ผมเขียนรีวิวความลับของกระบี่ตอนแรกไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้เวลาปล่อยภาคสองซะที 555 … สำหรับครั้งนี้ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือหาอะไรใหม่ๆ ที่กระบี่ลองทำดู ยอมรับเลยว่ามากระบี่หลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีกิจกรรมมากมายที่ยังไม่ได้สัมผัส มีแหล่งท่องเที่ยวอีกเยอะที่ยังไม่เคยไป และยังเป็นความลับสำหรับผมมาตลอด สารภาพตรงๆ เลยว่าบางแห่งที่ไปในครั้งนี้ผมยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้ง … ตามไปพบกับภารกิจเผยความลับของกระบี่พร้อมๆ กันเลยครับ

อ้อก่อนออกเดินทางฝากช่องทางติดตามผลงาน "นายมด" ด้วยนะครับ

การเดินทางไปกระบี่ครั้งนี้ของผมยังคงใช้รถส่วนตัวเดินทางไปจากภูเก็ตเหมือนรอบที่แล้ว แถมช่วงเวลาที่เดินทางก็เป็นหน้าฝนเหมือนกันด้วย จะว่าไปนี่คือช่วงกระบี่ดูสดชื่นมีชีวิตชีวามากที่สุด มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวสบายตาตลอดทาง


ผมออกจากภูเก็ตช่วงเช้า และเริ่มเข้าเขตอำเภออ่าวลึกของกระบี่ช่วงสายของวัน … จุดเด่นของอำเภออ่าวลึกคือภูเขาหินปูนที่ประกอบด้วยหน้าผาสูงชันถูกปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ได้อารมณ์ป่าสุดๆ … และกิจกรรมแรกของทริปนี้ถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าที่รายล้อมไปด้วยภูเขาของอ่าวลึกนี่เอง … ภารกิจนี้คือการลุยกิจกรรมผาดโผนที่ Tree Top Adventure Park

Tree Top Adventure Park เป็นฐานผจญภัยกลางป่าที่มีกิจกรรมท้าทายให้สัมผัสมากมาย ตั้งอยู่ในเขตป่าชุมชนบ้านคีรีวงศ์ห่างจากถนนสายหลักราว 8 กม.

จากที่จอดรถเดินลัดเลาะไปตามริมผา ผ่านเส้นทางที่ชุ่มชื้นของป่าธรรมชาติราว 200 เมตรก็ถึงบริเวณที่ตั้งของ Tree Top Adventure Park … แค่เห็นเครื่องเล่นต่างๆ ที่ระโยงระยางอยู่บนต้นไม้ก็ตื่นเต้นแล้ว

สำหรับกิจกรรมของที่นี่ประกอบด้วย course ต่างๆ รวม 5 สถานี โดยวันนี้ผมได้มีโอกาสทดลอง 3 course ด้วยกันได้แก่ สีขาว, สีน้ำเงิน และสีแดง … น่าเสียดายมากๆ ที่กรุ๊ปผมมีแค่สองคนและกล้องที่ติดตัวมาก็ค่อนข้างพะรุงพะรังทำให้ไม่สามารถเอากล้องติดตัวขึ้นไปถ่ายในบางจุดได้เนื่องจากต้องปีนหน้าผา แถมฝนตกปรอย ๆ ซะอีก เกรงว่ากล้องจะพัง จึงไม่สามารถ่ายภาพได้เต็มที่นัก …

สถานีแรกหรือ course สีขาว สำหรับเรียนรู้เบสิคในการไต่ราว และการโหนสลิง รวมถึงสิ่งที่สำคัญมากได้แก่เรื่องความปลอดภัยในการเล่นกิจกรรม

เจ้าหน้าที่กำลังสาธิตวิธีการเล่นอย่างปลอดภัย

หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์และวิธีการเล่นอย่างถูกต้องปลอดภัยแล้ว เราก็เริ่มของจริงกันที่ course สีน้ำเงิน ด้วยการค่อยๆ ไต่บันได … ต่อด้วยทีเด็ดของฐานนี้คือการปั่นจักรยานบนสะพานไม้ที่ต้องใช้ทั้งแรงและความกล้าพอตัว ถึงแม้มีสลิงยึดอยู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเสียวอยู่ไม่น้อย


