงดาว เราก็ได้ทำการโทรไปนัดรถกับป้าผ่อง เพื่อทำการต่อรถขึ้นไปยังที่พักบนเชียงดาว (เบอร์ป้าผ่อง : 0931311361) 

เราแนะนำว่าควรจะโทรเพื่อนัดเวลาป้าผ่องล่วงหน้าก่อนหรือถ้าเปลี่ยนรอบเวลาจากการขึ้นรถบัสที่สถานีขนส่งช้างเผือก ควรจะโทรหาป้าผ่องเพื่อที่ป้าจะได้กะเวลามารับได้ถูกและมาเจอกันในเวลาที่พอดี โดยราคาค่ารถรับส่งขึ้นไปยังที่พักบนเชียงดาวไปกลับขาละ 150 บาท

พอขึ้นรถป้าผ่องเสร็จแล้วระหว่างเดินทางก็ได้พูดคุยทักทายกับพี่อีกคนที่จุดหมายปลายทางคือที่พักบนเชียงดาวเหมือนกัน ทำให้คิดว่าหรือจริงๆแล้วเราอาจจะไม่ใช่คน Introvert เพราะตั้งแต่มาเที่ยวก็คุยกับคนแปลกหน้าเยอะมาก 55555

เส้นทางที่จะขึ้นไปยังเชียงดาวจะผ่านถนนช่วงหนึ่งที่เป็นจุดไฮไลท์หรือแลนมาร์คของถนนต้นยางสายนี้ เพราะเป็นวิวที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขนาบทั้งสองข้างทางบวกกับเส้นถนนที่คดเคี้ยวไปมา ทำให้เป็นมุมที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะจอดถ่ายรูปเก็บไปสักภาพ 

โดยที่เราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ถ่ายหรือแวะกับคนอื่นเขาหรอก แต่พี่คนขับใจดีมากก แกจอดให้บอกว่ามาถึงที่นี่กันแล้วจะไม่แวะถ่ายได้ยังไง 

เราใช้เวลาตรงนั้นกันประมาณ 30 นาที โดยที่ก็มีพี่ที่คุยกันบนรถใจดีถ่ายรูปให้ เราเองด้วยความเกรงใจแต่ก็อยากได้ภาพกับคนอื่นเขาเหมือนกันเลยโอเคพร้อมกับตอบแทนผลัดกันถ่ายให้พี่เค้าไปด้วย 

เก็บภาพกันจนพอใจแล้วก็ไปกันต่อ ซึ่งจะต้องผ่านอุทยานก่อนมีราคาค่าเข้าคนละ 40 บาท จากนั้นก็เดินทางไปยังที่พักด้านบนเชียงดาวของเรา 

และแล้วก็มาถึงที่พักของเราที่ชื่อว่า 'บ้านลีซูโฮมสเตย์' วินาทีแรกที่เราเห็นวิวคือน้ำตาจะไหล ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้านของจริง เพราะเราจองที่พักได้ในราคาแค่ 400 บาท แต่บรรยากาศที่ได้คุ้มเกินราคาไปมาก

เรารีบเก็บกระเป๋าเข้าเต็นท์แล้วก็นั่งๆ นอนๆ มองวิวดอยหลวงเชียงดาวด้านหน้าแบบนั้นอยู่นานมาก ต้องบอกก่อนว่าบนที่พักไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเลย เป็นการตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง มันทำให้เรามีเวลาเสพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่

ตอนแรกเสียดายที่ลืมหยิบหนังสือติดกระเป๋ามาไว้อ่าน แต่พอคิดอีกทีถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เราได้ใช้เวลาเพื่อมองดูดีเทลรายละเอียดของภูเขาลูกนี้นานมาก มันเป็นศิลปะที่ไม่ได้ถูกประดิษฐ์เลย สวยงามด้วยตัวของมันเอง 

ทำให้รู้ว่าธรรมชาตินั่นยิ่งใหญ่กว่าเราเยอะ มนุษย์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ธรรมชาติก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีธรรมชาติมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้แน่นอน ยิ่งถ้าเรายังอยากเห็นความสวยงามแบบนี้ตลอดไปก็ต้องไม่ทำลายและช่วยกันรักษาธรรมชาติไว้

