สนามบินนาริตะ : 28 ธันวาคม 2558


ครั้งแรกที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกตอน 4 โมงเย็นในญี่ปุ่น
ครั้งแรกกับการเที่ยวแดนอนิเมะในฝัน
ครั้งแรกกับการเดินทาง….ในวันอิสระประสาฟรีแลนซ์
ครั้งแรกที่ควรจะเป็นทริปที่สนุก น่าตื่นเต้นจดจำ

แต่…กลับต้องเที่ยวกับ “แฟนเก่า" ที่ขุดหลุมฝังลืมไปนาน

ถ้าญี่ปุ่นสวยน้อยกว่านี้ ฉันคงไม่นึกอยากเล่า เพราะกลัวจะเล่าไปบ่นไป ให้คนอ่านเบื่อซะเปล่าๆ


ใช้เวลาเรียบเรียง ตั้งสตินานเลย! กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มเล่าแบบไหน จะรีวิวเฉพาะที่เที่ยว หรือ...เล่าแบบ...นิยายรักกวนสติ แบบนี้ดี แต่ทริปนี้...มันยาวนาน (นานแบบไม่ตั้งตัวด้วย) เรื่องป่วนใจก็เยอะ เรื่องดีๆ ก็...มีไม่น้อย ประทับใจทั้งเรื่องเที่ยว เรื่องคน เรื่องผจญภัย จนอยากเล่าให้ครบถ้วน


ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นอะไรหลายอย่าง ไหนๆ ก็เป็นทริปแรกของปี 2559
เป็นบันทึกแรกของตัวเอง ขอลงรายละเอียดให้เต็มที่ละกัน
ใครเบื่อเรื่องบ่นมุ้งมิ้ง ไร้สาระ ก็ดูรูปสวยๆ อ่านเฉพาะเรื่องเที่ยวละกันนะคะ


ญี่ปุ่นสวยจริงๆ แต่ละเมืองแต่ละที่ มีมุมประทับใจมากมาย

เป็นทริปท่องเที่ยวข้ามปีที่เราจะไม่มีวันลืมเลย และ...แน่นอน...ซักวัน...จะกลับไปอีกแน่ๆ

สนามบินนาริตะใหญ่โต สวยงาม....

ตอนเดินลงจากเครื่อง ฉันยังอารมณ์สุนทรีย์
มองแสงสวยๆ ของท้องฟ้าญี่ปุ่น ยามอาทิตย์ตก ตอน 4 โมงเย็นอยู่เลย


แต่พอเจอคนตัวสูง หน้าเข้ม ที่ยืนยิ้มแฉ่ง เฝ้ากองกระเป๋าเดินทางที่จัดเรียงไว้เรียบร้อยบนรถเข็น 2 คันใกล้กับจุดรับกระเป๋า ความฟินทั้งหมดทั้งปวงก็หายไป

“รับกระเป๋ามาให้ครบละนะ มน เช็คดู"

ฉันหันขวับไปมองคนที่เขาพูดด้วย...เพื่อนสนิทเจ้าของทริป (ที่น่าจะเป็นตัววางแผน) พอเห็นหน้านิ่งๆของมันแล้ว ก็อยากจะหยิกให้ร้องลั่นสนามบินนัก แต่ก็เกรงใจสามี กับลูกมัน ที่มองตาแป๋วอยู่ข้างๆ ได้แต่จิกแขนเสื้อลากมันมาชิด แล้วกระซิบถาม

“มาได้ไง? "

“เออ ! ลืมบอกว่าหาตัวหารค่าบ้านเพิ่มได้อีกคน ดินเค้าล่วงหน้ามาไฟล์ทเช้าน่ะ ดีออก มาช่วยขนกระเป๋าทันพอดี"

เชื่อมันสิ! ลืมบอก ! ฉันตั้งท่าจะด่า แต่ก็ไม่ทัน

“ทำไม! ไหนว่ายังเป็นเพื่อนกัน ไปเที่ยวด้วยกันไม่ได้เหรอไง"

ตัวต้นเหตุถามเสียงระรื่น ฉันหันไปมองคนที่หายไปจากชีวิตนับสิบปีเต็มตาเป็นครั้งแรก

ไม่เจอกันนาน แต่ความกวนไม่ได้ลดลงเลย ! แวววับๆ ในตาคู่นั้นก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“เฮ้ย! ดิน อย่าเพิ่งป่วนดิ เดี๋ยวมันร้องไห้หรอก"

เสียงแซวขำๆของไอ้มน ทำเอาฉันยิ่งอยากกรี๊ด หันไปมองหน้าเพื่อนอย่างเอาเรื่อง เดี๋ยวเหอะแก!

