ไต้หวันฟรีวีซ่าแล้วนะ ….

เสียงเล็กๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดังขึ้นในโต๊ะอาหารระหว่างกับนั่งกินข้าวกับเพื่อนกลุ่มใหญ่

แล้วทุกคนในโต๊ะก็เริ่มพูดถึงประเทศนี้กันมากขึ้น

ส่วนนุ้ยนะเหรอ นั่งเอ่อเลยจ้า ….เพราะไต้หวันเป็นประเทศที่ไม่เคยอยู่ในความรู้สึกว่าอยากไป

และในขณะเดียวกัน …เสียงไลน์ก็ดังขึ้นจากเพื่อนรุ่นพี่ ซึ่งอยู่อีกกลุ่ม

เพื่อน…. นุ้ยไต้หวันมันฟรีวีซ่าแล้วนะ ไปกันมั๊ย

นุ้ย….. เออรู้แล้ว เนี๊ยะ ทุกคนกำลังเมาท์กันอยู่ แล้วมันมีอะไร นู๋ไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่นี้เลย

เพื่อน…… ไปกันๆ ค่อยหาข้อมูล

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทริปไต้หวัน ….

.

แล้วไต้หวันมันมีอะไร ไปยังไง ที่ไหนน่าเที่ยว ต้องไปกี่วัน การเดินภายในประเทศอีกหล่ะ

ค่าครองชีพสูงมั๊ย อาหารการกินโอเคหรือเปล่า เขาพูดภาษาอะไร ที่พักแพงมั๊ย ต้องพักย่านไหน

โอ๊ยคำถามเยอะแยะมากมายที่เกิดขึ้น

นุ้ยว่าหลายคนก็เป็นเหมือนกันเวลาจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง

วันนี้นุ้ยจะมาเริ่มรีวิวกันตั้งแต่การเตรียมตัว การจองตั๋ว จองที่พัก

การแพลน(ที่อาจจะไม่ถูกต้องมากนัก ) และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงทริคต่างๆ

แต่ทุกอย่างของนุ้ยเริ่มต้นที่การจองตั๋วเครื่องบิน

และกำหนดกันว่าจะไปแค่ 5 วัน 4 คืน เพราะเพื่อนลางานได้ไม่เยอะ

นุ้ยเริ่มดูข้อมูลคร่าวๆ เลยสรุปกันว่า นอนนอกเมือง 1 คืน นอนไทเป 3 คืน

ก็เริ่มจัดการจองตั่วเครื่องบิน และที่พัก

และสามารถแวะไปทักทายพูดคุยสอบถามกันได้เพิ่มเติมที่


https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels/

001 การเดินทาง การจองตั๋ว การแพลนสถานที่เที่ยว

จองตั๋วเครื่องบิน / จองที่พัก


คลิปสำหรับการเตรียมตัว การเดินทาง และการท่องเที่ยววันแรก ในไต้หวัน


รอบนี้นุ้ยเดินทางด้วย EVA Air เป็นสายการบินฟูลเซอร์วิส ของประเทศไต้หวัน

ราคาที่นุ้ยได้มาสำหรับการจอง ล่วงหน้าประมาณเดือนกว่าๆ ในราคา 3 คน 23,520 บาท (คนละ 7,840 บาท)

นุ้ยจองตั๋วผ่านทางเว็บไซต์ของ Jetradar ไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆ เคยใช้บริการกันหรือเปล่า

Jetradar เป็นเว็บสำหรับการจองตั๋วเครื่องบิน ซึ่งรวมข้อมูลของหลายสายการบินไว้ รวมถึบเอเจนเจ้าอื่นๆ

โดยที่เราไม่ต้องไปนั่งเสิร์ชหาว่าสายการบินไหนราคาเท่าไหร่ เอเจนไหนถูกสุด เพราะ Jetradar รวมไว้หมดแล้ว

อีกทั้งมีราคาโปรโมชั่นออกมาบ่อย นุ้ยเคยใช้บริการเว็บนี้มาหลายครั้งแล้วมันเริ่ดต้องบอกต่อ

ซึ่งวิธีการใช้ก็ง่ายมาก ราคาที่แสดงคือราคาที่รวมทุกอย่างแล้ว สำหรับทุกคน ไปดูหน้าตาเว็บและวิธีการใช้กันเลย

หน้าตาของ Jetradar จะเป็นแบบนี้ www.jetradar.co.th


Jetradar ไม่ได้มีแค่เว็บไซต์เท่านั้น ยังมีแอพพลิชั่นเพื่อการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น

อยู่ที่ไหน แค่มีมือถือก็เช็คราคาตั๋วกันได้สบาย

ลองโหลดมาใช้กันดูน๊า มันดีจริงๆ

iOS App https://goo.gl/bVvcTj

Android App https://goo.gl/d8qEzG

เว็บไซต์ https://goo.gl/AVLke8



ตัวอย่างการใช้ Jetradar (ตอนนุ้ยจองจริงๆ มัวแต่ตื่นเต้นเจอโปรลืมแคปหน้าจอไว้ให้ดูกัน)

เข้าไปแล้วเลือกเส้นทาง วันเดินทาง และจำนวน รวมถึงชั้นที่นั่งได้เลย

หลังจากนั้นเว็บก็จะทำการค้นหาข้อมูลราคา และสายการบินทั้งหมด มาให้เราเลือก

และที่สำคัญไม่ต้องกลัวว่า จองที่นี้จะแพงกว่าที่อื่น เพราะเว็บนี้จะรวบรวมราคาทั้งหมด

และยังเชื่อมไปยังเอเจนซี่เจ้าอื่นๆ ได้ด้วย เริ่ดป่าวละ

สามารถดูตารางปฏิทิน เปรียบเทียบราคาในแต่ละวันได้อีกด้วย


เลือกไฟท์ ได้แล้ว กรอกข้อมูลกันให้ครบ แนะนำว่าการเดินทางต่างประเทศ ทำประกันการเดินทางไว้

เป็นการป้องกันจะดีมากๆ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินไม่ว่าจะเป็นการเดินทางล่าช้า การถูกลักขโมย อุบัติเหตุต่างๆ

จ่ายน้อย แต่ถือว่าคุ้ม สำหรับการคุ้มครอง เที่ยวได้หายห่วง


และที่ชอบมากของเว็บนี้คือ เราสามารถเลือกชำระเงินได้หลายช่องทางมากๆ

ถึงไม่มีบัตรเครดิตก็สามารถจองตัวกับ jetradar ได้ เพราะเราสามารถจ่ายเงินผ่านเคาเตอร์เซอร์วิส ที่ 7-eleven

paypal , linepay หรือ ธนาคารออนไลน์ ก็ได้


หลังจากมีตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็จองที่พักกันต่อเลย ตามที่ได้ตอนแรกว่านุ้ยตั้งใจจะนอนนอกเมือง 1 คืน ในไทเป 1 คืน

คลิกเลือกจองโรงแรมผ่านทาง Jetradar นี่แหละ แล้วเว็บจะพาเราไปยัง th.hotellook.com เพื่อจองที่พัก

เลือกไปเลือกมา หวยดันมาออกที่เมืองหนานโถว 1 คืน เป็นคืนแรกเลย นุ้ยพักที่ Spring Ground B&b Nantou

จองห้อง สำหรับสำหรับครอบครัว เพราะราคาพอๆ กับห้อง 3 คน และได้วิวที่สวยกว่า ราคา 3,472 บาท (คนละ 1,158)

สำหรับคืนที่เหลือนอนในไทเป นุ้ยพักที่ sleep taipei hostel & hotel จองห้องสำหรับ 3 คน ห้องน้ำในตัว

ราคา 6,878 บาท สำหรับ 3 คน / 3 คืน สรุปคนละ 2,292


สิ่งที่ควรรู้เบื้อต้น

มีตั๋วเครื่องบินแล้ว มีที่พักแล้ว สิ่งต่อมาคือสิ่งที่เราควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไต้หวัน

1. ภาษีที่ใช้ในระเทศไต้หวัน เป็นภาษาจีนกลาง

2.การเดินทางภายในประเทศสะดวกมีที่รถไฟธรรมดา(TRA) รถไฟความเร็วสูง(THSR) รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)

และยังจะมีรถบัสประจำทางอีก

3. กระแสไฟฟ้าเป็นแบบ 110 V. 60 Hz ปลั๊กเป้นแบบขาแบน 2 ขา เหมือนไทย

แต่ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้า 3 ขา หรือขากลม ต้องเตรียม Universal Adaptor ไปด้วยนะ

4. EASY CARD สำหรับนุ้ย นุ้ยว่ามันทำให้เราสะดวกขึ้นเยอะ

ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถลงเรือ เราสามารถใช้ได้หมดเกือบทุกเส้นทาง

รวมถึงยังสามารถใช้กับร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้ด้วย

(EASY CARD จ่ายค่าบัตร 100 บาท คืนบัตรไม่ได้นะคะ สามารถซื้อได้ที่ 7-11 และสถานี MRT)

5. เวลาที่ไต้หวันจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง

อย่าลืมเปลี่่ยนเวลากันนะคะ ไม่งั้นอาจตกรถตกเรือ ตกเครื่องกันได้

6. ค่าเงินใกล้เคียงกับเมืองไทย มากกว่าไทยนิดหน่อย

วันที่นุ้ยไปแลก 1 เหรียญไต้หวัน = 1.12 บาทไทย

7. กรอกบัตรขาเข้าประเทศออนไลน์ได้เลย สะดวกประหยัดเวลา

ที่ลิงค์นี้ https://oa1.immigration.gov.tw/nia_acard/acardAddAction.action

สัญญาณอินเตอร์เน็ต

มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง นั่นคือเรื่องซิม และสัญญาณอินเตอร์เน็ต

ถามว่าที่โน่นมีมั๊ย มีคะ มีให้เลือกเยอะพอสมควรเลยทีเดียว

แต่การเดินทางของนุ้ยครั้งนี้นุ้ยเลือกใช้ซิมจากบ้านเรานี่แหละสะดวกดี นั่นคือ TruemoveH

