ทริปนี้ ฟินน์มาก
ขอแปะไว้แป่บนุง รีไซส์ก่อนค้า



Q - ทำไมถึงอยากไปญี่ปุ่น ?


A - 1. อยากไปดูทุ่งชิบะซากุระ

2. อยากไปดูทุ่งชิบะซากุระ

3. อยากไปดูทุ่งชิบะซากุระ

สรุป เหตุผลที่อยากไปคือ อยากไปชมทุ่งดอกชิบะซากุระ ที่มีวิวแบลคกราวด์ด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจี



Q - ทุ่งชิบะซากุระ ไปยังงัย ?

A - ขึ้นรถได้ที่สถานีคาวากูชิโกะ.



Q - อะไรคือ คาวากูชิโกะ

A - อ๋อออ คาวากูชิโกะ คือ ทะเลสาป ขึ้นรถได้ทีชินจูกุ ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงละ แถมยังเป็นที่ที่ชมวิวฟูจิซังได้สวยที่สุดเลยน๊าาาา



Q - ไปยังงัย ไม่แพง ?

A - รอตั๋วโปร , นอนโฮสเทล



เรามาจดค่าใช้จ่ายเป็นไกด์นำทางก่อนนะคะ เดี๋ยวจะลืมซะก่อน



ช่วงเวลาเดินทาง คือวันที่ 29 พ.ค. 59 ถึงวันที่ 02 มิ.ย. 59 ( 5 วัน 4 คืน ) // ซื้อตั๋ววันที่ 10 เม.ย. 59

สมาชิกทั้งสิ้น 3 ท่าน (หญิงล้วนคะติดปัญหาที่ตม.อีกแล้ว 1 คน )



ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย ต่อ คน ท้งสิ้นดังนี้

1. ตั๋วไป-กลับ ดอนเมือง-นาริตะ-ดอนเมือง /// 7,700.00 บาท

2. ค่าที่พัก 4 คืน /นอนโตเกียว 2 คืน /นอนคาวากุชิโกะ 2 คืน /// 5,400.00 บาท (ที่พักดี๊ย์ดี สวยเว่อร์วัง)

3. ค่าบัตร Metro Tokyo (สีแดง) แบบ 1 วัน 2 ใบ /// 520.00 บาท (800 x 2 = 1,600 เยน x .325 บาท)

4. ค่ารถไฟ Keisei จากสนามบินนาริตะ เข้า Tokyo (Asakusa)/// 419.25 บาท (1,290 เยน x .325 บาท) ขาไป

5. ค่ารถไฟ Keisei จาก Ueno เข้าสนามบินนาริตะ /// 802.75 บาท (2,470 เยน x .325 บาท) ขากลับ

6. ค่ารถบัสไปคาวากูชิโกะ (จากชินจูกุ-คาวากูชิโกะ ST.) /// 568.75 บาท (1,750 เยน x .325 บาท) ขาไป**เปลี่ยนที่ขายตั๋วใหม่แล้วนะคะ

7.ค่ารถบัสจากคาวากูชิโกะ มาลง สถานีโตเกียว /// 585.00 บาท (1,800 เยน x .325 บาท) ขากลับ** แพงกว่าขาไปเพราะมาลงสถานีโตเกียวไม่ได้ลงชินจูกุ

8. ค่ารถบัสจาก คาวากูชิโกะ ST. ไป หมู่บ้านน้ำใส Oshino Hakkai /// 357.50 บาท (550 x 2 = 1100 เยน x .325 บาท) ไป-กลับ

9. ค่ารถไฟท้องถิ่น 3-4 สถานี จาก คาวากูชิโกะ ST. ไป เจดีย์แดง 5 ชั้น Chureito pagoda เมือง Shimoyoshida /// 32.20 บาท (50 x 2 = 100 เยน x .325 บาท) ไป-กลับ

10. ค่ากระเช้า Kashi ดูกระต่ายกับแร็คคูน /// 260.00 บาท (800 เยน x .325 บาท) ไป-กลับ



รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นกับค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องจ่าย 16,645.45 บาท

ว่าด้วยการแลกเงิน ณ วันที่แลก ได้เรท 100 เยน = 32.50 บาทคะ
แลกที่ ร้านเพชร PP สยามพารากอน



ต่อด้วยการเดินทาง .... ปริ้นส์ Tokyo Subway Map มาทำความเข้าใจ ...
เพราะเราคนจนต้องเดินทางแบบนี้ เจองเจอาร์นี้ไม่ต้อง ชิงคันเซ็นก็ไม่ต๊องงงง 5555+
(เห็นยุ่งๆแบบนี้ แต่เดินทางง่ายมากๆ เหมือนเล่นเกมส์เลยคะ หนุกๆ)



ตัดภาพมาถึงวันเดินทาง
29 พ.ค. 59
XJ 606 10.45 AM. ดอนเมือง - นาริตะ


เราเช็คอินล่วงหน้าจากบ้าน พอถึงสนามบินก็ค่อยไปโหลดกระเป๋าแถวสั้นอีกที (เพื่อนจขกท. ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มค่ะ 20 โล / แล้วก็จองอาหารล่วงหน้าคนละ 1 เมนู ซึ่งแนะนำให้สั่งนะคะเพราะเดี๋ยวจะหิว ระยะเวลากว่าจะถึงนาริตะก็ 6 ชั่วโมง ที่โน้นเร็วกว่าเรา 2 ชม. ไปถึงก็ 1 ทุ่มพอดีคะ)


ปล. 1. อย่าลืมอุปกรณ์เครื่องนอนนะคะ จะได้หลับสบาย

ปล. 2. วิวนี้จากที่นั่ง 41 ด้านขวาค่ะ

ถึงแล้วไม่ต้องกลัวหลง เดินตามรูปกระเป๋าไปเลยคะ ก่อนรับกระเป๋าเราต้องผ่านตม.ก่อนนะคะ (ช่วงนี้แหล่ะตื่นเต้น 555)

ดีใจอะ เค้ามาถึงแจแปนแล้นนนนนน


มาถึงขั้นตอน ตม. ซึ่งใบตม.แอร์จะแจกให้เราบนเครื่องแล้วคะ ควรกรอกให้ครบ ตัวอย่างดูได้ในกูเกิ้ลนะคะมีประโยชน์มากๆ เพราะมีแบบแปลภาษาไทยให้ด้วย และก็ใบศุลกากร



จขกท. ผ่านตม.มาอย่างง่ายดายคะ เจ้าหน้าที่หน้าเด็กมากเหมือนเพิ่งจบ ไม่ถามอะไรเลย

แต่เพื่อนกับพี่สาวของเพื่อน ถูกซักค่ะ ถามเรื่องพื้นๆไม่ได้ซีเรียสเท่าฮ่องกง เช่นถามที่ตู้เลยว่า มากับใคร? พักที่ไหน? กี่วันกี่คืน?

