เที่ยว Slow Life 1 วันเต็มกับเมืองฮิเมจิ (Himeji)


"เพราะการเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น" ประโยคนี้ทำให้ผมและแฟนจับมือกันออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง เราสองคนทำเพจเล็กๆ ชื่อ "หนีงานไปเที่ยว" และ Blog ที่ชื่อ www.ibreak2travel.comอ่านมาถึงบรรทัดนี้เราอยากบอกว่า…


ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนรู้จักกันใหม่ๆ "ผม คือ นักท่องเที่ยวที่ต้องทำงานประจำ ส่วนแฟนผม คือ คนทำงานประจำที่อยากเที่ยวบ้าง" เราต่างกันเหลือเกิน เมื่อมาคบกัน 2 ความต่างก็หาจุดลงตัวจนทำให้เรามาถึงจุดที่อยากทำเพจพาเพื่อนๆ คนทำงานไปเที่ยวกับพวกเราบ้าง ถ้าเราไปได้ ใครๆ ก็ไปแบบเราได้แน่นอน


เราขอฝากร้านด้วยครับ แวะไปกด Like เพจกันสักนิด เป็นกำลังใจให้พวกเราสักหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ "เห็นก่อน") จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
https://www.facebook.com/ibreak2travel/
http://ibreak2travel.com/

-------------------------

"อยากไปเที่ยวปราสาทญี่ปุ่น" นี่เป็นวลีแรกที่ผุดขึ้นมาทันที ที่คิดจะวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น
ก็คงจะเหมือนๆ กับที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากมาเที่ยวชมพระบรมมหาราชวัง
หรือพระราชวังบางปะอินนั่นล่ะครับ ปราสาท วัง และวัด
ถือเป็นตัวแทนตัวตนด้านงานสถาปัตยกรรมของแต่ละประเทศได้เป็นอย่างดี
ผมก็เลยอยากไปเที่ยวปราสาทญี่ปุ่น อยากไปๆๆๆๆๆ


เมื่อจะมาท่องเที่ยวภูมิภาคคันไซ ปราสาทที่ผมมักได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ ก็มักจะมี ปราสาทโอซาก้า, ปราสาทคินคาคุจิ (ปราสาทโชกุนอาชิคางะ ที่ปรากฏในการ์ตูนอิคิวซัง) แล้วก็ ปราสาทฮิเมจิ แต่พอมาลองหาข้อมูลดูลึกๆ แล้ว ก็พบว่าสองปราสาทแรก เป็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ โดยจำลองมาจากปราสาทเดิมที่เคยถูกทิ้งระเบิดและถูกไฟไหม้ ดังนั้นหากจะมองถึงปราสาทที่ยังคงความสมบูรณ์มาแต่ดั้งเดิม ก็คงจะเหลือแต่ปราสาทฮิเมจิ นี่ล่ะครับ ที่มีแรงดึงดูดให้ได้ไปเยี่ยมชมจริงๆ ดังนั้นทริป "ตามฝันถิ่นคันไซ วันที่ 3" ผมกับแฟนจึงเลือกจะไปเที่ยวเมืองฮิเมจิ และเที่ยวชม ปราสาทฮิเมจิ กันครับ ตามมาเล้ยยย…

ริกิฉะ หรือหนุ่มลากรถ ให้บริการพาเที่ยวปราสาท


OSAKA – HIMEJI

หลังจากสนุกสุดแสนเที่ยว Universal Studio (อ่านย้อนคลิกเลย) กันไปเมื่อวานแล้ว เช้านี้เราก็รีบตื่นกันแต่เช้า (7 โมง) เพื่อเก็บกระเป๋า หม่ำมื้อเช้าอร่อยๆ แล้วก็เช็คเอาท์จากโรงแรมครับ โดยรถเที่ยวที่เราจะขึ้นคือรถไฟใต้ดินเที่ยว 08:04 ซึ่งจะใช้เวลาแค่ 110 นาที จากสถานี NAKATSU (SUBWAY) โอซาก้าไปยังสถานี SANYOHIMEJI เมืองฮิเมจิ

สำหรับทริปนี้เราใช้ KANSAI THRU PASS ดังนั้นการเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นรถไฟใต้ดินหรือรถบัสครับ