“ทำไมอ้ะ น้าบุ้ง โกรธกับ อาดิน เหรอ? “

เสียงใสๆ ของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่จูงมือฉันไม่ยอมปล่อย ตั้งแต่ลงจากเครื่อง
ทำให้ฉันต้องถอนใจเฮือก ระงับความโมโหอย่างจำใจ

“น้าบุ้งเค้าแค่ตกใจน่ะครับ น้องนัท อาดินตั้งใจมาเซอร์ไพร์สเค้าไง สำเร็จซะด้วย"

ดูเอาเถอะ! ไม่ใช่แค่หลอกฉัน ยังจะหลอกเด็กด้วย!

“ไปกันเหอะมั้ย เดี๋ยวรถรอ…" ตี้ สามีไอ้มนรีบตัดบทก่อนจะเกิดศึก



ความรู้สึกแรกของการเยือนญี่ปุ่น...ยังไม่รู้ว่าสวยมั้ย
รู้แค่...ประเทศนี้ มืดเร็วจัง! และอุณหภูมิก็ไม่ต่ำมากอย่างที่ใครๆขู่

ก้าวแรกที่สัมผัสอากาศนอกอาคารสนามบิน ก็สบายใจว่าแจ๊กเกตตัวเดียวน่าจะเอาอยู่นะ กับทริปนี้

“ โตเกียววันนี้ 15 องศา แต่พรุ่งนี้พยากรณ์ว่าจะหนาว..." เสียงคนตัวสูงบอกมาเหมือนจะเดาใจได้



กว่าจะลำเลียงสัมภาระขึ้นรถที่หน้าสนามบินแล้วเริ่มออกเดินทางไปยังที่พัก สองข้างทางก็มืดสนิท มองเห็นแค่แสงไฟสองข้างทางของโตเกียว ที่พักของเราอยู่ค่อนข้างไกล ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นอพาร์ตเม้นท์ของอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่เปิดโรงเรียนสอนภาษาไทย ในเมือง Toshi-ma ใกล้ๆกับ Zoshigaya Station ก่อนรถเลี้ยวเข้าซอย ฉันสังเกตเห็นหน้าปากซอยมีทั้ง 7-11 ร้านอาหารกล่อง Family Mart และ Supermarket อีก 2-3 ร้าน สะดวกอุดมสมบูรณ์สุดๆ


ดูวิวตอนมืดแล้ว คาดว่าบรรยากาศยามเช้าก็น่าจะสวยใช่ได้
เพราะตัวตึกตั้งอยู่บนเนินสูง ถนนด้านหน้าเทลาดลงไปดูน่าเดินกินลมชมวิว


ถ้าตัดตัวป่วนออกไป ต้องถือว่าเป็น First Trip ที่คุ้มค่ามากสำหรับฉัน เพราะทริปนี้จะได้เที่ยว ได้กิน ได้อยู่แบบญีปุ่นแท้ ได้พักใน “บ้าน" ของคนญี่ปุ่นจริงๆ กับเพื่อนสนิท...ที่เที่ยวญี่ปุ่นมาหลายรอบ จนแทบจะเป็นบ้านที่สองของมันไปแล้ว


คืนแรก...แอบงงนิดหน่อย ตอนเปิดเข้าไปในห้องพัก

ภายในอพาร์ทเม้นต์สะอาด สวย น่ารัก มีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก มีเครื่องซักผ้า มีระเบียง ครบถ้วนน่าอยู่ แต่...ไม่มีห้องนอน มีแต่ห้องเก็บฟูกที่เรียงทับกัน แล้ว...จะนอนกันยังไง

"คราวที่แล้ว ฉันก็นอนรวมกันที่ห้องรับแขกเนี่ยแหละ"

"อย่าบอกว่านอนรวมไม่ได้! "

เสียงตัวป่วนถามนำหาเรื่องมาเลย

แต่...ยังไม่ใช่เวลาทะเลาะ ฉันนั่งทำใจในรถมาพอสมควรละ เรื่องจะนอนยังไงตรงไหน ช่างมันเถอะ เพราะยังไม่ถึงเวลานอน เรามีภารกิจสำคัญมาก คือ...ต้องรีบไปซื้อซิมเพื่อต่อเนตอย่างเร่งด่วน และไปรวมตัวกับเพื่อนสมัยมัธยมของมน ชื่อ "นิ้ง" ที่แต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่น และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มาสิบกว่าปี