เนื่องจากปกตินุ้ยเป็นลูกค้าทรูมูฟแบบรายเดือนอยู่แล้ว

จึงใช้วิธีการเปิดโรมมิ่งไปจากไทย เพราะนุ้ยว่ามันค่อนข้างสะดวก ง่าย และราคาถูกด้วยคะ

อย่างที่บอกว่าซิมของนุ้ยเป็นซิมรายเดือน

นุ้ยจึงเลือกใช้แพคเกจ ใช้อินเตอร์เน็ต 150 บาทต่อวัน โทรออกนาทีละ 33 บาท

และที่สำคัญคือ ลูกค้าแพคเกจรายเดือน 499 บาทขึ้นไป ใช้เน็ตฟรีแบบไม่อั้นได้ 1 วัน

ถือว่าคุ้มมาก นุ้ยจึงเลือกใช้ TruemoveH นี่แหละ ง่ายสุด

ส่วนเรื่องสัญญาณ ไม่ต้องห่วงคะ ลื่นปร๊๊ดๆ ไม่มีสะดุดเลยคะ

เพราะเราไม่ได้ดึงสัญญาณ ทรูมูฟไปจากไทย แต่เป็นการโรมมิ่งเชื่อมต่อกับเครื่อข่ายของประเทศที่เราไป

อย่างไต้หวัน ก็มี ประมาณ 4 เครื่อข่ายให้เลือก อยากได้เครือข่ายไหน ก็เลือกเลย

ตอนนุ้ยไป นุ้ยเลือเชื่อมกับ Far EasTone

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโทรสอบถามกันได้ที่ 1331 นะคะ หรือ TrueMove H

สำหรับวิธีการเปิดใช้โรมมิ่งตามนี้

IOS : Setting > Carrier > Automatic เลือกเป็น OFF > เลือกเครือข่ายที่เข้าร่วมรายการ

(การตั้งค่า > ผู้ให้บริการ> Automatic เลือกเป็น OFF > เลือกเครือข่ายที่เข้าร่วมรายการ)

Android: Setting > Mobile Network > Network Operators >เลือกเครือข่ายที่เข้าร่วมรายการ

( การตั้งค่า > เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ > ผู้ให้บริการ > ค้นหาเครือข่าย)

เมื่อเลือกเครือข่ายที่เข้าร่วมรายการถูกต้องแล้ว จึงเปิด Data roaming

IOS : Setting > Mobile Data > Mobile Data Options > Data Roaming เลือกเป็น ON

Android: Setting > Mobile Network > Data Roaming เลือกเป็น ON

หรือแบบง่าย ๆ ดูกันได้ในคลิปเลยค๊า ลงเครื่องปุ๊บเปิดปั๊บ

อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพในทริป

หลังจากที่เราจองตั๋วเครื่องบินแล้ว มีที่พักแล้ว รู้ในสิ่งจำเป็นคร่าวๆ แล้ว มีซิมอินเตอร์เน็ตกันแล้ว

มาพูดถึงเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายรูปในทริปนี้กันดีกว่า เพราะหลายคนชอบถามกันมาหลังไมค์เยอะมาก

ว่านุ้ยกับต้นใช้กล้องอะไร รุ่นไหน อย่างไร สำหรับทริปนี้ใช้กล้องหลักๆ อยู่ 1 ตัว คือ

Canon EOS 80D + lens Kits 18-135 F/3.5-5.6 IS USM ซึ่งได้มาพร้อมกล้อง

และ Lens wide Canon EF-S 10-22mm f/3.5-4.5 USM เป็นเลนส์ตัวที่นุ้ยใช้อยู่บ่อยๆ

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับCanon EOS 80D

ไปดู VDO ที่ถ่ายด้วยตัวนี้กันก่อน เป็นการรวม เรื่องราวตลอดทั้งทริปไว้

กล้องตัวนี้มีข้อดีเยอะเลยทีเดียวเพราะเป็นการนำเอาข้อดีของกล้องแต่ละรุ่นมารวมไว้ การใช้งานก็ง่าย

สามารถ เชื่อมต่อ Wi-fi อัปโหลดภาพการได้เลย

และที่สำคัญ Canon EOS 80D คือ Spark to More

จุดประกายที่มากกว่าโดยจะเน้นการถ่ายภาพความเร็วสูงต่อเนื่อง และรองรับการถ่าย VDO ได้ดีมาก ๆ

ข้อดีสำหรับ Canon Eos 80D

1.สำหรับ Body หรือตัวกล้องทำจาก Poly ซึ่งเป็นพลาสติกแข็งๆ จับกระชับมือขึ้น

2.มีจอแสดงผลเป็น LED รองรับระบบสัมผัส ปรับหมุน และพับได้

3. Microphone ย้ายมาอยู่ด้านหน้ารับเสียงตรงๆ ได้ดีกว่า Canon EOS 70D

4. จะมีช่องเสียบหูฟังเพิ่มขึ้นมาเหมาะกับการใช้ Movie จึงจะช่วยในการ Monitor เสียงได้

5. ช่องมองภาพ 100% ปรับปรุงมาใหม่เป็นการก้าวข้ามชั้น Amateur ไป

6.มีเลนส์ Kit ตัวใหม่ 18-135 Nano USM ทำให้ USM ทำงานได้นุ่มนวลขึ้น เช่น จะตั้งว่าจะเร็ว

จะให้ช้าในการเคลื่อนจุด Focus ใน Live View

และเลนส์ตัวนี้มี Contact ข้างล่างเพื่อเกาะกับอุปกรณ์เสริมเพื่อ Drive ตัว Zoom

7. ความละเอียดภาพ 24.2 ล้านพิกเซลDual Pixel CMOS Censor สามารถหา Focus รวดเร็ว ว่องไว แม่นยำ

8. Auto Focus 45 จุด All Cross-type ตรงกลางเป็น Dual Cross Type ครอบคลุมพื่นที่ในภาพเยอะ

9.ระบบ Focus เลือกได้หลายระบบ

10. มี Time-lapse ในตัว สามารถถ่ายภาพวิดีโอ Time Lapse สำเร็จภายในกล้อง

โดยไม่ต้องนำไฟล์ไปผ่านการทำในคอม

11. Camera Connect ควบคุมกล้องได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

12.ความสามารถในการถ่าย VDO MOV/MP4/FHD 60P Focus ปรับ Speed ได้ว่าต้องการช้าหรือเร็ว

13. Creative Filter รองรับทั้งภาพนิ่งและ VDO โดยเอา Feature จากกล้องเล็กมาใส่

14. HDR movie เหมาะกับการถ่าย VDO กลางแจ้งที่มีค่าความเปรียบต่างแสงสูง

โอ๊ยๆ สาระเยอะมาก มาดูแพลนการเดินทางทั้งหมดของทริปนี้กันดีกว่า

ออกเดินทางจากไทยตอนเวลา ตี 2 (นอนรอนั่งรอในสนามบิน ในเครื่องตื่นเช้าไต้หวันเลยจ้า)

แผนการเดินทาง ตามนี้เลย

วันที่ 1 ถึงไต้หวันแต่ ต่อรถไปไทถง /Rainbow Village / Sun moon lake / Spring Ground

วันที่ 2 ฟาร์มแกะ CingJing Farm / เดินทางกลับเข้าไทเป / ไปเดินเล่น shilin night market

วันที่ 3 อุทยานแห่งชาติเย่หลิว / เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น

วันที่ 4 moon bridge/ lin an tai historical house / lover's bridge tamsui / Elephant Mountain / ซีเหมินติงไนท์มาร์เก็ต / กินชาบู

วันที่ 5 Chiang Kai Shek Memorial Hall / Longshan Temple / Sun Yat-sen Memorial Hall / ice monster / Din tai fung / MITSUI OUTLET PARK

————————

ถ้าพร้อมแล้วเราออกเดินทางกันเลย

วันออกเดินทางของนุ้ย เราออกเดินทางกันตอนตี 2 .20 น แต่ด้วยความตื่นเต้นที่มีอยู่น้อยนิด

ไปเช็คอินตั้งแต่ 4 ทุ่มค๊าคุณ แล้วปรากฎว่าเคาเตอร์เช็คยังไม่เปิด ก็เดินวนไปในสนามบิน จนเคาร์เตอร์ประมาณ 5 ทุ่ม

อย่างที่บอกว่าเราเดินทางกับ EVA Air เป็นสายการบินของไต้หวัน และ Full Service ซะด้วย

แน่นอน่านุ้ยนั่งชั้นประหยัด Economy ชั้นที่ดีกว่านี้ทุนทรัพย์ไม่พอจริงๆ

EVA Air โหลดกระเป๋าฟรี 20 กิโลนะ

เราไปดูเครื่องบินกันว่าลักษณะขนาดที่นั่งอะไรเป็นยังไงบ้าง

มีหมอนและผ้าห่มให้พร้อมเลย มีหนังให้ดู มีเกมส์ให้เล่นนะยูว์

อาหารมาเสริ์ฟตอนประมาณ ตี 3 ครึ่ง เข้าใจอารมณ์คนง่วงมะ คือใครจะกินลงตอนนี้

แต่ก็กินหมดนะ ….. คิดถึงราคาค่าตั๋วแบบ Full Service แล้วก็จัดการอาหารทุกอย่างเรียบ

สำหรับเครื่องดื่ม ก็ดีงามนะ มีพร้อมทุกแบบ รวมถึงไวน์ต่างๆ สั่งดื่มกันได้ตลอด

วันแรกในไต้หวัน

ลืมตาตื่นมาอีกที่ …โอ้วฉันอยู่ประเทศไต้หวันแล้วหรือนี่

การผ่าน ตม. เป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายเลยคะ ไม่พูดไม่จาแค่มองหน้ายิ้มทักทาย

