ใครสงสัยส่วนไหน หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม เรายินดีตอบทุกคำถามค่ะ

INBOX มาหาเราได้ที่ http://www.facebook.com/figtreepockets




ทริปนี้เริ่มจาก…

กลอย: แกๆเจอกันสักบ่ายสามครึ่งบ้านแกไรงี้เนอะ (บ้านแนนไปสุวรรณภูมิประมาณ 1 ชม.)

แนน: เออ คงได้แหละ เพราะเครื่องออกตั้งสองทุ่ม

3:45 PM ก็ออกจากบ้านแนน

กลอย: เออ พวกเราไปเร็วปะวะ

แนน: นั่นดิ

….สักพักเพื่อนคนอื่นโทรมา นี่อยู่ไหนกันแล้ว เครื่องออกกี่โมง แล้วจะถึงที่ Kuala Lumpur (KL) กี่โมงจาก KL ไป Auckland ละ

กลอย: ไม่แน่ใจอะ เดี๋ยวดู Booking แพพ ….. ตายแล้วแนนนนนนน! ทำไงดี เครื่องออกห้าโมง (ตอนนั้นบ่าย 4)

แนน: จริงปะ!!! ปะป๊าาาาา ขับเร็วๆนิดนึงนะ เครื่องออก 5 โมง (ปกติ Boarding Gate จะปิด 10 นาทีก่อนเวลาเครื่องขึ้น แล้วกระเป๋าที่จะ Check-in ต้องไปที่เคาน์เตอร์ก่อนเวลาเครื่องขึ้น 60 นาที ซึ่งคือแทบไม่มีเวลาเหลือแล้ว)

ปะป๊า: อ่าว! ทำไมไม่เช็คกันให้ดีๆ มีสองคนเนี่ย จะทันมั้ย? ปะป๊าจะรีบซิ่งแล้วกันนะ!


แค่เริ่มก็ตื่นเต้นซะละ! จะได้ไปมั้ยนิวซีแลนด์ที่รักจ๋าาาา


4.40 PM เราก็มาถึงสุวรรณภูมิ

กลอย : แก เราแยกร่างกัน เดี๋ยวเราวิ่งไปเคาน์เตอร์ Malaysia Airlines ไป Check-in ก่อน แล้วแกเอากระเป๋ามานะ

ด้วยความที่ป้ายตรงที่จอดที่สุวรรณภูมิไม่ตรงเลย ทำให้เราหาเคาน์เตอร์ไม่เจอสักที ถามพนักงานก็บอกไม่แน่ใจ ไม่รู้สิ ลองไปดูตรงนู้นก็ได้นะ พอไปตามที่พนักงานคนนั้นบอกก็ไม่มี ตายละทีนี้จะทันมั้ย สุดท้ายวนไปมาก็เจอจนได้

กลอย: พี่คะ นี่ Passport ค่ะ Check-in ไป KL ค่ะ แฮ่ก.. แล้วจาก KL เราไป Auckland ต่อค่ะ แฮ่ก.. เราดูเวลาขึ้นเครื่องผิดค่ะ แฮ่กๆๆ

สีหน้าพนักงานที่เคาน์เตอร์จากโหมดชิวๆ เปลี่ยนเป็นโหมดเร่งรีบทันที

พนักงาน: ผู้โดยสารครับ มีกระเป๋า Check-in มั้ยครับ ถ้ามีเอาวางบนสายพานด่วนเลยครับ!

กลอย : (โทรหาแนน) ฮัลโหล แกอยู่ไหน? หาเจอมั้ย

แนน: กำลังไปๆ

กลอย: พี่คะ รอแปบนึงนะคะ เดี๋ยวไปช่วยเพื่อนก่อน

พอแนนมาถึงเราก็โหลดกระเป๋าเรียบร้อยพนักงานก็ให้บัตรขาออกประเทศมากรอก

พนักงาน: ผู้โดยสารต้องรีบหน่อยนะครับเพราะ Gate ใกล้จะปิดแล้วครับ! วิ่งเลยครับ!

จากนั้นเรากับเพื่อนก็วิ่งกันอย่างดุเดือด แล้วคือ Gate ก็ไกลมาก วันนั้นเหนื่อยมาก คิดว่าเหนื่อยที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว อุตส่าห์คิดไว้ว่าจะได้ช้อปปิ้งที่ Duty free ก็ต้องอดไป

เรามาถึง Gate ตอน 5.00 PM พอดีเป้ะ ทางสายการบินกำลังประกาศเรียกขึ้นเครื่องเลย เราก็เลยพอมีเวลานั่งให้หายใจหายคอเล็กน้อย และเมื่อได้ที่นั่ง(พื้น) อย่างแรกที่ทำคือ โทรบอกแม่ก่อนเลยว่า ถึง Gate แล้วนะ ไม่ต้องมารับแล้ว (แม่หัวเราะเบาๆ) = =


จากนี้เราสองคนจะได้ไปนิวซีแลนด์แล้ววววว! ไปเที่ยวด้วยกันนะ!



