เป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นครั้งแรกที่มาคีรีวง เป็นครั้งแรกที่นั่งรถไฟมาเที่ยวภาคใต้คนเดียว
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด จากผู้คนที่เราได้พบเจอ
เพราะเราเชื่อเสมอว่า ระหว่างทางที่เราเดิน สำคัญกว่าจุดหมายจริงๆ
จากการเดินทางด้วยรถไฟครั้งก่อนนู้นที่ถือว่าเป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนานที่สุดสำหรับเราแล้ว นั่นก็คือการนั่งรถไฟจากกรุงเทพไปปีนัง ซึ่งใช้ชีวิตในรถไฟถึง 1 วันเต็ม ขาไป และขากลับอีก 1 วันเต็ม จากกระทู้เดิม
http://pantip.com/topic/34295084 เมื่อชะนีไทย นั่งรถไฟไปปีนังคนเดียว กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 คืน 5 วัน กับงบไม่ถึง 3,500 บาท
แต่ครั้งนั้นมันเป็นการเดินทางด้วยรถไฟที่โคตรจะสบายเลย
ตอนแรกเรากะจะไปอีกจังหวัดนึงของภาคใต้ แต่ลองเช็คแล้ว แถบนั้นใกล้ทะเลและดันมีพายุพอดี เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเลยเปลี่ยนแผนอย่างรวดเร็ว หาข้อมูลเดินทางแค่ 2-3 วัน งี้แหละ เวลาไปคนเดียว ตัดสินใจไปเร็วมาก ดีตรงที่ไม่ต้องถามใคร และไม่คิดว่าการลงใต้ครั้งนี้จะเป็นการนั่งรถไฟครั้งที่โหดมากๆสำหรับเราอีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกถามเพื่อนว่า "แกๆ ถ้าชั้นนั่งรถไฟไปนครฯนี่ ไปรถนอนคนเดียวจะโดนข่มขืนมั้ยวะ" เพื่อนบอก "ก็เส้นทางนี้แหละที่เป็นข่าว พนง.รถไฟฆ่าข่มขืนเด็ก" จิตตกไป 3 วิ แล้วเพื่อนก็พูดต่อว่า "จะยากอะไร ก็ไปรถที่ไม่ต้องนอนสิ"
นั่นแหละค่ะ รถที่ไม่ต้องนอน ที่ทั้งถูกและประหยัด และเคยนั่งมาแล้ว แต่เป็นระยะทางใกล้ๆ "รถไฟชั้น 3" ผู้หญิงคนไหนนั่งชั้น 3 ได้นี่จะถือว่าแกร่งและถึกมากในระดับนึงเลยทีเดียว จะรออะไรล่ะ ตั้งใจจะลงใต้แล้ว ไปทะเลไม่ได้ แล้วถ้าภาคใต้ในแบบที่ไม่มีทะเลมันจะเป็นยังไง จะเที่ยวยังไง เที่ยวใต้ในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่นะ จากข้อมูลที่หามาได้น้อยนิด แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน
2 วัน 1 คืน ที่จะไม่มีวันลืมเลย สำหรับการนั่งรถไฟชั้น 3 ลงใต้ และการตั้งใจไปปั่นจักรยานในหมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาที่นี่
"คีรีวง"
ข้อมูลที่เป็นสาระอาจไม่ค่อยมีเยอะนัก หากให้ข้อมูลผิดตรงไหนรบกวนช่วยแก้ไขได้นะคะ
ช่วงนี้กระทู้ตกเร็ว หากใครต้องการสอบถามข้อมูลทีหลัง อินบ๊อกมาคุยกันได้ https://www.facebook.com/bowie.TT/media_set?set=a.10207613208746375.1073741862.1175648006&type=3 ให้ข้อมูลได้นิดๆหน่อยๆในส่วนของการเตรียมตัวขึ้นรถไฟสำหรับผู้หญิงคนเดียว แต่หากข้อมูลท่องเที่ยวนี่ต้องลองไปสัมผัสเองจริงๆ
สำหรับการไปคนเดียว แล้วใครที่ยังสงสัยว่าถ่ายรูปยังไง เข้าไปดูในกระทู้เก่าๆได้ค่ะ เรามีบอกไว้ เทคนิคการถ่ายพร้อมอุปกรณ์ราคาแสนถู๊กถูก