ต่อมาคือการแปลงร่างเป็นพ่อมดแม่มดขี่ไม้กวาดข้ามระหว่างต้นไม้ ได้ฟิลแฮรี่เลย 555 … จากนั้นเป็นการโหนสลิงช่วงสั้น ๆ สลับกับการเดินบนราวเชือกและสะพานไม้ที่วางไว้แบบห่างๆ … หากใครกลัวความสูงรับรองว่าอะดรีนาลีนหลั่งไม่หยุดกันเลยทีเดียว

จบจาก course สีน้ำเงินด้วยอาการเหงื่อซึมๆ … อากาศเริ่มครึ้มลงและมีลมแรง ฝนทำท่าจะตก แต่ผมก็ไม่อยากพลาดอีกสถานีที่จะได้ขึ้นไปชมวิวในมุมสูงบ้าง … เลยอาสาเล่นแค่คนเดียวและจำเป็นต้องฝากกล้องถ่ายภาพไว้ด้านล่างเพราะเกรงว่าจะเปียกฝนและไม่คล่องตัวในการปีนป่าย … สถานีนี้เริ่มด้วยการไต่หน้าผาเรียกเหงื่อออกมาผสมกับหยดน้ำฝนบนใบหน้า (คิดถูกจริงๆ ที่ไม่เอากล้องติดตัวขึ้นมาด้วย)

หลังจากนี้ไม่มีภาพแล้วล่ะครับ เพราะไม่ได้เอากล้องขึ้นไปด้วย ด้านบนลมแรง มีสายฝนโปรยปรายเป็นช่วงๆ ไม่อยากเสี่ยง

จากนั้นจึงเป็น Zip line ข้ามจากหน้าผาไปยังต้นไม้ใหญ่อีกฝั่ง เป็นจุดที่ทำให้เห็นความเขียวชอุ่มของพื้นที่ได้อย่างเต็มตา … ถัดไปเป็น Zip line คู่ แต่ในเมื่อขึ้นมาคนเดียวก็เลยต้องคู่กับน้อง trainer 555 …. จากนั้นก็เป็นการเดินไต่ไปตามบรรไดเชือกสลับ โหนสลิงช่วงสั้นๆ ไปจนจบ

ผมใช้เวลาราวชั่วโมงนิด ๆ สำหรับการเล่น 2 course + 1 course ฝึก หากจะเล่นทั้งหมดน่าจะต้องใช้เวลารา 2-2.5 ชั่วโมง … ต้องบอกว่าสถานที่ของ Tree Top Adventure Park อยู่ในทำเลที่เหมาะมากๆ เพราะร่มรื่นทำให้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังอุดมสมบูรณ์สวยงามอีกด้วย …นอกจากนี้กิจกรรมยังมีหลากหลายไม่ได้มีเพียงโหนสลิงเท่านั้นแต่ยังมีการไต่หน้าผาและลูกเล่นเก๋ๆ หลายอย่าง รับรองว่าต้องถูกใจคนชอบกีฬาผาดโผนและความตื่นเต้น … ส่วนคนที่กลัวความสูงยิ่งน่าจะต้องมาลอง เพราะจะทำให้ความสนุกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เล่นครบทุกสถานีอาจเลิกกลัวความสูงไปเลยก็ได้

ข้อมูลติดต่อ Tree Top Adventure Park

ผู้ที่สนใจเล่นกิจกรรมท้าทายสนุกๆ แบบนี้สามารถติดต่อได้ที่ : 084 462-3443

สำหรับการเดินทางมายัง Tree Top Adventure Park ใช้พิกัด 8.326934,98.7287787 ได้เลย หรือจะให้รถไปรับมาจากโรงแรมก็ได้สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัว

ระหว่างขับรถออกมา ผมแวะถ่ายภาพตรงบึงกับลำธารก่อนถึง Tree Top เล็กน้อย เจ้าหน้าที่แนะนำว่าหากมาครั้งหน้าให้ใช้เส้นทางเดินเท้าเลียบลำธารราว 1 กม. ไปยัง Tree Top จะได้บรรยากาศมากๆ