หลังจากนั่งมองพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง 5 โมงเย็น ทางที่พักก็ได้จัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้กับแขกผู้มาเยือน ซึ่งเราจะต้องขึ้นไปกินที่ระเบียงด้านบน

อาหารที่พักรสชาติอร่อยถูกปากเรามาก สำหรับเราคืออร่อยจนต้องขอห่อกลับไปกินที่เต็นท์ต่อเพราะอิ่มแต่ก็ไม่อยากทิ้งด้วย 5555 

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย หลายๆคนที่มาก็สั่งหมูกระทะกินกันต่อ แต่เราด้วยความที่มาคนเดียวบวกกับอิ่มแล้ว ถ้าสั่งมากินก็คนเดียวก็คงไม่หมดแน่ เลยได้แต่นั่งมองโต๊ะอื่นๆกินกันเอร็ดอร่อย (แอบอิจฉา) 5555 ด้วยความว่างก็เลยถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่อยู่อีกฟากไปพลางๆ พร้อมกับนั่งกินลมชมวิวไปก่อนที่จะเข้าเต็นท์นอน

ระหว่างตกกลางคืนเหมือนนึกได้ว่าอยากดูดาว เพราะโดยปกติใช้ชีวิตอยู่ในเมืองการจะเห็นดาวแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย คิดว่าเวลานี้น่าจะมองเห็นได้เต็มท้องฟ้าเลยตื่นลุกขึ้นมาเปิดเต็นท์ ซึ่งก็เห็นดาวเยอะนะ แต่ด้วยความที่คืนนั้นมันเป็นคืนที่ไม่ได้มืดสนิทเพราะพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างทำให้กลบดวงดาวไปบ้าง


เช้าวันที่ 29-12-2023

เราตื่นเช้าเช่นเดิมเวลาประมาณ 6 โมงเช้า อากาศค่อนข้างหนาว ไม่แน่ใจว่าอุณหภูมิกี่องศาแต่น่าจะต่ำกว่าที่แม่กำปอง แต่ความรู้สึกตอนนอนในเต็นท์ก็ไม่ได้หนาวกว่าตอนนอนที่แม่กำปองนะ คิดว่าน่าจะเพราะที่พักที่แม่กำปองเป็นบ้านไม้แล้วมีช่องให้อากาศลอดผ่านได้ ส่วนอันนี้เป็นผ้าร่มปิดมิดชิดหมดแถมมีหลังคาหญ้าคาปกคลุมอีกชั้นกันน้ำค้างลงในตอนเช้า ทำให้พออยู่ในเต็นท์เลยรู้สึกอุ่นกว่า 

แล้วก็ไม่รู้ทำไมพอมานอนต่างถิ่นต่างจังหวัดแล้วมันตื่นเช้าดี๊ดี 5555 อาจจะเพราะมันมีเป้าหมายว่าอยากตื่นมาชมหมอกพร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้นแหละมั้ง เลยทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะลุกขึ้นมาดู 

ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงด้วยเพราะพอลุกขึ้นมาเปิดเต็นท์ หมอกจางๆพร้อมกับแสงตะวันที่ลอดผ่านเมฆด้านบนลงมายังภูเขาสวยงามจับจิตจับใจมากกกกก

เราเลยเดินขึ้นไปบนระเบียงที่พักเพราะอยากจะมองเห็นมุมมองจากด้านบนและเพื่อถ่ายภาพพร้อมกับทานอาหารเช้าไปด้วย คือเราเองก็ไม่รู้จะถ่ายยังไงให้สวยกว่าที่ตามองเห็นแล้วเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้และมองมันด้วยตาเปล่าของตัวเองจะดีกว่าจริงๆ

หลังจากนั่งมองสายหมอกที่จากช่วงแรกหนาแล้วเบาบางลงจนจางหายไป เราก็เดินเล่นในที่พักแปปนึงและไปเก็บของที่เต็นท์เพื่อ check out ออก ได้เวลาโบกมือลาสถานที่แห่งนี้แล้วจริงๆ ในใจตอนนั้นรู้สึกอยากอยู่ต่อมากก เราคิดเลยว่าถ้ากลับไปคงหาโอกาสพาครอบครัวมาเที่ยวที่แห่งนี้สักครั้งให้ได้สัมผัสบรรยากาศแบบที่เราเคยได้สัมผัสแบบนี้ 