บางรูปอาจจะไม่ชัด เพราะเราถ่ายจากมือถือ และกล้องดิจิตอลเก่าๆใช้ถ่านก้อน เอามาปรับแสงและความคมชัดนิดหน่อย แต่รับรองว่าของจริง สวยกว่าที่เห็นในรูปหลายเท่า แถมเรายังได้สูดอากาศเต็มปอดอีกต่างหาก
ปกติเราจะนั่งรถไฟไปเที่ยว เริ่มขึ้นรถไฟช่วงกลางวัน แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่เราเริ่มขึ้นรถไฟกันตอนกลางคืน โดยเริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพงเวลา 19.30 น. เวลาที่เราจะถึงนครศรีธรรมราชคือเวลา 10.55 น.ของอีกวันโดยประมาณ แต่ก็นะเผื่อใจไว้รถไฟไทยเวลาออกตรงเวลามากๆ แต่เวลาถึงตรงเวลาน้อยมาก ขึ้นรถไฟปุ๊บเตรียมตัวหลับปั๊บ เพราะรถไฟชั้น 3 ไม่มีเตียง เราต้องหาเวลางีบได้เท่าที่เราจะมี เพื่อเก็บแรงไว้ลุยต่อในวันรุ่งขึ้น แถมยังต้องหลับๆตื่นๆตลอดทางระหว่างทางที่รถไฟจอดรับผู้โดยสารทุกจังหวัด
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนคือ เราโดนยุงกัด!! กัดเยอะมากด้วย จากที่จะได้นอนหลับแต่กลับโดนกัดจนถึงเพชรบุรีนู่นกว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่โดนยุงหามไปได้ เพราะเส้นทางลงใต้ผ่านต้นไม้ใบหญ้าเยอะเกินไป เราชะล่าใจเองที่ไม่ได้พกยากันยุงมา แถมเดินทางวันธรรมดา คนบนรถไฟก็น้อย ไม่มีใครช่วยแบ่งเลือดให้ยุง นั่งอยู่คนเดียวเลย ที่นั่งห่างเราไปอีกก็มีแต่เด็ก ผู้หญิง คนแก่ เด็กน้อยร้องเจื้อยแจ้ว ในใจคิด "ชั้นมาทำอะไรเนี่ย" อุปสรรคของการเดินทางมันเพิ่งเริ่มต้นใช่มั้ย นี่ใช่มั้ยรสชาติของชีวิต คิดนู่นนี่ เดินทางเที่ยวช่วงฝนตกแบบนี้จะเจออะไรร้ายๆอีกบ้างมั้ย คิดนั่นคิดนี่จนเผลอหลับไป เนื่องจากเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย นอนตรงไหนก็หลับได้หมด อันนี้เลยสบายใจไปมาคนเดียวได้ ถ้ามากับเพื่อน ล้านเปอร์เซ็นมีดราม่าแน่นอน นี่แหละคือเหตุผลที่ต้องมาคนเดียว
7.00 น.วันรุ่งขึ้น ในขณะที่เรายังนอนคุดคู้ ขดตัวอยู่บนเก้าอี้รถไฟ "น้าๆ ถึงไชยาแล้ว"
ใช่ค่ะ เด็กน้อยเมื่อคืน 2-3 คนที่เราสุดแสนจะรำคาญและไม่กล้าทักใครก่อน ด้วยความที่กลัวว่าคนใต้นี่ต้องดุแน่ๆเลย ตลอดเวลาที่นั่งมาเมื่อคืนเลยไม่อยากยุ่งกับใครเลย เพราะเดินทางกลางคืนด้วย
แกงค์เด็กแสบเมื่อคืน กลายเป็นเด็กน่ารักในเช้าวันนี้ แม่น้องคงให้น้องมาปลุกเรา เพราะเค้าไม่รู้ว่าเราลงตรงไหน น้ำใจคนใต้ได้มาแล้วตั้งแต่ตื่นนอนเลย
ไอ้เราก็นั่งเปิดเน็ตใหญ่เลย "ไชยานี่มันที่ไหนวะ" ถึงบางอ้อเมื่อรู้ว่าถึงสุราษฎร์ธานีแล้ว นั่งรถไฟแป๊บๆมาถึงใต้แล้ว อีกนิดเดียว โหยตื่นเต้น แต่เดียวก่อนนะ ได้กลิ่นอะไรโชยมา
ไก่ทอดมั้ยจ๊ะไก่ทอด ถึงไม่ใช่หาดใหญ่ก็มีไก่ทอด เสน่ของการนั่งรถไฟมันอยู่ตรงนี้อีกอย่างคือ ทุกๆจังหวัดที่แวะเราจะเจอกับของกินที่แวะขึ้นมาขายอย่างไม่ขาดสาย อร่อยๆทั้งนั้น ตื่นปุ๊ป กินปั๊บ ฟันไม่แปรง หน้าไม่ล้าง หญิงไทยพันธุ์ใหม่ค่ะ โอย...หอม กินไก่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวๆ
สักพักเด็กๆก็ลงสถานีบ้านส้อง น่าจะเป็นสถานีที่ยังอยู่ไชยา คนลงหมดเลย ทั้งคันมีแต่เรา เราไม่ได้ลงผิดใช่มั้ย สุราษฎร์ถึงก่อนนครฯ ปลายทางคือนครฯ เรายังไม่ต้องลงใช่มั้ย กลัวลงผิดสถานีมากอ่ะ
