สวัสดีครับ
ผมชื่อ ปิง นะครับ

ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้เห็นรูปภาพต่างๆทั้งใน Pantip และ Facebook ของพี่หลายๆคน ที่เดินทางไปไอซ์แลนด์... และได้เห็นภาพบรรยากาศแสงเหนือมาฝากให้ชมกัน.. หลังจากนั้นผมก็มีความหลงใหลในแสงเหนือ .. แล้วก็คิดว่า

“เราต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น เห็นด้วยตาตัวเอง!"

ทริปนี้เกิดขึ้นจากการชักชวนของรุ่นพี่คนหนึ่งของคนผม หลังจากที่ผมเรียนจบ
“เรียนจบแล้วไปเที่ยวก่อนสิ ยังไม่ได้ทำงานใช่ปะ"
ผมก็เห็นดีเห็นงามด้วย หึหึ ... แต่ว่าที่ไหนละ
“ไป Iceland กัน อยากได้รูปคู่กับแสงเหนือ" โป๊ะเช๊ะ ! เข้าทางพอดี

จึงถือเป็นการเริ่มต้นของทริปนี้ครับ




หลังจากที่รวบรวมผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ครบ 4 คน ผู้หลงใหลใน Aurora ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผมทั้งหมดพอดีรถ 1 คัน พวกเราจึงทำงานจองตั๋วซึ่งได้สายการบิน Lufthansa จากBKK (SUV) > Frankfurt เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องที่เยอรมัน และต่อสายการบิน Iceland Air เพื่อไปยัง Reykjavik

เคาะค่าตั๋วออกมาที่ 32,700 บาทต่อคนครับ

(ความประทับใจของสายการบินเยอรมันคือ เบียร์เยอรมันครับ บินไปโซนยุโรปใช้เวลานาน ดื่มให้เบียร์ให้กรึ่มและนอนยาวๆเลยทีเดียว )




กี่วัน ?

เราไปกันในช่วงกลางๆเดือนมีนาคม ซึ่งสรุปออกมาเป็นวันที่ 20 มีนาคม (ออกเดินทาง) เพราะว่า อากาศเริ่มอุ่นขึ้นนิดหน่อยแล้ว และยังมีโอกาสเห็นแสงเหนืออยู่ และสามารถเดินทางเข้าน้ำตก และสถานที่ที่ท่องเที่ยวได้อีกหลายที่ เรียกได้ว่า ไปครั้งเดียวขอให้ได้ครบเลยละกัน

พวกเราเลือกที่จะไปให้นานที่สุดเท่าที่จะได้และเดินทางครบรอบประเทศไอซ์แลนด์ ซึ้งใช้เวลาประมาณ 14 วัน เพราะฉะนั้นการเดินทางของทริปนี้จึงเริ่มต้นวันที่ 20มีนาคม – 5เมษายน (รวมเวลาเดินทาง + transit)




ที่ไหนบ้าง ?

เมื่อได้ระยะเวลาทั้งหมดแล้วจึงเริ่มวางแผนทริปในแต่ละวันกันครับ ผมกับรุ่นพี่อีกคนหนึ่งที่เป็นคนรักการถ่ายภาพเหมือนกัน (พี่M) ทำหน้าที่ วางแผนที่เที่ยว จุดถ่าย จุดล่าแสงเหนือ ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่ จองที่พักแต่ละคืน รีวิวที่กิน..เมืองนี้ต้องร้านนี้ Activity ยิบย่อย บลาบลาบลา ได้แผนตามนี้

วันที่ 1 (21มีนาคม Keflavik Airport – Lagoon Car Rental - Hotel - Kirkjufell Mountain)

“Where is the Aurora?"


วันที่ 2 (22มีนาคม Kirk -The Golden Circle - þingvellir - öxarárfoss - Geysir - Gullfoss - Bruarfoss)

“Secret Path of Waterfall"


วันที่ 3 (23 มีนาคม Seljalandsfoss - Gljúfurárfoss - Skógafoss - Airplane wreckage)

“We can Take The Long Way"


วันที่ 4 (24 มีนาคม Skógafoss - Vik - Halldorskaffi - Snow Mobile - Black Sand Beach - Dyrholaey -Reynisdrangar)

“ผมว่าพี่ต้องตายแน่ๆ"


วันที่ 5 (25 มีนาคม Vik - Mossy Lava - Fjaðrárgljúfur Canyon - Svartifoss - Glacier Walk - Jökulsárlón)

“มา Iceland ต้องมา Glacier Walk"


วันที่ 6 (26มีนาคม Vatnajökull Ice cave – Jökulsárlón Diamond Beach)

“Cookie Run"

วันที่ 7 (27มีนาคม Jökulsárlón - Guesthouse Hólmur - Höfn - Vesturhorn - Brunnhorn - Coast - Egilsstaðir Town)

“Wind Day"


วันที่ 8 (28 มีนาคม Egilsstaðir - Dettifoss - Selfoss - Krafla - Lake Myvatn Nature Baths - Dimmuborgir Guesthouse)

“Engine Oil is Low"


วันที่ 9 (29 มีนาคม Hverir – Godafoss- Einishus Cottages)

“Summer House In Winter Night"


วันที่ 10 (30 มีนาคม Godafoss - Aldeyjarfoss – Akureyri – Hamborgarafabrikkan - Christmas House)

“Rest"


วันที่ 11 (31 มีนาคม Akureyri - hvítserkur)

“Change Plan"


วันที่ 12 (1 เมษายน Kirkjufell - Arnastapi - Londrangar)

“Somewhere"


วันที่ 13 (2 เมษายน Kirkjufell - Reykjavik City – Hallgrimskirkja - Harpa)

“Real Reykjavik"


วันที่ 14 (3 เมษายน Blue Lagoon – Car Rental - KEF airport)

“Surprise"


วันที่ 15 (4 เมษายน KEF - FRA)

“Goodbye Iceland"





ยังไง ?

การเดินทางในประเทศไอซ์แลนด์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางรอบประเทศนี้ต้องเช่ารถขับเท่านั้น แต่ของบริษัทไหนดีละ ? เท่าที่ตามอ่านดู Feedback สภาพรถ และบริการของแต่ละบริษัทนั้น พบทั้งที่ดี และไม่ดี... ต้องอาศัยเรื่องดวงเป็นสิ่งสำคัญ และการเช็คสภาพรถหน้างาน

พวกเราตัดสินใจเช่ารถ Toyota Rav4 4x4 Automatic ของบริษัท Lagoon Car Rental ตั้งแต่วันที่ 21 คือวันที่ลงจากสนามบิน จนถึงวันที่ 3 เมษายน คือวันก่อนขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับ

ขอบคุณรูปรถตัวอย่างจาก Google ครับ




กี่บาท ?

ทริปนี้ทั้งทริปใช้ระบบเงินส่วนกลาง คือ ค่ารถ ค่าโรงแรม ค่ากินรวม อื่นๆที่ทุกคนใช้เงินร่วมกัน เพื่อให้ง่ายต่อการจ่าย ส่วนค่าอื่นๆที่ใช้จ่ายตัวเอง เช่น ใครอยากกินแพง ดื่มดี ก็ตัวใครตัวมัน

.

.

อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพ

Camera : D810 / D750 (Timelapse ซะส่วนใหญ่)

Lens : 14-24 , 20 , 24-120 , 70-200

มาเริ่มกันโลดดด!!!

.

.



วันที่ 1 (21มีนาคม Keflavik Airport – Lagoon Car Rental - Hotel - Kirkjufell Mountain)
“Where is The Aurora?"


