เมื่อหน้าฝนมาเยือนพร้อมกับอากาศที่กำลังเย็นสบาย
ภาพทุ่งนาเขียว ๆ ที่อยู่ในหัวก็ลอยมา
เราจะเดินทางไปยังเมืองสีเขียว เมืองที่เต็มไปด้วยไร่นาเขียวขจี
โอบล้อมไปด้วยขุนเขากับสายหมอกบาง ๆ
เราจะไปที่นี่กันครับ
"เมืองปัว จังหวัดน่าน"
หลังเลิกงานวันศุกร์เราออกเดินทางกันค่ำ ๆ
จุดหมายปลายทางวันแรกเราอยู่กันที่โฮมสเตย์ตานงค์ครับ
เราขึ้นรถทัวร์กันที่ศูนย์วิภาวดี เลือกใช้บริการของสมบัติทัวร์ครับ
สำหรับใครที่จะไปเมืองปัวแนะนำให้ซื้อตั๋วสายกรุงเทพฯ - ทุ่งช้าง
เพราะรถทัวร์ที่วิ่งเส้นนี้จะผ่านเมืองปัวครับ
ก่อนขึ้นรถทัวร์บอกพี่เค้าไว้ก่อนเลยครับ
ว่าเราจะลงที่ตลาดปัว
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันครับ
นั่งรถกันไปราว ๆ สิบเอ็ดชั่วโมงได้
เราก็มาถึงกันที่ตลาดปัว
ล้างหน้าแปรงฟันให้สดชื่นกันสักหน่อย
หลังจากหลับกันมาตลอดคืน
สดชื่นกันเต็มที่แล้ว เริ่มหิวกันแล้วสิครับ
หาอะไรร้อน ๆ กินเพิ่มพลังกันดีกว่า
แล้วเราก็มาเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้
ได้กินอะไรร้อน ๆ แบบนี้ค่อยสบายท้องหน่อย
ยังไม่หนำใจพอ
เราขอซัดข้าวไข่ดาวอีกสองฟอง
เพิ่มพลังกันเต็มที่เลยทีนี้
หลังจากอิ่มกันเต็มที่ เราก็เดินหาร้านเช่ามอเตอร์ไซด์
ที่เราหามาจากในกูเกิ้ล แต่ด้วยความไม่ชินในพื้นที่
โทรถามทางน่าจะดีที่สุด แต่ระหว่างโทรพี่เจ้าของร้านเค้าขับเข้าซอยมาพอดี
เราเลยติดรถพี่เค้าเข้าไปด้วยครับ
ใครที่จะมาเมืองปัวแนะนำให้เช่ารถมอเตอร์ไซด์
จะสะดวกที่สุดเพราะที่นี่รถโดยสารน้อยมาก
เราเช่ากันที่ร้านสุวัฒนายานยนต์ครับ เจ้าของร้านเป็นกันเองมาก
ใครหาร้านไม่เจอ โทรถามเจ้าของร้านได้เลย
ที่เบอร์นี้ครับ ช่างอึ่ง (081-950-8121)
ได้มอเตอร์ไซด์มาแล้ว พี่เค้าก็เช็คสภาพรถกันก่อน
เดี๋ยวเราต้องลุยกันไปอีกไกล
สำหรับราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ร้านนี้
อยู่ที่วันละ 300 บาท ไม่รวมน้ำมันครับ
เนื่องจากแบกของมากันเยอะ เราเลยแวะเอาของไปไว้ที่พักก่อน
คืนแรกเราจะพักกันที่โฮมสเตย์ตานงค์ครับ
ขับจากตลาดปัวไปเรื่อย ๆ แล้วตรงยาวเพื่อเข้าสู่แยกบ้านส้าน
ทางเข้าอาจจะซับซ้อนหน่อย
เราเลยเอาแผนที่มาให้ดู จะได้ไม่หลงทางกันครับ
ระหว่างทางก่อนถึงที่พัก
รายล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจีเต็มสองข้างทาง
ขี่มอเตอร์ไซด์ชมวิวกันไป เพลินสุด ๆ ครับ
ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงที่พัก
สำหรับใครที่จะมาพักที่โฮมสเตย์ตานงค์
ราคาห้องพักอยู่ที่ 500 บาทครับ พักได้ห้องละ 2 คน
ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้าและเย็น
แต่ละห้อง มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ห้องน้ำในตัวพร้อมครับ
วางเป้กันเสร็จเรียบร้อย พวกเราไม่รอช้า บิดมอเตอร์ไซด์ไปยังวัดภูเก็ตกันต่อ