ได้เหงื่อจากกิจกรรมผจญภัยที่อ่าวลึกแล้วก็ได้เวลาหาอะไรอร่อยๆ ทานเพิ่มพลังกันหน่อย … มารอบนี้ขอลองร้านที่ยังไม่เคยทานบ้าง ได้ข่าวว่าครัวอัญชลีติดกับ Lotus ในเมืองกระบี่มีสูตรลับอาหารเด็ดเหมือนกับร้านเรือนไม้ที่ผมโปรดปราน (อันที่จริงก็อยู่ตรงที่ตั้งเดิมของร้านเรือนไม้ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ระหว่างทางไปอ่าวนางนั่นแหละ) ไม่แน่ใจว่าเป็นญาติกันหรือเปล่าแต่เมนูเด่นๆ ก็เหมือนกันเลย … ผมไม่รอช้าสั่งจานโปรดมาลอง 3 อย่าง ได้แก่น้ำพริกเนื้อปู, แกงเลียงผักหวานบ้าน, ปลาทอดซีอิ้ว(อันที่จริงอยากทานมากกว่านี้นะ แต่มาแค่สองคนกลัวพุงจะแตกซะก่อน) …

ผมว่าทั้งรูปลักษณ์ รสชาติใกล้เคียงกับที่เรือนไม้มากทีเดียว อร่อยทั้งสามอย่างเลย ส่วนราคาก็กลางๆ นะครับ ไม่ถูกไม่แพง แนะนำเลยครับสำหรับคนที่มาเยือนกระบี่ สูตรลับอาหารของที่นี่เค้าเด็ดจริง

พิกัดร้านครัวอัญชลี 8.077245,98.9071547

อิ่มจากมื้อเที่ยงแล้ว ช่วงครึ่งวันบ่ายผมมีโปรแกรมทำสปากับ “วารีรัก ฮอตสปริง รีทรีต" ที่อำเภอคลองท่อม … หลายๆ คนคงรู้จักสระมรกตกับน้ำตกร้อนกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่รู้ไหมว่าตรงข้ามฝั่งคลองของน้ำตกร้อน เป็นที่ตั้งรีสอร์ทสวยที่ให้บริการห้องพักและยังมีโปรแกรมสุขภาพซึ่งเน้นวารีบำบัดอีกด้วย … สำหรับน้ำร้อนที่ใช้ทำวารีบำบัดของวารีรัก จะมีอุณหภูมิราว 42-43 องศาเซลเซียส และมีการทำให้เย็นลงเหลือ 30 กว่าองศาสำหรับช่วยในการปรับร่างกายก่อนลงบ่อที่มีความร้อนสูงกว่า น้ำดังกล่าวนี้เป็นน้ำธรรมชาติที่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน มีค่า PH 6.9 หรือ ค่าความเป็นกรดด่างเกือบจะเป็นกลางนั่นเองเหมาะสำหรับการทำวารีบำบัด

ความลับที่ผมอยากบอกคือราคาของโปรแกรมสปาเต็มวัน (8:30-15:30 น.) ของที่นี่น่าสนใจมาก (อยากใช้คำว่าถูกมากด้วยซ้ำ) แพ็คเกจจะประกอบไปด้วยผลไม้ต้อนรับ, สครับผิว, แช่น้ำธรรมชาติร้อน-เย็น + โยคะไทยในน้ำ + นวดกดจุดบ่าไหล่, อาหารเที่ยง, สอนทำงานฝีมือ, นวดไทย, รถรับ-ส่ง ในราคาแค่ 2,800 บาท (ถ้าเป็นภูเก็ตบ้านผมอาจจะได้แค่ค่ารถ taxi ไป-กลับเท่านั้น เพราะระยะทางจากที่นี่ไป-กลับตัวเมืองกระบี่ก็ร่วม 100 กม. กันเลยทีเดียว)

สำหรับผมขับรถมาเอง ใช้เส้นทางเดียวกับไปน้ำตกร้อน แต่ให้เลี้ยวซ้ายที่ทางแยกติดกับป้อมเก็บเงินของน้ำตกร้อน จากนั้นก็ตามป้ายเข้าไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้วารีรักจะมีด้วยกัน 3 โซน โซนแรกเป็นบ่อน้ำร้อนสำหรับแขกที่มาใช้บริการแช่น้ำร้อนอย่างเดียว ถัดมาเป็นส่วนของห้องพัก ส่วนผู้ที่มาใช้บริการโปรแกรมแบบครึ่งวันและเต็มวันต้องขับรถเข้าไปด้านในสุด จะมีเรือนไม้เก่าที่ถูกดัดแปลงเป็นส่วนต้อนรับ