ตารางการเดินทางจากโอซาก้าครับ

เช้านี้ญี่ปุ่นยังทักทายเราทั้งคู่ด้วยลมหนาวเช่นเคย ดีครับ เราสองคนจะได้กอดกันให้อุ่นๆ ไม่ยอมแพ้อากาศหนาว อิๆ เขินๆ

หลังจากเช็คเอาท์แล้ว พวกเราก็ลากกระเป๋าลงสถานี NAKATSU (SUBWAY) ครับ โดยจะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี UMEDA (SUBWAY) เพื่อไปต่อรถไฟสาย HANSHIN / SANYO THROUGH LTD. EXP. เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมือง HIMEJI กันครับ (ข้อมูลตามตารางเดินรถด้านบนเลยนะครับ)

ระบบขนส่งสาธารณะหลัก สำหรับนักเดินทางทุกเพศ ทุกวัย

การเดินทางยามเช้าเพื่อออกนอกเมือง ช่วยให้เราเห็นญี่ปุ่นในอีกมุมนึงครับ ขณะที่รถไฟวิ่งเข้าเมืองจะเต็มไปด้วยผู้คนแน่นเต็มโบกี้ แต่สำหรับขาออก ชีวิตนั้นไร้ซึ่งความเร่งรีบจริงๆ ครับ ผมเลยถือโอกาสได้นั่งมองวิวสวยๆ มองดูผู้คน แล้วก็ผลอยหลับเอาแรง 5555

ถ้านั่งรถไฟเที่ยว ลองเลือกนั่งท้ายขบวนหรือหัวขบวนดูครับ จะได้เห็นวิวที่น่าสนใจมากขึ้น

รถโล่งจนแทบจะเหมาคนเดียวทั้งโบกี้ 555

รถไฟแถบสีส้มนี้เป็นรถไฟขบวน SANYO HIMEJI นะครับ

ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเหมือนกันทุกคนไหม แต่เจ้าหน้าที่ประจำรถไฟคนนี้ตั้งใจทำหน้าที่อย่างกระตือรือล้นตลอด 2 ชั่วโมง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และกริยาที่นอบน้อม

ฝั่งเข้าเมืองช่างเร่งรีบ (ไปทำงาน) แต่ฝั่งออกนอกเมืองนี่ก็ช่างจะแสนชิลล์

ผ่านไปประมาณสักชั่วโมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึงสถานี SANYOHIMEJI ครับ จากนั้นเราจะเดินทางไปฝากกระเป๋าที่โรงแรม TOYOKO INN HIMEJI-EKI ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีครับ เดินไปแค่ 5-8 นาทีเอง (ถ้าไม่เผลอแวะซื้อขนมกินไปซะก่อนนะ)

คุณพี่ คุณน้า 3 คนนี้น่ารักมากครับ เธอแต่งชุดกิโมโนเดินอยู่ในเมือง ดีใจจังที่ได้เห็นสาวในชุดกิโมโนแล้ว

สำหรับ Taxi ในญี่ปุ่นนั้น เหมือนเป็นอาชีพที่ทรงเกียรตินะครับ ทุกคนจะต้องแต่งยูนิฟอร์มอย่างดี รถต้องสะอาด มีผ้าคลุมเบาะที่ต้องหมั่นซักอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติลูกค้าที่เข้ามานั่ง ส่วนราคาค่า Taxi ในญี่ปุ่น… ก็แพงอย่างที่ร่ำลือกันล่ะครับ

เรื่องความเป็นระเบียบ ผมยกให้ประเทศนี้มาอันดับหนึ่ง

เดินแค่ 7-8 นาที ก็มาถึงโรงแรมแล้วจ้า ใกล้มากๆ เลย

เนื่องจากยังไม่ถึงบ่าย 3 จึงยังเช็คอินไม่ได้ แต่เราสามารถขอฝากกระเป๋าไว้ที่ล๊อบบี้ได้ครับ ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมจะดูแลไว้ให้เป็นอย่างดี และไหนๆ ก็ได้คุยกับคนท้องถิ่นแล้ว ผมก็เลยขอรายชื่อร้านอร่อยจากเจ้าหน้าที่โรงแรมซะเลย หุๆๆ

ได้เวลาออกเที่ยวแล้ว เย้!!!