มองกล้อง 2 วิ สแกนลายนิ้วมืออีก 2 วิ เดินผ่านประตู ตม. เข้าประเทศไต้หวันได้อย่างสบายใจหายห่วง

เมื่อผ่านประตูเข้ามา เราก็มารอรับกระเป๋าได้เลย บริเวณรอรับกระเป๋าจะมีห้องน้ำ

สามารถล้างหน้าล้างตากันได้เลย

อ๋อ ! ลืมบอกไปว่า EVA Air จะนั่งเครื่องมาลงที่ Terminal 2 นะคะ

หลังจากรับกระเป๋าเสร็จแล้ว เคลียร์ตัวเองเสร็จเรียบร้อย

แพลนของนุ้ยวันนี้คือการเดินทางไปที่ เมืองไทจง

แต่ก่อนออกเดินทางของเดินสำรวจโน่นนี่นั่นสักนิด พร้อมหาอาหารรองท้อง

แต่วันแรกมื้อแรกของง่ายๆ คือซูชิ และชาจากเซเว่นละกัน

เซเว่นจะอยู่ชั้น B2 มื้อแรกในเซเว่นหมดไป 182 TWD สำหรับ 2 คน

ถือว่ากินเยอะกินกันแบบจริงจังเลยทีเดียว

ท้องอิ่มพร้อมออกเดินทาง ตามสไตส์นุ้ยละสโลว์ไลฟ์ ดูโน่นนั่นนี่ตลอด ช้าเป็นกิจ

ก็การเที่ยวก็เหมือนกันไปหาความรู้ … ไปทั้งที่ต้องดูโน่นนี่นั่น ต่างจากบ้านเรายังไง

มีสแตมป์เซเว่นด้วยอะ เก็บไว้เป็นที่ระทึก เฮ้ย ! ที่ระลึกสักหน่อยละกัน

มาถึงการเดินทางไปปลายทางของนุ้ยกันสักนิด

วันนี้นุ้ยจะไปนอกหนาวโถว และนอนค้างที่นั้นเลย

โดยมีปลายทางตามนี้ RainBow Village / Sun moon lake / Spring Ground (ที่พัก)

การเดินทางเริ่มด้วยการนั่งรถบัสไปสถานี THSR เถาหยวน

เพื่อไปต่อ THSR (รถไฟความเร็วสูง) ไปเมือง Taichung (ไทจง)

เราสามารถไปขึ้นรถบัสได้ที่ชั้น F1 ให้มองหาป้าย Bus to City เข้าไว้คะ เดินตามป้ายเลย

แล้วเราจะเดินไปถึงบริเวณขายตั๋วของรถบัสเส้นทางต่างๆ มองหาของบริษัท U Bus อยู่ช่องที่ 6

บอกพนักงานได้เลยว่า ไป THSR เถาหยวน ราคาคนละ 30 TWD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 16-20 นาที

บรรยากาศในรถบัส วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่นั่งชิลเลย

มาถึง THSR เถาหยวน แล้ว รถจะจอดบริเวณนี้ เดินเข้าไปในอาคารได้เลย

เราสามารถซื้อตั๋วได้ 2 วิธี คือการเข้าแถวรอซื้อจากเคาเตอร์ และซื้อที่ตู้อัตโนมัติ

ของนุ้ยเลือกซื้อที่เคาเตอร์คะ เข้าแถววนไปคะ

ถึงคิวแล้วก็ไม่ยาก แค่บอกว่าเราจะไปลงที่ไหน เวลาเท่าไหร่ เดินทางกี่คน

แล้วก็จะได้ตั๋วมาหน้าตาแบบนี้

ซึ่งในตั๋วจะบอกว่าราคาตั๋วเท่าไหร่ รถรอบกี่โมง รถเบอร์อะไร ที่ไหนเท่าไหร่ ต้องขึ้นที่ชานชลาไหน

นุ้ยดูราคาในตารางปกติมัน 540 TWD แต่ไม่รู้ทำไมของนุ้ยกับเพื่อน 515 TWD

อาจเป็นเพราะซื้อพร้อมกันหรือเปล่า เลยได้ราคาเป็นกรุ๊ป นุ้ยก็ไม่ชัวร์

หลังจากขึ้นรถมาแล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที

50 นาที จะว่าไปมันก็นานนะ แต่ด้วยความตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นของเรา ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก

บนรถไฟความเร็วสูงสามารถทานอาหารได้ เนื่องจากบนขบวนรถ จะมีคนคอนเดินขายอาหารด้วยละ

อารมณ์ประมาณ นั่งรถไฟฟรี ยังไงยังงั้น แต่วิ่งเรากว่ากันหลายปีแสงเลยทีเดียว 555

เผลอแปบๆ ก็มาถึงแล้วปลายทาง THSR Taichung (ไทจง)

มาถึงแบบงง เกือบนั่งเลยสถานีด้วยนะ เพราะมัวแต่เม้าท์ ไม่ได้ฟังเสียงประกาศ

โชคดีที่สายตามองออกไปเห็น คำว่า Taichung ก็เลยถามคนในรถว่าใช่หรือเปล่า

ปรากฎว่าใช่ รออะไร วิ่งลงสิคะ

ลงมาปุ๊บก็งงต่อไปทางไหนดีน๊า ด้วยความละโมบ โลภมากอยากเที่ยวแบบหลายๆ ในเวลาที่มีอยู่น้อยนิด

นุ้ยเลยตัดสินใจเหมาแท็กซี่คะ และการตัดสินใจเหมาแท็กซี่ของนุ้ย ทำให้มีเรื่องเล่าเกิดขึ้น

คือนุ้ยเคยอ่านข้อมูลมาบ้างว่า ปลายทางที่เราต้องการไปประมาณนี้ ราคาเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่รู้ว่าต้องเรียกรถตรงไหน

ก็เลยตัดสินใจเดินตามป้ายที่บอกว่าคิวแท็กซี่อยู่ตรงไหน พอไปถึงปุ๊บ

ก็ไม่มีใครสื่อสารภาษาอังกฤษกับเราเข้าใจสักเท่าไหร่นัก

จนมีผู้หญิงที่เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ เข้ามาสื่อสารให้กันเข้าใจ แท็กซี่บอกเราถ้าจะไปตามนี้ ราคา 4000 TWD

นุ้ยก็ขอต่อราคา บอกว่านี่มันสูงกว่าที่หาข้อมูลมา พอคุยไปคุยมา แท็กซี่ก็บอกว่า ไม่ได้ๆ ถ้าจะไปทั้งหมดนี้ ต้อง 5000 TWD นะ

แถมมีคนขับแท็กซี่ประมาณ 4 คนมาช่วยบอกว่ามันไกล ราคาต้องแบบนี้

ทีนี้แหละตัดสินใจง่ายเลยคะ พวกเรา 3 คน หันมองหน้ากันแบบเศร้า และตัดสินใจ ตัด Sun Moon Lake ออกจากทริป

และปฏิเสธการเหมาแท็กซี่ ตั้งใจเข้าที่พักไปเลย แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยให้ทางที่พักหาแท็กซี่ดีๆ ให้

ก็เลยลงมาที่บริเวณขายตั๋ว ที่ชั้นล่างอีกฝั่ง

ลงบันไดมาก็จะเจอประมาณนี้ ปลายทางที่นุ้ยต้องการไป คือ Spring ground อยู่ใกล้ Cingjing farm ราคาประมาณ 240 บาท

แต่แนะนำให้ลองดูแบบแพคเกจนะ เพราะจะคุ้มกว่า ถ้าซื้อแบบไปกลับ ตั๋วเข้าฟาร์ม รวมถึงตั๋วท่องเที่ยวใน Sun Moon Lake

เรื่องนี้ค่อนข้างเจาะลึกพอควร เดี๋ยวนุ้ยจะมาเรียนรีวิวแซกไว้ให้อีกที

กลับเข้ามาสู่เรื่องการเดินทางของนุ้ย พอนุ้ยเดินลงบันไดมาถึง จุดขายตั๋วรถด้านล่าง

เจอผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขาเห็นเรากำลังจะไปขึ้นรถบัส เขาก็ทำท่าคล้ายจะบอกทาง

แต่ด้วยความที่เราไม่ได้หาข้อมูลรถบัสมาเยอะนัก นุ้ยก็เลยถามว่าจะไป Cingjing Farm ต้องขึ้นรถตรงไหน

เท่านั่นแหละ ชายคนดังกล่าว (ต่อไปขอเรียกว่าพี่แท็กนะคะ) ก็แสดงตัวว่าตัวเองเป็นคนขับแท็กซี่

แต่ด้วยความที่เราเจอราคา 5000 TWD มาก่อนหน้า ทำให้เราไม่อยากคุยกับพี่แท็ก

นุ้ยเลยบอกว่าไม่ไป และเดินหนีไปยื่นอ่านป้ายตารางรถ

พี่แท็กก็เดินตามมา แต่หน้าตาพี่แท็กเป็นมิตรมาก ประเด็นคือพี่แท็กพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

พี่แท็กก็ถามเป็นภาษาจีนแหละว่าเราเป็นคนที่ไหน นุ้ยก็ไม่ได้รู้เรื่องที่พี่แท็กแกถามหรอก

แต่แกส่งมือถือให้ดูมีรูปธงชาติ นุ้ยก็เลยเข้าใจว่าเขาถามอะไร

และปรากฎว่าพี่แท็กใช้แอพ สำหรับการแปลภาษา

ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง ชายต้น และเพื่อนของนุ้ยก็แบบอย่าไปคุยกับเขาเลย

แต่นุ้ยก็ยังอยากรู้ว่าราคาเท่าไหร่ ก็เลยตัดสินใจถาม วิธีการถาม ก็คือเอาให้รูปให้เขาดู ว่าเราอยากไปที่ไหนบ้าง

ในที่สุดเราก็ตกลงกันได้ คือ ไปปลายทาง 4 ทาง ในราคา 3600 TWD นุ้ยคิดว่าถ้าต่อราคาคงลดได้อีก