ใกล้ๆ กันเป็นห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวและ locker ซึ่งทางวารีรักได้เตรียมชุดเก๋ๆ ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จากจุดนี้เดินไปไม่ไกลจะเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีด้วยกัน 6 โซน เพื่อรองรับแขกได้พร้อม ๆ กัน 6 กลุ่ม ในแต่ละโซนจะมีเตียงสำหรับทำทรีตเมนต์, บ่อน้ำร้อน, น้ำอุ่น และน้ำอุณหภูมิห้อง (ขอเรียกว่าน้ำเย็นละกันนะครับ) สำหรับการทำวารีบำบัด

ผมเลือกใช้บริการแบบครึ่งวันเริ่มด้วยการชำระล้างร่างกายแล้วจึงขัดผิดด้วยสมุนไพรเพื่อเปิดรูขุมขน โดยครีมขัดผิวเป็นสูตรของทางวารีรักเอง ไม่ใช้เกลือแต่เลือกใช้ข้าวหอมมะลิปั่นละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ผสมกับโยเกิร์ต น้ำมันมะพร้าว น้ำมะขาม เมื่อขัดเสร็จรู้สึกได้เลยว่าผิวนุ่มขึ้น จากนั้นจึงลงแช่น้ำอุ่น น้ำเย็น และน้ำร้อนสลับไปมา …

นอกจากความผ่อนคลายที่ได้จากการแช่น้ำร้อนแล้ว เถาวัลย์และป่ารายรอบทำให้บรรยากาศของวารีรักพิเศษกว่าบ่อน้ำร้อนทั่วไปที่มักจะเป็นบ่อรวม หรือไม่ก็ออกแบบได้ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศธรรมชาติสักเท่าไหร่ … จะว่าไปนอนแช่น้ำร้อนที่นี่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่แพ้ออนเซ็นธรรมชาติของญี่ปุ่นเลย

หลังจากแช่ตัวแล้วก็จะมาถึงขั้นตอนการทำโยคะไทยหรือฤาษีดัดตนเบื้องต้นเผื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วจึงกลับลงแช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็นอีกรอบ


หลังจากนั้นจะเป็นการนวดบ่า-คอ-ไหล่ โดยใช้ลูกประคบสมุนไพรร่วมด้วย เป็นอีกช่วงที่ดีงามมากโดยเฉพาะกับคนที่เป็น office syndrome ไหล่และสะบักตึงแบบผม



บรรยากาศของการใช้บริการ


เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ลงแช่น้ำร้อน น้ำเย็นอีกรอบพร้อมกับเสิร์ฟน้ำมะพร้าวสด เพื่อให้สดชื่น โดยทุกกระบวนการจะมีพนักงานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด …

เมื่อสิ้นสุดการแช่น้ำร้อนแล้วก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจะเสิร์ฟของว่าง, ผลไม้กับเครื่องดื่มปิดท้ายเป็นอันจบโปรแกรมครึ่งวันของผม ส่วนโปรแกรมแบบเต็มวันจะมีอาหารเที่ยงกับนวดไทยรวมอยู่ด้วยครับ

ทั้งนี้ตอนหาข้อมูลผมเจอปัญหาสับสนนิดหน่อย เพราะเวปไซต์แต่ละแห่งจะเขียนชื่อแตกต่างกัน อาทิ วารีรักษา, วารีรักษ์ ส่วนเวปไซต์ของทางรีสอร์ทเองจะใช้ชื่อวารีรัก (Wareerak) และเนื่องจากเวลาหาชื่อวารีรักจากใน Google จะไม่เจอเวปไซต์ของทางรีสอร์ทในหน้าแรกๆ ผมขอเอามาแปะตรงนี้ด้วยครับ จะได้หาข้อมูลสะดวก

www.wareerak.co.th หรือจะติดต่อได้ทาง facebook ที่ @wareerakhotspringspa

พิกัดของวารีรัก 7.930517,99.2048328

โปรแกรมสุดท้ายสำหรับวันนี้ ผมจะไปค้นหาความลับของมโนราห์เรืองแสงที่ PAKA Show Park ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักไปสนามบินกระบี่เยื้องๆ ทางเข้าวัดถ้ำเสือ ไม่ไกลจากตัวเมืองกระบี่นัก

PAKA show ถือเป็น land mark แห่งใหม่ของกระบี่ ที่นำเอาศิลปะการแสดงมโนราห์อันเป็นอัตลักษณ์ของชาวใต้ มาผสมผสานกับการแสดงที่ดูทันสมัย และนำเสนอผ่านการเล่าเรื่องราวประกอบแสง-สี-เสียงที่ตระการตา ทำให้โชว์นี้มีความเป็นสากล สามารถดูสนุกสนานกันได้ทุกวัย และทุกชาติทุกภาษา