ตอนนี้เราก็ได้มาถึงนิวซีแลนด์ แดนสวรรค์ของเราแล้วละ พอลงเครื่องเราก็แวะซื้อซิมการ์ดที่ Vodafone ก่อนเลย อยู่ตรงทางออกเลยค่ะสังเกตุง่ายมากๆ จากสนามบินเรานั่ง SkyBus กัน[ค่า Bus $16 (one-way)] ไปลงที่ Queen's Wharf ซึ่งเป็น Stop สุดท้าย เพื่อนั่งเรือไป Waiheke Island จริงๆแล้วเกาะเนี่ยก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก เพียงแต่เรากะแนนมีความอยากไปสัมผัสไร่ไวน์บนเกาะที่เค้า (ใครหว่า?) ว่ากันว่า ชิวและอากาศดีมากๆ แม้จะได้อยู่ไม่ถึง 24 ชม. ก็ตาม 555

เกาะนี้มีชื่อเล่นว่า เกาะแห่งไวน์ ด้วยละ เพราะมีโรงกลั่นไวน์ถึง 30 แห่งกันเลย

นั่งเรือ Ferry จาก Auckland ไป Waiheke Island ใช้เวลา 30 นาทีเท่านั้น [ค่าเรือ Fullers แบบ round-trip $36] ระหว่างนั่งเรือเราก็จะเห็นวิวสวยๆ อย่าง Sky Tower อากาศดีมาก ลมโกรก แนะนำให้นั่งข้างนอกนะ บรรยากาศดีเลย แต่อย่าลืมพกแว่นกันแดดนะค่าาาาาา

เรือใบเต็มไปหมดเลย

พี่คนนี้ชิวมากแอบมองตั้งแต่ขึ้นเรือ

พอมาถึงเกาะ Waiheke เราก็ไม่รอช้ารีบขึ้น Bus ไปลงแถวๆ กระต๊อบที่จองไว้ เราจองกันผ่าน Airbnb เราก็แอบหลงกันอยู่ไม่น้อยแต่ระหว่างทางหลงก็เจอดอกไม้น่ารักๆริมทางเต็มไปหมด

แล้วเราก็มาถึงกระต๊อบน้อยของเรากันแล้ว น่ารักมากเลย ข้างในแบ่งเป็น 2 ชั้น ถึงจะไม่ใหญ่มากแต่อุปกรณ์ครบครัน ตอนนี้ที่นั่นก็คงมี international plug ให้ใช้แล้วด้วยสินะ เนื่องจากเราลืมกันไว้นั่นเอง = = จะให้ Gilian (เจ้าของ) ส่งมาให้ก็เกรงใจสุดๆ เอาเป็นว่าใครไปพักที่นี่ก็ขอให้ใช้ plug อย่างคุ้มค่าละกันเนอะ

ที่นอนเราอยู่ชั้น 2 และที่นี่ก็มี Nespresso พร้อมทั้ง Yoghurt, นม และ Granola Bar ไว้ให้กินเล่นอีกด้วยละพอเราเก็บของ ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไม่รอช้าที่จะไปสำรวจตัวเกาะกัน แน่นอนเราต้องเริ่มจากไร่องุ่น ตอนแรกนั้นเราตั้งใจจะไปไร่ Cable Bay กัน แต่เมื่อเราสอบถาม Gilian (Host) แล้วเธอบอกว่าเธอชอบไร่ Mudbrick มากเป็นพิเศษ เราก็ต้องเชื่อคนท้องถิ่นสิ อีกอย่างเธอว่า เธอจะไปส่งเราด้วย เราก็ไม่รอช้าที่จะตอบตกลง อิอิ ประหยัดไปได้อีกนิดนึงก็ยังดีเนอะ


พอมาถึงไร่ Mudbrick เราก็พบกับความอลังการซะแล้ว เราเจอ Helicoptor กำลังบินขึ้นไปค่ะ OMG จะมาจิบไวน์ทำไมต้องไฮโซขนาดนี้

ส่วนเราเมื่อมาถึงก็ต้องไม่รีรอเดินเล่นในไร่จนพอใจ ไร่นี้ส่วนที่ให้เดินชมเล่นขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ แต่วิวนี่ต้องขอบอกว่า Million Dollars View ค่ะ เพราะว่า นอกจากเราจะได้มองเห็นทุ่งลาเวนเดอร์ และไร่องุ่นตอนเรานั่งทานอาหาร และดื่มไวน์แล้ว เราสามารถมองเห็นหุบเขา ทะเล ตามรูปปกด้านบนเลย และที่สำคัญ ถ้าอยู่ช่วงเย็นก็จะเห็นพระอาทิตย์ตกดินด้วยนะ เป็นอะไรที่ดีมากจริงๆ ฟินนนนนน ระดับสิบบบ!