เห็นชื่อวัดแบบนี้ไม่ได้อยู่ภูเก็ตนะ อยู่ที่เมืองปัว จังหวัดน่านนี่แหละครับ
เดี๋ยวเราจะไปหาคำตอบกัน ว่าทำไมชื่อวัดถึงเป็นแบบนี้
ไม่ต้องกลัวหลงครับ มีป้ายบอกตลอดทาง
ขับเข้าซอยไปแปปเดียว เราก็มาถึงกันแล้วครับ
คนที่เดินเข้าวัดมาหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบของวัด ทำให้เราได้มีสติมีเวลาคิดทบทวนอยู่กับตัวเองครับ
มาถึงแล้วก็กราบไหว้บูชาหลวงพ่อที่วัดนี้กันหน่อยครับ
วัดที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อแสนปัว หรือ หลวงพ่อพุทธเมตตา
เป็นที่พึ่งทางใจที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนที่นี่ครับ
ที่วัดนี้มีไฮไลท์เด่นที่ใคร ๆ มาก็จะต้องประทับใจกันทุกคน
เป็นระเบียงชมวิวซึ่งมองเห็นทุ่งนาในมุมกว้างแบบพาโนรามาเลยครับ
ฉากหลังยังเป็นวิวภูเขาของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
งามจับใจ ต้องพูดเป็นภาษาเหนือเลยว่า งามขนาดดดดด
ส่วนวัดนี้ที่ได้ชื่อว่า "วัดภูเก็ต"
เพราะเค้าตั้งกันตามชื่อหมู่บ้านที่มีชื่อว่า หมู่บ้านเก็ต
ด้วยวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งคนทางเหนือเรียกว่า ดอยหรือภู
จึงตั้งชื่อว่า "วัดภูเก็ต" หมายถึง วัดบ้านเก็ตที่อยู่บนภูหรือดอย นั่นเองครับ
ชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว ไปหาอะไรดื่มให้ชื่นใจกันดีกว่า
เราจะไปร้านกาแฟร้านหนึ่งเป็นร้านที่ใครก็อยากมากัน
เนื่องจากร้านนี้มีวิวติดกับทุ่งนา จะสวยแค่ไหนเดี๋ยวเราไปดูกัน
ขับไปไม่ไกลจากวัดภูเก็ต เราก็มาถึงร้านกาแฟบ้านไทลื้อกันแล้วครับ
ร้านกาแฟนี้เป็นของร้านลำดวนผ้าทอครับ
ที่นี่จะขายของที่ระลึกอย่างผ้าทอไทลื้อ
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นชื่อของคนที่นี่ครับ
หน้าร้านลำดวนผ้าทอจะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายแบบ
ให้เราได้เลือกซื้อ ราคาไม่แพงครับตกอยู่ที่ตัวละ 150-300 บาท
เราแอบมาดูเบื้องหลังการทำผ้าทอกันดีกว่า
กว่าจะได้มาแต่ละผืนไม่ง่ายครับ ต้องผ่านกระบวนการตัดเย็บ
คัดเลือกผ้าแต่ละผืนอย่างพิถีพิถัน
ผ้าทอแต่ละผืนเลยออกมาสวยงามแบบที่เราเห็นครับ
ดูผ้าทอกันจุใจแล้ว
ได้เวลาไปจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ กันแล้ว
มุมนั่งดื่มกาแฟที่นี่เป็นกระท่อมมุงด้วยหลังคาจาก
ตั้งอยู่ริมนาข้าวเห็นวิวภูเขา
ทางเดินที่ร้านนี้มีไม้ทอดยาวเชื่อมถึงกันหมดทุกหลัง
ชอบหลังไหนก็เลือกได้ตามสบายเลยครับ
แต่จะว่างมั๊ยนี่แหละอีกเรื่อง ดูแล้วถ้าจะอีกนาน ฮ่าๆๆๆ
แต่ละคนที่มาก็นั่งไปจิบกาแฟกันไป
นั่งพักผ่อนกันไปกันยาว ๆ
ระหว่างทางเดินก็จะมีผ้าทอไทลื้อพาดไว้ที่ราวทางเดิน
เป็นเอกลักษณ์ที่เด่นสะดุดตามากครับ
จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ไป มองวิวทุ่งนาเขียวๆ แบบนี้กันไป