ถึงสนามบิน Keflavik เวลาประมาณ 4 โมงเย็น จองตั๋วมาไอซ์แลนด์ ทำไมลงอาร์เจนได้หว่า ฟ้านี่ขาวไปหมด หลังจากรับกระเป๋าแล้วก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเพื่อพาพวกเรารับไปรับรถ และทำการแจ้งรายละเอียดต่างๆ + ตรวจเช็คสภาพรถ (ตรวจทุกอย่างยกเว้นลืมตรวจระดับน้ำมันเครื่อง บ้าจริง 5555)

ผมแชร์ซิมการ์ดกับรุ่นพี่ งบน้อยแค่โทรนิดหน่อยเอง แชร์เอาละกัน พวกเราซื้อ simcard บนเครื่องบินจาก IcelandAir พอลงมาถึงสนามบินก็ทำการเปิดซิมลงทะเบียนตามที่เค้าบอกมา ปรากฏว่า ใช้ไม่ได้ ! แฮ่ งานเข้าตั้งแต่เริ่มทริปเลย แต่เราอาจจะทำกันผิดวิธีก็ได้ (ยังมองโลกแง่ดีไง)

เมื่อได้รถแล้วก็รีบขับรถไปรับ Pocket Wi-Fi ณ สถานที่หนึ่งใน Reykjavik ค่อนข้างสับสนกับพวงมาลัยซ้ายพอสมควร แต่ไม่นานก็ชิน (ข้อควรระวังสำหรับการขับรถที่ประเทศนี้ คือ มีกล้องตรวจจับความเร็วที่ระดับความเร็ว 90Km/h ไม่ควรขับเกินนี้ และ GPS จากบริษัทจะเตือนเราถ้าความเร็วเกิน (น่ารักจริงๆ) ในบริเวณที่มีกล้อง GPS จะส่งเสียงเตือนให้เราลดความเร็ว)


เมื่อได้รับ Pocket Wi-Fi แล้วจึงมุ่งหน้าสู่ Kirkjufellllll ภารกิจล่าแสงเหนือตั้งแต่คืนแรกที่เหยียบไอซ์แลนด์...ลุยยยย ! และนี่คือ แสงเหนือของเรา !

ผ่างง ! ... ไหนหว่า Mission Failed ตั้งแต่วันแรกเลย TT




วันที่ 2 (22มีนาคม Kirk -The Golden Circle - þingvellir - öxarárfoss - Geysir - Gullfoss - Bruarfoss)
“Secret Path of Waterfall"


ภารกิจแสงเหนือที่ Kirk คืนที่ผ่านมาพังยับเยิน แต่ไม่เป็นไร วันนี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ ฝนตกทั้งวัน ให้มันได้หยั่งงี้สิ ! สมชื่อ Kirkfufell จริงๆ Fail แต่เช้าเลย


หัดใช้ GPS ติดรถแบบจริงจังครั้งแรกครับ...พาไปทางที่ปิด!... GPS พาพวกเราไปยังเส้นทางที่ปิดในหน้าหนาว เส้นทางนั้นมีป้ายเตือน + ขวางทางไว้เลยว่าห้ามเข้า ทำให้พวกเราเสียเวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมง TT

(ข้อควรระวังข้อที่ 1. ควรตรวจสอบเส้นทางการเดินทางทุกครั้งที่ขับรถในไอซ์แลนด์ ตรวจสอบได้จากเว็บนี้ http://www.road.is/)


แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างมีม้าข้างทางให้ทักทายอยู่นิดหน่อย

“ว่าไงเจ้าม้า"

เมื่อใกล้เขต þingvellir สภาพอากาศเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รู้สึกร่างกายอยากปะทะหิมะซะแล้ว

ถึง þingvellir national park ในช่วงประมาณบ่าย 3 และขับต่อไปยัง öxarárfoss ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก

พวกเราหลงทางเสียเวลา 2 ชั่วโมงทำให้ต้องตัดโปรแกรมบางอันออก ด้วยวิธีการโหวต 5555 และผู้โชคร้ายของเรา คือ Gullfoss บรั่ย

หลังจากนั้นโหวตกันต่อไปว่าจะไปที่ต่อดีระหว่าง Geysir – Bruarfoss แต่ช่างภาพ 2 คนงอแงงจะไป Bruarfoss ก่อนให้ได้ “มีกล้องทำให้มีอำนาจครับ 5555" (การค้นหา Bruarfoss ค่อนข้างจะยากเพราะไม่มีป้ายบอกทางเลย แต่มี Guide จากใน youtube บางส่วนซึ่งบอกไม่ละเอียดเลย)

ภารกิจค้นหา Bruarfoss ได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากเปิด youtube ทำให้รู้ว่า Bruarfoss อยู่ในบริเวณ summer house แต่ไม่รู้ว่าอยู่บริเวณไหน ขับรถวนเข้าๆออกๆอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายตัดสินใจจอดรถไว้ช่วงกลางซอย และทำการเดินค้นหา (วาร์ป https://www.youtube.com/watch?v=NvBvbct6e3Q แต่บอกไม่ละเอียดมาก)

พวกเราต้องใช้สัญชาตญาณอย่างสูงในการเดา แทบจะโยนหัวก้อยกันเลยทีเดียว มันต้องเป็นทางนี้แน่ๆ มันต้องใช่! เดินเข้ามาเรื่อยๆ เห้ย “รอยเท้า" เยอะแยะเลย มาถูกทางแล้วแน่นนอน! เดินตามรอยเท้าเข้าไปเรื่อยๆ จึงพบกับ... Bruarfoss พระเอกของเราในวันนี้ครับ

กว่าจะเข้ามาได้ใช้เวลานานพอสมควร ขออยู่ตรงนี้นานๆหน่อย..

ปรากฏว่าอยู่นานไปหน่อย 5555 เมื่อเดินทางไปยัง Geysir แสงก็หมดแล้ว ถ่ายไม่ได้





วันที่ 3 (23 มีนาคม Seljalandsfoss - Gljúfurárfoss - Skógafoss - Airplane wreckage)
“We can Take The Long Way"


หลังจาก 2 ผ่านที่มาพวกเราหลงทางไปอาร์เจนตินาแลนด์กัน วันนี้ได้กลับเข้าไอซ์แลนด์แล้วครับ TT น้ำตาจิไหล ฟ้าสว่างใสแจ๋ว เห็นแสงอาทิตย์เป็นวันแรก อารรรรร์ฟิน


พวกเราเดินทางมาถึง Seljalandsfoss ประมาณเที่ยงๆ

ในขณะที่ฟ้าเปิด... มีฝนตกลงมาเล็กน้อย... ให้เราได้ลุ้นกัน ธรรมชาติอยากพาพวกเราไปทัวร์อาร์เจนอีกแล้ว

(ข้อควรระวังข้อที่ 2. เสื้อกันฝน สำหรับ Seljalandsfoss คำนิยามสั้นๆของที่นี่

สูง ใหญ่ แรง... ผมไม่ได้เตรียมเสื้อกันฝนมา เพราะคิดว่า เสื้อกันหนาวน่าจะกันเปียกได้บางส่วน

...ซึ่งก็กันได้บางส่วนจริงๆ อีกส่วนนึงคือเข้าตัวและเข้ากล้อง แชร์ๆกันไป)

Gljúfurárfoss เป็นน้ำตกที่อยู่ใกล้กับ Seljalandsfoss เดินเลยไปไม่ไกลมาก

รุ่นพี่ทั้งสามของผมเตรียมเสื้อกันฝนมาอย่างดีพร้อมลุย ส่วนผมขอนั่งผึ่งตัวให้แห้งอยู่ภายนอกดีกว่า... งานนี้ไม่สู้

ฟ้าเปิดต่อเนื่องครับกับ Skogafoss

ได้รุ้งกินน้ำชัดๆด้วย

Highlight ของวันนี้ Airplane wreckage เป็นซากเครื่องบินตก อยู่บริเวณใกล้ชายฝั่งทางทิศใต้ของประเทศ ก่อนหน้านี้สามารถขับรถเข้าไปได้ แต่เนื่องจากเหตุอะไรบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถขับเข้าไปได้แล้ว จึงต้องจอดรถและเดิน

...ระยะทางไป-กลับ 8 KM...เองนะ

วอร์มก่อนเดินซะหน่อย

วิวรอบๆช่วยให้หายเหนื่อยเลย

และเราก็มาถึง Airplane wreckage 4KM ไม่ไกลมาก ถ้าเดินคุยไปเรื่อยๆไม่นานก็ถึงครับ


ได้รูปแล้ว พลังแฝงของพวกเราก็หมด ทำไมขากลับ 4KM มาไกลกว่าตอนมา TT เดินกันแบบ Walking Dead เลยทีเดียว




