จากส่วนหนึ่งในบันทึกที่พิมพ์ในมือถือ


“เช้านี้ 7 นาฬิกา ที่คุนหมิง ตามเวลาประเทศจีนที่เร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง เรา 3 คน เลือกที่จะเดินทางด้วยรถโดยสารจากหมอชิตรอบ 17.40น. ของวันพฤหัสบดีที่ 7 ก.ค. 2559 จากนั้นต่อรถจากประเทศลาวในวันศุกร์ที่ 8 .. ตอนนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ 3 ของการเดินทางเสียแล้ว ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยสักแอะ"



-เกริ่นนำ-

เอาล่ะครับ มาร่วมเดินทางไปด้วยกันแบบจริงๆจังๆ กันดีกว่า จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมาจากภาพหนึ่งภาพในหน้าฟีดของฉันเอง เมื่อเห็นก็ยิ่งสงสัยว่านี่มันที่ไหนกัน มันสวยขนาดนี้เลยหรอ สืบเสาะหาข้อมูลอยู่สักพักก็ได้คำตอบว่าคือ 'อุทยานแห่งชาติย่าติง ประเทศจีน' มองซ้ายมองขวาควานหาผู้ร่วมทริป สุดท้ายก็ไปจบกับไอพวกเดิมที่เคยไปโดนหลอกด้วยกันที่กัมพูชาเมื่อครั้งก่อนนู้น...โชคดีจังมีเพื่อนร่วมเดินทางแล้ว

-แผนการเดินทาง-

รูปแบบการเดินทางหลักๆในทริปจะเป็นไปในรูปของการเดินทางทางบก จะนั่งรถบัส ต่อรถไฟ หรือจะเดินย่ำต๊อก ก็ขอคงคอนเซปต์นี้ไว้ ด้วยเหตุที่ว่าอยากลอง อยากไปถึงในแบบอื่นที่ต่างออกไปจากการนั่งเครื่องบินบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะสมบุกสมบันหรือลำบากเพียงใด ความเชื่อที่ว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่นั้นเป็นจริงเสมอ จึงทำให้ทริปนี้ปลายทางไม่ใช่แค่ย่าติง แต่ลากยาวไปจนถึง 'ซาปา, เวียดนาม'

-ระยะเวลา-

15 วัน รวมวันไปและกลับ / เริ่ม – 7 ก.ค. 2559 กลับ 21 ก.ค. 2559

-Budget-

20,000 บาท / ตั๋วเครื่องบิน 3,000 บาท = 23,000 ต่อคน-ออกเดินทาง-


-ออกเดินทาง-

กรุงเทพฯ - เชียงของ ดูเหมือนว่าจะมีไม่กี่เจ้าที่วิ่งอยู่เส้นทางนี้ ฉันเลือกใช้บริการของสมบัติทัวร์ รอบประมาณ 17.00 เพราะกว่าจะถึงเชียงของก็เช้าอีกวันพอดี.. แวะเติมพลังกันสักนิดที่ 7-11 หลังจากนั้นก็จ้างรถสามล้อแถวๆนั้นบอกว่า 'ไปด่าน' ราคาประมาณ 100 บาท การไปด่านและการข้ามด่านเชียงของนั้นไม่มีอะไรยุ่งยากมากมาย ซื้อตั๋วรถราคา 25บาท/คน เพื่อไปยังด่าน สปป.ลาว

ด่าน สปป. ลาว

ทำเรื่องเข้า สปป. ลาวเสร็จสรรพ ข้ามด่านมาปั๊ป ก็จะมีสามล้อมาดักรอท่านตามระเบียบ ลองต่อรองราคาดูน่ะครับ ถ้าคนเยอะก็เหมาไปได้เลย บอกเขาว่าไปท่ารถที่จะไปคุนหมิง โรงแรมวังทองหรือโชว์รูปข้างล่างนี้เลยก็ได้ครับ

กุญแจสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นรถบัสนอนคันใหญ่คันนี้แหละครับ ที่จะพาโลดแล่นเข้าสู่ดินแดนจีนแผ่นดินใหญ่ ตลอดระยะเวลา 1 วัน กับอีก 1 คืนกับรถคันนี้ ฉันบอกได้อย่างเดียวว่า 'เปื่อยกว่าเนื้อตุ๋นก็พวกที่อยู่ในรถนี่แหละ' รถจากห้วยทรายไปคุนหมิงมี 1 รอบต่อวัน เพราะฉะนั้นควรอย่างยิ่งที่จะมาถึงท่ารถแห่งนี้ประมาณ 9 โมงนับว่าดีที่สุด ราคา 320 หยวน หรือประมาณ 1700 บาท (เพิ่มอีกนิดได้นั่งเครื่องบินสบายๆล่ะเนอะ 555)