ผมมาถึงสถานที่แสดงราว 6 โมงนิด ๆ ถือโอกาสถ่ายภาพสถานที่ซึ่งเป็นโดมสีขาวที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนเท่ๆ ตามแบบฉบับของกระบี่ …

หลังจากรับตั๋วชมการแสดงแล้วจึงเข้าไปยังส่วนของเวทีการแสดงซึ่งเป็นรูปวงกลม มีที่นั่งล้อมรอบ … ผู้ที่ซื้อตั๋วแบบรวมอาหารค่ำ ก็จะนั่งในโซนพิเศษที่มีโต๊ะให้ด้วย สามารถทานอาหารและนั่งชมโชว์ได้เลย

อาหารของ PAKA Show รสชาติไม่ธรรมดานะครับ ทีแรกผมก็กะว่าทานนิดๆ หน่อยๆ เพราะเป็นมื้อค่ำ อีกอย่างตั้งใจมาดูโชว์มากกว่า แต่พอได้กินอย่างสองอย่างแล้วอร่อย ทีนี้เดินกลับไปตักมาลองจนเกือบครบเลย 555 … ชอบขนมจีนกับลูกชิ้นปลามากครับ ทานไปจนแทบจุกทีเดียว นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าอยู่ในช่วงควบคุมอาหาร รับรองว่าไม่พลาดโรตีแน่ๆ ผมนี่หักห้ามใจไปหลายรอบตอนเดินผ่านซุ้มนี้

ราวทุ่มครึ่งโชว์จึงเริ่มต้นขึ้น โดยเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละครหญิงสาวที่ออกค้นหาความหมายของมโนราห์ จนนำไปสู่การผจญภัยในดินแดนเหนือจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นโลกบาดาล ป่าหิมพานต์ กับเรื่องราวความผูกพันของมโนราห์กับเทริดอันถือเป็นของสูงสำหรับการแสดงมโนราห์ แต่ละตอนของการแสดงจะใช้สีเรืองแสงประดับบนเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉาก ควบคู่ไปกับการใช้แสงเงาบนม่านเวที ทำให้ดูตระการตาสวยสดงดงามมาก

ข้อดีอย่างนึงของ PAKA Show คืออนุญาตให้ถ่ายภาพนิ่งได้นะครับ ผมจึงมีภาพสวยๆ มาฝาก แต่จะไม่อนุญาตให้บันทึก VDO … อย่างไรก็ตามหากถ่ายแบบ time lapse ก็ไม่มีปัญหาครับ … time lapse ด้านล่างนี้ผมถ่ายด้วย Go Pro มีพนักงานเข้ามาสอบถามสองรอบเพราะเกรงว่าผมจะถ่าย VDO 555 แต่พอบอกไปว่าเป็น time lapse เค้าก็ไม่ว่าอะไรครับ แต่เสียดายที่ battery หมดซะก่อนเลยได้เป็นคลิปสั้น ๆ เท่านี้เอง


หลังจากจบโชว์นักแสดงจะออกมาขอบคุณและเชิญชวนผู้ชมร่วมเต้นในจังหวะสนุกๆ กับกลุ่มนักแสดงอย่างเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังออกมาแอ็คชั่นถ่ายภาพคู่กับผู้ชมด้านหน้าโดมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย …

การชม PAKA Show ผมแนะนำให้อ่านเรื่องย่อที่อยู่บนตั๋วก่อนชม จะทำให้เข้าใจการแสดงได้มากขึ้นครับ .. สำหรับราคาตั๋วแบบรวมอาหารค่ำจะอยู่ที่ 2,200 บาท แต่ก็จะมีโปรโมชั่นอยู่เรื่อยๆ ครับ อาทิเดือนสิงหาคมนี้มาพร้อมแม่จะจ่ายราคาหาร 2 แค่คนละ 1,100 บาทเท่านั้นนับว่าคุ้มค่ามากๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของ PAKA Show Park ลองดูได้ที่ www.pakashowpark.com หรือ fb page @pakashowpark