มีลมเย็นๆ พัดมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็หลับไปซะแล้วครับ
ตื่นมาอีกทีใกล้เย็นแล้ว
เราต้องรีบกลับไปที่พักกันแล้ว
เดี๋ยวมองทางไม่เห็นแล้วจะยุ่งกันครับ
สำหรับใครที่จะมาเมืองปัวเพื่อชมนาข้าวสีเขียวเต็มท้องทุ่งแบบนี้
แนะนำให้มาช่วงเดือนกันยายน - ต้นตุลาคมครับ
และถ้าจะชมนาข้าวสีเหลืองทองแนะนำให้มาช่วงกลางตุลาคมถึงปลายเดือนตุลาคมครับ
ถ่ายรูปเล่นกันไปเพลินๆ เริ่มหิวกันอีกแล้วสิครับ
มาภาคเหนือทั้งทีก็ต้องจัดอาหารเหนือกันหน่อย
ทางที่พักเค้ามีบริการอาหารขันโตกไว้ให้
ถ้าใครอยากกินก็โทรบอกล่วงหน้าไว้ก่อนได้ครับ
ทางที่พักเค้าจะได้จัดเตรียมไว้ให้
ราคาขันโตกจะอยู่ที่คนละ 130 บาท
หน้าตาอาหารก็จะเป็นแบบนี้ครับ
นั่งกินข้าวกันจนอิ่ม ฟ้าฝนก็เริ่มไม่เป็นใจ
ไม่นานนักฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งคืน
จนเราหลับไปด้วยอากาศที่เย็นจับใจเลยครับ
ตื่นเช้ามาฝนยังคงตกไม่หยุด ดีที่ยังเบาลงกว่าเมื่อคืนหน่อย
ได้ออกมายืนระเบียงเห็นวิวแบบนี้ยามเช้า
มันก็ทำให้เราสุขใจได้ไม่น้อยเลยครับ
นั่งมองวิวกันไปเพลิน ๆ
ฝนก็หยุดตกแล้วครับ
ได้เวลาออกไปชมทุ่งนายามเช้ากันแล้ว
อากาศดี ๆ แบบนี้บิดขี้เกียจกันหน่อย
สดชื่นแต้ ๆ เลยเจ้าาาาา
สูดไอดินจากท้องนากันเต็มปอด
ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ
จุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้
อยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาครับ
พร้อมแล้วก็ลุยกันต่อเลย เฮ้!!!!
ว่าแต่หน้านี่ยังไม่ค่อยจะตื่นเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
ภูเขาที่เราเห็นกันอยู่ไกล ๆ หลังทุ่งนา
นั่นแหละครับเป็นที่พักของเราในคืนที่สอง
ข้างบนนั้นจะสวยแค่ไหน เดี๋ยวเราจะได้ไปสัมผัสกันครับ
สำหรับเส้นทางที่เราจะไปต้องไปทางอำเภอบ่อเกลือครับ
ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกตลอดทาง
ก่อนจะขับขึ้นดอยเราแวะไหว้พระธาตุจอมแจ้งกันก่อน
เพื่อความอุ่นใจจะได้เดินทางกันอย่างปลอดภัยครับ
ขึ้นมาถึงบนยอดพระธาตุ
ก็มีคุณลุงหน้าตาใจดีออกมาต้อนรับเรา
เราเลยได้ข้อมูลเกี่ยวกับพระธาตุนี้มาครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมพระธาตุจอมแจ้งถึงมีอยู่หลายที่
คุณลุงเล่าว่าพระธาตุจอมแจ้งนี้เป็นหนึ่งในสิบสามพระธาตุจอมแจ้ง แห่งอาณาจักรล้านนา
ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เราจึงเห็นพระธาตุนี้อยู่หลายแห่งครับ
บนพระธาตุจอมแจ้งยังมีจุดชมวิวที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ
ได้มองเห็นวิวเมืองปัวในแบบพาโนรามา
นาข้าวนี่เขียวเต็มพื้นที่เลยครับ
มาเมืองปัวหน้านี้มันทั้งสวยทั้งสดชื่นดีจริง ๆ
ส่วนใครที่จะเดินขึ้นมาไหว้พระธาตุจากด้านล่าง