หลังจากข้ามด่านขาออกของ สปป.ลาว ถัดมาอีกไม่กี่อึดใจก็ถึง 'ด่านโมฮัน' ถึงตรงนี้ฉันเริ่มเห็นเสน่ห์ของการเดินทางแบบ Road trip แล้วล่ะว่าเป็นอย่างไร เมื่อช่วงสายสาว่ารถยังวิ่งอยู่บนถนนขรุๆขระๆ ตึกรามบ้านช่องยังไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ตัดภาพมาตอนบ่ายแก่ๆ อ้าว! ไหงอยู่ดีๆถนนก็เรียบล่ะ อาคารแลดูทันสมัย รูปร่างและหน้าตาของคนเริ่มเปลี่ยนไป ภาษาที่ได้ยินตอนนี้ก็แตกต่างออกไปอีก อ่อ..นี่เรามาเหยียบอยู่บนประเทศจีนแล้วนี่



-วันที่ 3-

เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน เพลงแล้วเพลงเล่าที่ต่างไหลเวียนอยู่ในโสทประสาทของการฟังทำฉันอุทานกับตัวเองว่า 'เพลงนี้อีกแล้วหรอว่ะ' สักพักก็ผล็อยหลับไปตามเดิม รู้สึกตัวอีกที..ดวงอาทิตย์ก็ทำหน้าที่ฉายแสงสว่างไปทั่วฟ้า ไม่ต่างกับรถบัสคันนี้ที่ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ 7 นาฬิกา เท้าทั้งสองเหยียบลงที่สถานีรถบัสสายใต้ของนครคุนหมิง เป็นการบอกกลายๆว่า 'นี่เราพาตัวเองมาถึงตรงนี้แล้วน่ะ'

ตอนแรกตั้งใจว่าจะขึ้นไปแชงกรีล่าช่วงสายๆ แต่ไอเดียนี้ก็ต้องพังพินาศไป เนื่องจากรอบรถเต็มยาวจนถึงรอบ 20.30 ปรึกษากับเพื่อนร่วมทริปได้ความว่า 'แล้วเราทำอะไรได้มั้ยล่ะ...ก็ต้องไปอยู่ดี' จึงทำให้มีเวลาครึ่งค่อนวันในการเดินเตร่อยู่ในคุนหมิง เดินไปเรื่อยๆก็นึกขึ้นได้ว่า เราขาดการติดต่อกับที่บ้านมาสองวันแล้วนี่ พักดื่มกาแฟพร้อมเชื่อมต่อ Wifi และ VPN.. ช่วงบ่ายในคุนหมิงฉันจึงเลือกที่จะคลายความกังวลใจให้แก่คนทางนั้นมากกว่าการเดินเที่ยวในเมืองแห่งนี้



-วันที่ 4,5-

อุต๊ะ! จากการเดินทางร่วม 12 ชั่วโมง เช้านี้ก็พากันมาถึงจงเตี้ยนหรือแชงรีล่านั่นเอง ตัดสินใจพักที่นี่กัน 2 คืนเพื่อลดอาการเสี่ยงของ Altitude Sickness เกรงว่าเป็นขึ้นมาทริปน่าจะจบไม่สวย กิจกรรมที่ทำกันในวันแรกก็คือการเดินทอดน่อง ชิวๆ มีไปแจมแด๊นซ์กับคนพื้นที่บ้างเป็นการคลายความหนาวได้ดีใช่ย่อย ส่วนอีกวันก็ปั่นจักรยานออกไปนอกเมืองสักหน่อย ไปยังสถานที่ที่เรียกว่า 'นาปาไห่ – Napahai'

'นาปาไห่' ห่างจากตัวเมืองเก่า 7-8 กิโลเมตร จะเป็นทุ่งหญ้าเปิดกว้าง ฤดูอื่นตรงนี้จะกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ส่วนพอน้ำลดก็จะกลายเป็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ยิ่งช่วงนี้ดอกไม้จะบานสะพรั่งทั่วทุกย่อมหญ้า ให้อารมณ์ละมุนชวนฝันเข้าไปยกใหญ่