และแล้ว...ฉันก็ได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก



เราต้องนั่งรถไฟไป 1 สถานี จาก Zoshigaya Station ไป Nishi-Waseda Station



มื้อแรกวันนี้...ฝากไว้ที่ย่านวาเซดะ ที่เพื่อนเน้นว่า...ของอร่อยเพียบ

จากสถานีรถไฟ เดินชมวิว ผ่านร้านค้าเยอะแยะมากมาย แวะซื้อเนตซิมที่ร้านมือถือ

แล้วก็ไปต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงร้านอาหารชื่อดัง (ที่เค้าว่ากัน)



มื้อแรกในญี่ปุ่น จำชื่อร้านไม่ได้ซะแล้ว แต่แอบถ่ายเมนูของร้านมา



บรรยากาศและการตกแต่งร้าน ญี่ปุ่นจ๋ามากๆ ส่วนอาหารก็ออกแนวทะเลเผาบ้านเรา

อุปกรณ์พร้อมสรรพ ทั้งที่ปิ้ง ที่ต้ม มาพร้อม หอยตัวใหญ่ หลากชนิด


ถามว่าอร่อยมั้ย...ด้วยความตื่นเต้นผสมบรรยากาศ มันก็อร่อยไปหมด


กว่าจะอิ่ม เดินออกมาจากร้าน บรรยากาศบนท้องถนนก็เริ่มเงียบลง นิ้งเล่าว่าเพราะเป็นช่วงปีใหม่ คนเริ่มกลับบ้านกันแล้ว ตกเย็นช่วงนี้ ถนนก็เลยเริ่มเงียบ และจะยิ่งเงียบขึ้นเรื่อยๆ


วันปีใหม่ เมืองนี้จะโล่งสุดๆ และเงียบสนิท
ไม่เชื่อ...ก็ให้ออกมาเดินเค้าน์ดาวน์กัน รับรองทั้งเมืองเป็นของคุณแน่นอน



"อยากกินกาแฟมั้ย..."

คนเคยรู้ใจถามเบาๆ เมื่อเราเดินผ่าน Starbucks ตอนออกจากร้านอาหาร กลับไปยังสถานนีรถไฟ

"ไม่ละ เดี๋ยวจะนอนแล้ว"

"เดี๋ยวนี้ไม่ติดกาแฟแล้วเหรอ เมื่อก่อนเห็นร้านกาแฟเป็นไม่ได้"

"อืม คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้แหละ ถามจริงๆ มาทริปนี้ได้ยังไง? "

สุดท้าย...ฉันก็หันไปถามตรงๆ อยากรู้จริงๆ เขาหัวเราะเบาๆ มองหน้ายิ้มๆ

" เปลี่ยนงาน เลยหาที่เที่ยว ชาร์จแบตให้ตัวเองเหมือนบุ้งไง"

เริ่มแน่ใจว่า...ไม่น่าจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแน่นอน
ฉันก็เลยเลิกถาม แล้วรีบเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนข้างหน้า ทิ้งคนข้างหลังให้เดินเรื่อยเปื่อยไปคนเดียว


Toshi-ma : 29 ธันวาคม 2558

8.30 ญี่ปุ่น...ตื่นเป็นคนแรก ตามเวลาปกติประเทศไทย 6.30 ฟ้าข้างนอกยังไม่มีแดดเลย ดูหม่นๆ หนาวๆ ทดลองเปิดประตูระเบียงออกไปดูวิวข้างนอก โอ๊ยย!! หนาวมาก


ในห้องเปิดฮีทเตอร์ไว้อุ่นสุดๆ ยิ่งทำให้แทบจะพ่นควันออกจากปากตอนเจออากาศข้างนอก มองจากระเบียงออกไป มองเห็นสถานีรถราง กับรั้วมหาวิทยาลัย Gakushuin เห็นคนขี่จักรยานไปมาบนฟุตบาท สลับกับคนวิ่งออกกำลังกันเป็นระยะ แต่ละคนใส่เสื้อหนาว หมวกไหมพรม ถุงมือ พันผ้าพันคอ ครบเซท



ครอบครัวพ่อแม่ลูก ที่ปูฟูกนอนกลางห้องรวมกัน ใกล้ๆ ฉัน ยังไม่มีใครขยับ ส่วนอีกคน...กำลังชงกาแฟหอมฉุยอยู่ในครัว ดินยกแก้วกาแฟของตัวเองเป็นเชิงถาม ฉันพยักหน้าตอบรับ ก่อนหอบเสื้อผ้า เดินหลบครอบครัวตัวเที่ยวที่นอนกระจายเต็มพื้น เข้าห้องน้ำไปจัดแจงตัวเอง