แนะนำให้ปริ้นส์เอกสารทุกอย่างติดตัวนะคะ เช่น Booking ที่พัก ตั๋วขากลับ แพลนการเที่ยว



ตอบคำถามจบเราก็มารับกระเป๋าค่ะ พร้อมเดินออกไปซื้อตั๋วรถไฟ Keisei เพื่อไปลง Asakusa ที่พักของเราคืนแรกพักที่ Toukaisou

จองผ่านเว็บของโรงแรมเองเลยคะ ได้ห้องหญิงรวม 4 ที่ เป็นเตียง 2 ชั้น ห้องน้ำรวมแยกชาย-หญิง คนละ 1,000 บาท /คืน ไม่รวมอาหารเช้า

เราพักแบบเว้นวัน คือ พักคืนวันที่ 29/พ.ค. กับวันที่ 01/มิ.ย. เพราะวันที่ 30-31 เราจะไปนอนที่คาวากูชิโกะ อีกอย่างสามารถฝากกระเป๋าได้ด้วยคะและก็สามารถไปจ่ายเงินสดได้ที่โน้นเลย แต่ต้องเป็นเงินเยนนะ

จากสนามบินนาริตะ เราไปซื้อตั๋วรถไฟ Keisei เพื่อไปลง Asakusa โดยซื้อที่เค้าท์เตอร์ด้านซ้ายมือเลย
แค่บอกเค้าว่าจะลง Asakusa ตอนนี้ Keisei " Access Express" มีรอบมั้ย คนขายผู้หญิงก็บอกว่ามี พร้อมกับโชว์รูปนี้ให้ดู

โอเคเราก็จัดมาคนละใบ ราคา 1290 เยน ลง Asakusa และก็ซื้อ Pass Tokyo Metro (ใบสีแดง) แบบเหมา 1 วัน ขึ้นสายไหนก็ได้ คนละ 2 ใบ



ซื้อเสร็จก็งง 5555+ อ่านไม่ออก ไม่เข้าใจ งงๆ เอ๊ะ ทำไมไม่เหมือนที่อ่านมา ก็ได้แต่ยื่นให้เจ้าหน้าที่เค้าดู แล้วเค้าก็พาไปส่งชานชาลา ต้องตะโกน อาริกาโตะโกไซมัสสสส ดังๆเลยคะ เพราะเกือบไม่ทันรถไฟ

ขึ้นไปแล้วก็ยังงง เพราะไม่รู้จะลงไหน ก็เลยถามคุณผู้ชายข้างๆ เค้าก็เลยบอกว่า ยูต้องลง Aoto นะ
(บนรถจะบอกว่าถึงสถานีไหนแล้วแล้วก็จะมีเขียนบอก ออกเสียงว่า อา-โอ-โตะ ) แล้วนั่งยาวไป Asakusa เลย


ปล. ถ้าไม่มั่นใจก็ดูที่ Hyperdia ได้คะ เค้าจะบอกว่าอีกกี่นาทีถึง ก็ลงได้เลย เวลาที่นั่นตรงมากขอเพิ่มเติมข้อมูลการเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียวค่ะ



สำหรับการเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าสู่โตเกียว มีหลายวิธีด้วยกัน แต่สำหรับกระทู้นี้เจ้าของ ขอพูดถึงเฉพาะวิธีการเดินทางของเจ้าของกระทู้เท่านั้นนะคะ สำหรับรูปตั๋วด้านบน เป็นตั๋วรถไฟชนิดที่ชื่อว่า Keisei " Access Express" เหตุผลที่เลือกชนิดนี้เพราะ

1. เปลี่ยนขบวนง่าย แค่เดินออกจากขบวนแรก แล้วเดินมาขึ้นอีกขบวนฝั่งตรงข้ามแค่ 5 ก้าว

2. ราคาถูก - ความเร็วปานกลาง

3. ที่พักเราอยู่แถว Asakusa



ดูภาพประกอบเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น



จากรูป จะเห็นว่า Keisei จะมีรถไฟ 3 ชนิดให้เราเข้าโตเกียว



1. Sky Liner (สายสีน้ำเงิน) สายนี้สิ้นสุดที่ Ueno (ราคา 2,470 เยน) หากพักที่ Asakusa ต้องลง Ueno แล้วลากกระเป๋ามาต่อรถไฟใต้ดินมาลง Asakusa

2. Access Express (สายสีเหลือง) สายนี้สิ้นสุดที่สนามบินฮาเนดะ (ราคา 1,290 เยน) ผ่าน Asakusa แต่ต้องเปลี่ยนขบวนที่ Aoto ( เดิน 5 ก้าว)

3. Main Line หรือ Limited Express (สายสีแดง) สายนี้สิ้นสุดที่ Ueno (ราคา 1,030 เยน) กับสนามบินฮาเนดะโดยเปลี่ยนขบวนได้ที่ Aoto ราคาถูกสุดแต่ความเร็วเหมือนรถไฟหวานเย็นบ้านเราคะ

ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงสถานี Asakusa แล้วค่ะ การเดินทางไปที่พักเราคือ ออกทาง Exit 4 ขึ้นบันไดมาก็เลี้ยวขวา จะเจอถนนแบบนี้
เดินข้ามไปเลยคะ มันจะเป็นฝั่งเลียบทางวัดเซ็นโซจิ




เดินตรงมาเรื่อยๆ จนสุดถนน แล้วก็เลี้ยวขวาจะเจอห้าง The Rox ซอยทางเข้า Toukaisou จะอยู่ตรงข้ามห้าง The Rox เลยคะ



ยืนรอสัญาญานข้ามถนน (ข้ามไปด้านซ้ายมือตามรูปนะคะ )


เดินเข้าไปในซอยประมาณ 500 เมตร ตรงไปเจอร้าน " S o y "แล้วเลี้ยวขวาตามแผนที่นะคะ


ถึงแล้วสิ่งที่ต้องยื่นคือ แจ้งชื่อ+ปริ้นส์เมล์ที่ Booking ไว้โชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูนะคะ พร้อมชำระเงินสด


ห้องที่จองไว้ราคา 1,000 เยน / 1 คน / 1 คืน /ประมาณคนละ 970 บาท

บรรยากาศภายในห้องพัก ซึ่งจะอยู่ประมาณชั้น 3 คะ ขึ้นบันไดวนไปคะ ไม่มีลิฟต์ ห้องน้ำสะอาดมากกก