ระหว่างทางที่รถไฟจอดหลายสถานีซึ่งนี่ก็จำไม่ได้เลยว่าจอดที่ไหนบ้าง ชมวิวเพลินลืมมองป้าย ฝนก็ปรอยๆ ครึ้มๆ ต้นไม้ชุ่มฉ่ำไปหมด
ท่ามกลางความหวาดกลัวต่างๆนานาที่เราตัดสินใจนั่งรถไฟลงใต้ ที่คิดว่ามันแสนโหด แต่ในวันรุ่งขึ้นเรากลับละสายตาไม่ได้เลยกับภาพที่เห็นข้างทาง ภาคใต้ในแบบไม่มีทะเล ภูเขาของภาคใต้ในช่วงหน้าฝนไม่คิดว่าจะดีงามขนาดนี้ อยากให้ลองได้สัมผัสกันจริงๆ โดยเฉพาะเส้นทางก่อนจะลอดอุโมงค์ช่องเขา อุโมงค์รถไฟแห่งเดียวของภาคใต้ รถไฟจะวิ่งเส้นนี้อย่างช้าๆ เพราะซ้ายมือนี่ติดเขา ขวามือนี่ก็เป็นห้วยลึกลงไป มันละสายตาไม่ได้เลยจริงๆกับภาพที่เห็น จากที่เหนื่อยกับการเดินทางเมื่อคืน เหนื่อยกับการที่โดนยุงกัดและเสียงมนุษย์เด็กเจื้อยแจ้ว เจอวิวสองข้างทางแบบนี้ไป มันหายเป็นปลิดทิ้งเลย อีกนิดเดียวก็ปลายทางแล้ว ตอนนี้ทั้งคันมีแต่เราเป็นผู้โดยสารคนเดียว และ พนง.รถไฟที่เดินไปมาและคอยเก็บขยะ
ไม่ช้า เราก็มาถึง
ปู๊น ปู๊น นครศรีธรรมราช โอย ตื่นเต้นเป็นบ้า เอาเป็นว่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เดินทางคนเดียวแหละ
ถึงนครศรีธรรมราชประมาณ 11.00 น. ก่อนอื่นมองหาสองแถวเข้าหมู่บ้านก่อนเลย จากที่หาข้อมูลได้มาอันน้อยนิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าต้องเดินไปหาสองแถวตรงไหน แผนที่อยู่ที่ปาก เดินซอกแซกไปมา ถามทางมาเรื่อยๆจนเจอ
บอกเป็นแนวทางให้ว่า ออกจากรถไฟมาแล้ว หันหลังให้รถไฟ เดินมาหลังสถานีแล้วเลี้ยวขวาเลยค่ะ เดินถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเจอแยกแล้วเลี้ยวขวา ประมาณนี้จำไม่ค่อยได้ละ เอาเป็นว่าแผนที่อยู่ที่ปากนะทุกคน
เดินถามตลอดทาง หาสองแถวเพื่อเข้าหมู่บ้านคีรีวง ต่อรองกับคนขับอยู่ ไปหมู่บ้าน 25 บาท แต่ขอให้ไปส่งถึงที่พักเพราะเข้าซอยลึก คิด 35 บาท เราก็โอเค จู่ๆลุงคนนี้ขึ้นรถปุ๊บ ทักเลยจ้า (คนซ้ายมือ) ถ่ายบนสองแถวมันมืดนะ
ลุง : มาจากไหนนิ?
เรา : กรุงเทพค่ะ
ลุง : นี่พักที่ไหนนิ?
เรา : ...ที่.....ค่ะ
ลุง : อ่อ....ตะเจือป้ะ ตะเจือน่ะ โอ้ย! ญาติกัน เดี๋ยวโทรบอกให้นิ
เรา : เจือไหนอ่ะลุง หนูติดต่อคนชื่อแหนม ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวให้รถไปส่งในที่พักเลย
ลุง : โอ้ยยยยย...ไม่ได้ (ส่ายหัวหลุกหลิก) เป็นผู้หญิง มาคนเดียว จะให้ไปคนเดียวยังไง
....ลุงกดโทรศัพท์ยิกๆ พูดใต้รัวๆ นาทีนั้นคือฟังเค้าคุยโทรศัพท์ไม่ออกแล้ว แล้วนางยื่นโทรศัพท์ให้คุยเฉย ให้คุยกับใครยังไม่รู้เลย ปลายสายเป็นผู้ชาย "ขอให้สนุกนะครับ แต่ที่สำคัญ ถ้าเล่นน้ำแล้วน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงขอให้รีบขึ้นนะครับ" ลุงคือมองหน้าเหมือนเราไม่ไว้ใจแก แกมือสั่นควักบัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรข้าราชการให้เต็มมือ กลัวเราไม่เชื่อและกลัว
ลุง : (ไม่หยุด) นิโทรบอกที่พักยัง?