วันที่ 4 (24 มีนาคม Skógafoss - Vik - Halldorskaffi - Snow Mobile - Black Sand Beach - Dyrholaey -Reynisdrangar)
“ผมว่าพี่ต้องตายแน่ๆ"

เมื่อคืนพวกเราพักกันที่ Hotel Skóga ซึ่งอยู่ติดกับ Skógafoss เลย เพื่อใช้เป็นที่ล่าแสงเหนือแต่พวกเราก็ยังไม่ได้เห็นแสงเหนือ... เนื่องจากฟ้าปิดสนิท TT แต่ว่าแสงเช้าเรายังมี!... ตื่นเช้ามาได้สักพักฝนก็ตกลงมา และหิมะก็โปรยลงมา...ได้เล่นหิมะหนำใจเลยทีนี้

โปรแกรมวันนี้ของพวกเราส่วนใหญ่อยู่ในเมือง Vik จากการทำการบ้านของพวกเรา มีร้านอาหารขึ้นชื่อในเมือง Vik คือร้าน "Halldorskaffi" แวะเติมพลังที่นี้ แต่ก็มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นอีกครั้งจากการสื่อสารที่ผิดพลาด

หลังจากดูราคาอาหารในเมนู พบว่า ราคาค่อนข้างแพง (สำหรับพวกเราTT)(แต่ราคาร้านอาหารทั่วไปก็ประมาณนี้) พวกเราสั่ง เนื้อแกะ + แฮมเบอเกอร์ + Soup มาอย่างละ 1จาน เพื่อแบ่งกันกิน แต่ทางพนักงานแจ้งว่า สั่งแกะฟรีซุปนะ Free soup ด้วยการสื่อสารที่ผิดพลาด + ภาษาอังกฤษสำเนียงไอซ์แลนด์บางคนค่อนข้างจะฟังยาก ย้ำว่าบางคน ทำให้พนักงานเข้าใจว่า three soup > three lamb สรุปมื้อนั้น ได้แกะมา 3 จาน... ก็ต้องเก็บเป็นมื้อเย็นต่อไป (ข้อควรระวังข้อที่3. ควรสื่อสารให้ชัดเจน เมื่อทำการสั่งอาหาร TT แต่แกะอร่อยมาก)

กลับมาต่อที่โปรแกรมของเราวันนี้ ต้องไปส่งรุ่นพี่ 2 คนไปเล่น Snow Mobile ทำให้ผมกับพี่อีกคนหนึ่งมีเวลาถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยกัน

ชมวิวธรรมชาติของเมืองนี้กัน

ก่อนที่จะไปส่งพี่ทั้งสองเล่น Snow Mobile อากาศเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็มีลูกเห็บตกลงมาพร้อมกับพายุหิมะ...

ผมได้กล่าวอวยพรพี่ทั้งสอง “ผมว่าพี่ต้องตายแน่ๆ5555" สภาพอากาศแย่มากถึงที่สุด

แต่เนื่องจากจองตั๋ว Snow Mobile แล้วทั้งสองท่านก็ต้องไปเล่นให้คุ้ม...

หลังจากที่ทั้งสองเล่น Snow Mobile เสร็จแล้วพวกเรามุ่งหน้าไปยัง Black Sand Beach ในเมือง Vik

เดินเล่นริมหาดทรายดำ กับลมแรงๆ ณ ชายฝั่ง พร้อมกับ Landmark ของเราวันนี้

คลื่นแรงมาก

วันนี้พวกเราพลาดสถานที่ไป 2 อย่างคือ Dyrholaey และมุมของ Reynisdrangar อีกด้านหนึ่ง

เพราะขับรถเลยมาแล้ว + อยู่ที่ Black Sand Beach นานไปหน่อย

ตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงไอซ์แลนด์ยังไม่ได้ล่าแสงเหนือจริงๆจังๆกันเลยแม้แต่คืนเดียว คืนนี้พวกเราตัดสินใจกัน

“เอาหน่อย นอนเฉยๆมา 3 คืนละ"ไม่ว่าฟ้าจะเป็นยังไง จะขับรถออกไปรอแสงเหนือ เหมือนจะมีโชคให้ล่าแสงเหนือด้วย

พยากรณ์บอกว่าฟ้าเปิด แต่ KP แค่2... เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าที่พัก จึงนอนเอาแรงกันก่อนเลย หลังจากตื่นขึ้นมาประมาณเกือบเที่ยงคืนก็ออกรถไปที่โล่งๆ และไกลจากตัวเมือง เพื่อหลบแสงรบกวน ระหว่างทางพวกเราพยายามสังเกตไปนอกหน้าต่าง

“เห็นอะไรเขียวๆไหมทุกคน5555" สักพักนึงหยิบกล้องมากด แล้วติดบางอย่างเขียวๆขึ้นมา

ใช่แล้วมันคือ Aurora! ...แต่บางมากเลยนะ แบบบ๊างบางเลย

แต่แสงเหนือพระเอกของเราคืนนี้...มาพร้อมกับพายุ...

เห็นแสงเหนือได้ไม่นานก็ต้องหนีขึ้นรถ หลบพายุแล้ว แต่พวกเรายังไม่ละความพยายาม...

ตัดสินใจขับรถหนีพายุขึ้นไปอีก แล้วรอจนพายุสงบ หวังว่าฟ้าหลังฝนจะสวยงาม...

ก็เป็นอย่างที่คิด ถึงแสงเหนือจะเบาลงไปหน่อยก็เถอะ

สถิติตอนนี้ 3 คืน เห็น 1 วัน ถือว่าเริ่มต้นไม่ได้เลวเลย




วันที่ 5 (25 มีนาคม Vik - Mossy Lava - Fjaðrárgljúfur Canyon - Svartifoss - Glacier Walk - Jökulsárlón)
“มา Iceland ต้องมา Glacier Walk"

หลังจากเมื่อคืนเห็นแสงเหนืออันเบาบางจนหนำใจ เช้านี้สภาพอากาศเป็นใจอีกหนึ่งวัน พวกเรามุ่งหน้าจาก Vik ไปยัง Fjaðrárgljúfur Canyon ระหว่างทางต้องผ่าน Mossy Lava ก่อน

สองข้างทางมีแต่หินเขียวๆ

ช่วงเช้านี้เวลาค่อนข้างน้อย จึงต้องรีบไปยัง Fjaðrárgljúfur Canyon ต่อ สำหรับสถานที่นี้ต้องเดินเข้าไประยะทาง 2KM

(จริงๆแล้วสามารถขับรถเข้าไปได้ ทางมีความลูกรัง)

และเราก็มาถึง Fjaðrárgljúfur Canyon

สวยงามมาก...เนื่องจากมีโปรแกรมต่อทั้งวัน จึงทำให้สำรวจ Fjaðrárgljúfur Canyon ได้ไม่ทั่ว อยู่แค่ช่วงตีนเขา TT

แล้วจะมาหาใหม่นะเจ้าเอฟเจา (อ่านไม่ออกแฮะ เรียกงี้ไปก่อน)

และเช่นเคยพวกเราใช้เวลากับ Fjaðrárgljúfur Canyon นานเกินไปจึงต้องตัด Svartifoss ออกเพราะเวลาไม่พอ

รีบมุ่งหน้าสู่ Skaftafell national park เพื่อกิจกรรมต่อไป Glacier Walk!?

ขอย้อนความหน่อยครับ ช่วงที่พวกเราวางแผนกัน ผมไม่รู้จัก Glacier Walk มาก่อน มันคืออะไร?

จ่ายไปสามพันกว่าเลยแฮะ คุ้มเวลาครึ่งวันบ่ายป่าวเนี้ย ตอนนั้นนึกในใจว่าอยากตัดกิจกรรมนี้ออกเพราะกินเวลานานไป...

โชคดีที่ไม่ได้ตัดออกไป ไม่งั้นเสียดายแย่ !