ก็จะมีราวบันไดที่เป็นพญานาคตลอดสองฝั่ง
อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ถ้าได้ขึ้นมาเห็นวิวแบบนี้
รับรองว่าจะต้องหายเหนื่อยกันแน่ ๆ ครับ
ได้มาไหว้พระธาตุพร้อมกับชมวิวสวยๆ กันแบบนี้แล้ว
ถึงเวลาที่เราจะต้องเจอกับทางของจริงแล้ว
ด้วยระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตรก่อนที่จะเข้าถึงตัวอช.ดอยภูคา
เห็นทางไต่ระดับเลี้ยวโค้งไปมาตลอดเส้นทางแบบนี้บอกได้คำเดียวเลยว่าหนักแน่ครับ
ระหว่างทางที่ขับฝนก็ตกลงมาตลอด
ยิ่งทำให้อะไร ๆ ดูยากเข้าไปใหญ่
แล้วเราก็มาจอดพักใส่เสื้อกันฝนกันก่อน
ไม่งั้นก่อนถึงเละแน่ ๆ ครับ
สำหรับถนนหนทางก่อนถึงอช.ดอยภูคา ได้รับการเรียกว่าเป็นถนนลอยฟ้าครับ
ด้วยสภาพถนนที่อยู่เหนือหุบเขา ระหว่างทางก็มีวิวให้ชมตลอดสองข้างทาง
เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สวยงามมาก เหมาะกับการขับรถท่องเที่ยวแบบสุดๆ
จึงไม่แปลกใจเลยครับที่ถนนเส้นนี้จะได้รับการเรียกว่าเป็น ถนนลอยฟ้า
วิวระหว่างทางก่อนถึงอุทยาน
คุ้มค่าจริงๆ ครับที่ได้มาเห็น
ภูเขาทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
พร้อมกับสายหมอกที่พัดผ่านไปตามแรงลม
แล้วฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค
เพราะเราเชื่อว่าความสวยงามรอเราอยู่เสมอ
อีกไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เราจะถึงกันแล้วครับ
ก่อนจะเข้าบ้านพักเราต้องมาลงทะเบียนกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนครับ
เราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท
ส่วนค่าพาหนะอยู่ที่ 20 บาทต่อคันครับ
เราจองบ้านพักไว้ที่บ้านภูคาครับ
หลังนี้นอนกันได้ 4 คน หลังละ 800 บาทครับ
มากันสองคนจองบ้านซะหลังเบ้อเร้อ
ก็เหนื่อยกันซะขนาดนี้ ขอนอนบ้านหลังใหญ่เลยละกัน ฮ่าๆๆ
ฝนยังคงโปรยปรายไม่หยุดหย่อน แต่วิวบ้านพักที่นี่สวยงามจริงๆ ครับ
ไม่ว่าทางจะโค้งหักศอกแค่ไหน ไม่ว่าฝนจะตกลงมามากแค่ไหน
สุดท้ายแล้วเราก็ได้มายืนอยู่ในจุดที่สวยที่สุดของวันนี้
มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เราหาไม่ได้จากในเมืองแน่ๆ ครับ
แน่นอนครับขับฝ่าสายฝนกันมาแบบนี้
มื้อเย็นเราจัดหนักกันแน่นอน
นั่งกินกันท่ามกลางสายฝนมันนี่แหละครับ
ข้าวสวยพร้อมอาหารพร้อม กินกันให้เต็มที่ครับ คืนนี้หลับกันยาวแน่ ๆ
แล้วไม่นานพายุที่เข้าโหมกระหน่ำในวันนั้นพอดิบพอดี
ไฟก็ดับกันทั้งอุทยาน แหม่!!! ชีวิตอะไรจะดราม่าได้ขนาดนี้
ราตรีสวัสดิ์ครับพี่น้องชาวไทย
ตื่นเช้ามาวันนี้ฝนยังคงตกไม่หยุดอีกเช่นเคย
ไฟก็ยังคงดับตั้งแต่เมื่อคืนยันเช้า
ตื่นมาก็หิวเลยครับไปหาข้าวกินกันดีกว่า
เรามุ่งหน้ามากันที่นี่เลยครับ โรงครัว อู่ข้าวอู่น้ำของที่นี่
เช้านี้เรากินกันง่าย ๆ ข้าวไข่ดาว คัพโจ๊ก โอวัลตินร้อน ๆ ก็เพียงพอแล้วครับ