เรา : แบตหนูไม่มีแล้วค่ะ ไม่เป็นไร จองแล้ว ไปถึงก็เข้าได้เลย
ลุง : ไม่ได้ เอาเบอร์มา
เอาโทรศัพท์แกโทรบอกให้เราอีก ยื่นให้เราคุยอีก
ตอนแรกดูแกจุ้นจ้านมากนะ แต่พอถึงท่ารถในหมู่บ้าน ลุงแกรีบลงรถก่อน แล้วควักแบงค์ 50 ให้คนขับ แล้วเรียกเราขึ้นมอเตอร์ไซค์แก เราวิ่งไปจ่ายเงิน 25 บาท คนขับยิ้มบอกไม่ต้องๆ วิ่งเอาเงินไปให้ลุงก็ไม่เอา คว้ามอเตอร์ไซค์เรียกเราซ้อน แล้วไปส่งที่พัก คือทางไกลเอาเรื่อง แต่ความจริงถ้าไม่มาส่งก็เดินได้ มาเห็นป้ายหน้าบ้านพัก นายเจือ เพ็ชรวงศ์ อ้าว! นามสกุลเหมือนกัน เป็นญาติกันจริงๆด้วย นี่แถวนี้ญาติกันหมดเลยเหลอ ลุงปล่อยลง แล้วบึ่งรถเลย ขอบคุณเกือบไม่ทัน
เรา : (ถามพี่ที่ดูแลบ้าน) พี่ๆ นี่ใครอ่ะ
พี่เค้าตอบ "พี่ยังไม่รู้เลยว่าใคร ญาติเยอะ" อ้าว!!
ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีเราก็เริ่มเดินทางเข้าหมู่บ้าน จะเป็นทางขึ้นเขา ทางโค้งบ้างนิดหน่อย แต่โชคดีที่ทางลาดยางหมดแล้ว เดินทางสะดวกจริงๆเวลานั่งสองแถวมา แนะนำว่าใครจะมา ถ้าทนได้ให้นั่งรถไฟมานะ นอกจากจะเจอวิวดีๆสองข้างทางแล้ว ยังใกล้กับจุดขึ้นรถสองแถวเข้าหมู่บ้านมาก ถ้าขึ้นเครื่องบินมาก็ต่อรถมาขึ้นสองแถวคงอีกหลายร้อย
นี่ก็เป็นภาพทางเข้ามา
ใกล้ความจริงแล้ว ถึงสะพานคลองท่าดี เราเริ่มหลุดเข้าไปในเมืองสีเขียวแล้ว
ถึงคิวรถสองแถว (ที่พอลงจากรถแล้วลุงจ่ายตังค์แทนอ่ะนะ)
แล้วลุงก็ขับมอเตอร์ไซค์มาส่งถึงโฮมสเตย์เลย ทางเข้าก็ลึกหน่อย แต่เอาจริงๆ เดินก็ไหวนะ ถ้าไม่มีคนมาส่ง
ถึงแล้ว เพชรคีรีโฮมสเตย์ อารมณ์เหมือนบ้านที่ต่างจังหวัด ให้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้านจริงๆ บ้านไม้ซะด้วย เราอยู่ห้องด้านซ้ายมือ ผ้าม่านเขียว มาคนเดียวค่าห้อง 400 บาท
อันนี้เป็นอีกฝั่ง พื้นที่เดียวกัน เจ้าของก็เป็นญาติๆกันหมด
ขึ้นบ้านกันเหอะ อันนี้เป็นหน้าห้องที่เราพัก
ภายในห้องพัก ไม่มีแอร์ ห้องเล็กๆ ไม่มีเตียง ห้องน้ำอยู่ใต้ถุนบ้าน นี่เรากลับบ้านต่างจังหวัดรึเปล่าเนี่ย
ลงไปอาบน้ำใต้ถุนบ้าน คือน้ำเย็นมากกกกกกก เย็นเหมือนออกมาจากตู้เย็น อากาศก็เย็นๆ ครึ้มๆ อาบน้ำเสร็จ ไปถามพี่เจ้าของที่พัก หนูอยากเช่าจักรยาน เค้าบอกเอาที่นี่ไปเลยก็ได้ คิดวันละ 50 บาท พูดแล้วคว้าปั๊บ ออกไปปั่นจักรยานเล่นกันเหอะ ไปดูว่าที่นี่มีอะไรบ้าง
ปั่นออกมานิดเดียวก็ต้องเบรก เบรกทำไมล่ะ โอยยยยยยยย.....ก็ดูนี่สิ
อย่าได้พลาด!!
ไม่ได้เล่นคนเดียวนะ เล่นกับนี่!!!
อ้าว!! สุดๆไปเล้ย!!