นี่ห้องเราคะ เป็นเตียง 2 ชั้น ห้องนี้นอนได้ 4 คน แต่ดีหน่อยคืนที่พักไม่มีคนอื่น


ถึงห้องก็เพลียร่างฝุดๆฮ่ะ ตอนแรกว่าจะไปชม ทาวเวอร์ สกายทรี กับ ถ่ายรูป ฟองเบียร์ ซะหน่อย แต่นั่งเครื่องมาเมื่อยมากๆ ก็เลยตกลงว่าอาบน้ำนอนเก็บแรงไว้ดีกว่าคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปตลาดปลาแต่เช้า สรุป อาบน้ำนอน ฟังเสียงฝนตกทั้งคืน พยากรณ์ที่นี่เค้าแม่นจริงอะไรจริง


30/05/16
สวัสดีแจแปน



มอร์นิ่งด้วยดอกไม้งามๆคะ ชื่ออะไรกันบ้างก็ไม่รู้นะ เจอริมถนนหน้าที่พัก



บรรยากาศเช้าวันนี้ช่างหนาวจับใจ โอยๆๆ ไหนว่าจะไม่หนาวแล้วงัย
เดินออกมาจากที่พักจะเจอวิว โตเกียวสกายทรีส์ด้วยคะ


วันนี้แพลนของเราคือ



1. ตื่นเช้าไปตลาดปลาTsukiji Fish Market

2. ไปขึ้นรถบัสที่สถานีชินจูกุ เพื่อค้างที่คาวากูชิโกะ 2 คืน

3. ถึงคาวากูชิโกะไปบ้านน้ำใส

4. เข้าที่พัก " K a g e l o w Mt. Fuji Hostel " (แนวววววสุดๆอะ ชอบๆ)



วันนี้เราเริ่มใช้บัตร Tokyo Metro Subway กันแล้วคะ (จขกท. ซื้อแบบเหมา 1 วัน ตัวสีแดง 2 ใบคะ)

วิธีใช้คือ จะใช้เวลาไหนก็ได้ แต่บัตรจะหมดอายุตอนเที่ยงคืน ถ้าจะใช้คุ้มก็คือต้องเริ่มใช้ตั้งแต่รถไฟฟ้าเที่ยวแรกเลยคะ

สำหรับจขกท. เริ่มใช้ตอนประมาณ 6 โมงเช้าคะ

ก่อนไป เด่วหานมกินรองท้องในมินิมาร์ทก่อนนะจะได้มีแรงเดิน


การเดินทางไปตลาดปลาTsukiji Fish Market



จาก Asakusa Tokyo Metro (ที่เดิมที่มาจากสนามบิน) สายG19 ไปลง G16 แล้วเปลี่ยนสถานี

Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H10-Tsukiji (ทางออก 1)

ใช้บัตรแดงแตะเข้าไปเลย สบายๆ ถ้างงตัวเลข เลื่อนขึ้นไปดู Map นะคะ



ขึ้นจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ เดินตรงมาเรื่อยๆ ถ้ากลัวหลงก็ถามคนแถวนั้นก็ได้คะ เพราะเราก็ถาม 555+
ก่อนถึงตลาดจะเจอที่แบบนี้คะ


ข้ามถนนถ่ายตอนขากลับ

หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกับปลาดิบสดๆกันแล้ว ก็เดินทางต่อนะคะ ...

จุดหมายของเราคือ สถานีชินจูกุ วิธีการเดินทางของเราคือ


เดินกลับไปลงใต้ดินที่เดิม โดยขึ้นสาย H10 ไป H08 เพื่อต่อไปสาย M16 แล้วลง M08

นั่นงัย ไม่งงเลยเนอะ



รูปนี้คือภาพระหว่างทาง ตอนนั้นเราเปลี่ยนสายจากสาย H มาขึ้นสาย M แล้วค่ะ แปลความหมายจากภาพคือ รถไฟถึง M14 ลูกศรสีน้ำเงินคือกำลังจะไป M08 (Shinjuku)

หากถึง M08 เรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากขบวนมองหาทางออก West Exit (จริงๆจขกท.ก็หลงทางนะคะ เพราะมัวหาห้องน้ำ ก็เลยหลงหาทาง West Exit ไม่เจอ ต้องถามคุณลุงเจ้าหน้าที่แถวนั้น คือเอารูปที่ขายตั๋วให้แกดู แกก็พยักหน้าชี้ไม้ชี้มือ แต่คงสังเกตุอะว่าเราไม่เข้าใจ แกก็เลยเดินขึ้นมาส่ง 5555 ความจริงทางขึ้นก็หาไม่อยากคะ ออกทาง West ได้เลยคะ)


ขึ้นมาก็โผล่ทางนี้เลย ตึกสีแดงนั่นละ คือตึเดิมที่ขายตั๋ว

นี่คือที่เดิมที่ขายตั๋ว แต่เราไม่รู้ว่าที่ใหม่เค้าขายที่ไหนก็เลยไปด่อมๆมองๆ พอดีเจอพนักงานขายผู้ชายเค้าเดินออกมาพอดี


ก็เลยบอกว่า เราจะไปคาวากูชิโกะ จะซื้อตั๋วได้ที่ไหน ........ ตอนแรกเค้าก็ทำหน้างง ซักพักเค้าก้วิ่งไปถามลุงเจ้าหน้าที่

ลุงเจ้าหน้าที่ก็เลยพาเดินมาส่งตรงริมถนน พร้อมส่งแผนที่ที่ขายตัวที่ใหม่ให้ (ถ้าหาเจอจะถ่ายมาฝากนะคะ แต่ตอนนี้ไม่รู้เก็บไว้ไหน)

คุณลุงพาเดินย้อนกลับมาทางลงรถไฟใต้ดินที่เดิม

สรุป การเดินทางไปซื้อตั๋ว คือ ........... หลังจากโผล่มาทางออก West Exit แล้ว ไม่ต้องข้ามถนนไปตึกแดง แต่ให้เดินเลียบไปข้างหน้าเลย (ให้ตึกแดงที่เก่าอยู่ขวามือ) เดินไปเรื่อยๆจะเจอไฟแดง ข้ามไฟแดงแล้วเลี้ยวซ้าย แล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ตึกจะอยู่ขวามือ ชื่อตึก มีชื่อว่า "N e w o m a n"



ถ้าเจอแล้วก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 4 ได้เลยค้าาาาา (ลิฟต์อยู่หน้าตึกเลยนะคะเป็นลิฟต์แก้ว)


ขึ้นไปถึงปุ๊บ ก็รีบไปซื้อตั๋วเลยคะ ถ้าถามว่ามีรอบไหนบ้าง ขอตอบว่าไม่ทราบเลยคะ เพราะไปถึงรถก็ออก just now เลย ...
ราคาตั๋วตามนี้เลยคะ
จากชินจูกุ ลง คาวากูชิโกะ


บ้านเค้ามีระเบียบมากนะ จอดทุกป้าย ไม่มีคนก็จอด

วิวระหว่างทาง ............ สวยยยยยยยยยยยยยยยยยยมาก


ถึงแล้วคะ สถานีคาวากูชิโกะ ชั่วโมงนิดๆ


ก่อนถึงเราผ่านสวนสนุกด้วยนะ


มาถึงคาวากูชิโกะแล้วก็ขอเล่าเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ



เหตุผลที่มาญี่ปุ่นครั้งนี้ เพราะ..... อยากจะมาชมทุ่งดอกชิบะซากุระ ซึ่งคิดว่าปีนี้เทศกาลจะหมดเหมือนทุกปีคือ 31 พ.ค.