แต่สำหรับนุ้ยตอนนั้นคือ ถูกกว่า 5000 ตั้งเยอะ แถมได้เที่ยวตามที่ต้องการด้วย หาร 3 คนก็ตกคนละ 1200 TWD

ก็เลยตกลงไปกับพี่แท็ก ขนกระเป๋าขึ้นรถ นั่งแบบสบายๆ

และนี่คือเส้นทาง ที่เราต้องการไป

ที่แรกคือ Rainbow Village อยู่ห่างจาก THSR Taichung ไม่มากนัก

จะว่าไปที่นี้ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงบ้านที่มีสีสันสวยๆ ให้เราถ่ายรูปเล่น

แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว และยังมีรถพามาแบบไม่ต้องขนกระเป๋าขึ้นลง จะพลาดได้ไง

ถ่ายรูปเล่นกันเพลินเลย และในที่สุดหลังจากพี่แท็กแกไปนั่งรอเรานานพอสมควร

พี่แท็กเลยอาสามาเป็นคนถ่ายรูปให้พวกเรา เอาสี้พี่แท็กถ่ายรูปสวยด้วยนะเออ

ถ่ายรูปจนพอจน นุ้ยเริ่มรู้ชะตากรรมว่า ปลายทางอีกหนึ่งที่ไปไม่ทันแน่ นั่นคือบ้านปีศาจอะไรสักอย่าง

(ซึ่งไม่ได้ตั้งใจมาก ถ้าทันก็ดี ไม่ทันก็ไม่ไป ) ก็เลยบอกพี่แท็กให้พาไป Sun Moon Lake เลย

เย้ๆ มาถึงแล้ว sun moon lake หรือที่เราเรียกกันว่า ทะเลสาปสุริยันจันทรา

แต่ก็แอบเศร้า ….เจอฝน

นุ้ยวาดภาพไว้คือน้ำสีสันสดใส แสงแดดจ้าๆ ถ่ายรูปสวยแน่ๆ

ข้อมูลกันสักนิด sun moon lake หรือที่เราเรียกกันว่า ทะเลสาปสุริยันจันทรา

เป็นทะสาปที่โอบล้อมด้วยภูเขาที่สลับซับซ้อน

ถนนรอบทะเลสาปมีความยาวถึง 33 กิโลเมตร ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของไต้หวันเลยทีเดียว

ที่มาของชื่อสุริยันจันทรา เนื่องจาก ทางด้านฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคล้ายกับมีพระอาทิตย์

และในขณะเดียวกันทางด้านตะวันตกคล้ายกับมีพระจันทร์ มีที่มาที่ไปนะเออ

เจอฝนขนาดนี้จะรออะไร …ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า

เดินวนไปวนมา เจอไข่ต้มสมุนไพรก่อนเลย ตอนแรกเห็นดำๆ ไม่กล้ากิน

อาม่าขาย 2 ฟอง 25 TWD แต่นุ้ยซื้อมาแค่ ฟองเดียว 13 TWD แต่พอกินแล้วมันก็อร่อยดีแงะ

มาต่อกันที่ร้าน Hot Pot ร้านนี้

ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าขายอะไรแต่ด้วยอารมณ์หิวเดินเข้าไป เห็นเมนู ก็สั่งเลยค๊า คนละอย่าง

แต่พอมาเสิร์ฟเท่านั้นหละ ที่จริง หม้อเดียวกิน 3 คนยังได้เลย

ทำให้มื้อนี้เป็นมื้อแรกที่กินอาหารแบบจริงจัง และราคาหนักเลยทีเดียว

ชามนี้ของต้น 220 TWD นุ้ยแทบจะไม่ได้ชิมของต้นเลย เห็นหม้อใหญ่ๆ แบบนี้ต้นก็กินเรียบไม่เหลือ

ชามนี้ของนุ้ย 100 TWD สำหรับของนุ้ย นุ้ยว่าน้ำซุปมีกินเครื่องเทศอะไรบางอย่าง

ที่นุ้ยไม่ปลื้มเท่าไหร่ แต่สำหรับบางคนอาจจะอร่อยก็ได้น๊า … นุ้ยก็เลยกินไปได้แค่นิดเดียว

กินอิ่มก็เริ่มมีแรงเดินฝ่ายสายฝนกันสักหน่อย

ไปยืนดูราคาทัวร์ ที่จะพาทัวร์รอบๆ Sun moon Lake ราคาคนละ 300 TWD (ถ้าเราซื้อคูปองมาจากท่ารถ จะถูกกว่านี้นะคะ)

ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง แถมฝนยังตกอีก นุ้ยเลยตัดสินใจไม่ซื้อดีกว่า ถ่ายรูปเล่นมันที่ท่าเรือนี่แหละ

ถ้ามีโอกาสค่อยมาใหม่ จะมานอนค้างแถวนี้สักคืน

ถ่ายรูปเล่นกันจนเพลิน ได้เวลาที่นัดหมายกับพี่แท็กไว้ ก็กลับขึ้นรถ

แล้วพี่แท็ก ก็พาเราขับรถวน รอบๆ และมาถึงจุดหนึ่ง พี่แกก็จอดแล้ว แล้วหันมาบอกว่า Beautyful

ฝนก็ตก สวยก็สวย เอาวะ ไปถ่ายมันกลางฝนนี่แหละ

แต่ที่ทำให้เราประทับใจคือ พี่แท็กแกลงตามมาด้วย ยอมเปียกเพื่อมาถ่ายรูปให้พวกเรา

เฮ้ย ! พี่แท็กน่ารัก มารยาทงาม แถมนอบน้อม ใจดีอีกตังหาก

ก่อนจะออกจาก Sun moon lake พี่แท็คพาไปแวะไหว้พระ ที่วัดกวนอู หรือวัดเหวินอู่ (Wenwu Temple)

เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งของไต้หวัน ซึ่งภายในจะเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของศาสดาขงจื้อเทพเจ้าแห่งปัญญา

และเทพกวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ เป็นที่นับถือของชาวจีนและไต้หวัน

สถาปัตยกรรมการออกแบบของวัดเหวินอู่นั้นมีความคล้ายคลึงกับพระราชวังต้องห้ามกู้กงของเมืองปักกิ่ง

ทั้งรูปแบบวิหารและสีสัน โดยมีตัววิหารใหญ่แบ่งออกเป็นสามชั้นและมีวิหารเล็กโอบล้อมอยู่ด้านข้าง

เป็นวัดที่สวย อลังการ และใหญ่โตมากๆ เพียงแค่ประตูผ่านเข้าวัด ก็อลังการมาก


ปลายทางสุดท้ายของนุ้ยในวันแรกคือที่พัก

ซึ่งอยู่ห่างจาก sun moon lake พอสมควร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง

ถ้าถามว่าทำไมจองที่พักไกลขนาดนี้ เอาจริงๆ ว่าตอนแรกไม่ได้ดูระยะเส้นทางเลย ดูแค่ว่าที่นี้สวยจัง

หลังจากจองทุกอย่างเรียบร้อย นุ้ยก็ต้องมานั่งแพลนเวลา

…คราวนี้ก็รู้เลยว่าพลาดแล้ว ก็จะยกเลิกการจอง จองใหม่กันเลยทีเดียว

แต่สมาชิก 3 คน รวมทั้งตัวนุ้ยเองด้วยก็ยังอยากไปที่นั่น ก็เลยยอมเหนื่อยหน่อย

ระหว่างเดินทางไปที่พัก นุ้ยหลับสนิท ตื่นอีกทีตอนใกล้ถึง เพราะได้ยินเสียงของต้น บอกว่าสวยมาก

พอตื่นมา ระหว่างทางสวยมากจริงๆ เพราะถนนบนเขาที่รถกำลังแล่นอยู่นั่น ด้านล่างคือทะเลสาป ที่สวยมาก

จนในที่สุดเราก็มาถึงที่พัก Spring Ground

มาดูที่พักกันดีกว่า นุ้ยจองห้องครอบครัวมา ในราคา 3,472 บาท (หาร 3 คน คนละ 1,158)

ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเตียงนอนใหญ่แค่ 2 เตียงนอนได้ 4 คนไรงี้

แต่พอเปิดห้องเข้าไป เป็นห้องที่ใหญ่มาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็น เป็นห้องนั่งเล่น มีโซฟาตัวใหญ่เบ่อเร่อ

ทีวี LED มีมุมแต่งตัว ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย

ส่วนชั้น 2 จะเป็นห้องโล่งๆ มีเฉพาะที่นอนเท่านั้น แต่ฟูกขนาดใหญ่ ตั้ง 3 ฟูก นอนได้ 6 คนเลยนะนั่น

ข้าวขอเครื่องใช้ต่างๆ ก็เตรียมไว้สำหรับ 6 คน นั่งคำนวณดูแล้วถ้าเรามา 6 คนจริง คือตกคนละ 5 ร้อยกว่าบาทเองนะ

และยังมีอาหารเช้าด้วย

ราคาเด็ดแล้ว ห้องเจ๋งแล้ว ยังไม่เท่ากับวิว และบรรยากาศที่เราเห็น

ตอนโพสต์รูปหลายคนบอกแม่ฮ่องสอน แต่นุ้ยอยากให้มาเห็นกับตาว่ามันคือยุโรปชัด ๆ มันสวย สวยที่สุด

กลางคืนมีทะเลหมอกด้วยนะ อากาศประมาณ 17 องศาเท่านั้น

เก็บข้าวของเรียบร้อย ก็มืดตื้อเลย หิวก็หิว แต่ก็ทำเก่งไม่ยอมถามทางที่พักว่ามีร้านอาหารมั๊ย

แต่เคยอ่านเจอว่ามีเซเว่นใกล้ๆ เลยตัดสินใจเดินเอง เริ่มจากเลี้ยวขวาขึ้นเขาก่อน

เดินได้นิดเดียว เจอหมาเห่า …วิ่งกลับเลยค่า มาหยุดอยูหน้าที่พักแปบนึง ก็เลี้ยวซ้ายเดินลงจากเขาไป