-วันที่ 6-

ตื่น แต่เช้าจัดแจงยัดข้าวของใส่กระเป๋า เพื่อเตรียมตัวไปท่ารถในเมืองด้วยกับเหตุผลที่ว่าจะเดินทางไป 'ย่าติง' ใช่แล้วครับ เราสามารถนั่งรถบัสจากขนส่งเมืองนี้ไปได้ มี 2 ตัวเลือกคือ 1.นั่งรถบัสไป 2.เหมารถไป อันหลังนี่ไม่ทราบว่าราคาประมาณเท่าไหร่ แต่ถ้าไปกันหลายๆคน การเหมาไปน่าจะตอบโจทย์มากกว่า.. รถบัสมีรอบเดียวต่อวันเท่านั้นคือ 6 โมงเช้า จำเป็นอย่างมากที่จะต้องไปซื้อก่อนวันเดินทาง 1 วัน ราคาประมาณ 100 กว่าหยวน จะวิ่งจากแชงกรีล่ายิงยาวเข้าเมืองเต้าเฉิง

นั่ง เรื่อยๆ 12 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกได้ว่าออกตอนเช้าถึงอีกทีตอนเย็น วิวข้างทางสะกดนักท่องเที่ยวทุกคนได้อยู่หมัด อาจเปรียบได้ว่านี่คือการอินโทรก่อนจะถึงย่าติงก็เป็นได้

3,600 เมตรจากระดับน้ำทะเลคือความสูงที่ฉันวัดได้จากแอพมือถือ จริงอยู่ที่ยิ่งสูงแล้วจะยิ่งหนาว แต่ทว่าบรรยากาศเมืองเต้าเฉิงยามเย็นเหมือนมีส่วนช่วยทำอุณหภูมิของเมืองๆ นี้อุ่นขึ้นมาพอสมควร มีคนออกมาเต้นที่จตุรัสกลางเมืองเช่นเดียวกับที่แชงกรีล่า ใจอยากเข้าไปร่วมมากแค่ไหนแต่ถ้าเทียบความหิวแล้วนั้นย่อมมากกว่า การเลือกคลายความหิวจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าการคลายความหนาว


-วันที่ 7-

บอกกับเจ้าของที่พัก 'Daocheng mama international youth hostel' ให้ช่วยหารถไปย่าติงตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ราคา 50 หยวน/คน 7 โมงครึ่งรถก็เคลื่อนตัวออกจากเมืองเต้าเฉิง ยิ่งไกลเท่าไหร่ วิวยิ่งสวยตามไปเท่านั้น พลขับชาวทิเบตดูท่าว่าสงสัยต้องจอดพักริมทางสักหน่อย จุดนี้คือ 'Bowa Mountain' แสงแดดอ่อนๆยามสายผสานเข้ากับพื้นหลังภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา จึงทำให้ภาพตรงหน้าเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย

อยาก จะตัดภาพไปย่าติง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะภาพฝันถูกทับด้วยกับหินที่ถล่มลงมาปิดทางเข้า-ออกของถนน เส้นนี้ คนที่จะออกจากย่าติงก็ออกไม่ได้ ส่วนไอเราจะเข้าก็เข้าไม่ได้อีก ถ้ารอก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงกว่าจะเคลียร์ทางเสร็จ ถึงตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยในใจแล้วล่ะว่า 'ตกลง..คนเลือกย่าติงหรือย่าติงเลือกคนกันแน่' ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่ จะถอยกลับ แต่ยังไงแล้วฉันคงต้องไปต่อเพราะด้วยกับปัจจัยหลายๆด้านที่บีบให้รอไม่ได้ การเดินขึ้นเขาพร้อมสัมภาระจึงเป็นตัวเลือกเดียวที่ทำได้ในตอนนั้น

ใน ที่สุดก็ดันทุรังผ่านมาจนได้ ค่าเข้าอุทยาน 270 หยวน/คน แต่ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาเพียงแค่โชว์บัตรก็จะเหลือ 170 หยวน/คน (ลดไปตั้ง100หยวนแหนะ) ตั๋วมีอายุ 3 วัน.. ไม่รอช้านั่งรถ Shuttle ไปลงหมู่บ้านย่าติง จัดแจงสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อย Zhouma La Lake (4080m) คือสถานที่แรกที่จะไปวอร์มร่างกายกันในวันนี้ ก่อนที่อีกวันจะต้องเดินทางไกลไป Milk Lake (4600m)


