ไปด้วยกันมั้ย...ผมจะพาคุณไปขึ้นสวรรค์ ?

หลายครั้งหลายหน ที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากจะขึ้นไปสัมผัสกับหมอกหนาๆ อยากจะขึ้นไปสัมผัสกับความงดงามที่ซ่อนอยู่บนยอดเขา ซึ่งปฎิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสถานที่เหล่านั้นล้วนต้องขึ้นไปด้วยความยากลำบาก แลกมากับการปีนป่าย และเดินข้ามเขาหลายลูก หลายกิโล อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับใครที่รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้พร้อมสำหรับการเดินทางแบบนั้น

แต่ในวันนี้ ผมได้กลับมา ลำปาง อีกครั้ง

กลับมาสัมผัสกับสวรรค์ที่อยู่แค่เอื้อม...

และเเล้วการเดินทางของ ค น ห ล ง ท า ง ก็เริ่มต้นขึ้น....


ดอยฟ้างาม ที่อาจจะยังไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่นัก อยู่ที่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กับระยะทางเพียง 2 กิโลกว่าๆ ที่สามารถเดินได้สบายๆเรื่อยๆ และใช้เวลาเพียงไม่นาน คุณก็จะได้สัมผัสกับท้องฟ้าและทะเลหมอกอันงดงามสมชื่อดอย

ดินแดนแห่งนี้

ทำไมผมจึงเรียกว่าเป็น ดินแดนแห่งหมอกสีทอง ?

เพราะเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างพอดี และทำมุมสะท้อนกับทะเลหมอกเบื้องหน้า จนกลายเป็นสีส้มทองไม่เหมือนที่ใดๆ ทำให้รู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นเหมือนสวรรค์ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและสัมผัสได้

เหมาะสำหรับทริปสั้นๆ เพียง 2 วัน 1 คืน ที่จะมานั่งปล่อยใจ และใช้พลังงานเดินทางขึ้นมาเพียงแค่เท้าได้ขยับสักเล็กน้อย แล้วคุณจะรู้สึกอิ่มใจที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในสวรรค์แห่งนี้


การเดินทางของผมในครั้งนี้ เริ่มต้นในคืนวันศุกร์อีกเช่นเคยครับ เป็นวันศุกร์แห่งการหยุดยาวในช่วงวันปิยมหาราช ที่ใครหลายคนปรารถนา รวมทั้งผมด้วยเช่นกัน...

หยุดยาวแบบนี้ จะไปไหนแต่ละทีก็คิดหนักหน่อยครับ หยุดยาวเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปไหนแล้วคนเยอะมากเกินไป ก็อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเริ่มต้นเดินทางออกจาก กทม. โดยการขับรถไปกันเอง มุ่งหน้าสู่ลำปาง ก็ถึงลำปางในช่วงเช้าๆ ก็แวะนั่นแวะนี่ไปเรื่อยครับระหว่างทาง และแล้วเราก็ไปยังจุดหมายปลายทาง คือที่ วัดสาแพะพนาราม อ.แจ้ห่ม มาถึงวัดก็เกือบๆบ่าย 3 เห็นจะได้ครับ ที่นี่เป็นวันเล็กๆ ที่สวยงามมาก สงบร่มรื่น เเละมีของ... มีของในที่นี่คือไม่ใช่มีของ มนตร์ดำอะไรนะครับ แต่หมายถึงเป็นวัดเล็กๆ ที่มีของดีซ่อนอยู่


ที่วัดสาแพะพนารามนี้ มีโบสถ์ที่สวยงามมาก และภายในจะมีพระพุทธรูปแกะสลัก ที่ต้องบอกว่าเจ้าอาวาสที่นี่ท่านเป็นผู้เเกะสลักเอง รายละเอียดของสถานที่ก็มีความใส่ใจ ดูแลเป็นอย่างดี ตามมาชมความงามของโบสถ์แห่งนี้กันครับ


ส่วนรูปปั้นด้านหน้านี้ จะเป็น รูปปั้นของนาคี-นาคา ตามความเชื่อในเรื่องของพญานาค เป็นผู้คอยปกปักรักษาโบสถ์แห่งนี้

ภายในวัดนี้ จะมีเจ้าลิงน้อยอยู่ตัวนึงนะครับ น่ารักดีทีเดียวเชียว เป็นลิงที่คนงานที่วัดเอามาเลี้ยงไว้