ห๊อมหอมมมมมมมมม ❤

พอเดินเสร็จก็มานั่งสั่งอะไรทานสักหน่อย ไวน์สักนิด โชคดีมากวันนั้นอากาศดีสุดๆ ไม่หนาว ไม่เย็นเกินไป

ก่อนกลับก็เดินดูของฝากติดไม้ติดมือสักหน่อย ที่นี่มีของจุกจิกน่ารักๆ ยันหนังสือเกี่ยวกับ Mudbrick แบบจริงจังด้วย

เรากับแนนตกลงกันว่าจะลองเดินกลับไปหาอะไรทานในเมือง และค่อยขึ้นบัสกลับที่พักกันค่ะ แต่วิวขณะเดินไปนี่สิ อดแวะถ่ายรูปไม่ได้เลย

หญ้าสีเขียว แสงอาทิตย์สีทอง

สำหรับเรามันสวยมากเลย


พอเรามาถึงในเมือง ก็พบว่า ร้านในเมืองนั้นปิดเยอะแล้ว เราเลยตัดสินใจ นั่งรถบัสกลับที่พัก และสั่งพิซซ่ามาทานกันค่ะ (เพราะว่าถ้าเดินไปมันมืน) พิซซ่าร้านนี้ Gilian บอกว่า อร่อยที่สุดในเกาะเลยละ แล้วก็อร่อยจริงสมคำล่ำลือ แป้งบางกรอบ ชีสเยิ้ม พาร์มาแฮมแบบไม่หวง และไม่บางเกินไป อืมมมมม! มันใช่

Stefanos Italian Pizza & Pasta

พอตอนกลางคืนเราสามารถมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าเลยนะ สวยมากเลยละ แต่เสียดายถ่ายรูปไม่ติด แหะๆ


เช้าวันนี้เราต้องรีบกันหน่อยเพราะต้องกลับไป Auckland เพื่อไปรับรถ

ก่อนไปเราก็ต้องขอแวะชิมไอติมสักหน่อย และโชคดีก็เป็นของเราอีกแล้วละ Gilian ว่างไปส่งพวกเราพอดี เค้าก็เลยทั้งแวะให้เราลองชิมไอติม และไปส่งเราถึงท่าเรือ น่ารักมากๆ ขอบคุณยาวๆเลยค่ะ Gilian

ใครอยากไปพักกับ Gilian ก็ตามไปได้ที่ Link นี้เลย >> https://www.airbnb.com/rooms/4948088?sug=50

ไอติมอร่อยมากๆเลย เราเลือกรส Waiheke Honey Comb ส่วนแนนเลือก Cherry & Macadamia คนขายสาวสวยบอกเราสองคนเลือกรสที่เค้าชอบทั้งสองอันเลยแหะ 555+ yummyyyy!

ไปๆ ขึ้นเรือกันนนนน! พอเรือมาถึงตรงท่า Queen's Warf เราก็ต้องแวะสำรวจของกินสักหน่อยตามสไตล์


จากนั้นเราก็เรียก uber มาเพื่อไปเอารถที่ Ace Car Rental กันนนน อันนี้เราจองรถไว้ก่อนทาง rentalcars.com เพื่อขับรถไปที่ Cathedral Cove ซึ่งระยะทางประมาณ 215 km จากตัวเมือง Auckland ไกลพอควรเลยละ แต่วิวหุบเขา ต้นไม้ระหว่างทางนี่สิ ดีเกินคาดมาก ต้องลองเองละจะรู้ว่า ชิวขนาดไหน ชิวจนลืมว่าขับรถเหนื่อยเลยละ

พอมาถึงประมาณครึ่งทางเราก็แวะ Tairua Beach สักหน่อย เมืองเป็นเหมือนเมืองพักผ่อนหย่อนใจ แบบน่ารักชิวๆของคนที่นี่ค่ะ

ขอพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้มั้ย

หลังจากพักขา เดินเล่นที่ Tairua Beach กันพอควรแล้วเราก็ไปต่อกันเลย แต่เรื่องมีอยู่ว่า แนนเพื่อนรัก กด GPS ผิดไปนิดนึง ก็ไม่มากหรอก 30 โลเอง 555+ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราก็ยังมีเวลาอยู่! ในที่สุดเราก็มาถึง Cathedral Cove กันแล้ว

บรรยากาศก่อนจะเดินลงไปก็ชิวแล้ววว แต่สิ่งที่เราไม่รู้กันเลย ก็คือ ต้องเดินไปค่อนข้างไกลพอสมควร 40 นาทีค่ะ แต่ทางดีนะ โอเคเลย ไม่ต้องห่วงเรื่องความวิบากเลย เดินไปเรื่อยๆก็มีฝรั่งแซงเราสองคนไปมา 555+ (บางคนแก่กว่าด้วย) ฟิตกันจัง ส่วนเราสองคนก็เดินไปถ่ายรูปไปตามสไตล์

ท้ายสุดของวันก็ต้องเป็นนี่แหละ Cathedral Cove จะบอกว่ามันสุดยอดเลยอะ ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลยนะคะ

และเราก็ไม่พลาดมีเรื่องโก๊ะๆอีกตามสไตล์ คือหลังจากถ่ายรูป Tree Pose เนี่ย รองเท้าที่วางไว้ข้างโขดหินก็หายไปตามทะเลเลยจ้าาาา T_T แต่โชคดีที่คลื่นพัดกลับมาทำให้ยังมีรองเท้าเดินกลับ 555+ ไม่งั้นต้องเดินเท้าเปล่ากลับ 40 นาที ไม่อยากจะคิดเลยนะ ><