ยังไม่ทันไรก็แวะเปียกซะละ ปั่นต่ออีกนิด ไปถึงสะพานยอดฮิตกัน สะพานคลองท่าดี
ด้านซ้ายของสะพาน
ด้านขวาของสะพาน เห็นแล้วแทบหยุดหายใจ มัน-สวย-มากกกกกก
ปั่นพ้นสะพานปุ๊บ เลี้ยวซ้ายก่อนเลย ปั่นไปทางขึ้นเขาก่อน
เจอน้องวัวที่มี life style ชิคๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน
เราจะเห็นเป็นเพิง กระท่อมเล็กๆ หรือศาลาริมน้ำอยู่เป็นจุดๆตามทางที่เราปั่นมา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่นั่งเล่นริมน้ำเลย มีเพียบ
เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกนึง เหมือนไม่ได้มาภาคใต้ ภาคใต้ไม่มีทะเลมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ทำไมถึงบอกว่าอากาศดีที่สุดในประเทศ กลิ่นมันก็เหมือนบ้านเราทางเหนือนี่นา......จากการวิจัย ตามเกณฑ์มาตรฐานอากาศที่ดีต้องมีสิ่งแปลกปลอมไม่เกิน 300ไมครอนต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร แต่คุณภาพอากาศที่ลานสกา หมู่บ้านคีรีวง พบว่ามีสิ่งแปลกปลอมเพียง 3 ไมครอนต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือมีอากาศที่บริสุทธิ์กว่ามาตรฐาน 100 เท่า ในปี 2552 วัดได้ 9 ไมครอนแล้ว ....ปี 2558 ยังไม่รู้เท่าไหร่ ต้องรีบมาเที่ยว เพราะยิ่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ความ Ship หาย ก็จะตามมามากขึ้นเท่านั้น
แทบอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ น้ำใสมาก เย็นมว๊ากกกกกกกก
อันนี้ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นจุดเล่นน้ำของรีสอร์ทปู่อินทร์อะไรซักอย่างนะ เราก็เนียนลงเล่น
มาที่นี่ชาวบ้านก็จะพยายามบอกเราตลอดว่าถ้าน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วรีบขึ้นนะ ไม่ใช่แค่เตือนด้วยปาก ป้ายก็มี เราต้องเชื่อเค้านะ เชื่อในสิ่งที่คนท้องถิ่นพูดดีที่สุด
และที่สำคัญเมื่อหลายปีก่อนเคยเกิดโศกนาฎกรรม น้ำป่าไหลหลากเพราะต้นไม้ถูกทำลาย บ้านเรือนเสียหาย ผู้คนในหมู่บ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่คนที่นี่ก็ยังไม่ถอย หาวิธีที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแบบนั้นอีกก็คือการปลูกต้นไม้ ใช้สอยเท่าที่จำเป็น หางานเสริมให้กับชาวบ้านเพื่อจะได้มีรายได้กัน การตั้งกลุ่มทำงานฝีมือ หรือทำโฮมสเตย์ ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องไปบุกรุกป่าอีก
ความจริงปั่นแป๊บเดียวก็ทั่วละนะ แต่แวะแต่ละที่นาน เช่น แช่น้ำ นั่งสูดอากาศ ปั่นไปปั่นมาหิวก็หาอะไรกิน คือเหมือนเราไม่ได้อยากมาแบบนักท่องเที่ยว แต่เราอยากมาแบบนักเดินทาง เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ไม่ใช้รถส่วนตัวมาเพื่อก่อมลพิษเพิ่ม ไม่ได้นอนโรงแรมแพงหรือกินอาหารดีๆ ลองใช้ชีวิตในแบบที่คนท้องถิ่นเค้าอยู่และเป็น ตั้งแต่ที่พัก จนถึงอาหารการกิน จะได้ช่วยกระจายรายได้ในชุมชนด้วย แถมครั้งนี้ก็รู้สึกติดใจขนมจีนของทางใต้ซะแล้ว ผักเยอะมาก คนใต้กินผักเก่งมาก เราก็ชอบกินผักมากๆ