เมื่อคืนมีเรื่องตกใจรอบสอง ด้วยความงี่เง่าของตัวเอง!
แผนการเดินทางที่ฉันคิดว่าจะมาเที่ยว 5 วัน กลายเป็น 11 วัน ด้วยความเอ๋อหรืออะไรก็ไม่รู้ของตัวเอง ฉันมารู้ตัวว่าต้องอยู่ญี่ปุ่นถึงวันที่ 8 มกรา แทนที่จะเป็น 2 มกรา ก็เมื่อถามถึงวันที่จะไป Fujiko · F · Fujio Museum ที่เป็นเป้าหมายในฝันของแฟนพี่ม่อนอย่างฉัน กับน้องนัท

"วันที่ 4 แหละถึงจะไปได้ เพราะช่วงปีใหม่เขาปิด เปิดวันแรกก็วันที่ 3" ฉันมองเพื่อนงงๆ

"แปลว่าอดไปดิ ก็เรากลับวันที่ 2 หรือว่าแกเปลี่ยนแผนอยู่ต่อ"

คราวนี้งงกันทั้งคณะ คนตัวสูงถึงขั้นเดินมานั่งข้างๆ มองหน้าฉันเหมือนจะไม่เชื่อ

"ล้อเล่นรึเปล่า เรากลับกันวันที่ 8 นะ"


ตกใจจริงๆ! ฉันแทบไม่ได้โทรคุยกับไอ้มนเลยตั้งแต่สรุปเรื่องทริปญี่ปุ่นกันเดือนก่อน มีแต่ส่งไลน์ถามนั่นนี่กันไปเรื่อยเปื่อย แต่จำได้แน่ๆ ว่าตัวเองจะไปญี่ปุ่น 28 ธันวา 2558 กลับ 2 มกรา 2559


ตาบ้าดิน หัวเราะลั่น ตามมาด้วยไอ้มน ส่วนตี้ ดูเหมือนจะเกรงใจเพื่อนเมีย ได้แต่มองหน้าอึ้งๆ
ฉันถามย้ำหลายรอบว่านี่เปลี่ยนแผนแล้วลืมบอกฉันรึเปล่า

"บ้า! ฉันส่งตั๋วให้แกดูในไลน์แล้วไง ไม่ได้ดูเลยเหรอ"

ดินมองหน้าฉันอย่างรู้ทัน แล้วยิ่งขำ ก่อนส่ายหัว ถอนหายใจเสียงดังได้ยินทั่วห้อง

"ไม่ดูหรอก! นิสัยเหมือนเดิม เอ๋อมาก"

อึ้งค่ะ! คือเสื้อผ้า เงินเที่ยว เตรียมมาแค่ 5 วันจริงๆ
งานใหม่ที่รับปากไว้ที่กรุงเทพ ก็มีคิวส่งสัปดาห์แรกของปีใหม่ทั้งนั้น ชีวิตป่วนสิ! แล้วจะทำยังไง


คราวนี้เริ่มซีเรียส...เปิดประเด็นจริงจัง เรื่องเสื้อผ้า ไม่ต้องห่วงเพราะมีเครื่องซักผ้า ซักตากฮีทเตอร์ทิ้งไว้ คืนเดียวแห้ง เรื่องเงิน ยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนฝูงที่ญี่ปุ่นเยอะแยะ ถ้าเงินเพื่อนร่วมทริปขาดมือ ก็กด ATM จากเพื่อนๆในญี่ปุ่นได้ ทีนี้ก็เหลือ...เรื่องงาน จะเลื่อนงาน หรือเลื่อนตั๋วกลับก่อน...

"ไม่ใช่จะได้มาบ่อยๆนะแก ไหนๆมาแล้ว เลยตามเลยเหอะ"

ฉันก็คิด...เพราะเกรงใจเพื่อน ถ้ากลับก่อน ไหนจะเรื่องเลื่อนตั๋ว ไหนจะเรื่องวันกลับที่ต้องวุ่นวายจัดการให้อีก ในที่สุดก็ต้องรีบไลน์คุยเลื่อนงานกับคนทางเมืองไทย จนจบ

"คาดว่าจะเอ๋อแบบนี้ไปจนแก่!"

ฉันเผลอค้อนคนพูดขวับใหญ่ นิสัยเยาะเย้ยซ้ำเติมแบบนี้ ก็คงมีไปจนแก่เหมือนกันแหละ

...................................................