ระหว่างการเดินบน Glacier นี้จะเป็นน้ำแข็งไปตลอดทาง ไกด์ให้ทุกคนใส่ Crampons เป็นอุ้งเท้าที่มีเขี้ยว สำหรับเกาะบนพื้นน้ำแข็ง และ Ice axe ให้ถือไว้สำหรับบางจุดที่ต้องใช้เจาะ หรือเกี่ยว (ใช้ขุดเล่นซะมากกว่า )

ตรงนี้ถ่ายเรื่อง THE MARTAIN ด้วยนะ (จากคำบอกเล่าของไกด์)

ได้สัมผัสถึงความเป็นประเทศน้ำแข็งจริงๆ ก็ต้องที่นี่เลย

เสร็จภารกิจ Glacier Walk พวกเรารีบมุ่งหน้าไปยัง Jökulsárlón Lagoon

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง Jökulsárlón Lagoon ทาด๊าา

นั่งมองก้อนน้ำแข็งที่เกยตื้น แล้วถูกดูดกลับลงทะเล




วันที่ 6 (26มีนาคม Vatnajökull Ice cave – Jökulsárlón Diamond Beach)
“Cookie Run"


Vatnajökull บริเวณนี้มีอะไรให้ทำเยอะมาก ภารกิจหลักตอนตลอดเช้า และช่วงบ่ายของเราคือ Ice Cave!?
ในช่วงที่พวกเราไปน้ำแข็งส่วนใหญ่ละลายไปมากแล้ว ซึ่งถ้ำที่พวกเรากำลังจะไปคือ Waterfall Ice Cave
เป็นที่เดียวที่ยังเหลืออยู่ในช่วงปลายมีนาคม (โชคดีมากที่ยังได้ไป แต่ก็ละลายไปเยอะมากแล้วเช่นกัน)
Ice Cave ในแต่ละปีก็จะมีลักษณะต่างกันไปตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปในแต่ละปี

เป็นคริสตัลสีฟ้าเลยทีเดียว

ค่า Private Tour ค่อนข้างแพง ต้องเก็บรูปมาเยอะหน่อย เวลามีน้อยด้วย

(ถึงจะเป็น Private Tour แต่สถานที่ยังเป็น Public เพราะฉะนั้นบางช่วงเวลาอาจจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ)

ยังมีโพรงน้ำแข็งบริเวณตีนเขาก่อนเข้าถ้ำน้ำแข็งอีก 1 ถ้ำ แต่ไม่ใช่ถ้ำที่คนนิยมไปกัน


Ice Cave เราจะไม่มีวันลืมความสวยงามเหล่านั้น!

จบไปแล้วกับ Ice Cave พวกเราแวะพักที่ Jökulsárlón Lagoon เพื่อเติมพลังกันก่อนที่ลุยต่อ

เมื่อวันก่อนพวกเราได้มาที่นี่แล้ว วันนี้มาเยือนอีกครั้งพบว่า...

ธารน้ำแข็งที่เยอะๆเมื่อวานนั้น วันนี้ได้ละลาย + ถูกน้ำพัดออกไปทะเลไปเกือบหมดแล้ว.. TT

เหลือเกยตื้นให้เสียดายเล่นอยู่นิดหน่อย

Surprise!

ก้อนไขมัน รอการระบาย

อุ๊งๆๆ

บริเวณ Jökulsárlón นั้นค่อนข้างกว้างและใหญ่มีทั้งฝั่ง Lagoon และฝั่งทะเล มีเรียกกันว่า Diamond Beach

ชายหาดฝั่งนี้จะมีก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กใหญ่ปนกันไป เกยตื้นอยู่ให้พวกเราได้ชมกัน

การถ่าย Seascape ที่นี่ค่อนข้างยากสมพอควร คลื่นก็อภิมหาแรง อันตรายมากถึงที่สุด

(ต้องมีเปียกกันบ้างเป็นค่าครูกันบ้าง)

หลังจากโดนค่าครูไปจึงเริ่มจับจังหวะได้ครับ... (ต้องเค็มก่อนถึงจะเรียนรู้)

เมื่อวิ่งจนเหนื่อยก็ต้องเติมพลังก่อนหน่อยครับ ขับรถต่อไปไม่ไกลจาก Jökulsárlón มากจะพบกับร้านอาหารนี้ (เข้าไปบริเวณด้านในจะมีโรงแรมด้วย ซึ่งพวกเราพักที่นี่)

Mission วันนี้ยังไม่จบ ถึงแม้ว่าพยากรณ์อากาศจะแจ้งว่าฟ้าปิดก็ตาม...

แต่เราจะล่าแสงเหนือกัน!? (ไปลุ้นเอาหน้างาน หลังจากสังเกตท้องฟ้าแล้วว่า ฟ้าเปิด)

พระเอกของเราก็มาตามนัด เห็นชัดกว่าครั้งแรกอีกกกกกกก

เป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวัน.. สถิติ 6 วันเห็น 2 คืน...เริ่มน่ารักขึ้นแล้ว




วันที่ 7 (27มีนาคม Jökulsárlón - Guesthouse Hólmur - Höfn - Vesturhorn - Brunnhorn - Coast - Egilsstaðir Town)
“Wind Day"


แสงเหนือเมื่อวานทำเอาพวกเราเพลียพอสมควร กลางวันเที่ยว กลางคืนล่าแสงเหนือ...
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ทางใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ จึงเป็นอีกวันที่ต้องขับรถไกล
ขับรถมาเรื่อยๆจนเจอลูกสมุนของซานต้าครอส...กวางเรนเดียร์!?

ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สามารถเห็นม้าได้เรื่อยๆ ตลอดเส้นทาง บางจุดสามารถเข้าใกล้ม้าได้มาก บางจุดเข้าใกล้ได้น้อย

ต้องคอยสังเกตทางไปเรื่อยๆ จนพวกเราได้มาเจอม้าฝูงใหญ่

ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นมิตร แฮ่

หลังจากนั้นมุ่งหน้าสู่ Guesthouse Hólmur ซึ่งเป็นที่ที่มีฟาร์มกวางเรนเดียร์ แต่โชคร้ายของพวกเราที่ทำการบ้านมาไม่ดี ที่นี่เปิดเฉพาะช่วง Summer TT จึงต้องขับรถต่อไปยังเมือง Höfn โชคร้ายเด้งที่ 2 วันนี้ตรงกับวัน Easter Sunday

ร้านอาหารแทบจะทั้งหมดในเมืองปิดหมด... TT แล้วฉันจะเอาอะไรกินนนนนน!?

(ข้อควรระวังข้อที่ 4.ทำการบ้านเรื่องเทศกาลวันหยุดของแต่ละประเทศให้ดี เพื่อตุนเสบียงอาหาร ไม่เช่นนั้นไม่มีกินแบบพวกเรา5555) พวกเราตัดสินใจขับรถต่อไปยังเมืองหน้า เผื่อมีอาหาร หรือร้านของกินเปิดบ้าง (โชคดีที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมมาเยอะเลยประคองชีวิตไปได้)

เมื่อขับรถเข้ามายัง Vesturhorn ก็แวะ Café ด้านหน้าทางเข้าเพื่อเติมพลัง หลังจากนั้นเจ้าของร้านก็เรียกเก็บเงินค่าผ่านทาง ถ้าจะเข้าไปถ่ายรูปบริเวณ Vesturhorn...คนละ 800isk (ถ้าจำไม่ผิด) พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าหลอกตีหัวเข้าบ้านป่าว แต่ก็ดันบอกเค้าไปแล้วว่าจะเข้าไปถ่าย จึงต้องจ่ายไป

ขับมาเรื่อยๆจนถึงภายใน Vesturhorn แต่สภาพอากาศวันนี้ช่างโหดร้ายกับพวกเราอย่างมาก

วันนี้เป็นวันที่ลมแรงที่สุด แบบตัวปลิวได้ (ทดสอบโดยการกระโดดอยู่ เมื่อตัวลงพื้นแล้วไม่อยู่ที่เดิม...)

อีกทั้งฟ้าไม่เปิด และเมฆครึ้มตลอดทั้งวัน

ลมแรงขนาดนี้...