ยกตัวอย่างร้านนี้ก็ข้างทางนี่แหละ หิว เจอร้านไหนก็จอดแวะ ไม่ตัดสินใจนาน ลองผิดลองถูกเอง พุ่งเข้าหาตรงจักรเย็บผ้านี่แหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
คือมีแต่ผักแปลกๆ ไม่เคยกิน โดยเฉพาะผักบุ้งคลุกกะทินี่เรียกว่าอะไรอ่ะ ตัวอ้วนเลย แต่ชอบมาก ทั้งขนมจีนกับน้ำแข็งใส หมดนี่ก็ 30 บาท ตกใจราคาแป๊บ
เรามาวันธรรมดา คนไม่ค่อยเยอะ ร้านรวงไม่ค่อยเปิดเยอะ ช่วงปลายฝนคนคงไม่ค่อยเที่ยวด้วย แต่บอกเลยว่าคีรีวงมาหน้าฝนดีที่สุด เพราะน้ำเยอะ ปั่นจักรยานก็ไม่ร้อน
อ่อลืมบอกไป สะพานตรงนี้ให้อาหารปลาได้นะ มีอาหารปลาห้อยตรงสะพาน ถุงละ 10 บาท ให้เอาเงินใส่กระป๋อง ไม่มีคนเฝ้าด้วย เราต้องซื่อสัตย์ หย่อนตังค์ให้เค้าไปละกัน 10 บาทเอง ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่ามีใครมาแอบขโมยตังค์รึเปล่า
ปั่นไป หลงไป ไม่รู้จะไปทางไหน ปั่นไปเรื่อยๆก็เหมือนเริ่มเข้าป่าลึก ปั่นขึ้นเขาก็จูงมั่ง แอบหอบ แต่ถือว่าได้มาออกกำลังกายเลยนะ
เห็นงี้ผู้ชายต้องเหลียวหลังมองเลยนะจ๊ะ อารมณ์น้องแบบ "ป้าๆ ทำไรอ่ะ"
เห็นเปลี่ยนชุดงี้คือเปียกจนต้องกลับไปเปลี่ยนมารอบนึง 5555
ปั่นเล่นจนใกล้มืด จักรยานไม่มีไฟด้วย หลังสองทุ่มที่นี่คงเงียบเหมือนต่างจังหวัด กลับบ้านอาบน้ำนอนดีกว่า (ใช้คำว่ากลับบ้านด้วย)เรานึกออกละว่าน้ำก๊อกในห้องน้ำที่โฮมสเตย์เย็นเหมือนที่ไหน ก็น้ำที่เราไปเล่นมาน่ะแหละ เย็นมากกกกกกก สดชื่น พักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้ไปปั่นจักรยานแต่เช้าต่อ คืนแรกเลยสลบท่ามกลางฝนตกปรอยๆที่ไม่ต้องเปิดแม้แต่พัดลมเลย
เช้าวันต่อมา ไปสูดอากาศกันต่อเหอะ
หิวอ่ะ เช้าๆน่าจะมีตลาด ก็มีจริงๆ แต่ไม่ใช่ตลาดใหญ่ คนขายของไม่กี่ร้าน ไม่เป็นไร เรากินได้ทุกอย่าง กลิ่นหอมมาแต่ไกล ไก่ทอดดดดดดดด!!!
ขอกระเทียมเยอะๆหน่อยค่ะ ข้าวเหนียวร้อนๆด้วยนะ
ไม่ได้กินแถวนี้นะ แต่เราจะปั่นไปกินนู่น ที่ที่เรายังไม่ได้ไปเมื่อวานเพราะมืดแล้ว สุดทางเลย ปั่นไปถึงหนานหินท่าหา ระหว่างทางแวะถ่ายรูปดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ
ปั่นมาจนหอบ สุดทางละ
ภาพที่เรามักจะเห็นจนชินตาคือชีวิตประจำวันของคนที่นี่ใช้น้ำตกทั้งอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ช่วงเย็นๆก็จะเจอมอเตอร์ไซค์มาจอดล้างเป็นเรื่องเป็นราวเลย
ป้าทั้งแปรงฟัน ทั้งอาบน้ำเลย น้ำสะอาด เป็นต้นน้ำแล้ว ป้าบอก ลงเล่นเลย ลงเล่นด้วยกัน
เหย....น้ำมันเย็นอ่ะ
กินไก่ดีกว่า
เจอสะพานอีกแล้ว
โอย...สดชื่น...แจกความสดใส
เช้าๆ ชาวบ้านก็เริ่มขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาไปเอาผลไม้ แต่เหมือนคนนี้จะไปปลูกเพิ่มด้วยนะ
น้ำตรงนี้ไหลแรงเอาเรื่องนะ
ทางตรงนี้เป็นทางขึ้นเขาเดินเท้าอีก 3 กิโล อยากเดินอยู่ แต่คนเดียวก็ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน เผื่อหลงป่า โดนน้ำป่าซัดไม่มีใครช่วยแย่เลย เรามาปั่นจักรยานตามทางของเราดีกว่า
เจออย่างนี้ก็ยอมเป็นเด็กหลังเขาเลย อยากมีบ้านหลังเขาซักหลังมั้ยล่ะ