แผนการเดินทางวันนี้...คือ เมือง YoKoHaMa

เป้าหมายสำคัญคือ Hara Model Railway Museum และ Cup noodle museum


ฉันเริ่มคุ้นเคยกับรถไฟสาย Fukutoshin Line ละ แต่กำลังพยายามจำรถไฟสายอื่น ที่โยงกันเป็นใยแมงมุม โดยมีเด็ก 8 ขวบเป็นโค้ชช่วยอธิบายเส้นทางที่ต้องต่อไปต่อมา ในแต่ละสถานีอย่างคล่องแคล่ว


บ้านนี้มาญี่ปุ่นกันทุกปี ตั้งแต่น้องนัทไม่กี่ขวบ จนตอนนี้...เรียกว่าขึ้นรถไฟตรงไหน ราคาเท่าไร ราเมงที่ไหนอร่อย นัทจำได้หมด งานนี้...แม่มันบอกให้ฉันไปช่วยดูแลหลาน แต่เอาเข้าจริง! หลานน่ะแหละ ดูแลฉัน เดินไปไหน ก็จูงมือแจ เพราะกลัวยัยน้าเอ๋อๆ จะพลัดหลง


งานเที่ยววันนี้ เริ่มอย่างเป็นทางการที่ Zoshigaya Station เหมือนเดิม ก่อนจะไปเปลี่ยนรถไฟที่ Shinjukusanchome Station ต่อรถไฟสาย Tokyu-Toyoko Line นั่งต่อไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไปลงที่ Minatomirai Station ในโยโกฮาม่า


แค่คำว่า "โยโกฮามา" ก็ทำให้ฟุ้งจนฟิน...ตั้งแต่ก่อนถึงแล้ว

ออกจะเขินนิดๆ เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย แต่ความประทับใจวัยเด็ก เมื่อตอนอ่าน "มนต์รักโยโกฮาม่า" การ์ตูนโรแมนติกสุดคลาสสิคของ อาจารย์ Yamato Waki ยังจำได้ไม่จางจริงๆ

ฉันเพิ่งไปสอยชุดพิมพ์ใหม่เล่มหนากลับมาได้ครบ เมื่อปีที่แล้วจากงานสัปดาห์หนังสือ อ่านยาวรวดเดียวจบไม่หลับไม่นอนจนจบ ยิ่งอ่านซ้ำก็ยิ่งซึ้งกับความรักของ ริวสุเกะ กับ มาริโกะ ความผูกพันของ อุโนะ กับ คณชิน ที่เริ่มต้น และลงเอย Happy Ending กันที่ "โยโกฮามา" เมืองท่าเรือที่แสนโรแมนติค...ที่นี่แหละ


เรื่อยเปื่อย...ฟินส่วนตัวอีกแล้ว ^_^

ใครสนใจเพิ่มเติม บล็อกของคุณ Nikanda เคยรีวิวไว้ ตามไปอ่านแล้วมาอินกับโยโกฮามาด้วยกันต่อก็ได้ค่ะ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nikanda&month=04-2010&date=19&group=34&gblog=4


ความประทับใจ ความอยากมาเยือนญี่ปุ่น ของฉันส่วนตัว ถ้าไม่มาจากการ์ตูนที่อ่านมาตั้งแต่ประถม ก็มาจากซีรี่ย์ญี่ปุ่น ที่ดูซ้ำไปซ้ำมาจนแผ่นจะพังทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่มีสาระค้นหาอะไรมามากมายเลย


โยโกฮามา...ปัจจุบัน สวยอลังการ ชวนฝันไม่แพ้ยุคเมจิที่ 8 ในนิยาย

ถ้าเชื่อนิยาย...ประวัติของเมืองนี้ ก็มีริวสุเกะ กับคุณหนูมาริโกะเนี่ยแหละ เป็นแรงผลักพัฒนาเมืองมาจนถึงป่านนี้ ( 555 อันนี้ส่วนตัวค่ะ ข้ามไปได้เลย )


เราเดินจากใต้ดินของสถานี Minatomirai ขึ้นบันไดเลื่อนสูงลิบขึ้นมายัง Queen's Square เพื่อจะไปถ่ายรูปยังจุดแลนด์มาร์ก ที่ชาวคณะเขาบอกว่าใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ เดินออกจากประตูห้าง ก็เจอสวนสนุกกลางแจ้ง สดใสท่ามกลางท้องฟ้าสีฟ้าจัด งามสุดๆ