พิกัด PAKA Show Park 8.106098,98.9199187

จบจากโชว์ราว 2 ทุ่มครึ่งผมต้องรีบบึ่งรถไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ที่บ้านหัวหิน เพื่อไปเกาะลันตา ซึ่งรอบสุดท้ายจะหมดตอน 4 ทุ่ม … ตอนแรกก็แอบลุ้นเพราะ GPS ของรถบอกว่าจะไปถึงตอน 4 ทุ่ม 15 ซึ่งหมายความว่าผมจะต้องหาที่พักแถวนั้นแล้วค่อยข้ามไปตอนเช้า แต่ประเมินจากระยะทางแล้วก็ยังค่อนข้างมั่นใจจึงขับไปตามแผนเดิม และก็ไปถึงท่าเรือตอน 3 ทุ่ม 40 ทันขึ้นแพขนานยนต์แบบสบายๆ

สำหรับการนำรถยนต์ขึ้นแพขนานยนต์จะมีค่าใช้จ่ายคันละ 100 บาทรวมคนขับ และผู้โดยสารเสียเพิ่มอีกคนละ 10 บาทครับ อ้อ .. อย่าลืมแวะซื้อตั๋วที่จุดจำหน่ายซึ่งอยู่ราว 500 เมตรก่อนถึงท่าเรือนะครับ ไม่เช่นนั้นต้องย้อนรถกลับมาเสียเวลาแย่เลย (ป้ายเห็นชัดเจนครับ อย่าขับเพลินละกัน)

หลังจากรอคิวราว 15 นาทีก็ได้เวลาขึ้นแพข้ามเกาะ ซึ่งก็ใช้เวลาราว 15 นาทีเห็นจะได้ เพราะระยะทางไม่ไกลนัก จากนั้นก็ขับรถต่อไปบนเกาะลันตาน้อยและขึ้นสะพานสิริลันตาซึ่งเชื่อมเกาะลันตาน้อยกับลันตาใหญ่ ทั้งนี้สะพานดังกล่าวเพิ่งสร้างเสร็จในปี 2559 นี่เอง ทำให้การเดินทางมายังเกาะลันตาใหญ่สะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมาก โดยคืนนี้ผมพักที่ Layana Resort & Spa หนึ่งในรีสอร์ท 5 ดาวไม่กี่แห่งของเกาะลันตา

เนื่องจากมาถึงดึกแล้ว โปรแกรมคืนนี้จึงไม่มีอะไรนอกจากพักผ่อนเต็มที่หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมตลอดทั้งวัน (แต่เอาเข้าจริงก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพห้องพักและบรรยากาศที่สระว่ายน้ำกับห้องอาหารริมทะเลก่อนกลับมานอน)


เช้าวันรุ่งขึ้น ลมที่เกาะลันตาค่อนข้างแรงมาก ฟ้าครึ้ม … ผมเริ่มทำใจแล้วว่ามาลันตารอบนี้คงไม่ได้ภาพของน้ำทะเลสีเขียวมรกตแบบที่เคยเห็นแน่ๆ … แต่ก็ถือว่าได้ใช้เวลาค้นหาความลับของรีสอร์ท 5 ดาวแห่งนี้อย่างเต็มที่ว่า Layana ตั้งอยู่ห่างไกลฝั่งขนาดนี้ ราคาก็สูงกว่าที่พักส่วนใหญ่บนเกาะลันตา แต่กลับมีลูกค้าไม่ขาดสาย รีวิวบน TripAdvisor ก็อยู่อันดับ 1 กันเลยทีเดียว จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก

ในส่วนมื้อเช้าของรีสอร์ทจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Tides Restaurant ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล บรรยากาศถือว่าดีมากได้อารมณ์การพักผ่อนริมทะเลแบบเต็มๆ …และเนื่องจากรีสอร์ทแห่งนี้มีที่พักเพียง 50 กว่าห้องและรับเฉพาะแขกอายุมากกว่า 18 ปี จึงทำให้บรรยากาศโดยรวมสงบเงียบ ไม่พลุกพล่าน

อาหารเช้าของ Layana มีไลน์ Buffet ที่มีอาหารหลากหลาย และมีเมนูเสริมที่จะสลับสับเปลี่ยนไปแต่ละสัปดาห์ สามารถสั่งมาทานเพิ่มเติมจาก Buffet ได้จนอิ่ม … สำหรับคุณภาพของอาหารเช้าต้องบอกว่าดีมากครับ อย่างชาก็ใช้ของ TWG ซึ่งเป็นชาเกรดพรีเมียมเลย อีกอย่างพนักงานทุกคนอัทธยาศัยดีและดูแลอย่างมืออาชีพมากๆ