-วันที่ 8-

ส่วนวันนี้ขอมอบให้ Milk Lake ทั้งวัน เพราะต้องเดินไกลสุด เดินไปก็เปียกไป ฝนตกปรอยๆตั้งแต่เช้ายันค่ำ ย่าติงในวันที่ฝนพรำดูเหมือนว่าจะทำให้ร่างกายเราปะทะเข้ากับไอเย็นของอากาศ และไอชื้นของสายฝน ในแง่ของบรรยากาศฉันรู้สึกชอบโดยไม่ต้องสงสัย แต่ในแง่ของการถ่ายรูป.............ฉันแนะนำว่ามาช่วงเดือนตุลาคมน่าจะตอบ โจทย์มากกว่า


-วันที่ 9-

ก่อนที่จะกลับลงไปนอนที่เต้าเฉิง รู้ดีว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแต่ฉันเลือกที่จะเดินเล่นในหมู่บ้านย่าติง มากกว่าการเข้าไปชมตัวอุทยานเพื่อให้คุ้มค่าตั๋ว มองย้อนกลับไป 8 วันที่ผ่านชีวิตฉันเหมือนรีบเร่งกับการเดินทางมากไปหน่อย มันช่วยไม่ได้เพราะว่าฉันมีปัจจัยทางด้านเวลาและเงินมาจำกัด แต่จะว่าไปเคยมีคนนึงเคยบอกฉันว่า "เราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆรอบตัวได้...ที่ทำได้คือควบคุมตัวเราเอง" .. ดูเหมือนว่าจะเป็นโบนัสส่งท้ายก่อนจากย่าติงอย่างเป็นทางการ ขาเข้าหินก็ถล่ม ขาออกหินก็ถล่มลงมาอีก แต่สำหรับครั้งนี้ฉันเลือกที่จะ 'รอ' มากกว่าที่จะ 'เร็ว'


-วันที่ 10-

รถจากเต้าเฉิงไปแชงกรีล่ามีหนึ่งรอบต่อวันเช่นเดียวกับแชงกรีล่ามา เต้าเฉิง สิ่งที่ดีที่สุดคือการจองก่อนหนึ่งวัน.. 06.00 เช้ารถเคลื่อนตัวออกจากเมืองเต้าเฉิง แสงแรกของวันทำฉันตื่นตลึงกับวิวทิวทัศน์เดิมกับตอนขามาอีกแล้ว แต่ไม่นานฉันก็ผล็อยหลับตามเคยรู้ตัวอีกทีก็มาถึงแชงกรีล่า ตามแพลนเดิมคือฉันจะลงไปคุนหมิงวันนี้เลยแต่รถเต็มทุกรอบ การนอนแชงกรีล่าอีกคืนเพื่อทำให้ชีวิตช้าลงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี อีกทั้งมันยังช่วยย้ำเตือนว่าฉันจะจากลาจริงๆแล้วน่ะ...ประเทศจีน


และแล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการเดินทาง...

.

21.40 ไม่ผิดแน่ นี่คือเวลารถไฟเที่ยวสุดท้ายจากคุนหมิงไปเมือเหอโขว่

แต่ทว่าตอนนี้รถไฟไม่มาตามนัด ดูท่าว่ารถไฟที่คุนหมิงจะเข้าเทียบชานชาลาช้าไปเสียแล้ว

ฉันกับเพื่อนลุ้นกันร่วม 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ ว่าหน้าตาของรถไฟขบวนนี้จะเป็นยังไง


-วันที่ 11-

เดิน ทางออกจากแชงกรีล่าช่วงสาย มาถึงคุนหมิงอีกทีก็ช่วงเย็น วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันและสมาชิกจะได้อยู่ในจีนหลังจากนั้นก็คงไปชิวกัน อยู่ที่ 'ซาปา-เวียดนาม'.. วิธีที่จะไปมีอยู่สองวิธี 1.นั่งรถบัส 2.นั่งรถไฟ จนถึงวันนี้ฉันคงต้องยกให้รถบัสเป็นพระเอกของการเดินทางครั้งนี้ไป แต่หลังจากนี้ฉันจะให้รถไฟมาแย่งซีนดูบ้าง จากคุนหมิงไปเมืองเหอโขว่ ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง ฉันเลือกรอบดึกสุดเพื่อที่จะให้ไปถึงที่นู่นเช้า