วันนี้เราพักกันที่โฮสเทล YHA Whitianga ค่ะ ประมาณ 20–30 นาที จากตรง Cathedral Cove นี่แหละ พอไปถึงที่โฮสเทลก็จัดการเก็บของและไปหาอะไรกินกันค่ะ เราเลือกร้าน Tapas & Taco Bar และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อร่อยมากอะ เราสั่ง Fish Taco ปลาสดมากส่วนแนนสั่ง Pulled Pork Taco อร่อยทั้งคู่เลยง่ะ ฮืออออออ ตัวแตกแน่ทริปนี้

กินอิ่มก็กลับไปอาบน้ำแล้วนอนกัน แต่ว่าเราสองคนดันได้ Roommate ที่ไม่ดีเท่าไหร่ พวกเค้าคุยกันเสียงดังมากยันตี 2 เราไม่เข้าใจว่าเค้าไม่มีมารยาทกันเลยหรือยังไง คือปกติแล้วโฮสเทลที่เราเคยไปพักตามประเทศอื่นๆจะค่อนข้างมีระเบียบ และไม่มีเสียงดังเลยพอเลย 4–5 ทุ่มไปแล้ว เพราะเข้าใจว่า มีหลายคนต้องการพักผ่อน

นอนไปสักพักทนไม่ไหวจริงๆ เลยมี moment ทนไม่ไหวเดินออกไปบอกให้เบาเสียงลงหน่อยเพราะดึกมากแล้ว (สายโหด) ก็ทนไม่ไหวจริงๆเพราะคุยกันแบบดังมาก และพวกฝรั่งกลุ่มนี้ก็ไม่มีท่าทีจะหยุด แม้แต่หยุดหายใจหายคอยังไม่มีเลย จะบ้าตาย แต่ก็นะ ขนาดเดินไปบอกแล้วยังมีขำๆ และคุยกันต่อนิดนึงก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน

สรุปวันต่อมาเรากับแนนก็แทบจะเป็นซอมบี้กันเลยทีเดียว นอนน้อยมาก = =




วันต่อมาเราเริ่มแต่เช้าตรู่ (ตี 5 ไปทำงานยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ค่าาาาา) เพราะกลัวไปไม่ทันที่ Hobbiton Movie Set ค่ะ

แต่ว่ากองทัพเดินด้วยท้องใช่มั้ย รถก็เช่นกัน ต้องเดินด้วยน้ำมัน น้ำมันที่นี่ต้องเติมเองค่ะ โดยเปิดฝาถัง ใส่น้ำมันเข้าไปในตัวถึงแล้วกด FILL พอเต็มแล้วเราก็ไปจ่ายเงินที่หน้า Counter ใน Minimart โดยบอกเลขของจุดที่เราเติมได้เลยค่ะ ส่วนใหญ่ที่นี่ก็จะใช้บัตรเดบิต/เครดิตเป็นหลัก สะดวกดี

พอเติมน้ำมันเสร็จก็เติมพลังกันด้วยอาหารเช้าที่ร้าน Out of the blue cafe เราสั่ง spinach, pesto, sundried tomato & brie panini >< อร่อยจังเลย เข้ากั๊นเข้ากัน

พออิ่มแล้ว เราก็มุ่งหน้าไป Hobbiton Movie Set กัน เราจองตั๋วผ่านทางเว็บไซด์มาก่อนหน้านี้ (เมื่อคืน) แต่ตั๋วออนไลน์รอบเช้าของระบบออนไลน์เต็ม เราเลยโทรไปถามที่ Hobbiton ไว้ก่อน และทราบว่าถ้าเราไปเร็วและมีที่พอ เค้าจะขยับเรามาเป็นรอบเร็วขึ้นได้ สรุปพอไปถึง ก็ทราบว่า มีที่ว่างพอดิบพอดี นั่งรอแค่สิบกว่านาที ค่าตั๋ว $79 ต่อคน รวม Drink ตอนท้าย 1 แก้วค่ะ จองตั๋วกดที่นี่เลยค่ะ http://www.hobbitontours.com/OurTours/tabid/99/Default.aspx

เราขับรถไปเองเลยเลือกที่จะไปจอดที่ The Shire's Rest Cafe เลยเลือกทัวร์แบบเริ่มจากตรงนั้นค่ะ การเข้าไปชม Hobbiton Movie Set เราจะไม่สามารถเข้าไปเองได้ จำเป็นต้องมีไกด์นำพาเข้าชมค่ะ ระยะเวลาชมประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วเราว่ามันก็เร่งไปหน่อย แต่ว่าเข้าใจว่าคนไปค่อนข้างเยอะ ทางทีมงานคงต้องบีบเวลานิดนึง

ไกด์ของเราชื่อ Rene ค่ะ เธออธิบายอะไรก็ดูน่าตื่นเต้นไปเสียหมด Rene เล่าว่าที่ตั้งของ Hobbiton Movie Set นี้เป็นของตระกูล Alexander ค่ะ ซึ่งตอนแรกที่นี่เป็นฟาร์ม Sir Peter Jackson (ผู้กำกับ The Lord of the Ring) มาพบฟาร์มแห่งนี้ตอนช่วงกันยายนปีค.ศ. 1998 จากนั้นก็เริ่มสร้างหมู่บ้านฮอบบิทตอนช่วงมีนาคม ค.ศ. 1999 ซึ่ง Rene เล่าว่าที่มีมีบ้านฮอบบิทอยู่ด้วยกันถึง 39 หลังเลยค่ะ