มาถึงก็จัดข้าวของ เตรียมรอออกเดินทางกันหน่อยครับ

ถามว่าทำไมเราถึงต้องมาตั้งหลักเริ่มต้นเดินทางกันที่นี่ เพราะเจ้าอาวาสวัดนี้ ร่วมมือกับชาวบ้านและผู้ใหญ่ ในการดูแลรักษาแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่าง 'ดอยฟ้างาม' ไม่ให้ตกไปอยู่ในกำมือของนายทุนทั้งหลาย เพราะอยากให้เป็นสถานที่ที่มีคุณค่า และทุกๆคนช่วยกันรักษา ไม่อยากให้ใครมากอบโกยหาผลประโยชน์จากธรรมชาติที่คนแถวนี้รักและหวงแหน

วัดสาแพะพนาราม จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางในการดูแลดอยฟ้างามแห่งนี้ โดยจะมีหลวงพี่ หรือเณร เป็นผู้นำทางเราเดินขึ้นเขาไปครับ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทางวัดไม่ได้เรียกร้องขอเก็บค่าอะไรจากนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่นิดเดียวครับ


มาที่นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่าครับ วาดตกแต่งสวยงาม และดูมีเรื่องราว ผมบอกแล้วครับว่า ที่นี่มีของจริงๆ เป็นวัดเล็กที่เรียกว่าไม่ธรรมดาเลย




ระหว่างรอคนนำทาง เราก็นั่งพักผ่อนหย่อนใจ หาข้าวหาปลากินกันสักหน่อย ตรงหน้าวัดจะมีร้านก๋วยเดี๋ยวอยู่นะครับ เดินไปหน่อย 300เมตร

ดูแก้วร้านนี้สิครับ เท่มั้ยละ 5555+

เอากระป๋องเบียร์มาทำครับ แต่มันไม่บาดปากนะครับ เพราะเอาตรงฝาด้านในออกอย่างดีแล้ว


และเเล้วเราก็ได้เวลาออกเดินทางกันครับ ต้องขับรถออกไปจากวัด ประมาณเกือบๆสิบกิโล เพื่อนำรถไปจอดตรงตีนเขา และเดินต่อขึ้นไป 2 กิโลกว่าๆ โดยจะมีเณร เป็นผู้นำทางเราขึ้นไปครับ


ถึงตีนเขาแล้วครับ ขับมาทางอาจจะทุลักทุเลหน่อยให้ลำไส้ได้ครื้นเครงเต้นไปเต้นมา แต่ก็ค่อยๆขับมา จนถึงตรงตีนเขานี้ประมาณ 5 โมงเย็นได้แล้วครับ เย็นทีเดียวเชียว แอบหวั่นๆฟ้าจะมืด 5555+


เรามาเริ่มเดินทางกันเลยครับ...

เริ่มต้นเดินก็เย็นแล้ว มารอดูกันว่า จะใช้เวลานานมั้ยกว่าจะถึง แล้วจะถึงก่อนแสงพระอาทิตย์จะหมดลงรึเปล่า


เดินแบกๆๆๆ กันไปครับ ในถุงเบนเท็นนี่คืออุปกรณ์เครื่องครัว และวัตถุดิบทำอาหารทั้งหลาย นี่ดีนะครับที่เดินนิดเดียวถึงแบกมาเยอะแบบนี้ได้ นี่ถ้าเดินไกลๆ พกปลากระป๋องไปคนละกระป๋องก็พอ 5555+

เดินไปไกลอาจจะหนักจนอยากกินไปให้หมดระหว่างทาง แล้ววางถุงไว้ตรงนี้รอตอนเดินกลับลงมาแล้วหิ้วไป


ป้าของผม เป็นสตรีหนึ่งเดียวในทริปนี้ แกก็เดินเรื่อยๆครับ บอกแล้วว่าอันนี้เดินสบายๆ ไปได้ทุกเพศทุกวัย


มาถึงกันแล้วครับผมมมม

โหววว ทันแสงสุดท้ายของวันพอดีเลย ขึ้นมาถึงก็ 6 โมง 15 นาทีได้ครับ ใช้เวลาเดินชั่วโมงกว่าๆ เดินไม่ไกลแต่เหนื่อยเพราะเบนเท็นนี่แหละครับ

ขึ้นมาถึงปุ๊บ เณรก็บอก จุดกางเต๊นท์อยู่ตรงโน้นนะ อธิบายเพิ่มได้อีกไม่กี่คำ หันไปอีกทีเณรไม่อยู่แล้วครับ เณรรีบวิ่งลงเขาไปก่อนเพื่อนเลย เณรบอก 'เณรกลัวผี' 5555+

คือด้วยความที่มันจะค่ำแล้ว ส่วนเณรต้องลงไปคนเดียว แล้วจะมีคนมารอรับอยู่ที่ตีนเขา นั่นก็อยู่คนเดียว ก็กลัวผีเหมือนกัน