Brunnhorn อยู่ข้างๆกับ Vesturhorn


บริเวณพื้น Vesturhorn มีลักษณะเป็นทรายดำ เมื่อลมแรงพัดมาทำให้ทรายดำปลิวขึ้นมาคล้ายกับพายุเล็กๆ เข้ากล้องเข้าปากเข้าตัว...ยอมแพ้จ้า TT(ขณะถ่ายรูปต้องคอยหันหลังหลบลมที่พัดทรายดำขึ้นมา)

หลังจากที่ไม่สามารถสู้ความลมที่ Vesturhorn ได้ จึงมุ่งหน้าสู่เมือง Egilsstaðir Town

*** ถนนจาก Vesturhorn ไปยัง Egilsstaðir Town ค่อนข้างขับยาก เป็นถนนตัดเลียบภูเขาริมชายฝั่งทะเล

ถนนขรุขระ Slope ในหลายช่วง (ช่วงปลายหน้าหนาว ถนนบางส่วนยังไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากหิมะปกคลุมจึงไม่สามารถใช้ถนนหมาย 1 ที่เป็นทางหลักได้ ทำให้พวกเราต้องขับรถเลียบชายฝั่ง ซึ่งเป็นทางอ้อม) ***

ถนนก็อันตราย ลมก็แรงมากถึงมากที่สุด (ลมพัดหิมะขึ้นมาจากพื้น และลมพัดรถสั่นเกือบตลอดทาง)


แต่ในที่สุดพวกเราก็สามารถมาถึง Egilsstaðir Town ได้อย่างปลอดภัย เข้าที่พัก ทำอาหารค่ำกินกัน

และพยากรณ์อากาศคืนนี้บอกว่า KP4 แต่ต้องลุ้นเมฆ... ซึ่ง Aurora ของเราก็มาพร้อมกับเมฆ

และแล้วหิมะก็โปรยลงมา ฟ้าปิดอย่างทันที จบภารกิจอย่างรวดเร็ว... TT

(สถานที่ถ่าย Aurora คืนนี้ คือ อยู่หน้าบ้านที่พักของเรานั้นเอง Kaldá Lyngholt Holiday Homes)




วันที่ 8 (28 มีนาคม Egilsstaðir Town - Dettifoss - Selfoss - Krafla - Lake Myvatn Nature Baths - Dimmuborgir Guesthouse)
“Engine Oil is Low"


Egilsstaðir Town เป็นเมืองที่อยู่ช่วงกลางของประเทศไอซ์แลนด์
แต่สภาพอากาศที่นี่ช่างแตกต่างกับทางใต้จนเหมือนอยู่คนละประเทศ! ถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งเมือง
และอุณหภูมิก็หนาวขึ้นอย่างชัดเจน
(หลังจากขับรถมาอย่างยาวไกล ผมสังเกตบริเวณคอนโซลรถแจ้งเตือนว่า “Engine oil is low" ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่ดีนะครับแบบนี้ )

ขอเห่อหิมะกันหน่อยครับ ><

ไปต่อ Dettifoss ซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมว่า ถนนจะเปิดหรือไม่ ขับไปเสี่ยงดวงเอา

(จากการตรวจสอบสภาพถนนคืนก่อนเดินทางพบว่า ถนนปิด ไม่สามารถเข้าได้ แต่พวกเราคาดการณ์ว่าตอนเช้า-กลางวัน

หิมะน่าจะละลาย และเข้าไปได้...มั้ง)

Dettifoss เป็นฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่อง Prometheus ซึ่งพวกเราก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปเห็นกับตาตัวเอง

โชคดีของพวกเราที่ถนนเปิด (มีรถโกยหิมะช่วยอำนวยความสะดวก เคลียร์เส้นทางให้)

พบกับ Dettifoss!

เข้าไปใกล้สุดได้แค่นี้ (บริเวณอีกฝั่งหนึ่งทางเข้าปิด)

ขอบคุณรถโกยหิมะ ที่ทำให้เราได้มาเห็น Dettifoss (เนื่องจากเวลาไม่พอจึงทำการตัด Selfoss ออกไปเพราะต้องเดินลุยหิมะไปอีกประมาณ 2KM ตัดอีกแล้ว TT)

เดินทางต่อไปยัง Krafla Lava Field คือ ปากปล่องภูเขาไฟที่สามารถขับรถเข้าไปใกล้ได้

แต่เนื่องจากหิมะตกหนักในช่วงหน้าหนาว ทำให้เส้นทางถูกปิด ต้องจอดรถไว้บริเวณตีนภูเขาไฟ และเดินขึ้นไป...

แต่น แต๊น Klafla Lava… Field

(ข้อควรระวังข้อที่5. ทำการบ้านเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละฤดูมาให้ดี อย่าหลอกตัวเองว่ามันต้องมี)

...นี่มัน Klafla Frozen Field ชัดๆ...

หลังจากนั้นพวกเราเจอความผิดหวังจาก Klafla Frozen Field กันจึงอยากหมดแรงกัน ตัดโปรแกรม Lake Myvatn Nature Baths ไปไว้วันพรุ่งนี้แทน จึงเข้าที่พัก Dimmuborgir Guesthouse เพื่อเก็บแรงไว้ล่าแสงเหนือในคืนนี้ นอนเอาแรงก่อนแล้วค่อยตื่นขึ้นมารอถ่ายละกัน ก่อนนอนประชุมกันเพื่อหาสถานที่ จากพยากรณ์อากาศบอกว่า วันนี้ KP4! อีกแล้ว แต่บริเวณ Myvatn คือที่พวกเราอยู่นั้นฟ้าปิดสนิท แต่ถ้าขับออกนอกบริเวณไปมีลุ้นฟ้าเปิด เมื่อคำนวณดูแล้ว เป้าหมายจึงเป็นที่ Godafoss ซึ่งห่างจากที่พักของพวกเราไป 60KM หลังจากได้ข้อสรุปแล้วจึงนอนอย่างสบายใจ เย้

ตื่นขึ้นมาเวลาเกือบจะ 5 ทุ่ม เพราะเสียงปลุกของรุ่นพี่ “เห้ย ตื่นจะห้าทุ่มแล้ว เร็วๆๆๆ"

เนื่องจากขับรถกลางคืนในเส้นทางที่ไม่คุ้นจึงต้องเผื่อเวลาไว้นิดนึง

ใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานจึงออกเดินทางสู่ภารกิจ ล่าแสงเหนือที่ Godafoss ขับรถไปได้ซักพัก...

แสงเหนือผ่ากลางเหนือหัวเลย วันนี้เป็นวันแรกที่เห็นชัดที่สุด มาเป็นแถบเลยจ้า

เห็นแสงเหนือมาขนาดนี้ พวกเราจึงรีบเดินทางไปให้ถึง Godafoss โดยไว ทันใดนั้นรถก็แจ้งเตือนอีกว่า "Engine oil is low"

เห้ยอะไร จะถ่ายแสงเหนือ ไม่สนๆๆๆ 5555 ด้วยความรีบของพวกเราจึงไม่ได้ใส่ใจ รีบขับต่อไป

ปรากฏว่า ขับรถเลยจุดถ่าย ต้องกลับรถบนถนนเลนเดียว... ติดหล่มหิมะเฉย! 5555 MAYDAY MAYDAY

“แสงเหนือก็ต้องถ่าย รถก็ติดหล่ม อากาศก็ติดลบ" สุดท้ายยังเร่งขึ้นมาได้ รอดไป

กลับมาที่แสงเหนือของเรา บรึ้มมมมมม


อุณหภูมิ ณ ตอนถ่ายคือ -13 และสถานที่ถ่ายเป็นบริเวณลานกว้าง โล่ง ลมพัดตลอด ทรมานสุดๆ

สุดท้ายต้องแก้หนาวโดยการแอโรบิคท่ามกลางแสงเหนือครับ

มันมาทุกทิศทางเล๊ยย

สิ่งสำคัญสำหรับคืนนี้คือ ต้องทนหนาวให้ได้

หลังจากนั้นไม่นานการแสดงคืนนี้ก็ต้องจบลง เพราะพระจันทร์ขึ้น...และเมฆมาอีกเช่นเคย... แต่แค่นี้ก็ฟินแย่แล้วออกไปทนหนาวอยู่เกือบสามชั่วโมง คุ้มสุดสุดครับ




วันที่ 9 (29 มีนาคม Hverir – Godafoss- Einishus Cottages)
“Summer House In Winter Night"