แผนการท่องเที่ยวเมืองฮิเมจิของเรา เป็นแบบนี้ครับ
1. นั่ง Himeji Loop Bus เที่ยวชมเมือง Himeji
2. เดินเล่น ถ่ายรูป และดื่มด่ำกับความสวยงามของปราสาทฮิเมจิ
3. มื้อกลางวัน หม่ำข้าวหน้าปลาไหล
4. เดินเล่นถ่ายภาพแสงเย็นที่สวน Kokoen
5. เดินเล่นย่านการค้าถนน Miyukidori (มิยูกิโดริ) ชมงานศิลปะตลอดสองข้างทางในตัวเมือง
6. ถ่ายภาพ Cityscape ของเมือง Himeji
7. ลิ้มรสนาเบะ (หม้อไฟ)
กลับไปนอนตีพุงที่โรงแรม


บรรยากาศยามเช้าใน Himeji

สำหรับมือใหม่อยากแบกกระเป๋าเที่ยวเอง ผมแนะนำให้เข้าไปหาข้อมูลเพื่อวางแผนการท่องเที่ยว ที่เว็บไซต์เมือง Himeji ที่ลิงค์นี้ครับ http://www.himeji-kanko.jp/th/model_course/ เค้าจะมี Model Tour หรือโปรแกรมท่องเที่ยวแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย สะดวกมาก อ้อ.. ถ้าใครอยากขี่จักรยาน ทางสำนักงานการท่องเที่ยว มีจักรยานให้เช่าขี่แบบฟรีๆ ด้วยนะ

1. นั่ง Himeji Loop Bus เที่ยวชมเมือง Himeji

ตารางเวลาสำหรับ Himeji Loop Bus ครับ

รอแป๊บเดียว รถบัสหน้าตาหน้ารักก็วิ่งมาเทียบป้ายรถ

ปราสาท Himeji อยู่บนเนินเขากลางเมือง ดังนั้นเราจึงเห็นตัวปราสาทจากทุกมุมเมืองเลยครับ

เมือง Himeji มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายครับ เริ่มตั้งแต่ "ปราสาท Himeji" ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น, "วัดเอ็นเกียวจิ บนภูเขาโซะซะซัน" ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "The Last Samurai", สวนญี่ปุ่น Kokoen สวนที่มักจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หรือละครย้อนยุคของญี่ปุ่น

สำนักการท่องเที่ยวเมือง Himeji ได้จัดทำ Loop Bus ที่จะพาเราเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ได้ครบเลยครับ โดยเราสามารถรอขึ้นได้ที่บริเวณจุดที่เค้ากำหนดไว้ตามข้อมูลด้านล่างนี้ครับ

  • 1.หน้าสถานีฮิเมจิ(ศูนย์รถบัสซิงกิ)
  • 2.หน้าประตูโอเตะปราสาทฮิเมจิ
  • 3.หน้าไปรษณีย์ฮิเมจิ
  • 4.หน้าหอศิลป์
  • 5.หน้าพิพิธภัณฑ์
  • 6.สะพานคิโยะมิซึ(หน้าพิพิธภัณฑ์วรรณกรรม)
  • 7.หน้าสวนโคโคะเอ็น
  • 8.หน้าโอเตะ
  • 9.หน้าสถานีฮิเมจิ(หน้าตึกฮิเมจิ OS)

รถออกทุกๆ 15-30 นาทีครับ รอไม่นานเลย

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ตรงทางเข้า JR Himeji

http://www.himeji-kanko.jp/th/information/

2. เดินเล่น ถ่ายรูป และดื่มด่ำกับความสวยงามของปราสาท HIMAJI

หลังจากลงรถที่บริเวณปราสาท Himeji พวกเราก็พร้อมจะเดินกันแว๊วววว…วว ก่อนอื่นมาดูข้อมูลปราสาท Himeji กันสักนิดนะครับ

ปราสาท Himeji เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบอย่างของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่างๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

ปราสาทแห่งนี้ไม่เคยได้รับความเสียหายจากสงครามและภัยพิบัติต่างๆ ตัวปราสาทจึงอยู่ในสภาพอนุรักษ์ มีการเก็บรักษาและบูรณะไว้อย่างน่าทึ่ง และด้วยความสมบูรณ์แบบนี้เอง จึงทำให้ปราสาทแห่งนี้ได้รับการบันทึกให้เป็นสมบัติแห่งชาติ และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรกของญี่ปุ่น