ทานมื้อเช้ายังไม่ทันเรียบร้อย ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักต้อนรับเช้าวันแรกของผมที่ลันตาซะแล้ว … กว่าฝนจะซาพอจะเดินกลับห้องได้ก็ทำเอาต้องดื่มชาไปอีกสองซอง (แต่ชอบมาก อิอิ) … เก็บภาพฟ้าครึ้มๆ แต่สดชื่นไว้นิดหน่อย

ช่วงสายของวันผมขับรถไปตามถนนเลียบทะเล โดยมีจุดหมายอยู่ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาซึ่งอยู่ ณ จุดใต้สุดของเกาะลันตาใหญ่ … ผมแวะถ่ายภาพริมทางเป็นระยะ แต่ดูเหมือนฟ้าฝนและสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้ได้ภาพสวยสดใสเลย … อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมรับรู้ได้คือเกาะลันตายังมีความเป็นธรรมชาติอยู่มากทีเดียว … ป่าบนภูเขานี่เรียกได้ว่าสมบูรณ์เลยล่ะ ยิ่งขับไกลออกไปจนเกือบถึงที่ทำการอุทยาน ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางอยู่บนถนนสายแม่ฮ่องสอน-ตากด้วยซ้ำ ต่างกันตรงที่ลันตามีทะเลแทนที่จะเป็นแม่น้ำเมย

ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา มีนักท่องเที่ยวมากพอประมาณ ประภาคารสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงปลายแหลม และเป็นจุดที่ใครๆ ก็อยากมาถ่ายภาพด้วย แต่อย่างที่บอกครับว่าฟ้าวันนี้ไม่เอื้อเอาเสียเลย ผมจึงเก็บภาพบรรยากาศมาได้ไม่เยอะนัก

หลังจากได้เก็บเกี่ยวภาพ signature ของลันตาแล้ว ผมจึงกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ทอีกครั้งมาชมบรรยากาศช่วงเย็นกันบ้าง สวยมากเลยครับ

ประสบการณ์พักผ่อนที่ Layana Resort & Spa มอบให้ต้องบอกว่าสมกับเป็นรีสอร์ท 5 ดาวจริงๆ เพราะคุณภาพของ facilities กับ amenities นั้นดีมาก แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพนักงานเอาใจใส่ดูแลแขกเป็นอย่างดี และยิ้มแย้มทักทายลูกค้าอยู่ตลอด มีความเป็นมืออาชีพสูงในทุกๆ ส่วน … จึงไม่แปลกใจเลยที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกพักที่นี่แทนที่จะเป็นรีสอร์ทราคาถูกกว่าซึ่งมีมากมายบนเกาะลันตา ผมทราบมาว่าช่วง high season นี่ต้องจองล่วงหน้ากันนานเลยทีเดียว ไม่งั้นห้องเต็ม …

สำหรับข้อเสียที่ผมรู้สึกเห็นจะมีแต่เรื่องน้ำสำหรับอาบที่ค่อนข้างจะกระด้างไปหน่อย ทั้งๆ ที่เป็นฤดูฝน ทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินนัก ไม่แน่ใจว่าเจอปัญหาแบบนี้กันทุกรีสอร์ทหรือเปล่า

เช้าวันรุ่งขึ้นมีแดดพอให้ถ่ายภาพได้ตอนหลังมื้อเช้านิดนึง หลังจากนั้นฝนตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลของ Layana Resort & Spa สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.ayanaresort.com หรือ facebook @layanaresort

เมื่อฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ผมจึงล้มเลิกโปรแกรมขับรถทัวร์เกาะลันตา และเลือกที่จะ check out เพื่อไปลุ้นอากาศบนฝั่งแทน

ขากลับแวะถ่ายภาพสะพานสิริลันตาที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ

ตั๋วขึ้นแพขนานยนต์

ฝนตกก็เลยได้แต่เก็บภาพที่ท่าเรือผ่านกระจกรถนี่แหละครับ

เมื่อกลับเข้าสู่ฝั่ง อากาศดีขึ้นเล็กน้อยไม่มีฝน จึงเป็นโอกาสให้ผมได้ค้นหาอีกหนึ่ง Unseen ของกระบี่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก นั่นคือ “น้ำตกหินเพิง"