เหตุการณ์ “Engine oil is low" เมื่อวานทำให้วันนี้พวกเราต้องแก้ปัญหานี้ให้เสร็จ
แต่ปัญหาคือพวกเราทุกคน ไม่มีใครมีความรู้เกี่ยวกับรถเลย 5555
พวกเราเลยตกลงกันว่า ผมกับพี่M จะจัดการเรื่องนี้เอง ส่วนอีกสองคนไปแช่น้ำให้สบายใจซะ
(Lake Myvatn Nature Baths – เป็นบ่อน้ำร้อนคล้ายๆกับ Blue Lagoon แต่คนน้อยกว่า)

ผมเริ่มตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง พบว่าอยู่ในระดับกลางๆ (สีค่อนข้างดำ)

ด้วยความรนรานเข้าใจว่าสีดำ = สกปรกต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
จึงขับรถไปยังอู่รถแถวนั้น รอช่างอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง... ก็ยังไม่มา ซักพักนึงมีคนเดินออกมาช่วย
แล้วบอกพวกเราว่า “คุณไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรอก คุณแค่ซื้อน้ำมันเครื่องแล้วเติมเองได้เลย ไม่ต้องให้ช่างมาทำ"

...เอาเวลาครึ่งวันฉันคืนมา...

(ข้อควรระวังข้อที่6. สมาชิกในทีมควรมี 1 คนเป็นอย่างน้อยที่มีความรู้เรื่องรถ)

หลังจากนั้นพวกเราจึงไปยังปั๊มน้ำมันเพื่อซื้อน้ำมันเครื่อง แต่ต้องใช้ชนิดไหนละ ? google รัวๆเลยจังหวะ สุดท้ายเลยให้พนักงานที่ร้าน N1

ช่วย แล้วก็สอบถามทางร้าน ซึ่งพนักงานร้านก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีครับ แล้วก็ให้ข้อมูลเราอีกด้วยว่า

“อากาศหนาวก็มีส่วนที่ทำให้ รถเตือนว่า Engine oil is low หรือมันอาจจะอยู่ในระดับกลางๆ แต่พอเจออากาศหนาว ทำให้แจ้งเตือนได้เช่นกัน" หลังจากนั้นผมก็ติดต่อบริษัทรถ ว่าเจอปัญหาแบบนี้นะ ซึ่งทางบริษัทก็ช่วยเหลือ และแสดงความรับผิดชอบเช่นกัน

โดยแจ้งว่า “คุณเก็บขวดน้ำมันเครื่องไว้ พร้อมกับใบเสร็จไว้ วันคืนรถเอามายื่นที่เรา แล้วจะคืนเครดิตให้"

ผมนี่ใจชื้นเลยทั้งที่ที่ตอนรับรถลืมเช็คน้ำมันเครื่อง แต่บริษัทก็ช่วยรับผิดชอบ...เป็นโชคดีของพวกเรา

เล่ามาซะยาวกลับเข้าภารกิจของเราต่อครับ 5555

เดินทางกันต่อไปยัง Hverir ซึ่งเป็นบริเวณที่มีควันภูเขาไฟระเหยขึ้นมาตลอดเวลาเยอะบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บริเวณ

Candid ก็เท่ไม่เบา


เมื่อคืนได้เห็นความสวยงามของ Aurora ที่ Godafoss กันแล้ววันนี้เราจะไปดูแสงเย็นกันที่ Godafoss ครับ


ถ่ายเพลินๆไม่นานก็มืดก็เตรียมตัวเข้าที่พักเติมพลัง เตรียมล่าแสงเหนือกันต่อ

คืนนี้พวกเราพักกันที่ Einishus Cottages เป็น Summer House (ภายในตัวบ้านสวยมาก มีห้องใต้หลังคา มีอ่างแช่น้ำร้อนด้วย)

จากการสอบถามเจ้าของว่า ถ่ายแสงเหนือที่ไหนดี เค้าบอกว่า “คุณอยู่ที่นี่แหละ เห็นแน่นอน"

เพราะฉะนั้นที่นี่จะเป็นสถานที่ล่าแสงเหนือของเราคืนนี้ ฉบับคนขี้เกียจ (แบบนี้ไม่เรียกล่า แบบนี้เรียกรอ 5555)

มาตามนัด แต่นแต๊นนนน

อากาศคืนนี้หนาวกว่าคืนที่แล้วนิดหน่อย แต่เนื่องจากทนหนาวสองคืนติดกันไม่ไหวแล้ว ขอหนีไปหลบในบ้าน

(ตั้งกล้องไว้นอกบ้าน แล้วเฝ้าดูกล้องเราจากห้องใต้หลังคา มันดีตรงนี้แหละ จิบเบียร์ เล่นกีต้าร์ ดูแสงเหนือในบ้านอุ่นๆ ฟินเฟร่อ)

ทันใดนั้นเอง แสงเหนือของเราก็ระเบิดออกมา!? >< ฟินสุดๆคืนนี้

ระเบิดขนาดนี้ต้องออกไปเก็บรูปเป็นที่ระทึกหน่อย

ยิ่งอุณหภูมิหนาวเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเห็นแสงเหนือชัดขึ้น ยิ่งฟ้าเปิดด้วยแล้ว... มันใช่ สถิติ 9 วันเห็น 4 คืน




วันที่ 10 (30 มีนาคม Godafoss - Aldeyjarfoss – Akureyri – Hamborgarafabrikkan - Christmas House)
“Rest"


เป็นอีกหนึ่งวันที่ปรับเปลี่ยนแผน เนื่องจากเมื่อคืนเมามันส์ในแสงเหนือกันจึงดึก และได้รูปแสงเหนือ กับแสงเย็นที่ Godafoss กันแล้ว
จึงตัดออกไปจากโปรแกรมในตอนเช้านี้ และก่อนเราจะออกเดินทางกันเช็คสภาพถนนแล้วว่า
ไม่สามารถเข้าไปยัง Aldeyjarfoss ได้จึงต้องยกเลิกไป มุ่งหน้าสู่ Akureyri เมืองซานตาครอสโลด
Akureyri เป็นเมืองเล็กๆน่ารักๆ คล้ายๆกับเมืองหลวงทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ครับ
พวกเราแวะเติมพลังกันที่ Hamborgarafabrikkan เป็นร้านเบอร์เกอร์ขึ้นชื่อของที่นี่เลยเมนูของที่นี่เป็นคล้ายๆหนังสือพิมพ์แจกให้กับลูกค้าเลย

เติมพลังกันเสร็จก็เดินเล่นกันซะหน่อย เมืองสวยมากครับ

ผู้คนก็น่ารักครับ ><

วันสบายๆ เดินเล่นในเมือง ซึมซับ บรรยากาศครับ เจอโบสถ์ Akureyrarkirkja โดยบังเอิญ

จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปยัง Christmas House ที่อยู่ไม่ไกลมาก เมื่อมาถึงช่วงเย็นแทบจะไม่มีคนเลย

ส่วนใหญ่คนจะเยอะช่วง summer...

