...กลับจากเมืองน่านเมื่อปลายเดือน ก.ค.ด้วยอาการค้างคาใจ เพราะไม่มีโอกาสได้ไป..ยังสิ่งที่ตั้งใจ...ก็เลยต้อง "วนไป" ตามหาสิ่งที่น่าหลงไหล..ก็น่านยังไง..ครับ เดี๋ยวมันจะยาวไป ผมกลับไปเมืองน่านอีกครั้งนึงด้วยความมุ่งมั่นอยากจะเห็นภาพ "สวนยาหลวง"ของหมู่บ้านสันเจริญด้วยตาตัวเองสักครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเห็นภาพ สวนยาหลวง จากเพจเสน่ห์น่านวันนี้ที่ปล่อยภาพออกมา เมื่อตอนเดือน ก.ค ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังจะไป สอบถามทางเพจแล้ว แต่ติดตรงที่จะขึ้นไปชมวิวบนยอดดอยสวนยาหลวงต้องใช้ รถ 4wd เท่านั้นก็เลยผิดหวังไปตามระเบียบ มาคราวนี้ได้ยินกระแสข่าวสวนยาหลวงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีผู้จัดทริปพาเที่ยวที่แห่งนี้ ผมเลยได้โอกาสมาร่วมแจมในครั้งนี้ด้วย ก็มองหาผู้จัดอยู่หลายเจ้ามาลงตัวที่ "กลุ่มคลุกฝุ่นทัวร์" ซึ่งทริปนี้ต้องลางาน อ.พ.พฤ เพราะเราไปเที่ยวในช่วงวันธรรมดา ถ้าเป็นช่วง ศ-ส-อา ที่นี่จะเต็ม ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับผม...

...รถตู้คอมมิวเตอร์สภาพดีเยี่ยม พาพวกเราชาวคณะออกเดินทางฝ่าสายฝนจากกรุงเทพตั้งแต่ 3 ทุ่ม มาจอดเทียบอยู่หน้าตลาดเช้าเมืองน่าน บน ถ.สุมนเทวราช เยื้องๆโรงแรมพูคาน่านฟ้าเพื่อเติมพลังกันก่อนตอน 6 โมงกว่าๆ มีร้านต้มเลือดหมูเจ้าอร่อยของเมืองตั้งอยู่ ชื่อร้าน เลิศรส ที่นี่จะมีทั้ง โจ๊ก ต้มเลือดหมู และก๋วยจั๊บ เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยสมกับเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 30 ปี

ขณะที่นั่งกินข้าวกันอยู่เราคุยกันถึงหมายกำหนดการของวันนี้ คือเราจะขึ้นดอยเสมอดาวเพื่อไปชมหมอก แต่ฝนดันตกตลอดทางตั้งแต่เข้าเมืองน่านมา ก็เลยมุ่งหน้ามายังในเมือง เพื่อที่จะเที่ยววัดกันต่อ และไปขึ้นสวนยาหลวงกันตอนเที่ยงๆ ทำไมจึงรีบขึ้นสวนยาหลวงนั่นก็เพราะได้รับข่าวร้ายจาก คุณกฤษณ์ กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์ ไกด์ประจำหมู้บ้านสันเจริญว่าฝนตกตลอดทั้งคืนทำให้ถนนพัง ถ้าจะขึ้นไป รถสามารถไปส่งได้แค่กลางทางที่เหลือต้องแบกสัมภาระเดินขึ้นไปยังโฮมสเตย์และยังต้องเดินขึ้นดอยอีก 4-5 กิโลอีกเพื่อให้ทันเก็บแสงเย็นและไหนจะต้องเดินขึ้นไปเก็บแสงเช้ากับระยะทางเหมือนเดิมอีกมันจะทันหรือเปล่านี่สิ เราตกลงกันว่างั้นค่อยรอดูสถานการณ์และสภาพอากาศไปเรื่อยๆก่อน

...ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่าย ทำยังไงดีล่ะจะมานั่งรอให้ฝนหยุดแล้วค่อยออกไปเที่ยว งั้นก็ไม่ควรจะมาเที่ยวหน้าฝน !! เราเริ่มออกเดินถ่ายภาพกันที่วัดภูมินทร์ท่ามกลางสายฝนยามเช้าเหมือนคนบ้า !! ภาพจะสวยไม่สวยไม่ต้องสนใจ คิดได้ดังนั้นก็แปรเปลี่ยนอารมณ์เซ็งที่เราคาดหวังไว้เป็นความสนุก ทำความรู้จักคุ้นเคยกับบรรดาน้องๆเพื่อนร่วมทริปที่เราจะมาลำบากด้วยกัน วัดภูมินทร์ท่ามกลางสายฝนยามเช้าไร้ผู้คนให้ความรู้สึกสงบ ร่มเย็น ผมเดินตระเวนเก็บตกถ่ายภาพมุมอิ่นๆหลังจากที่เคยเข้ามาถ่ายเมื่อครั้งที่แล้ว ส่วนประวัติวัดหาอ่านได้ตาม link นี้ครับ ประวัติวัดภูมินทร์

และก็เดินไปเก็บภาพวัดพระธาตุช้างค้ำซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ซึ่งไม่ไกลจากวัดภูมินทร์สามารถเดินเท้าใช้เวลาแค่ 4-5 นาทีก็ถึง ด้วยสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจก้เลยเก็บภาพมาไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนประวัติวัดหาอ่านได้ตาม link นี้ครับ ประวัติวัดพระธาตุช้างค้ำ

เราออกเดินทางกันต่อมายังที่อ.ท่าวังผา เพื่อแวะวัดหนองบัว ซึ่งเป็นวัดโบราณอีกแห่งหนึ่งของชาวไทลื้อ มีจิตรกรรมฝาผนังในวัดเป็นฝีมือช่างคนเดียวกับที่วาดภาพปู่ม่านย่าม่านของวัดภูมินทร์ บริเวณหน้าโบสถ์มีบรรดาพ่ออุ้ยของหมู่่บ้านบรรเลงเพลงพื้นเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ทุกวัน มีตู้บริจาคเขียนว่า "เชิญร่วมอนุรักษ์ดนตรีพื้นเมืองผู้สงอายุบ้านหนองบัว"หลังโบสถ์เป็นที่ตั้งของศูนย์บริการวัฒนธรรมสายใยชุมชนก็เห็นแม่อุ้ยกำลังทำงานประดิษฐ์ ผมว่าดีน่ะครับที่นอกจากจะช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านแล้ว ยังช่วยให้บรรดาพ่ออุ้ยแม่อุ้ยมีกิจกรรมอะไรทำ

ฝนหยุดตกแล้ว พวกเราเดินหามุมถ่ายภาพในวัดไปเรื่อยๆ ทางวัดจัดมุมเก๋ๆไว้ให้ถ่ายภาพมากมาย บริเวณวัดสะอาดอ้านมาก ภายในพระอุโบสถ ศิลปกรรมฝาผนัง อีกทั้งองค์พระประธานสวยงามยิ่งนัก ขากลับเราชักภาพร่วมกับนักดนตรีรุ่นดึกคณะหนองบัวบานกันเป็นที่ระลึก ส่วนประวัติวัดหาอ่านได้ตาม link นี้ครับ ประวัติวัดหนองบัว