สวยมาก...และโชคดีที่อากาศดีขนาดนี้ ฟ้าสวย แดดใส บรรยากาศดี๊ดี วิ่งถ่ายรูป เก็บจุดแลนด์มาร์กจนครบ ก็เริ่มได้เวลามื้อเที่ยง ซึ่งเซียนญี่ปุ่นเค้ามีเป้าหมายที่ร้านราเมงชื่อดังในห้างนี้ แต่...แถวยาวมากค่ะ ตัวเล็กโวยวายว่าหิว ไม่เอา ไม่รอ! ก๊อต้องตามใจท่านผู้นำตัวเล็กของเราตามเคย



ในที่สุด ก็มาจบที่ร้านอาหารเล็กๆที่อยู่ตรงข้าม จัดกันไปคนละชุดง่ายๆ เติมพลังไว้เที่ยว ไม่ได้เลือกมาก แต่ว่า...ก็อร่อยใช้ได้ทุกจานเลย


อิ่มแล้ว...ก็ต้องไปต่อ เหลืออีก 2 จุดหมาย ซึ่งเป็นความฝันของเด็กชายนักท่องญี่ปุ่น

HARA Model Railway Museum และ Cup Noodles Museum

ดูแล้ว ไม่ไกลกันเท่าไร แต่ดูอาการตื่นเต้นของเด็กชาย ไม่น่าจะใจเย็นยอมเดินเล่นเรื่อยๆ

สรุปคุณพ่อตี้ก็เลือกกลับไปลงรถไฟใต้ดินที่สถานีเดิม Minatomirai Station

ขึ้นรถไฟสาย Minatomirai Line ไปลงที่ Shin-Takashima Station แล้วออกเดินชมเมือง ไปยังตึก YOKOHAMA MITSUI BUILDING ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์รถไฟ ที่รวมโมเดลรถไฟทุกยุคของทุกประเทศไว้อย่างครบถ้วน


ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟ ไปยังจุดหมาย ค้นพบว่าถนนหนทางเมืองนี้ สวยสงบดีจริงๆ รถยนต์น้อยมาก บนถนนมีแค่แท๊กซี่ กับรถเมล์วิ่งผ่านนานๆครั้ง ถนน...เป็นของคนเดินเท้าจริงๆ ทางม้าลายกว้างขวาง ไฟสัญญาณข้ามถนนชัดเจน ไปไหนมาไหนง่ายสุดๆ แค่ไฟเขียว....เราก็รู้แล้วว่าเราสามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล


เดินไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย มิวเซียมตั้งอยู่ชั้นสองของตึก แต่แค่เปิดประตูเข้าไป ก็เจอรถไฟย่อส่วนที่มีพนักงานจริง นั่งได้จริง บิ๊วรออยู่ละ จะเหลือเหรอคะ ก็ต้องเล่นกันสิ ^_^

งานนี้เด็กชายนัทตื่นเต้นสุดๆ แม่เล่าว่าที่บ้านเต็มไปโมเดลรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน นัทจำได้ทุกรุ่นว่ารุ่นไหนคือรุ่นไหน ของบริษัทอะไร และอยากรู้ประวัติของทุกสิ่ง ร่ำร้องจะมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสพามาซักที

จากตอนแรกที่ไม่คอยตื่นเต้น พอมาถึงที่...ฉันก็เริ่มทึ่ง อาจจะเพราะชินกับมิวเซียมไทย ที่เหมือนตู้กระจกตั้งโชว์ของไว้ มีอะไรก็อ่านๆกันไปเอง ในขณะที่...มิวเซียมที่นี่ เต็มไปด้วยแสงสี และพนักงานที่พร้อมจะให้ความรู้อย่างจริงจัง จริงใจ

Hara Model Railway Museum ถือกำเนิดขึ้นโดย Nobutaro Hara คนชื่นชอบรถไฟและโมเดลรถไฟมาก เรียกว่าสะสมไว้มากมายจนสามารถสร้างเป็น "พิพิธภัณฑ์รถไฟจำลอง" ขึ้นมาได้เลยทีเดียว


ตอนแรกฉันคิดว่าที่นี่คงมีแค่โมเดลรถไฟของญี่ปุ่น แต่พอเห็นโมเดลทั่วโลกที่รวบรวมไว้ในตู้กระจก เห็นภาพจำลองเส้นทางรถไฟในญี่ปุ่น ที่จัดเต็มทั้งรายละเอียด แสงสีเสียงอย่างอลังการ ก็มีปลาบปลิ้มตามน้องนัทขึ้นมาเลย


เราปล่อยน้องนัทดูโมเดลรถไฟจนเต็มที่ นั่งดูรถไฟในเมืองจำลองแล่นผ่านไปผ่านมาหลายรอบ ก็ต้องรีบออกเดินทางเพื่อไปให้ทัน Cup Noodles Museum ซึ่งจะปิดทำการตอน 6 โมงเย็น