แต่ความจริงแล้วปีนี้ 16 เค้าปิดเทศกาลวันสุดท้ายคือวันที่ 29 พ.ค. 16 สรุป คือมาไม่ทันเทศกาลอะคะ ... เสียใจ

แต่ไม่เป็นไรไหนๆก็ได้จองตั๋วแล้ว ก็เลยเปลี่ยนแผนใหม่ คือ จะเที่ยวรอบคาวากูชิโกะ ขึ้นกระเช้าไปดูแรคคูนแทน



นี่คือแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในคาวาฯ มีด้วยกัน 3 โซน ตามรูปนะคะ สำหรับจขกท.ไปทาง " Red-Line " อย่างเดียวเลยค่ะ


ถึงแล้วยังไม่เช็คอินที่พักนะคะ (*คืนนี้พักที่ " kagelow") เอากระเป๋าไปฝากไว้ล๊อคเกอร์ก่อนคะ ...ตู้ใหญ่ขวามือตู้ละ 60 เยนนะคะ


เอากระเป๋าเก๋บเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปที่ Information (หันหน้าเข้าสถานีอยู่ซ้ายมือสุด) เพื่อจะไปสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า วิธีการเดินทางไปบ้านน้ำใสไปยังงัย
เจ้าหน้าที่ที่โน้นใจดีมากคะ เซอร์วิสมายด์เป็นเลิศ แนะนำให้ทุกอย่าง ทั้งแผนที่ ทั้งตารางเวลารถ ไม่ต้องกลัวหลงเลยคะ เดี๋ยวถ้ามีเวลาจะถ่ายตารางเวลาเดินรถจากคาวากูชิโกะไปยังบ้านน้ำใสมาให้ชมนะคะ



หลังจากถามเสร็จ ก็วิ่งเข้าไปซื้อด้านขวาของห้อง Information เลยคะ หน้าตาบัตรแบบนี้ ราคา 550 เยน ไปรอขึ้นรถที่ชานชาลาที่ 6


มีเวลาเหลือ ก็เลยเดินไปเข้าเซเว่นหาของกินรองท้อง ได้อันนี้มา อร่อยมากกกกกกกกกกกกก ใครอยากซื้อกลับแนะนำให้ซื้อที่ อะกิฮาบาร่า นะคะ เพราะจากการสำรวจที่นั่นถูกสุดแระ (ร้านทีใกล้ๆ Daiso 100 เยนอะ)


ไปเจอไอ้นี่ด้วย เห็นหลายรีวิว ลองซื้อมากิน .....เอิ่มมมน้ำจิ้มลูกชิ้น+ก้อนแป้งธรรมดา อารมณ์เหมือนลูกชิ้นปิ้ง
แต่ก็ยังไม่อร่อยเท่า มันแปลกๆ บอกไม่ถูก... ง่ายๆคือ ใครซื้อมาก็เหลือ ว่างั้นเหอะ ...


ยังพอมีเวลาเหลือ เดินเข้าไปชมของในสถานีกัน



ระยะเวลาจากสถานีคาวากูชิโกะ ไปยังบ้านน้ำใส ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีได้คะ หากกลัวลงเลยป้าย
สามารถบอกคนขับได้คะว่าลง Oshino Hakkai พอถึง คนขับก็จะไล่เราลงเองคะ



ระหว่างซอยที่เดินเข้าไปยังบ่อน้ำใส ชาวบ้านแถวนั้นจะมีผลไม้ หรือของพื้นบ้านต่างๆวางขายตามริมถนน
มีอาหารแปลกตามากมายคะ แถมชิมฟรีอีก กว่าจะถึงก็อิ่มเลย 555+


เดินเข้าไปในถนนเลยคะ บ่อน้ำใสจะอยู่ข้างในนั้น ระหว่าง 2 ข้างทางก็จะมีผลไม้แปลกๆอาหารแปลกๆมาขายด้วย



นี่ถ้ามาช่วงหิมะตก ก็จะได้บรรยากาศตามรูปใหญ่นี่เลยคะ คงจะสวยหน้าดู เอาไว้เก็บตังค์ได้ละค่อยมาใหม่เนอะ


คบเพื่อนที่มีรสนิยมเที่ยวเหมือนกัน ความพินาศย่อมบังเกิด 55555 อะล้อเล่นนน
" เพื่อน กูรักว่ะ"


เดินเข้ามาซักพักก็เจอแล้วคะ บ่อน้ำใส ... ที่นี่มีหลายบ่อด้วยกัน แต่จขกท. เดินชมแค่ 3 บ่อคะ


บ่อนี้ รู้สึกว่าจะลึกสุดนะคะ 8 เมตร .......... น้ำใสมากก


ด้านไหนมีของโอทอปเยอะแยะเลยคะ.... เราเดินเที่ยวกันซักพักก็กลับเพราะหนาวมากๆๆๆ ฝนก็ตก ทนหนาวไม่ไหวเบยย


หลังจากกลับมาจากหมู่บ้านน้ำใสแล้ว เราก็ไปเอากระเป๋าที่ล๊อคเกอร์ และเดินเข้าที่พักคะ
สำหรับที่พักคืนนี้ของเรามีชื่อว่า "k a g e l o w" การเดินทางคือ เดินออกไปข้างหน้าสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอเซเว่น
เดินตรงไปแแล้วเลี้ยวซ้ายตรงแยกไฟแดง เดินเข้าซอยแล้วเลี้ยวคะ


ปล. แผนที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของรร.นะคะ


ถึงแล้ววว ... เอกสารในการเชคอินคือ เอกสารบุ๊คส์กิ้ง (จองผ่าน Booking.com) เตรียมพาสปอร์ตและก็จ่ายตังค์



ห้องพักของเราอยู่ชั้น 2 เป็นเตียง 2 ชั้น นอนได้ทั้งหมด 4 คน อยู่ห้องริมสุด (เห็นวิวภูเขาไฟฟูจีด้วย) สำหรับห้องน้ำจะมีอยู่ 2 ชั้น คือ 1 กับ 2
แต่ห้องอาบน้ำมี 1 ห้อง อยู่ชั้น 1 รวมชายหญิง (ห้องน้ำเป็นตู้ ล๊อคแน่นหนา) มีไดรเป่าผมให้ด้วย