...ก่อนออกจากวัดคุณกฤษณ์โทรมาบอกว่าขณะนี้ที่บ้านสันเจริญฝนตกหนักมากไม่รู้ว่าจะขึ้นสวนยาหลวงได้หรือเปล่า ให้หาแผนสำรองไว้ด้วย ผมเสนอแผน 2 ไว้คือถ้าขึ้นสวนยาหลวงไม่ได้งั้นเลยไปนอนที่ภูลังกา อ.ปงกันดีมั๊ย แถมเรายังมีเวลาเที่ยวตามรายทางที่เราจะขึ้นไปนอนที่ปงกันอีกด้วย ทุกคนตกลงใจถึงแม้จะเสียดายกันอยู่บ้างแต่มันก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้หากขึ้นไปแล้วสภาพถนนหนทางและสภาพอากาศเป็นอุปสรรค...ป๋านิ่มเลยจัดการโทรไปจองห้องพักที่ภูลังการีสอร์ทและยกเลิกการขึ้นดอยยาหลวงทันที และเส้นทางต่อไปที่จะมุ่งหน้าไปแวะเที่ยวกันคือ อ.ปัวผมเลยอาสาเป็น "ไกด์เมืองปัว"ซะเลยเพราะเพิ่งมาเมื่อเดือนก่อน และยังได้เก็บตกบางที่ที่ผมยังไม่ได้ไปอีกด้วย

พอออกจากวัดหนองบัวได้ไม่นานฝนกลับมาตกอีกรอบเราเลยแวะหาร้านกินข้าวกลางวันหลบฝนกันก่อน ผมเลยพาบรรดาเพื่อนร่วมทริปไปกินข้าวกันที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำกันก่อน ทางไปบ้านหัวน้ำใช้เส้นทาง 1081 ปัว – น้ำยาว ห่างจากตัวอำเภอปัวประมาณ 5 กิโลเมตร ร้านนี้ดังเรื่องเห็ด เมนูเห็ดที่นี่ยอมรับว่าอร่อยแทบทุกอย่าง ยอมรับว่ารสชาติอาหารไม่คุ้นลิ้นคนภาคกลางอย่างผม แต่มันเป็นความไม่คุ้นลิ้นในเรื่องรสชาติความอร่อยที่เราไม่เคยเจอมาก่อนมันเหมือนว่าในอาหารที่เรากิน เขาจะใส่พวกเครื่องปรุงหรือเครื่องเทศเฉพาะถิ่น อย่างส้มตำเห็ดน้ำปลาร้าที่ใส่มาก็รสชาติแปลกๆแต่อร่อยจริง หรือจะเป็นพวกต้มยำไก่บ้าน รสชาติก็แตกต่างออกไปจากที่เคยกินมา แต่เราดันลืมสั่งเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ไปเลย คือพิซซ่าเห็ด คราวหน้าต้องไม่พลาด

หลังจากเต็มอิ่มกับรสชาติอาหารและบรรยากาศวิวตรงหน้าแล้ว พวกเราก็ลงไปเดินสำรวจ วังศิลาแลง ห่างจากฟาร์มเห็ดไปประมาณ 500 เมตรเดินกันเต็มที่ไม่เกิน 20 นาทีก็ถึง ซึ่งวังศิลาแลงนี้ถือว่าเป็น unseen ของเมืองปัว ปกติแล้วเขาจะลงไปเที่ยวเล่นน้ำกันช่วงหน้าร้อนหรือหน้าหนาวมากกว่า เพราะน้ำจะใส ช่วงฤดูฝนจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวลงไปเท่าไหร่ เพราะด้วยกระแสน้ำที่ไหลแรงและน้ำสีแดงแบบน้ำป่า ถ้าลงไปขึ้นมาเสื้อผ้าคงเปลี่ยนสีกันบ้างล่ะ " ลักษณะของวังศิลาแลงคือเรียกตามลักษณะของหิน ที่มีลักษณะเป็นช่องทรงกระบอก จึงทำให้ชาวบ้านเรียกตามกันเรื่อยมาว่า วังบอก แล้วภายหลังก็เปลี่ยนเป็นชื่อ วังศิลาแลง นั่นเองส่วนสาเหตุที่หินมีลักษณะ เป็นทรงกระบอก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าง เมื่อนานมาแล้วหลายพันปี เกิดการเลื่อนตัวของเปลือกโลก ของแนวรอยเลื่อนปัว ซึ่งมีภูมิลักษณ์แบบแก้วไวน์ (Y-glass) เมื่อกระแสน้ำกูนไหลผ่าน หมุนวัน กัดเซาะเป็นเวลานานหลายพันปี จึงทำให้หินเกิดเป็นทรงกระบอก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัง เมื่อชาวบ้านอพยพเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณบ้านหัวน้ำในปัจจุบัน ก็ได้สร้างเป็นฝายกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร จึงเรียกได้ว่า แม่น้ำกูน หรือ วังศิลาแลงแห่งนี้ เป็นแม่น้ำที่ไหลเลี้ยงชาวตำบลศิลาแลงมาเป็นเวลาช้านาน" cre: www.pua108.com