ด้วยความที่ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาและอยู่ใจกลางเมือง เราจึงจะเห็นผู้คนในท้องถิ่นมากจะมาใช้เวลาเดินเล่น พบปะ และทำกิจกรรมในบริเวณปราสาทอยู่เสมอๆ ครับ ดังนั้นพื้นที่ด้านหน้าปราสาทจึงเป็นเหมือนสวนสาธารณะของเมืองนั่นเอง ซึ่งทุกคนสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ได้ไม่เสียเงินครับ

แต่หากต้องการเข้าเยี่ยมชมภายในปราสาท ก็ต้องไปซื้อบัตรผ่านประตูกันสักนิด

ค่าเข้าก็แค่ 400 เยน (ประมาณ 120 บาท) เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้คุ้มสุด ก็ต้องซื้อตั๋วเข้าเยี่ยมชมปราสาท + ตั๋วเข้าชมสวน Kokoen ครับ สนนราคาตั๋วเหมาก็อยู่ที่ 560 เยน

(ถ้าซื้อแยกจะอยู่ที่ 400 + 300 เยน = 700 เยนครับ) คุ้มครับคุ้ม

บริเวณที่จำหน่ายตั๋ว

พื้นที่โดยรวมของปราสาท Himeji กว้างใหญ่และสวยงามมาก

ถ้าจะซื้อตั๋วเหมาทั้งปราสาทและสวนฯ ให้มาซื้อที่คุณป้าหน้าตาใจดีตรงนี้นะครัส

ถ้าซื้อเฉพาะตั๋วเข้าปราสาทอย่างเดียว สามารถซื้อที่เครื่องจำหน่ายอัตโนมัติได้เลย

ช่วงที่ผมกับแฟนไปเที่ยวปราสาท Himeji นั้น บางส่วนยังอยู่ในช่วงของการปิดซ่อมบำรุงนะครับ จึงทำให้เข้าเยี่ยมชมได้ไม่ครบ แถมยังเป็นช่วงที่ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว ทำให้ความสวยงามลดลงไปบ้าง แต่ด้วยความสวยงามทางสถาปัตยกรรม ทำให้ความสวยงามของปราสาทไม่ได้ลดลงไปมากแต่อย่างใด

มุมมหาชนครับ ลองจินตนาการดูว่าถ้าเป็นช่วงซากุระบาน หรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยแค่ไหน

หลายส่วนอยู่ในช่วงซ่อมบำรุงนะครับ

ช่วงเวลาแนะนำสำหรับการมาเที่ยวชมปราสาม Himeji ก็คือช่วงซากุระบาน (เดือน มี.ค. -เม.ย.) และช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (ต.ค. -พ.ย.)

สวยงาม สง่า สมดั่งฉายาปราสาทกระเรียนขาว

ทางเดินด้านในปราสาทจะมีช่องหน้าต่างอยู่ตลอดสองข้างทางเพื่อให้แสงสว่าง แต่จะทำระแนงบังตาไว้ เพื่อป้องกันการลอบสังเกตการณ์จากด้านนอก

วิวเมือง Himeji เมื่อมองจากยอดปราสาท สามารถเห็นได้ไกลมาก

ปราสาทนี้มีตราสัญลักษณ์เป็นผีเสื้อกลางคืนครับ

จับแฟนมาเป็นนางแบบถ่ายคู่กับปราสาทซะเลย

มุมทางเดินหน้าปราสาทก็ถ่ายรูปสวยนะครับ

บริเวณด้านหน้าปราสาท (หลังจากจุดจำหน่ายตั๋ว) จะมีชาวเมืองแต่งตัวเป็นนักรบ ซามูไร และนินจา ให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยครับ (ถ่ายฟรีนะ)

หลังจากเดินเที่ยวปราสาท Himeji จนหมดแรง

3. มื้อกลางวัน หม่ำข้าวหน้าปลาไหล

เราก็ต้องเติมพลังกันด้วยข้าวหน้าปลาไหลครับ จริงๆ แถวปราสาท Himeji มีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้านนะครับ แต่มาถึงเมืองนี้แล้วต้องลองข้าวหน้าปลาไหลครับ ร้านก็อยู่ไม่ไกลจากตัวปราสาทเท่าไหร่นะ หากเดินย้อนกลับมาจากปราสาท ร้านจะอยู่ทางขวามือครับ