หลังจากเช็คอิน เอากระเป๋าเก็บเรียบร้อย ก็ออกมาหาอะทานตอนเย็นกันคะ
ร้านนี้ชื่ออะไรแล้วก็จำไมไม่ได้คะ อร่อย แถมไม่แพงนะ อย่าละ ร้อยกว่าเยน



ทานเสร็จเราแวะเข้ามินิมาร์ทคะ ได้อันนี้มากินอีกละ ชอบมากกกก นมรสอัลมอนด์
ซื้อกินทุกวันเลย


ขอค้างไว้ก่อนแป่บนึงนะคะ เดี๋ยวมาต่อๆๆๆๆ

04.00 น. เช้าวันที่ 31/05/16
แทบจะกรี๊ดดดดดดดดดดด Wowww ฟูจิซังชัดๆ คือ ใกล้แค่เอื้มมม
ขอบคุณท้องฟ้า ที่เคลียร์ให้เห็นชัดแบบนี้
(ขณะนั้นเวลาประมาณตี 4 กว่าๆ แต่แดดเริ่มออกแล้วคะ งงมากเลย ตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะตื่นหรือนอนต่อ 555++)



สรุปแล้วต้องรีบตื่นนะคะ เพราะทริปวันนี้ยาวววววมาก


อันดับแรก อาบน้ำแต่งตัวแล้วคืนกุญแจคะ (หากเราเชคเอ้าท์เช้าๆแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ ที่หน้าเค้าท์เตอร์ เราสามารถหย่อนกุญแจใส่ในกล่องได้เลยคะ)

ภาพนี้ระหว่างทางเดินจากที่พักมาสถานีคาวากูชิโกะคะ (เมฆเริ่มมาแระ)


31/05/16


แพลนวันนี้นะคะ

1. ตื่นแต่เช้านั่งรถไฟท้องถิ่นไปเจดีย์แดง

2. เที่ยวรอบทะเลสาปคาวาฯ โดยเราจะเที่ยวโซน bus “Red-Line" ซึ่งจะมีจุดจอดด้วยกันทั้งหมด 22 ป้าย



สถานที่แนะนำที่น่าสนใจ ในเส้นทาง Retro Bus รอบทะเลสาบคาวากูชิโกะ



ป้ายที่ 7 Kawaguchiko Herb hall

มีสวนสมุนไพร เครื่องหอม

ป้ายที่ 11 Mt.Tenjo มีกระเช้าไฟฟ้า Kachi Kachi Ropeway

มองเห็นวิวทะเลสาบคาวากูจิและภูเขาไฟฟูจิได้อย่างงดงาม สัญลักษณ์ของกระเช้านี้เป็นรูปกระต่ายกับแรคคูน หรือจะล่องเรือทะเลสาปก็ได้คะ

ป้ายที่ 17 Kawaguchiko Music Forest

จัดแสดงเครื่องดนตรีจากทั่วทุกมุมโลกและกล่องดนตรีสวยงามหลากหลายรูปแบบที่จัดโชว์ พร้อมมีสวนหย่อมสไตล์ยุโรป ที่สามารถดื่มดำไปกับเสียงดนตรี ธรรมชาติและวิวฟูจิในวันที่อากาศดีๆ ค่าเข้า 1,300 yen

ป้ายที่ 22 ป้ายสุดท้ายของทะเลสาบคาวากูชิโกะ

มี Natural Living Center ร้าน ขายของสิ่งค้าท้องถิ่นและของฝากต่างๆให้เลือกสรร พร้อมมีที่นั่งทานกาแฟซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ อย่างชัดเจนและเป็นมุมที่เราจะเห็นฟูจิซังที่สวยที่สุด



3. เช็คอินที่พัก " Mizuno Hotel "

เช่นเดิมคะ หลังจากเชคเอ้าท์จาก Kagelow แล้ว เราก็เดินเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ล็อคเกอร์ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปถามตารางเวลารถที่จะไปเจดีย์แดงที่ Tourist Information center



สรุป วิธีการเดินทางไปเจดีย์แดง คือ นั่งรถไฟท้องถิ่นนะคะ (ใช้เวลาไม่นานคะ ประมาณ 4-5 สถานีก็ถึงแล้ว)

สำหรับตารางเวลารถ ว่างๆจะถ่ายมาแปะนะคะให้ชมนะคะ

ถึงสถานีนี้ก็ลงได้แล้วค่ะ Shimoyoshida (รถไฟคันที่เรานั่งมาคือคันสีน้ำเงินนะคะ)


วิธีการเดินทางไม่ยากคะ เพราะมีป้ายบอกตลอดทางเลย


อันดับแรก เดินออกมาจากสถานี หันหลังให้สถานีแล้วเดินมาทางขวามือคะ

จะเจอป้ายบอกทางแบบนี้

ตรงยอดภูเขานั่นแหล่ะ ที่เราจะต้องปีนขึ้นไป (ได้ข่าวว่า 400 กว่าขั้นเอ๊งง)


วิวทางด้านซ้ายมือ


เดินลัดทุ่งนา


หลังจากเดินตามเส้นทางตามป้าย เดินผ่านทุ่งนา เดินลัดทางรถไฟ เดินลอดสะพาน จนมาถึง... เจดีย์แดง


ในที่สุด เราก็มาถึงจนได้ ... โชคดีมากๆวันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยซักคน มีเพียงเรา 3 คน อ่อ รวมนักท่องเที่ยวคนไทยอีก 2 คน
วันนั้นเราผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ... ขอบคุณฟ้าที่ฝนไม่ตกนะคะ



คือ พยายามนั่งรอให้เมฆก้อนนี้ลอยไป สุดท้าย ... ก็ไม่ไป 5555 โอเค เราไปเองก็ได้


หลังจากที่เราพักเหนื่อย พร้อมชมวิวจนอิ่มแล้ว ขากลับก็ลงมาแวะไหว้พระด้านล่างคะ
วัดสวย ร่มรื่น



หลังจากที่เรากลับมาจากเจดีย์แดงแล้ว ก็มาแวะทานข้าวที่สถานีคาวากูชิโกะคะ
สั่งราเมงต้นตำหรับ ชามนี้ร้อยกว่าเยนคะ อร่อยมากกกกกกก น้ำซุปเข้มข้น แต่ไม่มีเนื้อเลยคะ
มีแต่เส้นกับผัก