บ๊ายบายไว้จะมาเยือนใหม่น้าา ^^

หลังจากนั้นเราก็โทรหาป้าผ่องเช่นเดิมเพื่อเรียกรถมารับบนที่พัก รอสักพักรถป้าผ่องก็มาตามเวลาที่นัดกันไว้ เราเลือกลงจากเชียงดาวประมาณ 10 โมง เพื่อที่ใช้เวลาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลือก็จะได้เที่ยวในเมืองก่อนบินกลับ

ระหว่างทางที่นั่งรถก็เลยชวนพี่คนขับคุยสัพเพเหระไปเรื่อย แอบถามไปหน่อยว่าทำไมบางช่วงเส้นถนนถึงเห็นศาลเรียงรายกันเต็มไปหมด มีเรื่องลี้ลับอะไรหรือเปล่า 5555 ซึ่งพี่เค้าก็บอกที่มีศาลเยอะเพราะนักท่องเที่ยวบางคนมาบนแล้วสำเร็จเลยซื้อมาตั้งถวายแก้บน 

จากนั้นเราก็นั่งมองชมวิวตามทางไปเรื่อยๆ เปิดกระจกสูดอากาศบริสุทธ์ครั้งสุดท้ายให้เต็มปอดก่อนต้องลาจากที่แห่งนี้ ซึ่งถ้าให้พูดถึงเส้นทางขึ้นเชียงดาวสำหรับเรา เราว่าทางค่อนข้างขับยากพอสมควร เจอโค้งทีต้องบีบแตรเป็นระยะๆ เพื่อส่งสัญญาณให้รถที่กำลังมาเลนสวน โค้งหักศอกมีบ้างเป็นบางช่วง 

ถ้าใครขับรถไม่แข็งหรือไม่เคยขับขึ้นดอยมาก่อน เราแนะนำว่าจ้างรถชาวบ้านจะดีกว่า เพราะเที่ยวละแค่ 150 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย 

เราเดินทางจากที่พักลงมาที่สถานีขนส่งเชียงดาวเหมือนเดิม เพื่อขึ้นรถบัสกลับลงไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ ราคาคันที่เรานั่งถ้าจำไม่ผิด 67 บาทเพราะเที่ยวนั้นเราได้นั่งรถแอร์พอดี

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงสถานีขนส่งช้างเผือก เราเรียกรถจากแอพ Maxim มารับเหมือนเดิม เพื่อไปยังที่พักคืนที่ 2 เพื่อขอฝากกระเป๋ากับทางที่พัก 

พี่คนขับเลยใจดีรอเราแปปนึงเพราะเรากะว่าจะไปหาร้านอาหารกินต่อ พอฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถถามพี่คนขับว่าในตัวเมืองเชียงใหม่มีร้านติ่มซำร้านไหนอร่อยบ้าง เพราะเราเองก็ปักหมุดไว้เยอะ แต่ไม่รู้เลยว่าร้านไหนอร่อย

พี่เค้าก็แนะนำร้าน 'เต้ยติ่มซำ' บอกว่าร้านนี้เปิดมา 20 กว่าปีแล้ว ขนาดคนจีนยังมากินรับประกัน ไอเราก็เป็นคนเชื่อคนง่ายซะด้วย 5555

ซึ่งพอได้มาลองทานแล้วก็อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ เราสั่งมาประมาณ 7 เข่ง ชิ้นในแต่ละเข่งก็ใหญ่มากกก ตอนแรกเราคิดว่าจะไม่อิ่มด้วยซ้ำแต่ผลคือตรงกันข้ามเลย เพราะเค้าให้ปริมาณแน่นๆ แบบไม่งกจริงๆ 

กินคาวเสร็จแล้วไม่กินหวานต่อได้อย่างไร 5555 เปิดลิสต์ดูว่ามีร้านไหนที่ยังเปิดเวลานี้อยู่บ้าง ไม่ใกล้ไม่ไกลเจอร้าน 'มีใจให้มัจฉะ' เป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวมากกก โด่งดังที่ว่าถ้าเสิร์จว่าร้านชาเขียวในอากู๋จะต้องมีชื่อร้านนี้ติดในท็อปลิสต์แน่นอน  