เสร็จแล้วเข้าสู่ที่พักคืนนี้ครับ Akureyri H.I. Cottages

(บ้านไม้ สองชั้นอีกเช่นเคย มีห้องใต้หลังคา และมีอ่างแช่น้ำร้อน)

คืนนี้ก็รอถ่ายแสงเหนืออีกเช่นเคย แต่พยากรณ์บอกว่า เมฆมาก

แต่พวกเราไม่เชื่อจะรอลุ้น จนถึงดึกซักพักเดินไปดูเมฆก็มากจริงๆ 5555 สุดท้ายต้องยอมนอน

ถือซะว่าได้พักผ่อนหลังจากลุยแสงเหนือมา2คืนติด




วันที่ 11 (31 มีนาคม Akureyri - Hvítserkur)
“Change Plan"


ตอนเหนือของไอซ์แลนด์ Landmark แต่ละที่จะค่อนข้างไกลกันมาก

จากเมือง Akureyri – hvítserkur ระยะทางประมาณ 200KM
Long journey มากมาก แต่ว่า... เราจะทำให้ไกลกว่านั้น 5555

จากการประชุมกันเมื่อคืนพวกเราอยากเสี่ยงกับ Kirkjufell อีกรอบ
(อยากได้แสงเหนือกับ Kirk ไง) จึงยกเลิกที่พักที่ Hvítserkur

และเปลี่ยนไปจองที่พักที่ Kirkjufell แทน (โรงแรมที่นอนคืนแรก ว่างพอดี)

เพราะฉะนั้นหลังจากที่เราถึง Hvítserkur ชื่นชมจนหนำใจแล้วต้องเดินทางอีกประมาณ 220KM

เพื่อไปยัง Kirkjufell ... วันนี้ยังอีกยาวไกลจริงๆ

ข้างทางจะมีฟาร์มแกะอยู่ เลยแวะซะหน่อย “ไงมนุษย์"

อาหารเย็นวันนี้ครับ... เดี๋ยวๆไม่ใช่ละ

เส้นทางยังอีกยาวไกลครับ แวะนานไม่ได้

วิวข้างถนนช่างโกงเหลือเกิน

และเราก็มาถึง... Hvítserkur หินไดโนเสาร์นั้นเอง


มุมจากด้านบนบ้าง

เดินทางกันต่อไปยัง Kirkjufell หนทางยังอีกยาวไกลยิ่งนัก นั่งกันจนเส้นยึดเลยทีเดียว เส้นทางจาก Hvítserkur – Kirkjufell ค่อนข้างไกล และถนนบางช่วงขรุขระ แต่ไม่เท่าจากตอนใต้ขึ้นเหนือครับ

หลังจากการขับรถอันยาวไกล ความคาดหวังของพวกเราคือ...

แสงเหนือกับ Kirkjufell!? ทันใดนั้นเมฆฝนก็มา... Fail ไปอีก1วัน

...ยอมทิ้ง Hvítserkur เพื่อมาเอาฝนที่นี่




วันที่ 12 (1 เมษายน Kirkjufell)
“Somewhere"


เนื่องจากโปรแกรมถูกเปลี่ยนกะทันหัน วันนี้เราจึงต้องวางแผนหาสถานที่เที่ยวกันใหม่
และด้วยสภาพอากาศนี่แย่พอสมควร (ฝนตกตั้งแต่เช้า และพยากรณ์บอกว่าเมฆปกคลุมทั้งวัน TT)
พวกเราตัดสินใจขับรถไปที่ชายฝั่งตะวันตกซึ่งระยะทางไม่ไกลจาก Kirkjufell มาก
(เพราะพวกเราต้องกลับมา Check-in ที่บ้านพักอีกที่ที่ Kirk ตอนเย็น) สถานที่ที่พวกเราจะไปเรียกว่า Arnastapi – Londrangar
บริเวณชายฝั่งทะเลที่นี่ นกเยอะมาก...บินกันสนุกเลย

มีความฟรุ้งฟริ้ง

แวะจุดถ่ายก่อนถึง Arnastapi นิดนึง

และนี่ Arnastapi รอจังหวะคลื่นแรงเพื่อให้ทะลุรูในภาพ รออยู่นาน แอบโดนรุ่นพี่เตะขาตั้ง...(คนไว้ใจสุดท้าย ร้ายที่สุด)

Londrangar ชายฝั่งขับรถไปไม่ไกลจาก Arnastapi มากครับ แต่ลมแรงมากมากเหมือนกัน

ลมแรงจนหนาวมือแข็ง ไม่ไหว จนต้องกลับยัง Kirkjufell ครับ

ที่พักของพวกเราคืนนี้อยู่ตีนเขา Kirk เลยวิวจากบ้านพัก

ตอนเย็นนี้ฟ้าเปิดเป็นใจ ให้ถ่ายแสงเย็น น่าจะได้ลุ้นแสงเหนือด้วย มั้ง...


วิวหน้าบ้าน Hálsaból Sumarhús, House no ll (จาก AirBnB ครับ)

พยากรณ์อากาศบอกคืนนี้ KP5 ถือว่าแรงพอสมควรเลยครับ เมฆเจ้าปัญหาก็ยังตามมารบกวน (โอ้วม่ายยย)

คืนนี้พวกเรานั่งรอแสงเหนือ เช็คเมฆกันอยู่เรื่อย (เนื่องจากที่พักอยู่ที่ Kirk เลยทำให้ง่ายต่อการดูเมฆ)

จนเวลาประมาณเที่ยงคืน... โชคชะตาเริ่มเห็นใจพวกเรา หลังจากที่ Fail@Kirkfujell มา2 คืนแล้ว...

ฟ้าที่ครึ้มก็ได้เปิดขึ้น ให้เราได้เห็นกับความสวยงามนี้

"Mission Complete !"

ตั้ง Timelapse ไปเรื่อยๆ ถึงแม้หลังจากเมฆผ่านพ้นไปแล้ว แสงเหนือจะเบาลงก็ตาม...

แต่ความพยายามของเราก็ถือว่าสำเร็จครับ

ตี 3 กว่าอยู่จนแสงเหนือบางจนเกือบหมดก็เข้านอนกัน หมดสภาพ...




วันที่ 13 (2 เมษายน Kirkjufell - Reykjavik City – Hallgrimskirkja - Harpa)
“Real Reykjavik"

การเดินทางของพวกเราใกล้จะถึงตอนจบแล้ว สภาพร่างกายที่กลางวันเที่ยว กลางคืนล่าแสงเหนือก็ใกล้จบเช่นกัน
หลังจากที่เมื่อคืนถ่ายแสงเหนือเสร็จกลับมานอนเกือบตี 4 วันนี้เลยตื่นสายกันหน่อย...
Check out เกือบเที่ยงพอดี ออกเดินทางไปยัง Reykjavik (ได้เข้าเมืองแล้ว เย้)

รุ่นพี่คนหนึ่งในทริปของเรา รู้จักกับคนไทยที่อยู่ในไอซ์แลนด์ (ขอเรียกว่าพี่ T)
และวันแรกที่เราเดินทางถึงไอซ์แลนด์ ก็มีของฝากติดมือกันมาเล็กๆน้อยๆ วันนี้พี่ T จึงอาสาพาพวกเราเที่ยว Reykjavik
สถานที่แรกที่พี่ T พาพวกเราไปเยือน คือ Perlan มีลักษณะเป็นโดมคล้ายๆท้องฟ้าจำลองบ้านเรา
ชั้นบนสุดของที่นี่เห็นวิวเมือง Reykjavik 360 องศาเลยทีเดียว

เห็นทั้งวิวเมืองและวิวธรรมชาติ คนประเทศนี้น่าอิจฉาแฮะ

จากด้านบนสามารถเห็นโบสถ์ Hallgrimskirkja ซึ่งเป็นที่ที่พวกเราจะไปในตอนเย็น

แวะเติมพลังซะร้าน Hotdog ซะหน่อย (Hotdog ที่ร้านนี้ขนมปังนุ่มกว่า และหอมกว่า Hotdog ตามปั๊ม N1 อร่อยเลย ><)

เที่ยวเมืองกันต่อครับ

กลุ่มเพื่อนพี่ T ครับที่พาพวกเราเที่ยว สายบันเทิง

เดี๋ยวแสงจะหมดซะก่อน รีบกลับเข้าเมืองไปยังโบสถ์ Hallgrimskirkja

หาปลา (Harpa) ยามเย็น

เปลี่ยนสีได้ด้วย

คืนนี้พวกเรานอนกันที่ Guesthouse Aurora ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับโบสถ์Hallgrimskirkja

ภารกิจล่าแสงเหนือของพวกเราในคืนนี้ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะในเมืองไฟรบกวนเยอะ ใจก็อยากได้ Kirk กับแสงเหนืออีกคืน

แต่ระยะทางไปกลับมันช่างไกลเหลือเกิน ถ้าหากขับรถออกไปกินระยะเวลาไปกลับพอสมควร (อาจไม่ได้กลับมานอนที่พัก)

เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเป็นคืนพักผ่อน ทำอาหารมื้อค่ำกินกันดีกว่า

...แต่บังเอิญญญญญญญ มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินออกไปหน้าบ้านพอดี และพบกับ...แสงเหนือมาเป็นลำ...