แต่ก็อย่างว่าละครับ ท่ามกลางป่าเขา ผู้คนไม่มี แสงไฟไม่มี อยู่ตามลำพังย่อมจะต้องกลัวเป็นธรรมดา เณรเลยรีบวิ่งลงไป ในขณะผมนี่ยังยืนงงๆอยู่เลย


มาถึงก็ก่อไฟ เตรียมตัวทำอาหารเย็นกัน กางเต๊นท์เก็บของให้เรียบร้อย

ค่ำคืนนี้ ดาวเยอะทีเดียวครับ แต่จะมีต้นไม้มาบังหน่อย เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นแบบลานกว้างๆโล่งๆ


กินหรูอยู่สบายนะครับรอบนี้ มีเสต็กหมูกันเลย ปกตินี่กินอะไรง่ายๆไปเรื่อย เพราะเดินไกล ขนของไปก็หนักเปล่า วันนี้ได้กินแบบนี้เรียกว่าเป็นบุญ


เอ๊ะ!?! นี่ใครกัน

มันชื่อ เจ้าปีโป้ครับ เป็นหมาของที่นี่ คอยเดินตามมาส่งเราตลอดทาง แล้วก็ขึ้นมานอนด้วยกันอยู่บนนี้เลย น่ารักเชียว


จริงๆที่นี่ นอกจากจะชื่อ ดอยฟ้างามแล้ว ผมว่าดาวที่นี่ก็งามไม่แพ้กัน ระยิบระยับ ขึ้นเยอะมาก ยิ่งมืดยิ่งเห็นได้ชัด นอนดูดาวก่อนนอนแล้วก็หลับไปพร้อมๆกับการนอนนับดาวได้เลยครับ

นั่งเล่นดูดาว ถ่ายรูปกันในยามย่ำคืน


และแล้ว เมื่อถึงยามเช้า เมื่อแสงของพระอาทิตย์เริ่มมาเยือน...

หมอกเบื้องหน้า คือความคุ้มค่า และความสุขที่บรรยายออกมาได้ยากจริงๆ

ถ้าถามว่าที่นี่ อากาศเป็นยังไง หนาวมั้ย ? บอกเลยครับว่าไม่ 5555+ อุณหภูมิปกติ หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงที่ผมมา ยังไม่เข้าสู่ฤดูหนาวเต็มที่ (เดินทางปลายเดือนตุลาคม) ถึงจะไม่หนาว แต่ก็มีหมอกหนา ละลานตาไปหมด


ลอยฟูฟ่องเหมือนสายไหม ที่รับกับเเสงของพระอาทิตย์ ทำให้ทะเลหมอกที่นี่ กลายเป็นสีทองสวยงามมากจริงๆ


พระอาทิตย์เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ แสงตอนนี้ใกล้จะเป็นสีขาวเข้าไปทุกที

หมอกกว้างไกล สุดสายตา มองได้ไม่รู้จบและไม่มีวันเบื่อ


ด้านบนนี้จะมีพระพุทธรูปให้กราบไหว้สักการะกันอยู่ ก่อนออกเดินทางก็ไหว้กันให้เป็นสิริมงคลกันหน่อย เพื่อความอุ่นใจ


เช้าวันนี้ มีหลวงพี่เป็นผู้ขึ้นมารับเราลงไปจากเขากันครับ หลวงพี่ท่านนี้บวชมานานพอสมควร ท่านก็เป็นผู้ที่คอยดูแลนักท่องเที่ยว

เวลาที่ท่านขึ้นมารับ ก็จะชอบมาถ่ายรูปหมอกกลับลงไปเป็นประจำ คอยอัพเดทลงเพจของ ดอยฟ้างาม บ้านสาแพะ ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง (จิ้มได้เลยนะครับ) ว่างๆก็ลองเข้าไปชมความงามของที่นี่กันดู มีหมอกสวยๆมาอัพเดทให้ดูเป็นประจำ เห็นแล้วสบายตาสบายใจ กระตุ้นต่อมอยากแน่นอน


หลวงพี่ท่านก็ใจดีครับ เล่าความเป็นมาของที่นี่ให้เราได้ฟังกัน ได้ความรู้ดีๆกลับไป


เดิมที ที่นี่ไม่ได้ชื่อ ดอยฟ้างาม นะครับ แต่ชื่อ ดอยผางาม ผู้ที่ค้นพบท่านแรกก็พระวัดนี้ ท่านเป็นผู้ตั้งชื่อ แต่หลังจากนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกว่า จริงๆแล้วเสน่ห์ของที่นี่ คือ 'ท้องฟ้าที่งดงาม ปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกต่างหาก' จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นดอยฟ้างามแทน

หลักฐานดูได้จากหินปูนสลักชื่อตรงนี้นะครับ เดิมที่สลักไว้ว่า ดอยผางาม...