หลังจากเดิน trail เบาๆแล้วผมก็พาน้องๆในทริปมาแวะร้านกาแฟไทลื้อ ร้านกาแฟที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศของเมืองปัว ผมนั่งๆนอนๆ เล่นในตูบนาฆ่าเวลารอฝนหยุด บ้างก็หามุมถ่ายรูปกันโดยไม่กลัวเปียกกันเลยทีเดียว ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ถ่ายเท่าไหร่ เพราะเคยมาเมื่อเดือนก่อน

ต่อไปก็คือไฮไลท์สำคัญที่น้องๆรีเควสให้พาไปให้หน่อยนั้นก็คือวัดภูเก็ต หลังฝนหยุดไม่รอช้าขับมุ่งหน้าย้อนกลับทางเก่า มุ่งหน้ามายังจุดชมทิวทัศน์หลังวัดกันทันที ผมพยายามหามุมใหม่ๆหลังจากมาครั้งที่แล้วได้แค่มุมตรงลานดาดฟ้าหลังวัด มาคราวนี้มองไปรอบๆเคยเห็นมีคนถ่ายมุมสูงมา หันไปเห็นหอระฆังด้านซ้ายมือ เข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นมุมนี้แน่นอน ทุ่งนาในช่วงเดือนนี้เขียวขจีกำลังงามเลย ต้นข้าวแน่นขนัดไปทั่วแปลง ความสูงก็เกือบๆเอวแล้ว สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในแปลงนาคือมีศาลาที่มีสะพานไม้ล้อมรอบ ลักษณะเหมือนรูปดอกบัวคงทำไว้เป็นจุดชมวิวทุ่งนาแบบใกล้ชิด และน่าจะไว้สำหรับให้ผู้ปฎิบัติธรรมมาเดินจงกรมในยามค่ำคืน

หลังจากเก็บภาพมุมสูงพอสมควร ทีนี้ก็ลงไปสัมผัสแปลงนาข้าวอย่างใกล้ชิดกันบ้าง ไม่ต้องห่วงทริปนี้น้องๆนางแบบรอเข้ากล้องกันอยู่แล้ว เลยกดชัตเตอร์กันมันทีเดียว ข้อแนะนำเสื้อผ้าควรใส่สีสันฉูดฉาดเข้าไว้ไม่ต้องกลัวควายจะไล่ขวิด เพราะที่นี่ไม่มีควาย ยิ่งหากใส่สีแดง จะเป็นโทนสีตรงกันข้ามกับสีเขียวของทุ่งนา มันจะตัดกันสวยงามทีเดียว ดังภาพ


เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพท้องทุ่งนาอยู่พอสมควร ก็ได้เวลาต้องเดินทางต่อ ทีนี้ต้องยิงยาวข้ามจังหวัดเพื่อไปนอนที่ ภูลังการีสอร์ท อ.ปง จ.พะเยา เราออกเดินทางจากปัววิ่งเส้นปัวทุ่งช้าง ตรงไปประมาณ 15 กิโลเลี้ยวซ้ายไปยังอ.สองแควไปเจอสามแยกตัดกับเส้น 1148 ท่าวังผา - เชียงคำ เลี้ยวขวาต่อไปยังอ.ปง ของจ.พะเยา เส้นทางช่วงนี้จะคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ถึงแม้นานๆจึงจะมีรถสวนมาสักคัน วิ่งลงเขามามองเห็นแอ่งที่ราบเบื้องหน้า มีภูเขาหินปูนตั้งอยู่ก็รู้ว่าคงใกล้จะถึงแล้ว เส้นทางที่พุ่งสู่ภูเขาหินปูนเบื้องหน้านั้น ความสวยงามทำให้อดใจไม่ได้ต้องลงไปเก็บภาพกันสัก 4-5 ใบ จากจุดนี้นั่งรถพ้นโค้งข้างหน้าขึ้นเนินไปสักเล็กน้อยก็ถึงรีสอร์ทภูลังกา

เรามาถึงรีสอร์ทก็จะค่ำแล้ว สำรวจห้องบ้านพักดูสักหน่อย บ้านพักปลูกอยู่บนเนินริมเขา สภาพห้องที่พักเป็นห้องนอน 3 คนเตียง มีมุ้งครอบให้ทุกเตียงเพราะภายในห้องไม่มีมุ้งลวดแถมตามพื้นห้อง ฝ้าเพดานก็มีช่องให้ยุงเข้าได้ทุกด้าน ยุงแต่ละตัวโตน้องๆแมลงวัน ทั้งนกหนูแมลงชุกชุมทีเดียว เข้าห้องน้ำอยู่ดีๆหนูวิ่งเข้ามาแทบสะดุ้ง สภาพแบบนี้น่าจะเรียกว่าบ้านป่าซะมากกว่าหรือไม่ก็เป็นโฮมสเตย์ อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ไปหาอะไรรองท้อง เมนูอาหารในรีสอร์ทก็ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย กินข้าวเสร็จก็นั่งสังสรรค์กันจนถึงเที่ยงคืนก็แยกย้ายกันเข้านอน เดินออกมาจากเรือนอาหารมองขึ้นไปดาวเต็มท้องฟ้าน่าแปลกใจทั้งๆที่อยู่ในช่วงพายุเข้า เลยตั้งกล้องสอยช้างเผือกมาคนละเล็กละน้อย

เสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ไม่ทันได้ปลุก เพราะตื่นก่อนนาฬิกาทุกครั้ง..ชะโงกหน้าไปดูที่ระเบียงบ้านเห็นสายหมอกไหลเอื่อยๆ ไม่มากนัก จัดแจงเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพเดินออกจากรีสอร์ทตรงไปยังลานช่างภาพซึ่งจุดนี้จะเป็น landmark ที่เราเห็นภาพจุดนี้ในโลกโซเชียล ต่างคนต่างเดินหามุมที่คิดว่าเด็ดตรงบริเวณนั้น ซึ่งจริงๆแล้วมันก็มุมเดิมที่เราเห็นผ่านตากันในเน็ท จะต่างกันก็แค่แสงกับหมอกยามเช้าเท่านั้น เช้าวันนั้นสภาพแสงค่อนข้างน้อย ฟ้าเน่า แต่ยังดีมีหมอกไหลมาเป็นระยะๆ แต่ก้ไม่ถึงกับมากมายเหมือนช่วงหน้าหนาว


ภาพเขาหินปูนเบื้องหน้าที่มีหมอกไหลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาดจนบางครั้งแค่นั่งมองมันก็สุขใจแล้ว

กลับมาเก็บของ ทานอาหารเช้าและถ่ายภาพบริเวณเรือนอาหารกันเป็นที่ระลึกก่อนเดินทางกลับ พวกน้องๆสอยเสื้อผ้าพื้นเมืองมาจากแถวๆวัดภูมินทร์เลยเอาออกมาใส่ประกอบฉากซะเลย