ทานเสร็จก็ไปรอขึ้นรถบัสตรงหน้าสถานี ก่อนไปก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าเราควรจะไปเที่ยวไหนหรือลงป้ายไหนก่อนดี
เจ้าหน้าที่ก็เลยบอกว่า แนะนำให้ไปขึ้นกระเช้าก่อน เพรากระเช้าจะปิดทำการเวลา 12.00 น. แล้วค่อยไปป้ายอื่นๆที่อื่นๆ



ป้ายที่ 11 Mt.Tenjo มีกระเช้าไฟฟ้า Kachi Kachi Ropeway


จากสถานีคาวาฯ รถบัสจะจอดป้ายตรงข้ามร้านขายขนมคุ๊กกี้ร้านนี้คะ ค่ารถประมาณ 100 กว่าเยน(ถ้าจำไม่ผิด) จ่ายตอนลงรถนะคะ

ถ้าไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ก็ถามคนขับได้เลย


ตัวการ์ตูนกระต่ายและทานุกิที่ถูกนำมาตกแต่งเหล่านี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่อง คะชิคะชิยามะ (かちかち山)
โดยมีเนื้อเรื่องมีอยู่ว่า คุณตาคนหนึ่งจับทานุกิเจ้าเล่ห์ที่มาขโมยพืชผักในสวนบ่อยๆได้ จึงนำมาแขวนไว้ในบ้านและบอกกับคุณยายว่าให้ช่วยทำซุปทานุกิให้ เมื่อคุณตาออกจากบ้านไปเจ้าทานุกิก็บอกกับคุณยายว่าหากคุณยายช่วยปล่อยมันให้เป็นอิสระมันจะช่วยคุณยายตำข้าวและไม่รบกวนคุณยายอีก ด้วยความสงสารคุณยายจึงปล่อยมันลงมา แต่ปรากฏว่ามันกลับใช้ที่ตำข้าวตีหัวคุณยายจนเสียชีวิตและเอาคุณยายมาทำซุปให้ตากินแทน เมื่อตาทราบความจริงก็เสียใจมาก บังเอิญมีกระต่ายผู้รักความยุติธรรมตัวหนึ่งมาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น จึงอาสาช่วยแก้แค้นให้คุณตา ด้วยการทำทีขอให้ทานุกิช่วยแบกฝืนแลกกับเมล็ดถั่วเดินข้ามเขา แต่ระหว่างที่ทานุกิกำลังแบกฟืนนั้น กระต่ายก็แอบใช้หินจุดไฟจนเป็นเสียงดัง “คะชิ คะชิ" (ถ้าบ้านเราคงเป็นเสียงดัง คลิก คลิก) และปล่อยให้ไฟไหม้หลังเจ้าทานุกิ วันต่อมาเจ้ากระต่ายทำทีมาเป็นขอโทษเจ้าทานุกิโดยนำพริกเกลือมาให้แล้วบอกทานุกิว่าหากทาหลังจะทำให้แผลไฟไหม้หาย ทานุกิเชื่อจึงให้กระต่ายทาให้ ทำให้ทานุกิปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ไหวน้ำตาไหล เมื่อแผลของเจ้าทานุกิหายดี กระต่ายก็ทำทีชวนมันไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบ โดยกระต่ายต่อเรือของตนเองด้วยไม้ และให้ทานุกิต่อเรือตัวเองด้วยดินเหนียว แล้วก็ชวนกันพายเรือออกจากฝั่ง พายได้สักพักเรือของทานุกิก็ค่อยๆอ่อนตัวและจมลง ทานุกิขอความช่วยเหลือจากกระต่าย แต่กระต่ายไม่ยอมช่วยและบอกกับทานุกิว่า นี่เป็นสิ่งที่มันควรได้รับเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทำกับคุณยาย ทานุกิจึงค่อยๆ จมน้ำลงพร้อมกับเรือดินเหนียว ท่ามกลางสายตาของกระต่ายที่มองดูเหตุการณ์เกิดขึ้นทั้งหมดบนเรือของตนเองเพียงลำพัง



ขอบคุณ http://th.japantravel.com

เราอยู่ด้านบนไม่นานคะเพราะกระเช้าที่จะลงจากเขาเท็นโจปิดเที่ยง ต้องรีบลงให้ทันรอบสุดท้าย

ก่อนจะขึ้นรถไปป้ายอื่น เราก็โดนดึงดูดด้วยกลิ่นคุ๊กกี้จากร้านข้างล่าง
ลองแวะเข้าไปชิม ก็อร่อยดีนะ

ป้ายที่ 17 Kawaguchiko Music Forest


การเดินทางของเราคือ นั่งรถฝั่งเดิมกับที่เราลงตอนไปขึ้นกระเช้านะคะ
จากป้ายที่ 11 มาลงป้ายที่ 17 ถ้าไม่รู้ว่าจะลงป้ายไหน ก็เดินไปกระซิบบอกคนขับก็ได้คะ
พอถึงเค้าก็จะบอกเราเอง แล้วก็หย่อนเงินลงในกระป๋องเช่นเดิมคะ



จาก Map ด้านล่าง จุดชม Music Forest มีให้ชมทั้งหมด 8 จุดนะคะ ค่าเข้าชมประมาณ ค่าเข้าประมาณ 1,300 yen
แต่เรางก แล้วเหนื่อยด้วย เลยคิดว่า เดินชมแค่ด้านนอกก็พอ แล้วค่อยเดินเลาะไปทะเลสาปด้านหลังคะ
จุดที่เข้าชมฟรี คือจุดที่ 8 โซน Rose Garden คะ



ภาพถ่ายต่อไปนี้ คือจากกล้อง IP6s + App IG คะ ภาพอาจจะเบลอๆนิดนึงนะคะ



หลังจากเดินชมดอกกุหลาบนานาพันธ์ในจุดที่ 8 แล้ว เราก็ตัดสินใจเดินออกมาข้างนอก
(หันหน้าเข้า Music Forest แล้วมาทางซ้าย เดินอ้อมมาทางด้านหลัง)
จะเห็นวิวอันยิ่งใหญ่ของ " ฟู จิ ซัง " แบบนี้เลยคะ



ถามว่า ได้ไป ป้ายที่ 22 ป้ายสุดท้ายของทะเลสาบคาวากูชิโกะ รึเปล่า ?
ตอบได้เลยว่าเปล่าคะ ไม่ได้ไป .... เพราะเราคิดว่า แค่ที่นี่ก็สวยมากพอแล้ว
เราขอใช้เวลานอนเล่น นั่งเล่น ชมวิวที่นี่ดีกว่านะ