เราไม่รอช้ารีบปักหมุดเรียกพี่วินผ่าน Maxim เหมือนเดิม พอไปถึงหน้าร้านสิ่งที่คาดไม่ถึงคือ พี่คนขับวินหยิบกระเป๋าผ้าใส่สตางค์ใบเล็กๆ ออกมาจากในถุงหน้ารถมาให้พร้อมกล่าวคำว่า 'สวัสดีปีใหม่ครับ' เราซาบซึ้งใจมากกกกกก เลยขอบคุณพี่เค้ายกใหญ่เลย

มาถึงหน้าร้านแล้ว ร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นญี่ใจสุด เป็นร้านที่ถ้ามองแค่ด้านหน้าผิวเผินจะเหมือนเป็นร้านเล็กๆ แต่พอเข้าไปแล้วมีพื้นที่พอประมาณ และมีหลายโซนที่นั่งพร้อมมุมถ่ายรูปเยอะมาก

เมนูของหวานจำชื่อไม่ได้แต่อร่อยมากกก ข้างนอกที่เคลือบรสชาติออกเปรี้ยวๆ ส่วนข้างในเป็นเนื้อครีมชาเขียวสอดใส่ด้วยราสเบอร์รี่ตัดกำลังดีเลย รู้สึกแปลกใหม่มากแต่อร่อย ส่วนชาเขียวเราสั่งมัจฉะลาเต้ ไม่หวานเลย กำลังดี หอมกลิ่นชาด้วย ร้านเค้าใช้เกรดดีนะ

พอกินเสร็จแล้วเรารู้สึกว่ายังเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนจะต้องไปสนามบิน เราเลยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาด 'จริงใจมาร์เก็ต' 

แต่พอไปถึงแล้วกลับไม่เจอตลาดอะไรเลย 5555 มารู้ทีหลังว่าตลาดจะเปิดวันเสาร์-อาทิตย์ มาเก้อแต่ก็ไม่เป็นไร เรายังเดินเล่นถ่ายรูปสำรวจละแวกร้านแถวนั้นไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลากลับ 

พอถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องลาจากเจียงใหม่แล้ว เราเลยเรียกรถกลับไปยังที่พักเพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ และเดินทางต่อไปยังสนามบินเชียงใหม่ 

โดยรอบไฟล์ทที่เราจองขากลับเป็นเวลา 3 ทุ่ม เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ถือว่าเป็นอันปิดทริปฮีลใจอันสวยงาม 

การไปเที่ยวครั้งนี้ช่วยทำให้เราค้นพบแล้วว่าความสุขสามารถมีได้ง่ายๆ แค่การนั่งมองดูภูเขา ท้องฟ้า ดอกไม้ข้างทาง เล่นกับหมาแมว หรือได้ยินเสียงลำธาร 

และเราสามารถสร้างความสุขและความทรงจำที่ดีให้กับตัวเราเองได้โดยที่ไม่ต้องรอใครอีกแล้ว ข้อดีของการที่เราอยู่กับตัวเองและพยายามเพื่อตัวเองคือเราจะไม่มีวันผิดหวังกับตัวเราเอง 

ตอนมาเรามาด้วยความรู้สึกผิดหวัง ว่างเปล่า เปราะบาง แตกสลาย และไม่เข้าใจอะไรเลย มีแต่คำถามว่า 'ทำไม' เต็มไปหมด แต่ตอนกลับเรากลับพร้อมความรู้สึกที่ปล่อยวางมากยิ่งขึ้น จิตใจเข้มแข็งมากขึ้น และไม่พยายามค้นหาคำตอบอะไรอีกแล้ว พยายามทำตัวให้เหมือนกับสายน้ำที่ปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสของกาลเวลา 

พร้อมประกอบตัวเองขึ้นมาใหม่ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทเหมือนเดิม แต่เราก็ยังเชื่อว่าสักวันนึงเวลาหรืออะไรสักอย่างจะมาเติมเต็มประสานรอยร้าวช่องว่างตรงนั้นไปได้ 


สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบมาถึงตรงนี้และขออวยพรให้ทุกคนได้พบเจอแต่ความโชคดี ไม่ต้องพบเจอความผิดหวังและมีความสุขมากๆค่ะ

Janjira Naisupab

 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 04.20 น.

ความคิดเห็น