ชมหมอกแล้ว ตามมาดูบรรยากาศรอบๆกันบ้างครับ



เดินเล่นไปตามทาง แล้วกลับไปเก็บข้าวของ เตรียมอาหารเช้าที่จุดกางเต๊นท์กันครับ


จุดกางเต๊นท์ที่นี่ จะเป็นเพิงสังกะสีแบบนี้นะครับ ให้เราสามารถกางเต๊นท์แบบหลบลมหลบฝนได้ นี่กางกัน 4 เต๊นท์ ก็กำลังพอดีเต็มเพิงนี้พอดี แต่ถ้ามากันเยอะหน่อย กางรอบๆก็ได้ครับ


ปีโป้บอก หิวแล้วววว 5555+ นี่มานั่งรอกินข้าวเช้าพร้อมกันเลย


มื้อเช้าของเรา เริ่มลงมือกันได้เเล้วครับ กับพ่อครัวประจำทริป ส่วนหม้อเอย กาต้มน้ำ ตะแกรงปิ้ง-ย่างเอยที่นี่เค้ามีให้เหมือนกันนะครับ

ข้อมูลจากหน้าเพจ ดอยฟ้างาม บ้านสาแพะ ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง สิ่งที่มีให้ มีตามนี้ครับ...

ฟืน, น้ำล้างหน้า เช็ดตัว, ห้องน้ำชั่วคราว, สามขา(ตั้งกาน้ำ), กาน้ำ, หม้อแกง, ถุงดำ(อยู่กับคนนำทาง), ตะแกรงปิ้ง-ย่าง

นอกเหนือจากนั้นก็เตรียมกันขึ้นไปเองนะครับผม


อิ่มตาอิ่มใจ และอิ่มท้องกันไปแล้ว ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางลงกันแล้วครับ ไปกันๆๆ


ระหว่างทางลงนั้น ด้วยความที่ผมกับพี่ของผม จะต้องแบกเจ้าเบนเท็น และสัมภาระต่างๆลงมา ซึ่งหนักจริงอะไรจริงครับ เลยคิดกันว่า เอาวะ! เรารีบลงไปกันก่อนมั้ย เดินกลับลงไปกันก่อนสองคน คนอื่นให้เดินเรื่อยๆ ลงไปพร้อมกับหลวงพี่ที่นำทางได้

คิดแล้วก็ไม่รอช้าครับ...จ้ำอ้าวๆๆๆ ไปกันอยู่สองคน เดินไปเดินมาได้สักพัก...เอ๊ะ!! เจอทางแยกวะ ซ้ายดีหรือขวาดี ?

เอาครับ ถือคติขวาร้ายซ้ายดี มองๆทางแล้ว ทางซ้ายนี่แหละ ทางโอเค ใช่แน่นอน! นี่ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน 5555+

แล้วเป็นไงละครับ หลงสิครับบบบบ

ที่มาของชื่อ ค น ห ล ง ท า ง เนี่ย ไม่ได้มากันมาง่ายๆนะครับ ไปสิบที่หลงสิบที่ สั่งสมประสบการณ์การหลงมาเยอะนะครับผมเนี่ย เจ็บมาเย๊อออออะ

ขนของมาหนักมากแล้วยังไม่พอ ยังเสือกหลงทางอีกกกก กะว่าลงมาจะให้ถึงเร็ว สุดท้ายหนักกว่าเดิม - -"

หลังจากเลี้ยวซ้ายมา เดินๆไปได้สักพัก พี่ผมก็เริ่มลังเลเหมือนทางจะไม่ค่อยใช่ ผมเองก็เริ่มไม่คุ้นละ จนรู้สึกตัวได้ว่าหลงทางละ ก็นั่งครับ...นั่งเรียกสติกันสักแปป น้ำดื่มที่ขนมาก็หมดละครับ เลยไปหาลำธารเล็กๆกินน้ำ ล้างหน้าเรียกสติกันหน่อย



หลังจากหลงทาง แล้วรู้สึกเตลิด ต้องตั้งหลักกันใหม่เล็กน้อย ก็ทิ้งสัมภาระทุกอย่างที่มี ให้ตัวเบาที่สุดครับ คาดหวังว่าถ้าตัวเปล่าเเล้วปัญญาจะเกิดได้ง่ายขึ้นนน