โอย....สดชื่น ปั่นจักรยานไป โหย โหย หูว หูว ตลอด ชาวบ้านก็มอง ก็มันสดชื่นอ่ะ มันเขียวรอบตัวไปหมด อากาศก็ดี๊ดี โอย.....น้ำตกไหลลงเขา เป็นน้ำที่เราอาบรึเปล่าน่ะ เย็นยะเยือก
เราสงสัยตลอดตอนเล่นน้ำว่าหินพวกนี้มันเกิดจากธรรมชาติใช่มั้ย หรือเพราะมนุษย์ น้ำตกส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีหินลักษณะนี้มากองๆกันแบบนี้ คงจะเป็นเมื่อหลายปีก่อนหมู่บ้านเจอน้ำป่าเลยพัดหินลงเขามา แต่มาซะก้อนสวยเลย เราเลยปีนเล่นสนุกใหญ่ แต่ตรงนี้ลื่นใช้ได้ และน้ำไหลแรงมาก ใครจะมาลงเล่นตรงนี้จริงๆแนะนำมากับเพื่อน น้ำไหลแรงตั้งแต่ต้นน้ำมาเลย
แต่ตรงนี้ คนสร้างขึ้นมาแน่นอน ใส่รองเท้าเดินยังเจ็บเลย
จริงๆแล้ว มนุษย์ ก็ตัวเล็กกว่าธรรมชาติอยู่วันยังค่ำ
จักรยานเราซ้ายมือ รถยนต์ ขวามือ โดยส่วนใหญ่ที่คีรีวง คนจะใช้มอเตอร์ไซค์ ถ้าใช้รถคันเล็ก เช่น มอเตอร์ไซค์ หรือจักรยานน่าจะดีกว่าเอาคันใหญ่มานะ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ เอามาก็อยากให้จอดเป็นที่เป็นทาง ไม่อยากให้ขับไปในทุกๆเส้นของหมู่บ้าน เราเห็นภาพเลย ถ้าคนยิ่งเอารถส่วนตัวมาเยอะๆ เหมือนภูทับเบิก อีกหน่อย คีรีวง คงไม่ใช่หมู่บ้านที่มีอากาศดีที่สุดในประเทศอีกต่อไป
นอกจากที่นี่จะทำให้เราเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกนึงแล้ว ที่นี่ยังทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดมาอีกประเทศเลยคือ เรา......ฟังภาษาใต้ไม่รู้เรื่องเลยยยยยยยย #ร้องไห้หนักมาก ตั้งแต่ลงรถไฟเหยียบเมืองคอน เงี่ยหูแล้ว ถามซ้ำแล้ว ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย คนเหนืออย่างเราเจอแต่คนพูดเนิบๆ มาที่นี่เจอแร๊บใส่ไม่ยั้งเลย #ร้องไห้นานมาก แต่ถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงแววตาและความจริงใจที่ชาวบ้านสื่อสารออกมา
อันนี้ป้าบอก น้องป่วยอยู่ หน้าไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่
เราตัวเล็กกว่าธรรมชาติจริงๆแหละ
ชมนกชมไม้อยู่ดีๆ ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ตายล่ะ จะปั่นลงไปทันมั้ย
อ้าวปั่นดิ่ปั่น แย่ละ ตกหนักมาก จะเจอน้ำป่ามั้ย อุปสรรคของการเดินทาง รสชาติของชีวิตอีก 1 ดอก
หลบฝนแป๊บ เล่นน้ำฝนด้วย
อ๋อย....จัดเต็มเลย ชะนีติดฝน
โบราณว่าไว้ ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
สวยจนแทบจะหยุดหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหนื่อยหรือลำบาก มันหายไปหมดเลย เอาไปเลยสิบคะแนนเต็ม สิบคะแนนเต็ม สิบคะแนนเต็ม!!!!
ไม่ต้องไปถึงเกาหลีแล้วน้าาาาาา
เจอลุงเอาข้าวที่ขึ้นราแล้วมาให้ปลาด้วย คือเข้าไปคุยกับลุง คือฟังไม่รู้เรื่องเลย อะไรนะคะ ไปแปดล้านรอบ
มาถึงบ้านเค้าละ เข้าวัดซะหน่อยเพื่อความเป็นสิริมง กะลังชุ่มเลย
หลังฝนตก แฉะๆแบบนี้ไม่มีใครมาวัด นอกจากชะนีเดินไปเดินมาให้เจ้าตูบเห่า
ก่อนมา เราดูคลิปที่หมู่บ้านโดนน้ำป่าซัดหายด้วยอ่ะ อย่างโหด จำได้เลยว่าเห็นโบสถ์ตรงนี้ที่ตั้งเด่นอยู่ และยังคงสภาพดี คงต้องใช้เวลาบูรณะกันอีกนาน
ใกล้เวลาที่เราจะกลับแล้วเช็คเอาท์ 12.00 น.
ยังไม่อยากกลับเลย ว่ามะ???