ข้าวหน้าปลาไหล อาหย่อยๆๆ

พออิ่มท้องแล้วเราก็ได้เวลาไปเดินย่อย ด้วยการเที่ยวชมสวน Kokoen สวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของปราสาท Himeji ครับ (หากนั่งรถไปลงที่ป้าย Himeji เมื่อลงรถแล้วให้เดินไปทางซ้ายของปราสาทครับ)

บริเวณช่องจำหน่ายตั๋วด้านหน้าสวน Kokoen จะมีขนมพื้นเมืองวางจำหน่ายอยู่ครับ

4. เดินเล่นถ่ายภาพแสงเย็นที่สวน Kokoen

สวนโคโคเอ็น (Kokoen Garden)

เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งเริ่มเปิดให้เขาชมเมื่อปี 1992 เพื่อรำลึกวันครบรอบ 100 ปีเมือง Himeji โดยใช้พื้นที่ของอาคารฝั่งตะวันตกของปราสาท ซึ่งเคยเป็นบ้านของขุนนางเก่าในอดีต พื้นที่สวนแบ่งออกเป็น 9 ส่วนใหญ่ๆ แต่ละส่วนมีสไตล์การตกแต่งแบบสมัยเอโดะในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตรงกลางของสวนเป็นบ้านที่ขุนนางเคยอยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีสวนชาซึ่งบริเวณนี้ผู้เข้าชมยังได้เรียนรู้พิธีชงชาสไตล์ญี่ปุ่น จากนั้นก็ไปนั่งดื่มชา ท่ามกลางความงามของสวนสนและดอกไม้สวยๆ ฟินมากครับ

เมื่อเดินเข้ามาจากจุดจำหน่ายตั๋ว นี่เป็นวิวแรกที่ผมเห็น สวยมากๆ เลยครับ อาคารที่เห็นนั่นคือ… ห้องน้ำนะครับ 5555 ภาพนี้เป็นห้องน้ำนะครับ 5555 ขนาดห้องน้ำยังสวย

ตรงนี้เป็นบริเวณทางเข้าสวนครับ จะมีป้ายแผนที่สวนตั้งอยู่ตรงทางเข้าเลย

ระเบียงทางเดินที่พาเราค่อยๆ ลัดเลาะไปตามพื้นที่ต่างๆ ของเรือนน้ำชา

สวนน้ำตกขนาดเล็ก สไตล์เอโดะ สวยงามมากเลยครับ

แนวตั้งสักใบนะครับ

เมื่อเดินมาเราจะมองเห็นเรือนน้ำชาอยู่ทางซ้าย ทางขวาจะเป็นบ่อน้ำและสวนสวยๆ อีกสไตล์นึงครับ

มุมนี้อยู่ด้านหลังเรือนน้ำชาครับ

อีกหนึ่งกิจกรรมที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ลองไปสัมผัสดูก็คือ "การชิมชาเขียวญี่ปุ่นแท้ (มัทฉะ)" คิดค่าใช้จ่ายเพียง 500 เยน แต่เราจะได้ลิ้มลองรสชาติ "ชาเชียวที่แท้จริง" ที่เกิดจากการใช้ผงชาเขียวแท้ มาชงด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม เสิร์ฟพร้อมขนมหวานรสละมุน เมื่อทานด้วยกันแล้วบอกเลยว่าเข้ากันสุดๆ

ชาเขียวมัทฉะ มีกลิ่นหอมใบชา ตัวน้ำชามีความขมนิดๆ แต่รสชาติของน้ำชานั้นมีมิติมาก ผมยังไม่เคยได้รับรู้สัมผัสแบบนี้จากการดื่มชาเขียวจากที่ไหนๆ เลย จริงๆ

ในพิธีชงชานั้นจะมีคุณป้าท่าทางใจดี ยิ้มแย้ม คอยให้คำแนะนำเรา เพื่อปฏิบัติตามขั้นตอนของพิธีชิมชาครับ แต่ต้องบอกว่าพิธีชิมชานี้เป็นอย่างย่อนะครับ เพราะถ้าเต็มขั้นเลยต้องมีขั้นตอนมาก เกรงจะเสียเวลา