ประมาณบ่าย 3 นิดๆ เราก็เดินทางกลับสถานีคาวาฯคะ วิธีการเดินทางก็คือ เดือนมาขึ้นรถบัสตรงด้านหน้า Music Forest ได้เลยคะ
ก่อนไปเอากระเป๋าที่ล็อคเกอร์ เราก็ไปหาอะไรทานตรงแถวๆทางไปที่พักของเราคืนก่อนคะ (เยื้องๆกับเซเว่นหน้าสถานีคะ)
ตั้งใจจะชิมเท็มปุระ แต่สั่งไปสั่งมาได้อูด้งอีกละ
ชื่อร้านว่า เท็มปุระเลยนะคะ



ทานเสร็จ ก็เข้าเซเว่นเพื่อตุนอาหารเย็นคืนนี้คะ เพราะที่โรงแรม เราไม่ได้จองอาหารเย็นไว้
ปล. ที่บริเวณ Mizuno Hotel ไม่มีร้านอาหารนะคะเพราะโรงแรมอยู่บนเขา หากจะลงมาเดินเล่นหรือมาทานอาหาร
ขากลับจะเหนื่อยหน่อยคะเพราะทางเดินจะชันนิดนึงเพราะเป็นเขา ดังนั้นเราจึงตัดปัญหาโดยการซื้ออาหารไปตุนไว้คะ
หรือ แต่ถ้าอยากทานอาหารในโรงแรมก็มีบริการนะคะ แต่ราคาจะค่อนข้างสูงหน่อยคะ


วิธีการเดินทางไปโรงแรมไม่ยากคะ หากต้องการให้รถของโรงแรมมารับ เราก็เพียงแต่ยื่นเอกสาร Booking ที่เราจองโรงแรมไว้ ยื่นให้เจ้าหน้าที่ ที่ประชาสัมพันธ์เค้าโทรตามให้คะ ไม่ถึง 10 นาที รถก็มาละ จุดคอยคือ ชานชาลาที่ 10 นะคะ (ข้างๆห้องประชาสัมพันธ์)


จากสถานีคาวาฯ มาถึงโรงแรมใช้เวลาไม่นานคะ



Mizuno Hotel

เราจองแบบ 1 ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นสำหรับสามท่าน - ปลอดบุหรี่ ราคา ¥22,680 / 3 คน (เงินไทยอยู่ที่ราคาคนละประมาณ 2,419.20 บาท ไม่รวมอาหารเช้าคะ)



บรรยากาศด้านในล้อบบี้คะ


หากถึงแล้ว สามารถยื่นเอกสารบุ๊คกิ้งให้กับเจ้าหน้าที่ได้เลยคะ แล้วชำระเงินสดได้ตอนเช็คเอ้าท์


พอเสร็จจากการเช็คอิน เจ้าหน้าที่จะพาเรามาส่งที่ห้องคะ
ห้องเราอยู่ชั้น ประมาณชั้น 4 คะ จำเลขห้องไม่ได้แล้ว
แต่วิวเลิศ อลัง สวยเวอร์วังจริงๆคะ



ภายในห้องจะเป็นประมาณนี้คะ ตอนค่ำๆจะมีเจ้าหน้าที่โรงแรมมาปูฟูกฟุตงให้นะคะ หรือจะปูเองก็ได้



มีตู้โดเรมอน


ระเบียงหลังห้อง


ห้องน้ำขนาดเท่านี้


ชักโครกอัจฉริยะ


ใช้แล้วหนุกดีคะ ตอนแรกก็ตกใจนิดๆ ดีนะน้ำไม่แรงมาก 5555+


นางแบบกับ ฟูจิซัง สวยยยยยยยยยยยมาก


ปิดหลังห้องกำลังจะไปแช่ออนเซ็นคะ


นางแบบกำลังจะแช่ออนเซ็น


ว่าด้วยเรื่องการแช่ออนเซ็น

ปกติเค้าไม่ให้ถ่ายภาพข้างในนะคะ แต่พอดีว่าไม่มีคนอยู่แล้วเราก็เลยแอบถ่ายมา

วิธีการแช่ คือ1. ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด 2. อาบน้ำล้างตัวด้านข้าง 3. ค่อยๆหย่อนตัวลงเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย



ปล. แต่จขกท. ไม่ได้แช่นะคะ เพราะมันเป็นห้องรวมอะ พี่ฝรั่งเดินออกมาโป๊หมดเลยยยย เราก็เลยวิ่งหนี 555+ คุณป้าญี่ปุ่นที่เดินออกมาแต่งตัว นางก็พยายามให้เราแช่ แต่ไม่ไหวคะ ไม่ถอดๆๆ 555+

Morning kawaguchiko


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ชื่นชมเธอ ... ขอบคุณสำหรับคำอธิษฐานที่ขอให้ฝนไม่ตก




01/06/16


08.30 น. เช็คเอ้าท์ พร้อมเจ้าหน้าที่โรงแรมมาส่งเราที่สถานีคาวาฯ



ขากลับ เราได้ลงสถานีโตเกียวคะ เนื่องจากพี่สาวของเพื่อนลืมกางเกงไว้ที่ Kagelow เราก็เลยไม่ทันรถรอบเช้าของชินจูกุ
เจ้าหน้าที่ก็เลยแนะนำว่า งั้นก็ลงสถานีโตเกียวมั้ย เพราะว่าเวลาก็มีไล่เรี่ยกัน
เราทั้ง 3 ก็เลยโอเค อีกอย่าง ได้ยินมาว่าสถานีโตเกียวเป็นสถานีที่สวยที่สุดด้วยสิ


เราถึงสถานี โตเกียวเกือบเที่ยงคะ .... ในสถานีมีช๊อปตุ๊กตาเยอะแยะเลย


เมื่อถึงสถานีโตเกียวแล้ว มองหาป้ายรถไฟฟ้าใต้ดินคะ หากมองไม่เห็นก็เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ในตู้ก็ได้ว่าไปทางไหน
โดยวันนี้เป็นวันที่ 2 ที่เราใช้ Pass ใบสีแดง


กว่าจะหาป้าย Metro Subway เจอก็ใช้เวลาพอควรคะ เพราะสถานีโตเกียวมีขนาดใหญ่มีทั้งรถไฟเจอาร์ ชิงคันเซ็น
ครั้งนี้เรามาโผล่ทางออกด้านฝั่งตรงข้ามตึกอาซาฮีค่ะ โดยมีแม่น้ำซามิดะกั้นอยู่

มุมนี้ให้เดินผ่านจุดล่องเรือมาอีกนิดนะคะ จะได่วิวโตเกียวสกายทรีส์ กับฟองเบียร์แบบเต็มๆคะ

มาถึงอาซากุสะแล้ว เรารีบเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักเหมือนเดิมคะ( Toukaisou ) หลังจากนั้นก็เดินทะลุห้าง R o x
เพื่อเข้าไปวัด Sensouji คะ