ส่วนตัวชอบหลังนี้ละ ประตูน่ารัก มีแขวนกระเทียมด้านหน้าด้วย 555

Rene เล่าให้ฟังว่า จะมีอยู่แค่ไม่กี่หลังเท่านั้นที่จะเห็นโถ่งด้านใน นอกนั้นจะเป็นแค่พื้นที่ว่างๆหลังประตูเท่านั้น แต่ละหลังของบ้านฮอบบิทนั้นบอกอาชีพของฮอบบิทที่อยู่อาศัยได้อย่างดี มีหลังนึงมีขนมปังขายด้านหน้า และมีรถเข็นที่มีถุงแป้งอยู่ บ้านนั้นก็คือบ้านของ Baker นั่นเอง ส่วนมีอีกหลังที่มีชีสวางอยู่ด้านหน้า ก็เป็นร้านฮอบบิทที่ขายชีสค่ะ น่ารักมากเลยที่ทางผู้สร้างดูใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ

ไกด์คนสวยของเรายังเล่าต่อไปอีกว่า ตอนฉากช่วงแรกที่มีงานเลี้ยงนั้น เป็นงานเลี้ยงจริงๆค่ะ โดยผู้กำกับได้อนุญาติให้นักแสดงนำญาติมาร่วมงานได้จริงๆ ส่วนในงานนั้นเนื่องจากไม่สามารถเสิร์ฟ Alcoholic Drinks ได้เนื่องจากต้องมีการถ่ายทำขึ้น ทางทีมงานจริงปรุงเบียร์เฉพาะสำหรับงานนี้เลยละ เบียร์อันนี้มี Alcohol น้อยมากๆเลยค่ะ ซึ่งเราจะได้ชิมกันตอนท้าย

เราเดินชมกันไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่สำคัญที่สุดของ Movie Set แห่งนี้ นั่นก็คือบ้านของ Frodo และ Bilbo ค่ะ Rene บอกว่าต้นไม้ด้านหลังนั้นไม่ใช่ของจริงซะด้วย ทางทีมงานต้องประดิษฐ์มันขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ใช่ต้นเล็กๆกันเลยทีเดียว แล้วในบ้าน Frodo นี้ ถ้าทุกคนจำได้ จะมีฉากนึงที่ Gandalf หัวโขกกับโคมไฟในบ้าน ฉากนั้น Rene เล่าว่า มันไม่ได้อยู่ในบทเลย เล่นสดล้วนๆ 555 โธ่ๆเจ็บหัวแย่

บ้าน Frodo และ Bilbo


เมื่อเดินกันมาพอสมควร เราก็มาถึงส่วนของการนั่งพักจิบเบียร์เย็นๆกันแล้ว

ก่อนกลับเราก็ได้รู้อีกอย่างว่า สวนผักและผลไม้ใน Hobbiton Movie Set นี้เป็นของจริง และทีมงานที่ปลูกนั้นได้รับอนุญาติให้นำกลับไปทานที่บ้านได้ตามอัธยาศัย ดีจัง

ก่อนกลับ Rene ก็พาถ่ายรูปจุดที่เราเรียกกับแนนว่า มุมปลาแห้ง ซึ่งเราคิดว่าจุดนี้เป็นหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดเลยละ


พอจบจากทัวร์ Hobbiton Movie Set แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะลอง Parfait พิเศษเฉพาะที่นี่จาก New Zealand Natural ชื่อ Hobbit Crunch อยากให้ทุกคนลองจัง อร่อยยยย ชอบตรงที่มีขนม Pods จาก Mars อยู่ด้วย มันดีมากกกก สายขนมทุกคนที่ได้ไปควรลองค่ะ!

จาก Hobbiton Movie Set เราสองคนก็มุ่งตรงไปยัง Wai-O-Tapu (น้ำพุร้อนพุ่งๆ) ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Rotorua ค่ะ เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกลกันวันนี้เราจึงได้เที่ยวแค่สองที่เองค่ะ

เมื่อเรามาถึงที่ Wai-O-Tapu เราก็ไม่รอช้าที่จะไปซื้อตั๋วเข้าไปชมกันค่ะ บอกไว้ก่อนเลยว่า ที่นี่ค่อนข้างเหม็นนิดนึง เหมือนไข่เน่า 555

Wai-O-Tapu นั้นสามารถเดินชมได้ 3 แบบ ตาม map เลยค่ะ เนื่องจากเรากับแนนเหนื่อยกันมาทั้งวัน และที่นี่ก็ใกล้จะปิดแล้ว ทางเราเลยขอเลือกที่จะเดินแบบ Walk 1 (30 mins) พอค่ะ

not all who wanders are lost — J R R Tolkien


จุดที่ชอบที่สุดคงเป็นตรง Artist's Palette ค่ะ ตามรูปเลย สวยมากกกกก พื้นดินแบ่งเป็นสีๆและขั้นๆตามธรรมชาติอย่างสวยงาม


เมื่อเราเดินเสร็จ ที่นี่ก็จะปิดพอดีเลยค่ะ ก่อนกลับไปที่พักเราก็แวะซื้อของที่ Supermarket ที่ Rotorua แล้วไปเดินที่ Lake Rotorua ซะหน่อยก่อนเข้าที่พักค่ะ เราพักกันที่ YHA Rotorua ค่ะ