กับมื้อเช้าที่อะไรหลายอย่าง ยังไม่ค่อยเป็นใจนัก
แล้วเราก็เดินไปยังจุดชมวิวของอุทยาน
วิวที่นี่คงเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับเช้าวันนี้แล้วครับ
เก็บเป้แพคกระเป๋ากันเรียบร้อย ได้เวลากลับกันแล้วครับ
หลายคนอาจจะบอกว่าหน้าฝนแบบนี้มาทำไม
ไม่มีอะไรให้ดู ทางก็มาลำบาก
แต่เราว่าความลำบากนี้แหละเป็นสิ่งที่สวยงามของชีวิตในอีกมุมมองหนึ่ง
เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างร่วมกันครับ
ถึงหมอกจะหนา ทางจะลื่น ฝนตกตลอดทาง
แต่ถ้าทุกคนได้เห็นวิวระหว่างทางที่เราได้ไปเจอมา
จะต้องร้องว้าววววกันแน่ ๆ เราจะพาทุกคนไปดูกัน
วิวระหว่างทางนี่แหละที่เราขอยกให้เป็นที่สุดของทริปนี้
ไม่บอกก็รู้ว่าเราประทับใจกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้ามากแค่ไหน
แล้วเราก็บิดมอเตอร์ไซด์กันต่อจนลงมาถึงเมืองปัว
หลังจากคืนรถมอเตอร์ไซด์กันเรียบร้อย
เรามายืนรอรถสองแถวกันที่นี่ครับ
รถที่เมืองปัวน้อยต้องรอกันนานหน่อย
นั่งดูผู้คนดูเมืองไปเพลิน ๆ รถก็มาแล้วครับ
ราคาค่าโดยสารรถสองแถวเข้าตัวเมืองน่าน จะอยู่ที่ 50 บาทครับ
รถสองแถวนี้จะผ่านสนามบินน่านแล้ววิ่งเข้าสู่ตัวเมืองครับ
การเดินทางที่เต็มไปด้วยสายฝน
ฝนตกไฟดับตลอดทั้งคืนที่อช.ดอยภูคา
กับเส้นทางขึ้นดอยในวันที่พายุเข้า
ถนนลื่นกับโค้งหักศอกไม่รู้ต่อกี่ครั้ง
แต่เราก็พากันไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เป็นความอิ่มใจในความลำบากที่เราได้ไปเจอมา
จนกว่าจะพบกันใหม่ในทริปต่อไปครับ
" ทุกๆ ระยะทาง ทุกๆ จุดหมาย
ส่งผลต่อมุมมองในการใช้ชีวิต
เพราะการได้ออกไปใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิม
เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับตัวเราเอง "
รายละเอียดค่าใช้จ่าย
ค่ารถทัวร์ ขาไป กรุงเทพฯ-ทุ่งช้าง คนละ 790 บาท
ค่าเครื่องบิน ขากลับ น่าน-กรุงเทพฯ คนละ 950 บาท
ค่าที่พัก โฮมสเตย์ตานงค์ 1 วัน คืนละ 500 บาท คนละ 250 บาท
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา 1 วัน คืนละ 800 บาท คนละ 400 บาท
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา คนละ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 20 บาท
ค่ารถสองแถว จากตลาดปัวมาสนามบินน่านคนละ 50 บาท
ค่ารถมอเตอร์ไซด์ วันละ 300 บาท ทั้งหมด 2 วัน 600 บาท คนละ 300 บาท
ค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซด์ 90 บาท คนละ 45 บาท
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม คนละ 1,470 บาท
ไปกัน 2 คน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 4,305 บาท
FB : Bean Skullflied
Bean Skullflied
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.06 น.