ทริปเราไม่ใช่ทัวร์ชะโงก แต่เป็นทัวร์วิ่งกันขาขวิดเลย เพราะดูกันเต็มที่ ถ่ายรูปกันเต็มอารมณ์อยาก จนเกินเวลาซะทุกที โผล่ออกมาเจอแสงโพล้เพล้ของโยโกฮามา งานนี้วิ่งก็ไม่น่าจะทัน สุดท้ายตี้ก็ตัดสินใจเรียกแท๊กซี่ ว้าววว!! นั่งแท๊กซี่ญี่ปุ่นครั้งแรก


กว่าจะไปถึง Cup Noodles Museum เป้าหมายที่ตั้งใจว่าจะไปทำบะหมี่ถ้วยของตัวเอง ก็หมดหวังซะละ เพราะคนแน่นจนคิวเต็ม สุดท้ายก็ได้แต่เดินดูบะหมี่ถ้วย ที่ถูกรวบรวมไว้ในตู้กระจก

ทุกอย่างในประเทศนี้ สามารถรวบรวมจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ได้จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่รวมมาโชว์ ทั้งความหมายทั้งคุณค่า มีการนำเสนออย่างชัดเจน โดดเด่นน่าสนใจทั้งสิ้น

ฝั่งนี้แสดงวิวัฒนาการของบะหมี่ญี่ปุ่น ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบัน

ตู้กระจกอีกฝั่ง รวบรวมบะหมี่จากทั่วทุกมุมโลก


มุมถ่ายรูปกับคนดังทั่วโลก และแน่นอน กับผู้ก่อตั้งบะหมี่นิชชิน ต้นตำรับของญี่ปุ่นด้วย


จำลองการทำบะหมี่ตั้งแต่สมัยโบราณ



ได้ความรู้และสนุกดี แต่ไฮไลท์ของที่นี่ ยังไม่ได้จบแค่นี้ค่ะจุดชมวิวที่ชั้นบนสุดของ Cup Noodles Museum มองเห็นแสงสีบรรยากาศของเมืองท่าเรือได้สวยที่สุดเลยค่ะ ฉันตื่นเต้นกับวิวจนลืมหนาว มัวแต่ตั้งกล้องถ่ายรูป เปลี่ยนมุมเก็บภาพไม่หยุด


"ใส่เสื้อหนาวเหอะ ลมแรงนะ"
คนที่...วันนี้ ยังไม่ได้คุยกันซักคำ เตือนมาเบาๆ
"ไม่เป็นไร ยังไม่หนาว" คราวนี้มือใหญ่เอื้อมมาดึงเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังเบาๆ
"เอาเป้มา เดี๋ยวเอาให้" ฉันตั้งท่าจะหันไปปฏิเสธอีก

แต่พอเห็นสายตานิ่งๆของเขา ก็ชักเกรงใจ ยอมปล่อยเป้จากหลังให้เขาแต่โดยดี
ครู่เดียวเสื้อหนาวที่พับซุกไว้ในเป้ ก็ถูกคลี่มาคลุมบ่าไว้

"ขอบคุณนะ" ฉันบอกเบาๆ โดยไม่หันไปมองคนที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ

บรรยากาศมันดีเกินไป สวยเกินไป โรแมนติคเกินไป
ครอบครัวตัวเที่ยว...ก็หลบมุมไปถ่ายรูปกันสามคนพ่อแม่ลูก

ทั้งที่คิดว่าทำตัวปกติได้แล้ว
แต่...ลมหนาว...ทะเลสีดำ...กับแสงไฟสะท้อนผิวน้ำตรงหน้า...ก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี


เพิ่งจะ 5.40 ตอนที่เราเดินออกมาจากมิวเซียม ข้างนอกลมแรงหนาวจัด

แต่แสงไฟจาก สวนสนุก Cosmo World สวนสนุกริมอ่าว ชื่อดังของโยโกฮาม่า ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ก็ทำเอาฉันกรี๊ดไปอีกรอบ นาฬิกาแสงสวยจากชิงช้าสวรรค์ Cosmo Clock 21 บอกเวลาชัดเจน



"รู้มั้ย...Cosmo Clock เคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

เสียงไกด์จำเป็นบอกมายิ้มๆ

"ก่อนจะถูกชิงตำแหน่งด้วยชิงช้าที่โอซาก้า แล้วที่โอซาก้า ก็โดนโอดาบะ ชิงตำแหน่งไปอีกที"

"ทำไมรู้ดีจัง..." ไม่เคยรู้ว่าเขาจะสนใจเรื่องสวนสนุก!