เย็นนี้เราสองคนลงมือทำอาการเย็นเองค่ะ ขอตั้งชื่อว่า Sun Dried Tomato & Basil Salmon with Greek Salad หน้าตากะรสชาติก็พอได้อยู่นะ 555 แต่ทำเยอะมาก แล้วกลัวเลี่ยนเลยต้องจัด Sparkling White Wine ตัดเลี่ยนซะหน่อย

จบวันนี้ด้วยการนอนยาวๆเลยค่ะ เหนื่อยมาก แต่ก็สวยมากเช่นกัน




เราก็ยังคงคอนเซ็ปกองทัพเดินด้วยท้องเช่นเคย เช้านี้มาร้านอาหารเช้าง่ายๆแถวโฮสเทลที่พัก ร้านนี้คนแน่นมาก ถ้าใครจะขับรถมาอาจจะต้องมาเร็วนิดนึงเพื่อหาที่จอดค่ะ ร้านนี้ชื่อ Fat Dog Cafe & Bar อยู่ใจกลางเมืองเลยละ ใกล้กับ Visitor Centre เลย

หลังจากพุงตึงแล้วเราก็ไปเก็บภาพ Kuirau Park ของที่นี่กัน Kuirau Park เนี่ยมีน้ำพุร้อนที่มีไอพุ่งๆให้ดูเต็มไปหมด จะว่าไป Rotorua เกือบทั้งเมืองก็มีน้ำพุร้อนแบบนี้ให้เห็นตามซอกมุมเรื่อยๆค่ะ

นอกจากจะมีน้ำพุร้อนให้ดูแล้ว ที่นี่ยังมีพวกใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูด้วยค่ะ สีสวยเลยละ อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว ถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็รีบขึ้นรถกันเลย

ตอนเช้าไม่มีใครเลย สวนเป็นของเราจากสวน เราก็ไปดู Visitor Centre แล้วก็ต่อด้วย St. Faith's Anglican Church กันค่ะ โบสถ์นี้ตกแต่งแบบผสมผสานกันระหว่างแบบ เมารี (ชนเผ่าพื้นเมือง) และ ยุโรป ได้แบบน่ารัก วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์พอดีด้วยค่ะ เลยมีชาวเมารีที่นับถือศาสนาคริสต์มากันเต็มไปหมด ส่วน Rotorua Museum ก็ตกแต่งสไตล์คล้ายๆกันค่ะ

วันนี้วันอาทิตย์ ที่นี่มี flea market พอดีเลยค่ะ เราเลยไปเดินเล่นๆพอหอมปาก หอมคอ หลังจากเราเที่ยวรอบเมือง Rotorua เรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมือง Taupo กันค่ะ วันนี้อาการอึมครึมนิดหน่อย

ระหว่างทางเราก็เจอวัว, แพะ, แกะ เต็มไปหมดค่ะ อย่างกับเที่ยวสวนสัตว์เลยละ

วัวหน้าแกะ

แกะหน้าบ้าน

Red Forest


ก่อนเข้าตัวเมือง Taupo เราก็มาแวะ Huka Falls กันก่อน น้ำตกแห่งนี้มาจาก Waitako River ค่ะ ซึ่งใน 1 วินาทีสามารถส่งน้ำได้ถึง 220,000 ลิตร เป็นน้ำตกที่สีฟ้าสวยมาก ถ้าใครอยากนั่งเรือเข้าไปใกล้ๆน้ำตก ก็ติดต่อ Huka Falls Jet ได้ค่ะ

In every walk with nature one received far more than he seeks — John Muir


ระหว่างทางเราก็จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีเต็มไปหมด เราก็อดหยุดถ่ายรูปไม่ได้จริงๆ

พอเรามาถึง Taupo เราก็ไม่พลาดที่จะแวะ Supermarket ของที่นี่เพื่อซื้อขนมสักหน่อย เราลองแวะ Pak n Save ค่ะ เข้าไปเนี่ยให้ความรู้สึกคล้าย Makro บ้านเราเลยละ เพราะขายของเป็น Wholesale ซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีขายแบบแยกชิ้นนะ

พอช็อปปิ้งขนมเสร็จแล้ว เราก็เอาของเข้าไปเก็บที่พักเรียบร้อย คืนนี้เราพักที่ Haka Lodge ค่ะ ชอบมากเลย เพราะที่นี่เงียบและเป็นระเบียบมาก มีม่านปิดให้แต่ละเตียงด้วยละ


หลังจากเก็บของเสร็จ เราก็ไปจอง Skydive กันค่ะ เราสามารถบอกให้ที่ Reception ช่วยจองให้ได้ค่ะ คือ Skydive เนี่ยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถจองล่วงหน้านานๆได้ แต่เบื้องต้น เราก็จองไว้รอบ 10 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นกับ Skydive Taupo ค่ะ แต่ทั้งนี้ทางพนักงานบอกว่าต้องรอคอนเฟิร์มอีกทีนะ ที่เราจะต้องทำก็คือเตรียมตัวให้เรียบร้อยตอน 9 โมงเช้า ทาง SKYDIVE จะโทรมาแจ้งอีกที ถ้าโชคดี อากาศดี ก็จะมี Limosine มารับ อันนี้ Link ค่ะ http://www.skydivetaupo.co.nz