อันที่จริงผมไม่เคยได้ยินชื่อหรือรู้จักน้ำตกแห่งนี้มาก่อนเลย แต่เห็นภาพจาก facebook ของช่างภาพรุ่นน้องที่รู้จักกัน ดูจากตำแหน่งแล้วขับรถออกนอกเส้นทางไปไม่ไกลนัก จึงตัดสินใจไปเที่ยวที่นี่ เพราะดูจากรูปแล้วเป็นน้ำตกที่สวยดี

น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จะว่าไปก็อยู่ในอำเภอเดียวกับสระมรกตและน้ำตกร้อนเลย จากถนนเพชรเกษมสายหลัก ขับไปตามเส้นทางลาดยางแบบสบายๆ ไปจนถึงที่จอดรถทางขึ้นน้ำตกราว 10 กม … จากนั้นเดินอีกราว 400 เมตรจะเจอกับน้ำตกชั้นแรก เป็นน้ำตกไม่สูงนักตกลงสู่แอ่งแล้วไหลผ่านลงมาเป็นธารน้ำ ชั้นนี้ยังไม่ใช่ highlight แวะครู่เดียวก็พอ เว้นเสียแต่จะเล่นน้ำผมว่าชั้นนี้จะปลอดภัยกว่าชั้นอื่น ๆ (ช่วงต้นจะเจอกับเขื่อนเล็กๆ ยังไม่ใช่นะ อย่าได้มัวหลงถ่ายภาพอยู่เหมือนผม ด้านบนสวยกว่าเยอะ)

น้ำตกชั้นแรก

จากจุดนี้เดินขึ้นเนินผ่านป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์มาก ๆ ไปอีกไม่ไกลนักจะเจอกับน้ำตกชั้นที่สอง ซึ่งสูงและสวยกว่าชั้นแรก มีมุมให้ถ่ายภาพเยอะทีเดียว แต่อาจต้องใช้ความระมัดระวังหน่อย เพราะยังไม่ได้มีการพัฒนาสร้างจุดชมน้ำตกอย่างเป็นทางการ ต้องเดินเลาะริมน้ำตกและเดินข้ามโขดหินกันหน่อย ถ้ารองเท้าลื่นไม่แนะนำให้ออกจากเส้นทางนะครับ เดี๋ยวจะพลัดตกน้ำไป

น้ำตกชั้นที่ 2

จากชั้นสองเดินขึ้นเนินไปอีกพักหนึ่งจะถึงน้ำตกชั้นบนซึ่งสูงกว่าสองชั้นแรก จัดว่าเป็นน้ำตกที่มีภูมิทัศน์สวยมากแห่งหนึ่ง ในภาพอาจดูเล็กเพราะไม่มีคนไปยืนเทียบแต่ของจริงก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว

น้ำตกชั้นที่ 3

การมาน้ำตกช่วงฤดูฝนแบบนี้ข้อดีคือน้ำเยอะครับ แต่ความยากลำบากของช่างภาพคือต้องคอยเช็ดละอองน้ำที่มาเกาะหน้าเลนส์ตลอด 555

ผมถ่ายภาพน้ำตกชั้นนี้อยู่ไม่นานนัก เพราะขึ้นมาแค่คนเดียวกลัวคนที่รออยู่ตรงชั้น 2 จะเป็นห่วง เลยเดินกลับลงไปทั้งๆ ที่ยังมีอีกหลายมุมสวยๆ ซึ่งยังไม่ได้เก็บภาพเลย หากมีโอกาสคงต้องเตรียมตัวให้ดีแล้วมาลุยอีกครั้ง

พิกัดน้ำตกหินเพิง 7.852855,99.2477673

ทริปกระบี่ครั้งนี้ของผมจบลงที่น้ำตกหินเพิง … จากที่นี่ผมตีรถยาวกลับไปยังภูเก็ต เก็บเกี่ยวความสดชื่นของกระบี่ในฤดูแห่งสีเขียวไปอย่างเต็มปอด … นับเป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่ได้รสชาติหลากหลาย และได้มีโอกาสค้นหาเรื่องราวลับๆ ของกระบี่อีกครั้ง … เมื่อรู้ “ความลับ" เด็ดๆ แล้วก็อย่าลืมปิดกันให้แซดนะครับ

สุดท้ายนี้ขอฝากช่องทางติดตามผลงาน "นายมด" ด้วยนะครับ

ความคิดเห็น