นี่คือ "มัทฉะ" แท้จ้า


เจ้าหน้าที่ของเรือนชงชา มาคอยแนะนำวิธีการดื่มแค่การเสิร์ฟยังต้องมีขั้น มีตอน

ส่งท้ายสวน Kokoen กันอีกภาพ

5. เดินเล่นย่านการค้าถนน Miyukidori (มิยูกิโดริ) ชมงานศิลปะตลอดสองข้างทางในตัวเมือง

เสร็จจากสวน Kokoen ก็ได้เวลาเดินชอปปิ้งกับชมเมืองแล้ว เราเลยไปเดินดูของย่านการค้า Miyukidori กัน

งานประติมากรรมสวยๆ ที่มีให้เห็นตลอดสองข้างทางในเมือง

ถนนย่านการค้าครับ เริ่มดึกแล้ว ร้านรวงบางร้านเริ่มปิดแล้ว

ขนมสไตล์ญี่ปุ่นนี่มันน่ากินจริงๆ

วาฟเฟิลร้านนี้อร่อยครัส คอนเฟิร์ม


อย่างอื่นไม่สน สนใจแต่ขนม พูดเลย

6. ถ่ายภาพ Cityscape ของเมือง Himeji

ภาพแสงเย็นในช่วงก่อนใบไม้แดง

และที่พลาดไม่ได้ก็คือการไปยืนดูวิวยามค่ำคืนของปราสาท Himeji ที่ตั้งตะหง่านอยู่ใจกลางเมือง หากใครชอบการถ่ายรูป ผมแนะนำให้ไปตั้งกล้องรอเลยครับ มุมดีสุด น่าจะเป็นที่ระเบียงชมเมือง บริเวณ สถานี JR Himeji ครับ

ค่ำแล้ว ปราสาท Himeji ก็สวยสง่าไปอีกแบบ

วิวเมือง Himeji ยามค่ำคืน

วิวเมือง Himeji ยามค่ำคืน

วิวเมือง Himeji ยามค่ำคืน

วิวเมืองและปราสาท Himeji

คืนนั้นอุณหภูมินี่ประมาณ 4-5 องศาครับ ลมพัดมาเอื่อยๆ แต่ผมนี่ยืนถ่ายไปสั่นไปเลย 55555

7. ลิ้มรสนาเบะ (หม้อไฟ)

เสร็จจากถ่ายภาพ เราก็ไปหม่ำนาเบะ (หม้อไฟ) กันที่ร้านใกล้ๆ โรงแรมครับ อาหารอร่อยมาก สดใหม่ และราคาไม่แพง หากใครไปเที่ยวที่ Himeji ผมแนะนำร้านนี้ครับ (อ่านชื่อไม่ออก ดูภาพเอาน๊า 5555)

โปรดจำป้ายร้านไว้นะครับ ร้านนี้อร่อย

ร้านอยู่บริเวณด้านหลังสถานี JR HIMEJI อยู่ด้านซ้ายมือระหว่างทางก่อนจะไปถึงโรงแรม

มีปลาดิบสดๆ ราคาก็ไม่แรง

มีนาเบะ (หม้อไฟ) น่ากิ๊นน่ากิน

ราคาแค่ 790 เยน แม่เจ้า!!

จัดปลาดิบก่อนเลยค่าาาา

นาเบะชุดนึงสำหรับ 1-2 คนครับ อร่อย สดใหม่ น้ำซุบก็รสชาติดี กินแล้วสดชื่น

มีของปิ้งย่างด้วยนะ รสชาติดีๆ บีบเลมอนหน่อย อร่อยเลย

เสร็จสิ้นกิจกรรมในวันที่ 3 แล้ว เราทั้งคู่ก็พากันกลับไปนอนตีพุง เก็บแรงไว้ไปเที่ยวกันต่อ โปรแกรมพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเมืองโกเบกันครับ

อ่านต่อได้ที่นี่เลยจ้า ตะลุยโกเบ ไปเยี่ยมเจ้าหุ่นเหล็ก แล้วไปกินเนื้อโกเบกัน !!

พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมหุ่นเหล็กหมายเลข 28 ที่เมืองโกเบกัน !!!


ความคิดเห็น