มื้อเย็นวันนี้เรามากินร้าน The Bistro กันค่ะ TripAdvisor ให้เป็นอันดับต้นๆของร้านอาหารเมืองนี้ค่ะ เมนูของอาหารร้านนี้เป็นสไตล์ยุโรปค่ะ ด้วยความที่อาหารของนิวซีแลนด์นั้นสดมากๆทั้งเนื้อทั้งผัก ทำให้ทั้งสองจานที่เราสั่งอร่อยสุดๆ เมนูของร้านนี้จะเป็นตามฤดูกาลค่ะ

ใครจะไปร้าน The Bistro แนะนำให้โทรจองก่อนที่เบอร์ +64 7–377 3111 ค่ะ

วันรุ่งขึ้นเราสองคนก็เตรียมพร้อมเต็มที่ พร้อมใจตุ่มๆต่อมๆว่าจะได้ไปมั้ย อุตส่าห์มาไกลถึงที่นี่ แล้วเมืองนี้ก็ไม่มีกิจกรรมอะไรมากด้วย ถ้าพลาดวันนี้ไปก็คงไม่ได้โดดแล้ว แต่ว่าทุกอย่างก็ลงตัวค่ะ อากาศดีแจ่มใส โชคดีมากๆ

ตอนนั่งไปในรถ Limousine ก็มีคลิปคนที่เคยโดด Skydive ให้ดู เราก็แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกันแหะ

พอไปถึงที่ร้าน ที่ร้านก็เข้ามาถามว่าสะดวกดูวิดิโอเป็นภาษาอะไร แล้วก็แจ้งว่าสามารถเอาของเก็บได้ที่ล็อกเกอร์นะ จากนั้นก็เปิดวิดิโอเกี่ยวกับการโดด Skydive โดยเน้นไปที่เรื่อง Safety เป็นหลักค่ะ

Package ที่นี่ก็มีให้เลือกทั้งความสูง 12,000 ft กับ 15,000 ft และสำหรับการถ่ายภาพและวิดิโอ เค้าก็จะให้เลือกว่าเราจะอยากได้แบบ Handycam คือคนที่โดดลงกับเราบันทึกภาพแบบ Close-up ให้ หรือแบบ Freefall คือมีตากล้องอีกคนมาบันทึกภาพให้ โดดครั้งนี้เราก็เลือกโดดแบบ 15,000 ft โดยบันทึกภาพแบบ Freefall สนนราคาอยู่ที่ 499 NZD ค่ะ (ถ้าจ่ายผ่านบัตรจะมีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ถ้ายังไงใครกะจะมาโดดอยู่แล้ว แนะนำให้จ่ายเงินสดค่ะ ประหยัดไปอีกนิดหน่อย) ไปเช็คราคาคลิ๊กที่นี่ >> http://www.skydivetaupo.co.nz/prices.html เลย

พอเราพร้อมแล้วเค้าก็จะช่วยเราใส่ชุด แล้วก็จะมาสัมภาษณ์เรานิดหน่อยว่ามาจากไหน ตื่นเต้นมั้ย แล้วพร้อมแค่ไหน โดยอัดวิดิโอและถ่ายรูปไปด้วย จากนั้นก็พาเราไปนั่งบนเครื่องบินลำเล็ก คนที่โดดกับเราก็จะเน้นเรื่องว่า เดี๋ยวพอปล่อยคนที่โดด 12,000 ft เสร็จแล้วให้เราเตรียมตัวใส่หน้ากากอ๊อกซิเจน และตอนก่อนลงให้ทำตัวเป็นรูปกล้วยนะ ต้องนั่งบนตักเค้าด้วย ไม่ต้องกังวล เพราะเค้าโดดมาหลายทีแล้ว

ความรู้สึกตอนโดดลงมานี่ฟินมากๆ เพราะเราจะเห็นทั้งวิวภูเขา, ภูเขาไฟ, ทะเลสาบ, ป่าสน, ตัวเมือง แบบ 360 องศา พร้อมลมเย็นๆ อากาศดีๆ บอกได้เลยว่าเป็น Highlight ของทริปนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันสุดจริงๆ สวยจนลืมความตื่นเต้นไปเลย

พอลงสักพัก ทางคนที่โดดกับเราก็จะกลางร่มชูชีพ แล้วก็ชมวิววนไปค่ะ คนที่โดดลงมาด้วยกับเรานั้นเขาเป็นชาวอังกฤษที่เบื่องานออฟฟิส แล้วก็อยากทำอะไรใหม่ๆค่ะ เลยฝึกโดด Skydive มาเรื่อยๆจนได้มาทำตำแหน่งนี้ เราบอกว่าเค้าโชคดีมากเลยได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ทุกวัน เค้าตอบกลับมาว่า “ใช่เลยละ ผมโชคดีจริงๆ" ไอ้เราก็อิจฉาเบาๆ เพราะได้เห็นแบบนี้ทุกวันคงฟินน่าดู