พาดบริเวณ Guesthouse Aurora และอีกหลายจุดในตัวเมือง (สมชื่อจริมๆ)

พวกเรารีบแต่งตัวหยิบอุปกรณ์กล้องไปยังโบสถ์ Hallgrimskirkja โดยเร็ว

โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย! ไฟเมืองรบกวนก็เยอะแต่ยังเห็นได้ชัด

นี่ถ้านอกเมืองจะขนาดไหน!?

แต่มาได้ไม่นานแสงเหนือของเราก็หายไป...เช่นเคย แค่นี้ก็ฟินแย่แล้ว กลับไปกินข้าวต่อเถอะ 5555

...แต่ค่ำคืนนี้ของเรายังไม่จบ พี่ T ชวนพวกเราไปยังย่าน Downtown ของ Reykjavik ย่านสถานบันเทิงนั้นเอง แฮ่

Reykjavik ย่าน downtown คนไม่พลุกพล่านมาก ย่านอื่นๆก็เช่นกัน แต่ถ้าเป็นช่วงกลางคืน...มันใช่เลย

Pub ที่นี่ดนตรีดีครับ มีเอกลักษณ์มาก และที่สำคัญเบียร์สดอร่อยมาก อิอิ ตกราคาแก้วละประมาณ 300 บาทไทย




วันที่ 14 (3 เมษายน Blue Lagoon – Car Rental - KEF airport)
“Surprise"


ช่วงเช้านี้ขอใช้ภาพจากกล้องโทรศัพท์นะครับ เพราะสถานที่ที่เราจะไปกันต่อไปคือ Blue Lagoon !
หลังจากตะลุยแดด ฝน ลม หนาว หิมะ เปียกทะเล กันมาเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์
การได้แช่น้ำร้อนที่ Blue Lagoon น่าจะได้ผ่อนคลายร่างกายเป็นอย่างดี
สำหรับ Package ที่พวกเราเลือกกันก็คือ PREMIUM ซึ่งจะมี ชุดคลุม รองเท้าแตะ
เครื่องดื่มฟรีที่บาร์น้ำ และ sparkling wine ในร้าน Lava Res. (กรณีที่สั่งอาหาร)
การแช่น้ำที่นี่คุณสามารถอยู่กี่ชั่วโมงก็ได้!? (ช่วงอากาศกำลังเย็นแล้วแช่น้ำนี่มันใช่)

บาร์น้ำ – จุดแลกเครื่องดื่มครับ เบียร์สดเย็นๆ กับแช่น้ำร้อนๆ ฟินมาก


อาหารใน Lava Res. รสชาติอร่อยร้องไห้ (ขอน้ำเปล่า+ขนมปังได้เรื่อยๆด้วย)

หลังจากแช่น้ำจนเหนื่อยจาก Blue Lagoon แล้วพวกเราจึงนำรถไปคืนที่บริษัทก่อน 6 โมงเย็น

ผมก็ไม่ลืมที่จะแจ้งเรื่องรายละเอียดที่ทางบริษัทได้แจ้งไว้เกี่ยวกับการคืน credit

ทางพนักงานก็รับเรื่องและดำเนินการให้เป็นอย่างดีครับ ประทับใจเลย

หลังจากตรวจสอบสภาพรถแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ต้องบอกลารถคันนี้กันแล้ว


แผนตอนแรกของพวกเราคือ บริษัทรถจะไปส่งพวกเราที่สนามบิน คืนสุดท้ายในไอซ์แลนด์พวกเราจะนอนที่สนามบินกัน

เพราะว่าไฟล์ทจากไอซ์แลนด์ไปยังแฟรงเฟิร์ตนั้นค่อนข้างเช้า การนอนโรงแรมในเมืองจึงไม่สะดวก (อาจตกเครื่องได้)

แต่แผนเราก็ต้องเปลี่ยนเพราะพี่ T เสนอให้นอนบ้านของเค้า ชวนกินมื้อเย็นด้วยกัน

แล้วตอนเช้าเค้าจะไปส่งพวกเราที่สนามบิน... เป็นพระคุณอย่างสูงที่ได้รู้จักคนไทยในต่างแดน


แต่ก่อนนั้นแหละพี่ T เสนอพาพวกเราไปทัวร์ต่อ 5555

(จำชื่อสถานที่ไม่ได้) รอยแยกของเปลือกโลกระหว่างทวีปเอมริกาและยุโรปซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารอยแยกที่ þingvellir





วันที่ 15 (4 เมษายน KEF - FRA)
“Goodbye Iceland"


เช้าวันสุดท้ายในไอซ์แลนด์ พวกเราตื่นกันอย่างซึมๆ เวลาประมาณตี 5 เพราะต้องไปสนามบินให้ทันรอบ 7 โมง
เป็นเวลา 2 อาทิตย์ที่พวกเราเดินทางมาเที่ยว ใช้ชีวิตในไอซ์แลนด์ หนีร้อนมาหาหนาว (หนาวเกินไป หนาวจนร้องขอชีวิต)
มาเห็นแสงเหนือด้วยตาตัวเอง ตอนนี้เป็นช่วงสุดท้ายในไอซ์แลนด์แล้ว ตะเตือนไตเบาๆ

ขึ้นเครื่องไม่นานพวกเราก็ถึง Frankfurt รอเปลี่ยนเครื่องเหมือนตอนขามาเช่นเคย (8 ชั่วโมง...TT)
ซึ่งพวกเราก็ใช้เวลาทั้งหมดพักผ่อน และเดินเล่นในสนามบินครับ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงได้เที่ยวเยอรมันต่อ
หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องกลับไทยครับ

ไอซ์แลนด์ประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่น่าหลงใหลตลอดการเดินทางรอบประเทศ และยังมีสถานที่อีกมากมายที่พวกเราไม่ได้ไปกัน

เนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลที่สามารถเข้าไปได้ รวมทั้งไปไม่ทันเวลา

การเดินทางครั้งนี้ได้เปิดประสบการณ์ และเปิดโลกของพวกเราเยอะทีเดียว เนื่องจากเป็นการเที่ยวยุโรปครั้งแรก (ของบางคน)

ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตมากมาย เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง เรื่องที่คาดไม่ถึงมากมาย ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป

หวังว่าจะมีโอกาสได้มาเล่าเรื่อง มาแชร์ประสบการณ์อีกครับ แล้วพบกันใหม่ (ถ้ายังได้ไปเที่ยวอีกนะครับ)




ส่งท้าย


1.สำหรับผู้ที่จะไปเที่ยวไอซ์แลนด์เผื่อเวลาไว้สำหรับการดื่มด่ำธรรมชาติด้วยนะครับ มันสวยมากจริงๆ
ส่วนช่างภาพเผื่อไว้เวลาแต่ละสถานที่ไว้เยอะๆเลยครับ มุมมีให้เลือกเยอะมาก
2.อย่าดูถูกลม แรงมากจริงๆ
3.สำหรับช่วงหน้าหนาว กับแสงเหนือ ลงทุนกับเสื้อกันหนาวหน่อยก็ดีครับ เพราะจะทำให้เราอยู่ได้ได้ทั้งคืน หนาวมือ หนาวหน้ายังพอทน
หนาวใจสิลำบาก แฮ่
4.การขับรถในประเทศไอซ์แลนด์เฉพาะบางช่วงเท่านั้นที่ค่อนข้างขับยาก เช่น จาก Vesturhorn ขึ้นเหนือ ที่เหลือขับง่าย
5.Pocket Wifi ที่พวกเราใช้กัน บางพื้นที่มีสัญญาณ บางพื้นที่ดับไปดื้อๆเลย
6.นอนโรงแรมก็ไม่เลวนะ ได้แสงเหนือหน้าบ้าน

.
.

รูปอื่นๆสามารถติดตามได้ใน Fb ผมนะครับ หรือสอบถามข้อมูลก็ยินดีครับ ><
https://www.facebook.com/wanut.p

สุดท้ายนี้ เชิญชมกับ Iceland Tielapse ครับ

กด HD ด้วยนะ

https://www.youtube.com/watch?v=80g9lUiqYfE

.
.
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบครับ

.

.

Ping Pratakviriya

 วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.55 น.

ความคิดเห็น