ผ่านห้างดองกี้ด้วย


ทางเข้าวัด Sensouji


ก่อนที่เราจะตะลอนโตเกียววันนี้ เราเพิ่มพลังที่ร้านอาหารหน้าวัดคะ ร้านเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย
แต่เพราะความที่หิวมาก เลยไมได้ไปตามร้านที่รีวิวแนะนำคะ เจอร้านไหนก็เข้าเลย
สรุป ได้ร้านนี้คะ ได้โซบะแห้งมา กับคาราอาเกะ รสชาติเค็มไปนิดนึง


ก่อนจะเข้าไปในวัด เราเดินตามกลิ่นหอมๆ จนมาเจอร้าน เมล่อนปังในตำนาน
อร่อยนะคะ ไม่ควรพลาด ค่อยๆกินคะ ไม่งั้นติดคอ 5555
อ้อ ที่นู๊นห้ามเดินกินนะคะ ถ้าจะกินต้องหยุดเดินแล้วก็กินให้หมดแล้วค่อยเดินต่อคะ



เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอวัดนะคะ ขนาดวันธรรมดาคนยังเยอะเลยย


มาถึงละ ห้ามพลาดคะ ซาลาเปาทอด เราว่าหวานนะ ถ้าไม่ชัวร์ให้ซื้อชิมก่อนนะคะอย่าเพิ่งซื้อเยอะ


จุดต่อไปที่เราจะไปช๊อปก็คือ " Akihabara " เป้าหมายของเราคือร้านขายของเล่นมือสองที่ราคาถู๊กถูกคะ


การเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro ลงสถานี Akihabara จาก G19-G16 แล้วมาเปลี่ยนเป็น สาย Hibiya H17-H15


เราโผล่จากใต้ดินมาเจอนี่ค่ะ สำหรับการเดินทางไปคือร้าน Hobby Off ต้องเดินทะลุตึกไปทางด้านหลัง

ทะลุออกมาแล้วจะเจอตึกนี้คะ สำหรับตึก ร้าน Hobby Off จะอยู่ตึกซ้ายมือของภาพคะ


ร้านจะอยู่ข้างล่างคะ ชั้นใต้ดิน ทางลงจะมีป้ายบอก


จุดต่อไปคือ " Shibuya " ต้องการไปดูรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ สัญญาลักษณ์ของชิบูย่า
ให้เดินไป ทางออก8 เจอรูปปั้นสุนัขฮาจิโก๊ะ และ 5แยกชิบูย่า


การเดินทาง นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน H15-H16 และเปลี่ยนสถานีเป็น Ginza line สายสีส้มจากสถานี G15-G1 Shibuya สถานีชิบูย่า



ในที่สุด . .... เราก็ได้เจอกัน


จากชิบูย่า เราตามหา ไดโซะ 100 เยน โดยการเปิด GPR เส้นทางการนำทางพาเราเดินไกลมาก จนมาโผล่สถานี Harajuku





ลืมเล่าคะ .... การซื้อของแบบ Tax Refund คือ บางร้านจะเขียนว่างดเว้นภาษีให้กับนักท่องเที่ยวได้ด้วยนะคะ
สำหรับร้านนี้ ซื้อครบ 5,000 เยนขึ้นไป สามารถ Refund ได้คะแค่ยื่นพาสปอร์ต โดยสินค้าที่เราซื้อจะถูกซีนไว้ในถุงห้ามแกะโดยเด็ดขาด
หากเราหุ้นกับเพื่อนซื้อ ก็สามารถให้พนักงานแยกถุงให้ได้นะคะ เวลาผ่าน ตม. ก็ไม่มีปัญหาอะไรคะ


จาก ฮาราจุกุ ไปยัง Ginza


การเดินทาง จาก F15-F16 แล้วเปลี่ยนเป็น G01-G09



ขณะนั้น เราเดินทางไปถึงกินซ่าประมาณสองทุ่มครึ่งคะ ร้านค้าเริ่มเก็บหมดแล้ว
สรุป ไม่ได้ช๊อปอะไรจากกินซ่าเลยคะ
แต่ดีหน่อย ได้เห็นด้วยตาว่ามันสวยขนาดไหน


จาก กินซ่า เรานั่งรถไฟสาย G09 มาลง G19 Asakusa เหมือนเดิมคะ เพื่อรีบมาถ่ายวิววัดเซนโซจิ
ตอนกลางคืนจำได้ว่าอากาศหนาวมากกกกก ลมแรงด้วยคะ

เสร็จจากวัด Asakusa เรารีบเดินทางไปห้างดองกี้ ที่อยู่หลัง ห้าง Rox กันต่อนะคะ เพราะว่าห้างนี้เปิด 24 ชม.
ต้องมาช๊อปแก้มือที่นี่ ... กว่าจะช๊อปเสร็จก็เกือบตี 1 คะ (แต่จะบอกว่า ราคาที่นี่จะแพงกว่าที่ ฮาราจูกุนะคะ ประมาณ 10 เยน)



ห้างนี้ก็ Tax Refund ได้คะ แต่ต้องซื้อครบ 5,000 เยนขึ้นไป
อ้อ ... ทุกห้างจะเขียนเป็นเงื่อนไขให้เราอ่านด้วยนะคะมีทุกภาษีเลย
จะเป็นเงื่อนไขการรีฟันของสินค้าชนิดต่างๆคะ


เรากลับถึงที่พักราวๆ ตีหนึ่งครึ่ง ถึงห้องก็จัดกระเป๋าอาบน้ำ รอเวลาออกเดินทางไปสนามบินตี 5 คะ
พอได้เวลาเราก็รีบเดินไปสถานีอาซากุสะเพื่อจะหารอบรถไปไปสนามบินนาริตะ
แต่พอดีเจอสองสาวคนไทยก็กำลังจะกลับไฟล์ทเดียวกันพอดี เราก็เลยขอติดสอยห้อยตามไปด้วย
การเดินทางของเราก็คือ นั่งรถไฟใต้ดินจาก อาซากุสะไปลงโอเอโนะ เพื่อนั่งรถไฟ Keisei Sky Liner เพื่อไปลงสนามบินนาริตะ


" ค ง จ ะ มี รั ก จ ริ ง ร อ อ ยู่ ที่ ดิ น แ ด น ใด ซั ก แ ห่ ง "


หลายๆสถานที่ที่ยังไม่ได้รีวิว ..... ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยเองที่จขกท.เคยได้ไปสัมผัส
ส่วนใหญ่ข้อมูลต่างๆก็ได้มาจากพันทิปทั้งนั้น
สุดท้าย ... ขอขอบคุณที่ติดตามและก็อ่านจนจบนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนที่พบเห็นไม่มากก็น้อยคะ


Whatdayistoday Playplern

 วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 09.53 น.

ความคิดเห็น