"ก็เคยอยากพามาเล่น เลยเคยหาข้อมูลไว้ !"


เราเดินข้ามสะพาน ไปอีกฝั่งเพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟ ฉันเพิ่งนึกได้ว่า...นี่คือสวนสนุกมุมที่เราเห็นเมื่อตอนกลางวันนี่นะ มันคนละอารมณ์กันจริงๆ และ...ใกล้กันแค่นี้เองเหรอเนี่ย Queen Square กับ Cup Noodles Museum แค่เดินข้ามฝั่งสะพานนี่เอง...

"ที่เรายืนอยู่ตรงนี้คือ...อ่าวโยโกฮาม่า" เสียงบอกมาอีก

คราวนี้ฉันไม่คุยด้วย เพราะกำลังหมุนหามุมไปรอบ พยายามเก็บแสงสีของอ่าวโยโกฮาม่า ให้ได้มากที่สุด



เราเดินเลาะริมน้ำ ผ่านบ้านผีสิง Dr.Edgard และซุ้มเครื่องเล่นๆต่างๆไปเรื่อยๆ แสงไฟวิบวับสวยงามตลอดทาง




กว่าจะถึงจุดหมาย...ก็ปาเข้าไปทุ่มนึง
ความมืด...ทำอะไรเมืองโยโกฮาม่าไม่ได้จริงๆ
แสงสี และเสียงกรี๊ด ยังดังทั่วบริเวณ

ยังไม่อยากกลับ...แต่ก็ถึงเวลาต้องกลับกันแล้ว

แล้วจะกลับมาอีกนะ...โยโกฮาม่า...เมืองท่าที่รัก...


ขากลับ...เราใช้เส้นทางเดิม...

นั่งรถไฟจาก Minatomirai Station ไปยัง Shinjukusanchome Station เพื่อเปลี่ยนมาขึ้น Fukutoshin Line มุ่งหน้ากลับไปยัง Zoshigaya Station ตี้วางแผนว่าจะหาข้าวเย็นกินแถว Shinjuku แล้วค่อต่อรถไฟกลับบ้าน


เพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานที่ใครๆก็แย่งกันกลับบ้าน รถไฟเลยแน่นจนแทบไม่มีที่ยืน แต่เราก็แทรกตัวเบียดเสียดเข้าไปจนได้ น้องนัทเกาะฉันแจอยู่มุมหนึ่ง ไม่สนเลยว่าพ่อกับแม่จะโดนเบียดไปอยู่มุมไหน แถมยืนพิงฉันทำท่าเหมือนจะหลับ เสียงหัวเราะเบาๆข้างหลัง ทำให้ฉันรับรู้ว่าอีกคน...ยืนประกบอยู่ด้วย


"ดีๆละ เดี๋ยวได้ลงไปจับกบทั้งน้าทั้งหลาน"

"รู้น่า..."

"เหนื่อยมั้ย วันนี้"

"ไม่หรอก สนุกมากกว่า"

"ใช่สิ เมืองที่อยากมานี่นะ" ฉันหันไปมองคนพูด มองรอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยคุ้นตา

"นานแล้วนะ ยังอุตส่าห์จำได้"

"คนบางคนแค่เดินออกจากชีวิตเรา ไม่ได้เดินออกจากใจเรานี่ จะลืมได้ยังไง"


รถไฟคนแน่นยาวไปถึงชินจุกุ กว่าจะเดินหาที่กินข้าว กว่าจะกลับถึงบ้าน...ก็....ชักเหนื่อย

วันนี้มีคำถามคาใจหลายเรื่องที่อยากได้คำตอบจริงๆ แต่คนตอบ...ต้องไม่ใช่คนทีเป็น "ปัญหา" สิ

..................................

จำ...หรือลืม...บางทีมันก็อยู่ที่เราเลือก
ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า...เหมือนนาฬิกา....
ไม่ใช่วนไปวนมา เหมือนชิงช้าสวรรค์
มันควรจะเป็นอย่างนั้น...ไม่ใช่เหรอ

.........................

บันทึกง่ายๆ เขียนไปตามอารมณ์ ทริปนี้ยังเล่าไม่จบ เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ไลค์แชร์กันได้นะคะ ถ้าชอบ จะได้มีกำลังใจ รีบมาเล่าต่อ

หรือแวะคุยกันได้ที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/loveasjourney/


ความรักเดินทาง

 วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.39 น.

ความคิดเห็น