เดินผ่านร้านอาหารแบบบ้านๆ จีนๆ เห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญนั่งทานอยู่ เราก็เลยตัดสินใจเข้าไป

งานเข้าเลยคะ เพราะทั้งร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ และฟังเราไม่เข้าใจด้วย

เมนูมีแต่ภาษาจีน มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา พี่เจ้าของร้านก็พูดแต่ภาษาจีน

งั้นเราก็พูดภาษาไทยเลยละกัน สรุปเราก็เข้าใจกัน ว่า

ในเมนูเนี๊ยะ มีเป็นแบบสั่งแต่ละเมนู กับสั่งเป็นเซ็ต แต่เราไม่รู้เลยว่าในเซ็ตมีอะไรบ้าง

แต่เราก็ตัดสินใจสั่งเป็นเซ็ตมานะ มีกับข้าว 5 อย่าง ราคา 690 TWD

ส่วนข้าว ตักเองฟรีไม่อั้น กินไปเลยจ้า กินจนอิ่ม แต่ประเด็นคือ ต้องรอลุ้นว่าอาหารที่จะมาเสิร์ฟคืออะไร

เมนูแรกผัดเต้าหูกับอะไรสักอย่าง อร่อยดีให้ผ่าน

เมนูที่สองคล้ายปลาเต้าซี่มั้ง กระดูนี่ตุ๋นจนเปื่อยเลย จานนี้ก็ยังโอเค

หมสามชั้นผัดอะไรสักอย่าง จานนี้อร่อยมาก

มาถึงซุป มีกลิ่นอะไรบางอย่างคล้ายๆ hotpot ร้านแรก เราไม่โอเคเลย

สุดท้ายผัดกะหล่ำปลี ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหลือเกิน แต่อร่อยซะงั้น ผักนี่หวานมาก

ปิดท้ายด้วยเบียร์ละกัน

วันแรกในไต้หวัน จบลงแบบแฮปปี้แอนด์ดิ้งค๊าา

วันนี้มีหลายอารมณ์มาก สโลว์ไลฟ์ เดินเล่นในสนามบิน ตื่นเต้นกับรถไฟความเร็วสูง

รู้สึกกดดันกับคิวรถแท็กซี่ รู้สึกดีใจที่ได้เจอพี่แท็ก รู้สึกปลาบปลื้มกับที่พักเริ่ด ๆ รู้สึกลุ้นกับอาหารภาษาจีน

วันที่สอง ในไต้หวัน

ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นเช้านะ แค่ความรู้สึกมันสะกิดให้ลุกขึ้นจากที่นอน

หันมองดูนาฬิกา พึ่่งจะ 6 โมงเช้า แต่ฟ้านี่โคตรสว่างเลยอ่ะ

แต่พอตั้งสติลองนึกดีๆ เฮ้ย ! นี่พึ่งตี 5 บ้านเรานี่หว่า คิดในในว่ากรูตื่นมาทำอะไรฟ่ะนี่

เพียงแค่ลุกขึ้นมาดูที่หน้าต่างทำให้หลับต่อไม่ลงจริงๆ

นี่สินะที่เขาเรียกว่าสวิตเซอร์แลนด์แห่งไต้หวัน

รีบอาบหน้าอาบท่า มานั่งจิบกาแฟ หน้าห้อง ห้องที่นุ้ยพักอยู่ด้านบน วิวสวยมาก

ในช่วงเวลาเช้าๆ แบบนี้ ลมหนาว เหมือนช่วงฤดูหนาวบ้านเราเลย ประมาณยืนอยู่บนยอดดอย

แต่สวยกว่า แสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์สาดเข้ามา ทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่สดใสมากๆ

วันนี้นุ้ยตั้งใจไว้ว่าจะไป Cingjing farm ฟาร์มแกะบนยอดเขา เคยเห็นรูปแล้วแบบจี๊ดมาก

แต่ก่อนไป ต้องเติมพลังกันก่อน ที่พักที่นุ้ยจองมารวมอาหารเช้าด้วย

อาหารเช้าจะเป็นข้าวต้ม และกับข้าวหลายอย่างเลย กาแฟขนมปังก็มีน๊า

หลังจากทานอิ่มก็เดินไปถามทางที่พักว่าถ้าหากเราจะไป Cingjing farm ไปยังไง

ได้คำตอบกลับมาว่า จะมี Shuttle but มารับตอน 8.50 น.

ดีงามพระราม 8 จ้า ไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ เพราะทางฟาร์มจะมีรถมารับคนตามที่พักต่างๆ

หน้าตารถก็ประมาณนี้ น่ารักดีน๊า นั่งรถมาได้ประมาณ 15 นาที ก็ถึงแล้วคะ

ตอนมาถึงคนขับพูดยาวมาก…… ถามเราว่ารู้เรื่องมั๊ย ตอบเลยว่าไม่

เพราะลุงแกพูดภาษาจีน ไม่มีเวอร์ชั่นแปลด้วยนะเออ

เราจึงเดินไปถามว่า เจอกันตรงนี้ใช่มั๊ย ให้เวลานานเท่าไหร่

คำตอบที่เราคิดว่าใช่คือ อีก 1 ชั่วโมงเจอกัน (หรือเปล่า)

หลังจากนั้นก็เข้าไปสวนผึ้งกันเลย เฮ้ย!! ไม่ใช่ Cingjing farm

ค่าเข้าวันหยุดคนละ 200 TWD วันธรรมดาคนละ 160 TWD ตามรูปเลย

แต่ประเด็นคือฝนตกไง จะเข้าไปยังไงละ

ถามว่าร่มเอามามั๊ย……เอามา …..แล้วไหน ลืมไว้ที่ Spring ground ค๊าคุณ

รอแล้ว รออีก ฝนก็ไม่หยุดตก ตัดสินใจไปซื้อร่มใหม่ละกัน ตอนแรกก็แอบลังเล ถ้าแพง ยอมตากฝนเหอะ

แต่ปรากฎ ราคาแค่ 250 TWD ราคานี้รับได้ สีสวย น่ารัก ลายน้องแกะด้วย

คนพร้อม ตั๋วพร้อม ร่มพร้อม ก็เข้าไปด้านในกันเลย มาแล้วจะไม่เข้าก็กะไรอยู่

เข้ามาปุ๊บต้องประทับตราน้องแกะ แต่ทำไมหน้าเหมือนวัวอะ

แต่พอเข้ามาด้านใน โอ้ววว…อยากจะหักร่มทิ้ง เพราะฝนหยุดตก

จ่ายเงินไม่พอ ยังต้องมาถือร่มเป็นภาระสำหรับการถ่ายรูปอีก

ไม่เป็นไร เอามาทำพร็อพละกัน พร็อพแพงไปหน่อยนะนี่

พื้นที่ใน Cingjing farm กว้างมาก กว้างแบบที่ว่าเดินกันเหนื่อย

แต่โชคดีที่บริเวณนี้อากาศดี ลมหนาวพัดโชยมาตลอด

และนุ้ยก็ตื่นเต้นกับแกะบนภูเขาเพลิน ลืมเรื่องเหนื่อยไปเลย

เดินอยู่พักใหญ่บวกกับเวลาที่รอฝน ก่อนซื้อร่ม ก็เกินชั่่วโมง พอรู้สึกตัวอีกทีหันมองหน้ากัน

แล้วก็ทำหน้าแบบ…. อ้าวซวยแล้ว แล้วจะกลับยังไงละ

เดินกลับมายังจุดลงรถ แต่ปรากฎไม่เจอใคร ไม่เจอรถ…แล้วจะเจอได้ไงละ

ก็นี่มันเกินเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว

นุ้ยก็เลยเดินไปถาม คุณลุงที่นั่งอยู่บริเวณ ประชาสัมพันธ์ เหมือนเดิมคะ เราคุยกันไม่ค่อยเข้าใจ

แต่เราก็เข้าใจกันแบบงงๆ ….. และพอจะสรุปกันได้ว่า คุณลุงรู้ว่าเราอยากกลับที่พัก

คุณลุงพยายามมาก ช่วยเราหาแท็กซี่ จึงได้คำแนะนำจากแท็กซี่ว่าให้เดินลงไปอีกฝั่ง

ซึ่งเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง

แต่นายต้นและเพื่อนเราดันลืมสแตมป์ ตราน้องแกะไว้ที่ข้อมือ

คุณลุงก็ช่วยพาเดินไปส่งด้านในฟาร์ม เพื่อให้เราเดินไปอีกทาง

ทีนี้รู้แล้วว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเวลาเพราะยังไงก็ไม่ทัน เดินเล่นถ่ายรูปต่อละกัน

เดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางออกอีกฝั่งเป็นฝั่งร้านขายอาหาร ของฝาก ผลไม้ ต่างๆ ก็เพลินอยู่พักหนึ่ง

ก็ท้องมันหิวได้ลูกชิ้นมา 1 ไม้ 30 TWD ก็อร่อยดีนะ

ยืนอ่านป้ายบอกทางโน่นนี่นั่น ….. ผลสุดท้ายพวกเราสรุปกันว่า เดินกลับ ไม่นั่งรถแล้ว

อย่าถามว่ามีคนเดินกลับแบบเราไม่ … เพราะไม่มีทางเลยที่จะมีคนบ้าเหมือนเรา

แต่การเดินกลับของเรา ทำให้เราเห็นอะไรเยอะเลย เพราะมีทางด้านใน

ที่ไม่ต้องเดินริมถนนไปจนถึง Swiss garden เลย

แถมสวยด้วยน๊า แต่เมื่อผ่าน Swiss garden แล้ว ก็เดินริมถนนต่อไปอีกนิดหน่อย ก็ถึงที่พักแล้ว

นี่ไงเส้นทางที่เราเดินกลับ

กลับมาถึงที่พัก ยังไม่ถึงเวลาเช็คเอ้าท์ เราก็รีบเก็บข้าวของ และถ่ายรูปเล่นต่ออีกนิดหน่อย