เก็บภาพกันจุใจแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายจ่อไปคือจังหวัดแพร่ซึ่งเป็นทางผ่านที่เราจะแวะเที่ยวกันก่อนยิงยาวเข้ากทม ระหว่างทางเราวิ่งผ่านอช.แม่ยมซึ่งครั้งหนึ่งบริเวณนี้มีโครงการจะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นแต่ทนกระแสต่อต้านไม่ไหวเลยยกเลิกไป ผืนป่าบริเวณนี้ดูสมบูรณ์ดีทีเดียวโดยเฉพาะไม้สัก !! เส้นนี้จะเป็นเส้นเก่านานๆจึงจะมีรถวิ่งสวนกันมาสักที เราแวะจอดถ่ายภาพกันไปเรื่อย

เข้ามาถึงเมืองแพร่ตอนเที่ยงกว่าอยากกินข้าวซอยกันเลย search หาร้านข้าวซอยร้านดังในเมืองแพร่สักหน่อยไปเจอร้านข้าวซอยเจ๊เล็กเด้งขึ้นมา เลยจับ GPS วิ่งเข้าในเมือง ร้านข้าวซอยเจ๊เล็กเป็นร้านไม่เล็กเลยทีเดียวมีที่นั่งหลายโต๊อยู่ เมนูก็จะมีข้าวซอย หมู เนื้อ ไก่ หมูสะเต๊ะ และขนมจีบ

ก่อนกลับพวกเราตั้งใจว่าจะแวะไหว้พระที่จังหวัดแพร่เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนเดินทางกลับ วัดดังของจังหวัดแพร่ก็หนีไม่พ้นวัดพระธาตุช่อแฮ และโชคดีที่วัดนี้มีพระธาตุประจำปีเกิดของผมด้วย เลยถือโอกาสทำบุญกับแม่ค้าล็อตเตอรี่ไปในตัว ส่วนประวัติวัดหาอ่านได้ตาม link นี้ครับ ประวัติวัดพระธาตุช่อแฮ

ออกจากวัดพระธาตุช่อแฮ วิ่งมาถึงเด่นชัยคุ้นๆว่ามีวัดสวยๆอีกวัด search หาดูคือวัดพระธาตุสุโทนมงคล ดูระยะทางแล้วไม่ไกลเท่าไหร่ อยู่ระหว่างทางแยกที่จะไปลำปางขับไปอีกประมาณ 10 กม.จะเห็นพระนอนขนาดใหญ่ศิลปะแบบพม่า โดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานที่กำลังก่อสร้าง เดินเข้าไปในวัดทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจไปกับรูปแบบศิลปะพม่า-ล้านนา ส่วนประวัติวัดหาอ่านได้ตาม link นี้ครับ ประวัติวัดพระธาตุสุโทนมงคล

หลังออกจากวัดพระธาตุสุโทนได้เราก็มุ่งหน้ากลับเข้ากรุง หลังจากหนีกรุงร่อนเร่ไปตามฝันซะ 3 วัน จบทริปเดินทางท่องเที่ยว 3 จังหวัดแบบไม่ได้เตรียมตัวกันมาก่อน ทริปนี้ขึ้นรถลงรถกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็สนุกกับปัญหาเฉพาะหน้าและร่วมกันแก้ปัญหาจนผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ขอขอบคุณมิตรภาพน้องๆกลุ่มคลุกฝุ่นและป๋านิ่มผู้จัดคราวหน้าคงมีโอกาสได้ร่วมทริปกันใหม่ ถึงแม้จะผิดหวังเป็นครั้งที่สองของผมในการขึ้นสวนยาหลวง แต่เมื่อสวนยาหลวงพร้อมเมื่อไหร่ผมจะกลับไปอีกครั้งแน่นอน


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด













สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันพฤหัสที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.41 น.

ความคิดเห็น