ก็เอาครับ ผมบอกพี่ผมว่า 'เอาน่า เชื่อใจกันอีกสักที ทางนี้แหละพี่' หลังจากที่รอบแรกผมก็บอกทางผิดมาแล้ว ก็ยังพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ ว่าเราจะไปแบบนี้กันนะ ตามสัญชาตญานคนหลงบ่อย ว่าจะหาทางออกยังไง 5555+

ว่าแล้วเราก็เดินกลับไปทางเดิมกันครับ แล้วค่อยๆมาหาทาง ย้อนขึ้นไปบนเขากันอีกรอบ โอ้วววว พอเห็นสีชายจีวรหลวงพี่เท่านั้นแหละครับ เหมือนเจอสวรรค์รอบที่ 2 หลังจากเจอหมอกมานับเป็นสวรรค์ครั้งแรก หลวงพี่บอกก็หาอยู่เหมือนกันว่าไปไหน แล้วทีนี้ก็เดินตามหลวงพี่ไปเลยครับ สรุปว่าพอถึงถึงทางแยก ให้เลี้ยวขวา...

ด้วยความที่ทางด้านขวา ผมว่ามันดูแล้ว มองเห็นทางเดินไม่ชัดเท่าทางซ้ายเลย มีหญ้ามีอะไรบังๆ เลยคิดไปว่าไม่น่าใช่ ก็เลยไม่ไป แต่เอาเป็นว่าคราวหน้าคราวหลังจะไม่รีบจนออกนอกหน้าแล้วครับ เลยกลายเป็นเหนื่อยกว่าเดิมสองเท่า 5555+


ตามป้ายเลยครับ ที่นี่แหล่งท่องเที่ยวปลอดอบายมุขนะครับ เดินทางมาไม่ควรนำเครื่องดื่มแอลกอฮอลใดๆมาทั้งสิ้น เราเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเชิงวิธีพุทธนิดๆ อีกด้วย


เอาละครับ ในที่สุด เราก็ลงมาถึงวัดกันแล้วครับผม


ด้วยความที่เดินมาแบกข้าวของกันร้อนเหงื่อชุ่ม ก็เก็บของขึ้นรถแล้วขอหลวงพี่อาบน้ำกันหน่อยครับ นี่เลยครับห้องน้ำผมเป็นแบบ out door นะครับ 5555+



หลังจากอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มาชมบริเวณในตัววัดกันต่อครับ ที่นี่จะมี รอยพระพุทธบาทสี่รอย บนก้อนหินขนาดใหญ่มีให้เห็นทับทั้งสี่รอยให้ชมกันอยู่บริเวณศาลานี้นะครับ ก็สามารถแวะมาชมและกราบไหว้กันได้

หลังจากเดินทางกันลงมาจนถึงด้านล่างแล้ว ทางวัดเองที่ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายใดๆจากนักท่องเที่ยว ทางเราเองในฐานะที่ได้ไปเยือน และทุกท่านก็อำนวยความสะดวกให้กับเรา ก็สามารถทำบุญหยอดตู้ให้กับทางวัด เพื่อนำไปทำนุบำรุงรักษาวัดกันต่อไปได้ครับ


ได้เวลาเดินทางกลับ และบอกลาสวรรค์แห่งนี้กันแล้ว... เห็นมั้ยครับ ภูเขาลูกที่อยู่ไกลๆตรงนั้น นั่นคือดอยฟ้างาม ที่เราเพิ่งไปเยี่ยมเยียนกันมา วิวรอบๆ บรรยากาศที่ด้านล่าง ก็สวยงามไม่แพ้กันเลย


ทุกๆงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราครับ การเดินทางในครั้งนี้พวกเราก็ได้อะไรกลับไปมากกว่าการมาเดินป่าดูหมอกเฉยๆ

จ.ลำปาง ถึงแม้ว่าผมนั้นจะไปมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ต้องบอกเลยว่า ลำปางนั้นเป็น ลำปาง เมืองต้องห้ามพลาด จริงๆ มากี่ครั้งก็ยังเที่ยวไม่ครบ และมีความงามมากมายที่ซ่อนอยู่ ให้เราเรียนรู้ และสัมผัสได้ไม่รู้จบ

ติดตามการเดินทางของ ค น ห ล ง ท า ง ได้ในทริปต่อไปเร็วๆนี้ครับ...


----------------------

ติดต่อการเดินทางสู่ดอยฟ้างามได้ที่นี่ >> https://www.facebook.com/doiphangam/

และควรติดต่อล่วงหน้าสักหน่อย อย่างน้อยๆ 1-2 วัน เพื่อให้ทางวัดได้เตรียมคนนำทางนะครับ


ความคิดเห็น