วิธีการการเดินทางกลับจาก Spring Ground เข้าสู่ ไทจง

ให้เราเดินมาหน้าที่พัก แล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปเดินไปประมาณ 300 เมตร จะเจอเซเว่น

ฝั่งตรงกันข้ามเซเว่นนั่นแหละ ป้ายรถเมล์ นั่งรอรถตรงไหนเลย

รถคันไหนจอด ก็ถามก่อนว่าใช่ Taichung Station ที่นี้ก็นั่งยาวๆ เลยค่ะ ค่ารถคนละ 240TWD

ถ้าหากไม่อยากมานั่งรอที่ป้ายรถนาน ให้ถามจากที่พักก็ได้นะคะว่า รถจะมีกี่โมง

เพราะทางทีพักจะมีข้อมูล และง่ายๆ อีกอย่างคือ ดูตามตารางนี่เลยคะ

(http://www.ntbus.com.tw/en-cjfm.html)

จาก Spring Ground ไป Taichung Station ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลับ ๆ ตื่นๆ

แปบเดียวเองคะ เมื่อมาถึง Taichung Station

นุ้ยเลือกกลับด้วย THSR เหมือนเดิม เพื่อความรวดเร็ว

ลงสถานีไหน แล้วแต่เลยคะว่าที่พักคืนถัดไปของเราพักแถวไหน

แต่ง่ายสุดก็คงเป็น Taipei main station

แต่ของนุ้ยลงสถานที Banqiaon เพราะง่ายสำหรับการต่อ MRT ไปที่พัก

ค่ารถอยู่ที่คนละ 670 TWD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที

(** คำแนะนำ การเดินทางออกไปเที่ยวนอกเมือง ควรเที่ยวสัก 2-3 คืน

เพราะจะคุ้มกับค่ารถมาก อย่างกรณีของนุ้ย เที่ยวแค่คืนเดียว เสียดายค่ารถ

เพราะค่ารถแพงมาก แต่ด้วยเวลาน้อยจริงๆ จึงต้องยอม )

ป้ายบอกราคา จากสถานทีไทจง ไปยังปลายทางต่างๆ

เมื่อกลับเข้ามาถึงไทเป นุ้ยซื้อ Easy card ที่สถานี MRT เลยคะ เติมไปเลยเยอะ ยังไงก็ได้ใช้

แต่ถ้าหมด ก็มีตู้ให้เติมได้ตลอด มีค่ามัดจำบัตร 100 TWD แต่ไม่ได้คืนนะ เก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี (เผื่อกลับไปอีก)

สำหรับคืนแรก จนถึงคืนสุดท้ายในไทเป นุ้ยพักที่ Sleep Taipei Hotel & Hostel

การเดินทางให้นั่ง MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานี Fuzhong ออกประตู 1 ข้ามถนนไปอีกฝั่ง

เดินตรงไปเรื่อย จนถึง 4 แยกนี่

เดินมาจนถึง 7-11 จะมีเป็นทางเดินเข้าตึกอยู่ติดกันเลย เดินเข้ามาให้เลี้ยวขวาขึ้นลิฟ ชั้น 4 แล้วก็ถึงเลย

กว่าจะเดินทางมาถึงที่พักเก็บข้าวของ เวลาก็ 5 โมงเย็นแล้ว และฟ้าที่นี้ค่อนข้างมืดเร็วมาก

ลิฟเปิดมาเจอแบบนี้เลย

บรรยากาศที่พัก สบายมาก ดูปลอดภัย มีคนดูแล 24 ชม.

มีความมุ้งมิ้งด้วยนะเออ

สำหรับราคาที่พัก นุ้ยจองห้อง 4 คน มา ในราคา 6,878 บาท สำหรับ 3 คืน

หาร 3 คน สรุปคนละ 2,292 บาท

เนื่องจากฟ้ามืดเร็วมาก ตอนแรกตั้งใจวันนี้ตั้งใจจะไป เขาหัวช้าง (Elephant Mountain Hiking Trail)

เพื่อดูเมืองยามค่ำคืน แต่ดูจากฟ้าแล้ว กว่าจะนั่ง MRT ไปถึง

กว่าจะเดินไปถึงยอดเขา ฟ้าคงมืด หมดความทไวไลท์ แน่นอน

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของแผนเริ่มเรรวน ต้องมีการเปลี่ยนแผน และตัดบางอย่างออก

แม้จะเป็นทริปที่ฟิกซ์มาแล้ว แต่เปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์

นุ้ยเลยเปลี่่ยนแผน นั่งพักและถ่ายรูปที่พักมาฝาก หลังจากกนั้นก็ออกไปเดินเล่นที่ไนท์มาเก็ต

เอาล่ะ ไปดูห้องพักกัน

มี 2 เตียงใหญ่ ห้องสะอาดสะอ้านเลยทีเดียว คนดูแลแจ้งเราว่าจะมีการทำความสะอาด

ในทุกๆ 2 วัน ข้าวของเครื่องใช้เตรียมไว้ครบครัน และยังมีอาหารเช้าด้วยนะ

ก่อนหลับนอนคืนนี้ต้องไปเดินเล่นสักหน่อย ที่ Shihlin Night Market 士林夜市

การเดินทาง MRT สายสีแดง ลง Jiantan Exit 1

เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามถนน ก็ถึงแล้วคะ

หลังจากนั้นก็จะพบเจอกับ Street food ที่มีแต่ของอร่อย

นอกจากอาหารแล้วยังมีข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้าของฝากต่างๆ อีกมากมายให้เราได้ช้อปกันแบบเพลิน

ร้านแรกที่แนะนำที่นุ้ยได้ลองคือ ไก่ทอด อะไรสักอย่างที่คล้ายไก่ Hot star

สาเหตุที่ซื้อร้านนี้เพราะเป็นเหยื่อการตลาดคะ เห็นคนเข้าแถวยาวประมาณ 300 เมตร

แล้วเราจะรออะไร รีบวิ่งไปเข้าแถวเลยคะ แล้วให้เพื่อนไปดูว่าเขาขายอะไร

คือเข้าแถวตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าขายอะไร แต่พอรู้ว่าไก่ทอดก็คิดนิดนึง แต่ก็เข้าแถวต่อ เพราะคนเยอะจริง

ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นซะด้วย มันต้องอร่อยแน่

รอไม่นานนัก ก็ได้มาแล้ว ไก่ทอดชิ้นยักษ์ กินกัน 3 คน แอบมองขั้นตอนการทำ

คือเอาไปทอดก่อน แล้วมาทาซอสอะไรสักอย่าง แล้วจึงนำไปย่าง

สุดท้ายโรยผงปาปริกามั้ง แต่สรุปว่าอร่อยมาก ชิ้นละ 70 TWD

มาต่อกันที่ เจ้านี่ ตอนแรกก็คิดว่าลูกชิ้น เห็นคนกินเยอะเราก็กินตาม

แต่จริงๆ มัคือไข่นกกระทาทอด คล้ายๆ เครื่องทำทาโกยากิ แต่ขนาดหลุมเล็กกว่า

ร้านนี้คนซื้อเยอะมาก เพราะมีซอสอลังการ เป็น 20 อย่างเลยจ้า ไม้ละ 20 TWD

แต่สำหรับนุ้ย นุ้ยเฉยๆ นะ เพราะมันก็คือไข่นกอะ แต่ถ้าใครอยากลองก็ไม่ห้ามนะ

อาจจะชอบไม่เหมือนกันเนอะ
.

เดินวนไปวนมา โอ๊ยตลาดอะไรนี่กว้างชะมัด เดินกันขาลากแล้วยังไม่ทั่วอีก

มาถึงอีกร้าน คิวโคตรยาวเหมือนกัน แต่บอกเลยว่า นุ้ยไม่ปลื้ม ชิ้นละ 12 TWD แต่รสชาตินุ้ยว่าเฉยๆ มาก

ปิดท้ายกันที่ของกิน ขนมครกไต้หวัน ราคาเริ่มต้นที่ชิ้นละ 15 TWD

มีหลายแบบหลายราคาหลายไส้ เราลองสั่งมากิน ก็อร่อยดีนะ

แต่ร้านนี้ใจเด็ด ให้เราสั่งเอง จ่ายตังค์เอง ทอนตังค์เอง ไว้ใจลูกค้ามาก และลูกค้าแน่นร้านเลยนะจะบอกให้

เดินผ่านร้านนี้ชิสเค้กเนื้อเด้งมาก อยากซื้อ แต่ไม่มีใครช่วยกิน กลัวกินไม่หมด เลยต้องปล่อยผ่าน

ราคาแค่ 100 TWD เท่านั้น แต่พอกลับถึงห้อง หาข้อมูล มีคนบอกว่าอร่อยมาก

คือนุ้ยนั่งน้ำตาซึม ไม่หน้าพลาดเลยเรา

ในที่สุดเดินกันจนขาลาก ไม่ได้ช้อปอะไรเลยค๊าา นอกจากกิน กิน และก็กิน

เป็นตลาดที่ของกินเยอะ และอร่อย หลากหลาย ห้ามพลาดๆ

แต่เมื่อกลับมาถึงที่พัก ทำให้รู้การไปตลาดชีหลิน คือความเข้าใจผิด และจำชื่อผิดของนุ้ย

นุ้ยตั้งใจมาก ฉันจะไปซีเหมินติ่ง แต่อยู่ๆ ก็พาทุกคนไปโผล่ที่ชีหลินเฉยเลย

และทุกคนก็ยังไม่รู้ว่านุ้ยพาไปผิดที่

แม้กระทั่งตัวนุ้ยเอง ก็ไม่รู้ จนกลับมาถึงที่พัก เพื่อเตรียมแพลนใหม่ของวันถัดไป

อ้าว ! เฮ้ย ! เมื่อกี่ไปผิดตลาด ….