พอมาด้านล่าง ทางพนักงานก็จะเรียกเราไปเลือกเสื้อ และก็ให้นั่งรอในห้อง แล้วสักครู่ ก็มีวิดิโอเราที่ตัดต่อเรียบร้อยแล้วมาให้ดูกันค่ะ ก็ขำๆ แก้มเราสั่นๆเลยตอนดิ่งตัวลงมาก ตลกมากกกกก ก่อนกลับเราก็ได้ USB ที่มีวิดิโอและรูปภาพกลับมาด้วย ขากลับก็เป็น Limousine คันเดิมไปส่งเราถึงที่พักค่ะพอถึงที่พักเราก็เก็บของกันอย่างเร่งด่วน และมุ่งหน้าไปที่ Lake Taupo เพื่อชมบรรยากาศสุดท้ายของเมือง Taupo ก่อนจะลากลับไปที่ Auckland ค่ะ

ขากลับไป Auckland นั้นรถติดมากๆ เนื่องจากมีอุบัติเหตุตรง Highway เราเลยไปถึงช้ากว่าที่เราคิดมาก เลยได้แค่ชมเมืองนิดๆหน่อยเองค่ะ แต่ก็ไม่พลาดที่จะลองร้านไอติมชื่อดังของที่นี่นั้น GIAPO ร้านนี้เค้าไม่อยากให้ทุกคนตัดสินรสชาติไอติมจากหน้าตา เลยจะปิดตู้ไอติมไว้ทั้งหมดค่ะ แล้วถ้าเราอยากชิมรสไหนก็ให้บอกทางร้านได้เลยค่ะ เค้ายินดีตักให้ชิม ในส่วนของ toppings นั้นทางคนตักไอติมจะเป็นคนทำให้ค่ะ แค่เราบอกว่าไม่ทานอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็เหมือน Surprise เล็กๆในช่วงท้ายว่าไอติมเราจะหน้าตาออกมาเป็นแบบไหน บอกได้ลองไอติมแล้วส่วนตัวเราว่าไอติมร้านนี้เข้มข้นหวานมัน อร่อยสุดๆ ใครไป Auckland แนะนำให้ไปเลย ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

แล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เราก็ไม่รีรอที่จะตื่นเช้าและไปดู Mt.Eden ปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วกัน ที่นี่ Mt.Eden นี่สามารถมองเห็น Auckland ได้โดยรอบเลยละ ตอนเช้าๆแบบนี้คนน้อยมากๆ ทำให้เรามีเวลาค่อยๆเก็บรูปกันเต็มที่

คนสวยของน้อง

แล้วเราก็ไปทาน Brunch กันที่ร้าน RAD Café ใกล้ๆกับ Mt.Eden นี่แหละค่ะ สาเหตุที่เราเลือกมา Mt.Eden กันวันสุดท้ายก็เพราะว่า Mt.Eden อยู่ไม่ห่างจากสนามบินนัก

RAD Café

ที่ร้าน RAD Café นั้นมีเมนูให้เลือกหลากหลาย เราสองคนเลือก So Frenchy, So Toast ซึ่งคือ french toast, vanilla ice-cream, caramelised bananas with bacons กับ Salmon on Herb ซึ่งเป็น waffle with smoked salmon ค่ะ ทั้งสองเมนูร้านนี้ทำได้อร่อยลงตัวมาก ส่วนเรื่องกาแฟเราไม่ขอคอมเม้นแล้วกัน เพราะไม่ใช่สายกาแฟเท่าไหร่ เอาเป็นว่าหอมอร่อยดีค่ะ ตอนเราบอกเพื่อนเราที่เป็นคนนิวซีแลนด์ว่าเรามากินร้านนี้นะ เค้ายังบอกเลยว่า ร้านนี้อร่อย เลือกได้ถูกร้านมากๆ 5555 เรื่องของกินเราต้องไม่พลาดค่ะ คือจริงๆแล้วเวลาเลือกร้าน เราชอบไปอ่านใน Tripadvisor ก่อนค่ะ เราว่าค่อนข้างเชื่อถือได้เลยแหละ



พอทานเสร็จก็ได้เวลาไปขึ้นเครื่องพอดี เราก็เอารถไปคืนที่ร้านเช่ารถแถวสนามบิน โดยแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังเหมือนเดิม ซึ่งปั๊มก็อยู่ใกล้ๆที่ร้านนี่แหละค่ะ พอคืนรถเสร็จแล้ว ทางร้านก็จะมีรถไปส่งที่สนามบิน สะดวกมากๆค่ะ ใครอยากเช่ารถ ลองดูเจ้านี้ดูนะคะ ACE Rental Cars

พอคืนรถเสร็จก็ได้เวลาไปเช็คอิน พร้อมทั้ง Say Goodbye to นิวซีแลนด์ แดนสวรรค์กันแล้วละ ไม่อยากกลับเลยจริงๆ….

ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ !!!





the sun, the sky and a little bit of smile :)

Facebook: Fig tree pockets by gloygloygloy

Hey there, I'm Gloy from Thailand. I like simple things, plants (mostly cacti and succulents), eggs with toast, green tea, folk songs and flea markets. ♥

Fig tree pockets by gloygloygloy

 วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.30 น.

ความคิดเห็น