ก่อนกลับเม้าท์มอยกันสักพัก แล้วพี่ที่ดูแลบ้านก็แว๊นมอเตอร์ไซค์มาส่งเรา ค่าเช่าจักรยานครึ่งวันแรกกับครึ่งวันที่สองเหมารวมเลย 50 บาท
เอาให้ชุ่มปอดนะ เรากำลังจะออกจากเมืองสีเขียวแล้ว
ระหว่างรอสองแถวออกตอน 14.00 น. เราบอกพี่ขอเวลา 10 นาที ยังไม่ไปใช่มั้ย ลงไปถ่ายรูปใต้สะพานแป๊บ นั่นแหละค่ะท่านผู้ชม ใต้สะพานคลองท่าดีที่เราเพิ่งให้อาหารปลากัน พี่เค้าบอก ทางมันรก ลื่นหน่อยนะ ชะนีฟังที่ไหนล่ะ นี่มาแอบเลี้ยงน้องวัวกันตรงนี้นี่เอง
นั่งบนสองแถว ถ่ายรูปสั่งลา
เริ่มเข้าตัวเมืองละ
รถไฟออกบ่ายสาม เรามาถึงก่อน พอมีเวลาเดินเล่นและหาอะไรกิน แน่นอน อาหารใต้ข้างทาง โอ้ยยยยยย...ปลื้มมมมมม ผักเยอะมาก สั่งข้าวกับแกงแค่นี้เอง ผักเสิร์ฟไม่หยุด ชะนีเปรมมาก ชอบกินผัก เจอป้าคนนึงมานั่งกินด้วย อยู่ดีๆก็ทัก "หมืดฝ๊น หมืดฝ๊น" เราก็ "ห๊ะอะไรนะคะ อ๋อ....มืดฝน!!" ฟังอยู่นานเลย แล้วก็เม้าท์มอยสภาพอากาศตามประสาคนเพิ่งเจอกัน และกินข้าวร่วมโต๊ะกัน
เดินย่อยถ่ายรูปเล่นก่อน
เข้าวัดเพื่อความเป็นสิริมง
รถไฟใกล้มาแล้ว ไปที่สถานีกันเถอะ
ระหว่างรอรถไฟกลับ กทม. เรามาคิดค่าเสียหายกับการลงใต้ครั้งนี้กันเหอะ
ค่าตั๋วรถไฟ 283 บาท รวมไป-กลับ = 566 บาท
ค่าโฮมสเตย์ 400 บาท (เค้าคิดต่อห้อง ถ้ามา 2 คนก็ 200 งี้) + ค่าเช่าจักรยาน 50 บาท = 450 บาท
ค่ารถสองแถวเข้าหมู่บ้าน ขาไป ลุงใจดีจ่ายให้ ขากลับ 25 บาท = 25 บาท
รวมเฉพาะค่าเดินทางไปกลับกับที่พัก 1,016 บาท ส่วนค่ากินก็ไม่กี่บาท จำไม่ได้ว่ากินอะไรบ้าง บางทีก็ซื้อขนมจุกจิก รวมน่าจะ 200-300 บาท อาหารถูก กินตั้งแต่ 20-50 บาท ดีที่กินง่าย กินได้ทุกอย่าง กินให้อิ่มก็พอ
เราไม่ได้มาเที่ยว แต่มาเดินทาง ลองมาสัมผัสชีวิตคนอื่นบ้างว่าเค้ากินอยู่ยังไง บางคนเห็นมาว่าจากกรุงเทพ กลัวเราจะทนไม่ได้ ถามตลอดว่า "อยู่ได้มั้ย" "กินได้รึเปล่า" เราไม่ได้มาแบบสบาย เรามาเพื่อให้ได้เรียนรู้ชีวิตผู้คน เรียนรู้สถานที่ใหม่ๆ ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นแรงบันดาลใจดีๆให้เราได้ และทุกครั้งที่เดินทาง เราก็ได้กลับมามากมายจริงๆ ที่คงไม่อาจเล่าผ่านตัวอักษรได้หมด การใช้ชีวิตในแบบช้าๆของเรา คงเป็นการเข้าถึงชีวิตช้าๆที่คนท้องถิ่นใช้กันจริงๆ คนอื่นนั่งรถไฟชั้นสามได้ เราก็นั่งได้ คนอื่นนอนได้ เราก็นอนได้ คนอื่นกินได้ เราก็ต้องกินเป็น การใช้ชีวิตช้าๆในแบบที่กินอาหารแพงหรือพักที่แพงๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มันคงไม่ใช่การใช้ชีวิตช้าๆของเราเลย เราทำแบบนั้นไม่ได้เลย เพราะเราจน!!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นแบบนั้น หลังกลับมาคงจะทำงานงกๆ ใช้ชีวิตเร็วๆจนหัวฟู เพื่อเก็บเงินมาใช้ชีวิตช้าๆ ไม่ไหว มีแค่ไหนก็ใช้แค่นั้น ไม่รีบ
ในส่วนของคีรีวง บางทีก็ไม่อยากให้ใช้รถส่วนตัวมาเยอะเลย โชคดีที่ไปวันธรรมดา คนน้อย เราชอบ คนที่หมู่บ้านบอกว่าเสาร์อาทิตย์คนเยอะมากๆ เห็นภาพว่าอีกหน่อยที่นี่ต้องแย่แน่ๆ แต่ชาวบ้านก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะอาชีพหลัก ทำไร่ทำสวน มันไม่สามารถเลี้ยงปากท้องได้ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ชาวบ้านต้องมีรายได้เสริม มันอยู่ที่พวกเราที่เรียกตัวเองว่านักท่องเที่ยวแล้วล่ะ ว่าจะเติมอะไรเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาที่นี่
"คีรีวง"
ยังมีหลายจังหวัดที่ไปแล้วยังไม่ได้มาเล่า แล้วเจอกันใหม่ สำหรับผู้หญิงที่รักการท่องเที่ยวคนเดียว เข้าไปคุยกันในเพจ "จะเที่ยวคนเดียว Lady Journey" ได้ค่ะ มาแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวกัน
Boe_Stories
วันพฤหัสที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 01.32 น.