ไม่เป็นๆ มีเวลาอีกหลายวัน ค่อยไปซีเหมินติ่งวันหน้าก็ได้ คืนนี้นอนเอาแรงก่อน

พรุ่งนี้การเดินทางยังมีอีกยาวไกล

วันที่สาม ในไต้หวัน

เป็นเช้าที่ตื่นกันตั้งแต่ไก่โห่ ….. ว่าแต่ไต้หวันไก่ขันเสียงจะเป็นยังไงน๊า (นอกเรื่อง)

จะว่าไปตอนไปเที่ยวเนี๊ยะ …ตื่นเช้าได้ทุกวันแบบไม่ต้องมีเสียงแม่มาปลุกนะ

เหมือนจิตใต้สำนึกมันคอยบอกว่า …ถึงเวลาไปเที่ยวแล้ว ลุกเถอะๆ อะไรประมาณนั้น

เหมือนเดิมตี 5 ไต้หวัน ตี4 บ้านเรา สะดุ้งตื่นรายคน เพราะต้องทยอยกันอาบน้ำ

ตั้งใจไว้ว่า 6 โมงเช้าจะออกจากที่พัก

อันที่จริงที่พักมีอาหารเช้าให้ด้วยนะ มีกาแฟเย็น และชามะนาวให้กดฟรี 24 ชม. ด้วย

แต่ในทุกวันเราจะออกจากที่พักก่อนถึงเวลาอาหารเช้า เลยไม่รู้ว่าอาหารเช้าของที่นี้เป็นอะไร

และ 7-11 คือที่พึ่งที่ดีที่สุดของนุ้ย จะว่าไปตอนเที่ยวเรื่องกินมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ของนุ้ยเลย

กินอะไรก็ได้เน้นสะดวก แต่ก็จะมีแบบเลือกไว้สัก 3-4 ร้าน ว่าทริปนี้ต้องไปให้ได้ ประมาณนั้น

ชอบ Sleep Taipei ที่พักของนุ้ยก็ตรงที่ มี 7-11 อยู่ด้านหน้านี่แหละ เช้านี้ 2 คน หมดไป 85 TWD

ไม่ได้ซื้ออะไรมากแค่ กาแฟคนละกระป๋อง และขนมนิดหน่อยติดกระเป๋าไว้เผื่อหิว

แพลนของนุ้ยในวันนี้คือ ไปอุทยานแห่งชาติเย่หลิว (Yehliu Geopark / 野柳地質公園/ เย่หลิว)

และปิดท้ายด้วย จิ่วเฟิ่น ( Jiufen / 九份)

บรรยากาศตอนเช้าในไทเป

เริ่มกันที่การเดินทางไป อุทยานแห่งเย่หลิว

เริ่มต้นที่ Taipei main station เดินไปยัง Taipei west bus station เพื่อต่อรถบัสไป Yehliu

การเดินไป Taipei west bus station เส้นทางง่ายๆ คือให้เราเดินออกทาง B1 แล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ

จะมีป้ายบอกทาง Taipei west bus station Teminal 1 ซึ่งเราจะต้องเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก Z3

เดินออกไปจะเจอเลยคะ

โดยนั่งรถบัสสาย 1815 ค่ารถประมาณคนละ 96 TWD (สามารถใช้ Easy Card ได้ )

ถ้าใครไม่มี Easy Card ก็เข้าแถวซื้อตั๋วเลย ซึ่งการเดินทางไป Yehliu ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ


อยากลองซื้อตั๋วดู

รถคันนี้เลย บรรยากาศด้านในดีงาม สะอาดสะอ้านดี

บรรยากาศในรถประมาณนี้เลย สามารถนำอาหารเครื่องดื่มไปนั่งทานในรถได้

เสน่ห์อีกอย่างของการการเดินทางไปเที่ยวต่างแดน

คือ เราจะตื่่นตาตื่นใจกับเส้นทางถนน ความแปลกใหม่ ทำให้เวลา 1 ชั่วโมงเป็นเวลาที่เร็วมาก

ตอนลงรถให้เราสังเกตุ ป้ายนี้ไว้นะค่ะ นี่คือป้ายทางเข้าไป Yehliu

และพอถึงป้ายนี้จะมีเสียงบอกจากคนขับรถบัส

เป็นเพียงป้ายเดียวเลยก็ว่าได้ที่ที่เสียงจากคนขับรถบัสตะโกนบอก

หลังจากลงจากรถให้เดินย้อนกลับเข้ามาในซอยที่มีป้ายอยู่ แล้วก็เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ

ระหว่างทางเจอเรือประมง ไม่พลาดที่จะแวะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย

วันนี้เป็นวันที่อากาศดีมาก แสงแดดจ้า ท้องฟ้าสดใส และลมพัดตลอดเวลา

ระยะทางที่เดินจนกว่าจะถึง Yehliu ก็เกือบ ๆ 1 กิโลนะ

มาถึงแล้วก็ต้องไปซื้อตั๋วเข้ากันก่อนคะ คนละ 80 TWD

เวลาเข้าชม 7.30-17.00 น.

แล้วเรามาทำอะไรกันที่อุทยานเย่หลิวละนี่

เรามาดูหินแปลกประหลาดริมทะเลนั่นเอง …. ซึ่งหินเหล่านี้จะมีลักษณะรูปร่างคล้ายโน่น นี่นั่น

ตามจินตนาการของคนเรานี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น หินรูปเห็ด รูปแท่งเทียน หินรวงผึ้ง หินรูปตาราง รูปรองเท้า

หินหลายก้อนที่มีชื่อเป็นของตัวเอง และมีหินที่เป็นหินแลนด์มาร์คของที่นี้คือ หินศรีษะราชินี

มันจะเหมือนมั๊ยต้องไปดูให้เห็นกับตา ก่อนเข้ามาแนะนำให้เราหยิบโบชัวร์ที่วางอยู่ด้านหน้า

แล้วมาตามหาหินชื่อต่างๆ ให้เจอ จะทำให้เราสนุกกันมากยิ่งขึ้น

แต่สำหรับนุ้ยบอกเลยว่าไม่ได้สนใจหินต่างๆ เลยว่าชื่ออะไร ถ่ายวนไปทั่วเลย เพราะสวยทุกก้อน

นอกจากหินประหลาดแล้ว คือเย่หลิวติดทะเล วิวสวยมาก อากาศดีที่สุด แต่ลมแรงมาก แรงไปไหน

แนะนำห้ามใส่กระโปรงนะจ๊ะ ไม่งั้นอาจจะโชว์หวอได้

คนอื่นจินตนาการว่าไงไม่รู้ แต่นุ้ยว่ามันคือหินหัวใจ

มีเส้นสีแดงกั้นไว้ว่าถ้าเกินเส้นออกไปจะเป็นเขตอันตราย

อาจจะพลัดตกลงไปได้ ระมัดระวัง และทำตามกฎกันด้วยนะ

เดินเล่นถ่ายรูปกันนานมาก นานพอที่ผมจะตั้งเป็นทรงได้แบบไม่ต้องฉีดสเปรย์

ก็ได้เวลาสำหรับการเดินทางต่อไปเมืองโบราณ Jiufen กันแล้ว

วิธีการเดินทางไปจิวเฟิ่น ให้เราเดินย้อนกลับทางเดิม ไปขึ้นรถที่จุดลงรถตอนขามา

แล้วเดินข้ามไปรอที่ป้ายรถบัสอีกฝั่ง

โดยนั่งรถบัสหมายเลข 790 เพื่อที่จะไปเมือง จีหลง (Keelung)

วิธีการสังเกตุว่าถึง Keelung หรือยัง ให้เราสังเกตุบริเวณที่เป็นคล้ายๆ ท่ารถ และอยู่ติดทะเล ตามรูปเลย

ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ

พอถึงจีหลงก็ให้ข้ามสะพานลอยไปรอขึ้นรถบัสหน้า family mart สาย 788 เพื่อไปจิ่วเฟินคะ

แต่เมื่อมาถึงเมือง Keelung ท้องเริ่มหิว พวกเราจึงออกไปหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นรถไปจิ่วเฟิ่น

มาเจอร้านนี้ จะอยู่ในซอย ข้างๆ แฟมิลี่มาร์ทตรงป้ายรถบัส

เดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเจอร้านอาหารหลากหลายเลย

นุ้ยเลือกร้านนี้

อย่าถามว่าคืออะไร รู้แค่ว่าอร่อยดี น้ำซุปเหมือนบ้านเราเลย

รสชาติคล้ายๆ ลูกชิ้นปลาหมึกเลย ราคาชามละ 35 TWD มื้อนี้แค่รองท้องไม่แน่นอิ่ม


แล้วเราก็ไปรอรถ ให้นั่งรถบัสสาย 788 จำค่ารถไม่ได้เพราะใช้ Easy Card

ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ทางสวย ตลอดเส้น

บ้านเรือนบางช่วงดูแออัด แต่ก็แปลกตาดี ไม่นานนักก็มาถึงแล้ว ทางเดินเข้าจะอยู่ข้าง 7-11

คนมหาศาลดาวล้านดวง มากันจากไหนละนี่ แล้วมากันทำไม

ก็มาเหมือนเราไง ….