-วันที่ 12

ฉันนั่งคิดมาตลอดทางที่อยู่บนรถไฟว่า...พอถึงซาปาจะไปสูดกลิ่นนาข้าวให้เต็ม ปอด จะไปนั่งชิคดื่มกาแฟให้ผ่อนคลายสักหน่อย หรือจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับให้ทั่วก็ดูจะตอบโจทย์วิถี Slow Life ได้ไม่น้อย..แต่มันก็เป็นเพียงแค่คำว่าจะ เพราะจู่ๆอาการ 'คิดถึงเขา' ก็กำเริบขึ้นมาซะอย่างงั้น..ดูท่าแล้วว่ามีเพียงแค่การ 'ไปหาเขา' เท่านั้นแหละ ที่จะเยียวยาความรู้สึกนี้ได้


-วันที่ 13-

'เขา' ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะพาสะใภ้เวียดนามกลับบ้านแทนของฝากให้กับพ่อแม่ แต่มันคือเขายอดหนึ่งที่ได้รับฉายานามว่า 'หลังคาแห่งอินโดจีน' หรือจะพูดให้เท่ห์ๆเนี่ยก็คงจะเป็น 'Rooftop of Indochina' ใช่แล้วครับ…มันคือยอดเขาฟานซิปัน - 3,143 จากระดับน้ำทะเล


-วันที่ 14-

หลังจากเดินเท้าถึงจุดพักค้างแรมตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้เราจะขึ้นไปพิชิตยอดฟานซิปันกัน แล้วก็อิหรอบเดิมฝนตกตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดแต่ อย่างใด แต่ยังไง๊ยังไงก็คงต้องเดินต่อ..ประกาศนียบัตรกับเหรียญรอเราเอากลับ บ้านอยู่ข้างล่าง

จากบันทึกในมือถือ


"คำว่า 'พิชิต' ของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน จะเดินขึ้นหรือนั่งกระเช้าขึ้น จุดหมายปลายทางก็คือยอดเขาเหมือนกัน ฉันไม่ได้อ้างว่าที่ฉันเดินขึ้นนั้นเจ๋งกว่า แต่ที่ฉันเลือกตัวเลือกนี้เพราะฉันชอบมันมากกว่าเท่านั้นเอง แล้วฉันก็รู้ว่า..มันไม่ใช่ฉันคนเดียวสักหน่อย ตอนเดินขึ้น ฉันพกมิตรภาพมาด้วยหลักหน่วย แต่พอเดินลง ฉันกลับได้มิตรภาพกลับมาหลักสิบ ฉันเชื่อแล้วล่ะว่า คนที่มีอะไรเหมือนกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่าบนยอดเขาจะว่างเปล่า ขาวเสียจนมองไม่เห็นอะไร แต่ในความว่างเปล่า เราต่างถูกเติมเต็มด้วยกับมิตรภาพไม่ใช่หรือ?"



-วันสุดท้าย-

ออกจากซาปาตอน 21.30 น. ตั้งแต่เมื่อวาน มาถึงฮานอยตอนตี4 ใจอยากจะเดินเที่ยวฮานอยสักหน่อยแต่ฉันคิดว่า ตอนนี้เราอิ่มกับการเดินทางพอแล้ว อีกอย่างคือเปิดกระเป๋าตังค์ดูแล้วน้ำตามันจะไหล ฉันไม่กล้าพอที่จะเอาการเดินเที่ยวในฮานอยมาเสี่ยงกับการตกเครื่อง มิเช่นนั้นเมื่อตอนถึงบ้านฉันคงได้ยินเสียงดุจโอเปร่าของแม่และพี่ สาวกระหน่ำเข้าหูฉันเป็นแน่

.

ฉันคิดว่าการนอนรอที่สนามบินน่าจะปลอดภัยกับเยื่อหูชั้นในฉันมากกว่า......

.

.

.

ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วม 'เจอนี่' ไปด้วยกัน

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้า....สวัสดีครับ


พูดคุย-แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ที่นี่ครับ

Facebook Page: https://www.facebook.com/theanawitjourney/

Blog: https://theanawitjourney.wordpress.com/


theanawit-journey

 วันพฤหัสที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.28 น.

ความคิดเห็น