ทางเดินที่เหลือ ก็แล้วแต่เลยคะว่าเราจะเดินไปไหนทางไหน คนแน่นตลอดทั้งเส้น

หรือจะลองขึ้นไปตามซอย ลงตามตรอกก็ได้นะ บ้านเรือนสวยๆ ทางเก๋ๆ ทั้งนั้น

แต่มาเส้นนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องกิน

พลาดไม่ได้ บัวลอยที่นี้อร่อย แป้งนุ่ม หอม หวานน้อย ถ้าจำไม่ผิดราคา 45 TWD

เต้าหู้เหม็นใคร ก็ว่าอร่อย แต่นุ้ยไม่กล้าลอง แค่ได้กลิ่นก็ไม่ไหวแล้วมั้ง

คล้ายๆ หอยชักตีนภูเก็ตเลยอะ

อันนี้ขายเยอะมาก แต่ไม่กล้าลอง

ใครเคยลองบอกหน่อย อร่อยมั๊ย

เหมือนไส้กรอก กับกุนเชียงผสมกัน อร่อยดี ไม้ละ 40 3 ไม้ 100

โรตีไอศครีมกับถั่วตัดอร่อยมาก

มี 2 ร้าน แต่สำหรับนุ้ย ร้านที่ 2 ที่มีผักชี อร่อยกว่าเยอะเลย ราคาเท่ากัน 40 TWD

ห้ามพลาดเลยนะ

นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว เมืองนี้ยังเต็มไปด้วยสินค้าทำมือ ราคาน่ารัก

และตกแต่งร้านกันได้น่ารักมากๆ

บรรยากาศบ้านเรือน ในจิ่วเฟิ่น มีเสน่ห์มาก อยากให้ไป

เดินเล่นจนถึงช่วงเย็นนุ้ยก็ต้องไปเดินหาแลนด์มาร์ค นั่งรอพระอาทิตย์ตก

และนั่งรอดูแสงสีช่วงตอนกลางคืน จนมาเจอร้านนี้ ….จำชื่อร้านไม่ได้

แต่เป็นร้านที่วิวสวย และมุมดีมาก ๆ นุ้ยนั่งจนถึงช่วงค่ำ ก่อนเดินทางกลับ

สั่งน้ำมาทานรอเวลาคนละแก้ว ราคาต่อแก้วประมา 160 TWD

ถือว่าคุ้มสำหรับวิวนี้ รสชาติก็โอเคนะ

และมุมนี่แหละที่ทำให้นุ้ยตัดสินใจมาจิ่วเฟิ่น เพราะมันสวยเหลือเกิน

บ้านโบราณ แสงไฟสวยๆ ผู้คนมากมาย เป็นภาพที่สวยมากๆ

ขากลับเข้าไทเป ให้เราเดินออกมาทางเดิม จนถึงหน้า 7-11

ให้เดินเลี้ยวขวาขึ้นบนเนินนิดหน่อยจะเจอป้ายรถบัส

หาง่ายมาก เพราะจะมีคนยืนรอรถกันมหาศาลเลย รอคิวกันนานน่าดู แต่ถ้าเจอคณะทัวร์ ก็ต้องทำใจนิดนึง

นั่งรถสาย 1062 ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถคนละ 102 TWD

————-

เมื่อกลับมาถึงที่พัก เป็นอันสลบ แม้วันนี้จะเที่ยวแค่ 2 สถานที่

แต่เดินทางเยอะ และอิ่มมาก ราตรีสวัสดิ์ไต้หวัน คืนที่ 3

วันที่สี่ ในไต้หวัน

สำหรับวันที่สี่ในไต้หวัน แพลนของนุ้ยตามนี้คะ เน้นอยู่ในไทเป ไมออกไปไหนไกลมาก

moon bridge/ lin an tai historical house / lover's bridge tamsui / Elephant Mountain / ซีเหมินติงไนท์มาร์เก็ต / กินชาบู

เช้านี้ก็ตื่นเหมือนทุกวัน จะเช้าไปไหน สำหรับนุ้ยตอนเช้า ยังคงพึ่งพาเ 7-11 เหมือนเดิม

เพราะไม่ต้องการอะไรมากนัก ขอแค่กาแฟ กับขนมนิดหน่อยก็โอเคแล้ว

เริ่มจากไปถ่ายรูป Moon Bridge ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะ Dahu Park

สำหรับการเดินทาง MRT สายสีน้ำตาล Dahu Park Station ทางออก 2 นะจ๊ะ

เอาจริงๆ นะ ถ้าไม่ใช้แบบคลั่งไคล้การถ่ายรูป และตามล่ามุมสวย ไม่ต้องไปที่นี้ก็ได้

เพราะแทบจะไม่มีอะไรเลยประมาณ คล้ายๆ สวนหลวงบ้านเรา แต่เล็กกว่าเยอะ

มีแลนด์มาร์คคือ Moon Bridge นี่แหละ

ซึ่งช่วงเวลาที่สวย ที่เหมาะกับการถ่าย นุ้ยว่าเป็นช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ MRT เริ่มตอน 6 โมงเช้า

นั่นหมายความว่า เป็นเพียงสะพานธรรมดา รูปคล้ายพระจันทร์ อยู่ในสวนสาธารณะ

แต่ไหนๆ ก็มาแล้วก็มาถ่ายรูปกันสักหน่อย

ในส่วนสาธารณะแห่งนี้ ..เราจะเห็นวิถีชีวิตของคนไต้หวันบางส่วน ที่ออกมาออกกำลังกาย

และมีการออกกำลังกายหลายแบบที่ทำให้เราอึ้ง มีทั้งท่าทางแปลกๆ มีทั้งแบบส่งเสียงดังๆ

ในขณะเดียวกันก็มีมุมสงบ มีชายตกปลานั่งอยู่ริมตลิ่ง….แต่แปลกใจจริง ทำไมปลาของที่นี้กินเหยื่อ

นั่งเล่นกันอยู่พักใหญ่ อากาศเริ่มร้อน แสงแดดเริ่มแรงกล้า …

อยู่ต่อไม่ไหว ไปต่อเลยดีกว่า ปลายทางที่ 2 ของวันนี้อยู่ที่ Lin An Tai Ancestral House

การเดินทาง MRT สายสีส้ม Zhongshan Elementary School Station ทางออก 4 เลี้ยวขวา

เดินต่อประมาณ 16 นาที ถ้าไม่อยากเดินเรียกแท็กซี่กันได้เลย

หรือใครชอบปั่น ใกล้สถานที MRT มีจักรยานให้เช่าด้วยนะ

Lin An Tai Ancestral House เป็นบ้านพักเก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน

เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่เวลา 9.00-21.00 น. เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยไม่ค่อยนิยมไปกันสักเท่าไหร่

ตอนหาข้อมูลเที่ยวไต้หวัน เปิดไปเจอรูปโดยบังเอิญ และเก็บมาใส่ในทริป

ซึ่งตอนแรก เกือบตัดออกแล้วด้วยซ้ำ แต่เวลามีพอสำหรับวันนี้ ….

ที่นี้จึงเป็นอีกหนึ่งปลายทางที่อยากบอกต่อมาก

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดูคล้ายพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นพิพิภัณฑ์ที่สวยมาก หน้าตาคล้ายบ้านพักตระกูลหลิน

เรื่องประวัติศาศตร์ นุ้ยไม่ช่ำชองมากนัก (ต้องขอบคุณข้อมูลจาก flymetotaiwan.com)

ครอบครัวตระกูลหลินย้ายมาจากจังหวัดฟูเจี้ยนจากจีนแผ่นดินใหญ่

ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1754 ซึ่งระหว่างที่ตั้งตัวในไต้หวันนั้นก็ทิ้งเวลานานถึง 29 ปี

ธุรกิจของครอบครัวจึงจะประสบความสำเร็จและได้สร้างบ้านในช่วงปี 1783 นั่นเอง

ชื่อสถานที่แห่งนี้ได้มาจากมณฑล Anxi ในจังหวัดฟูเจี้ยนของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ครอบครัวพวกเค้าได้ย้ายมา

+ กับชื่อบริษัทที่ตระกูลนี้สร้างขึ้นมาคือ บริษัท Rong Tai ออกมาเป็น Lin An Tai นั่นเองค่ะ

บ้านหลังนี้เดิมทีตั้งอยู่ที่ถนน Dunhua ทางใต้ค่ะ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านที่เก่าที่สุดที่อยู่ในไทเปตอนนี้

หลังจากนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บริเวณใกล้กับที่จัดแสดง Taipei International Flora Exposition

ที่เคยจัดขึ้นในปี 2010 ค่ะ บริเวณถนน Zhongshan ตอนเหนือ

เพราะทางรัฐบาลไทเปตั้งใจจะทำถนนให้กว้างขึ้น ก็เลยมาอยู่ตรงนี้แทนให้เพื่อนๆได้ไปถ่ายภาพค่ะ

ด้านในมีโปสการ์ให้เราได้เดินหาสีของแต่ละจุดมาแสตปม์ด้วย ของนุ้ยได้มาครบเลย

เอาไว้เป็นที่ระลึก

ซึ่งถ้าหากใครตั้งใจจะไปตลาดปลาอยู่แล้ว แนะนำว่าลองแวะมาที่นี้คะ สถานที่สวยมากๆ

แต่นุ้ยนี่สิ ลืมตลาดปลาไปซะสนิท อย่างที่บอกว่าวันแรกที่เข้าไทเปมามีการผิดแผนนิดหน่อย

และเกือบจะตัดที่นี้ทิ้งด้วยซ้ำ แต่ตัดไปตัดมา ตัดยังไงก็ไม่รู้ ตลาดปลาหายไปจากแผนการเดินทางแบบไม่รู้ตัว

รู้อีกที อ้าวเราลืมตลาดปลาไปแล้ว

สถานที่ ที่ 3 สำหรับวันนี้เป็น lover's bridge tamsui

การเดินทาง MRT สีแดง สถานี Danshui station ทางออก 1 แล้วเดินเรื่อยๆ มีสีสันทั้งเส้น

และนั่นคือความตื่นตาตื่นใจ เพราะมีของขายเยอะมาก ทั้งช้อปทั้งชิมเลยคะ

เริ่มกันที่ ทาโกยากิ สำหรับนุ้ย นุ้ยว่ามันอร่อยนะ ราคาถูกกว่าภูเก็ตบ้านนุ้ยซะอีก 40 TWD

สำหรับไอศครีม ราคา 60 TWD ราคาดีงาม รสชาติไม่หวานมาก ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ แต่ดับร้อนได้ดีเริ่ด

แต่ถ้าจะไป lover's bridge tamsui แนะนำให้นั่งเรือไป Fisher Man's Wharf นะคะ

ใช้บัตร Easy Card ได้ด้วยนะ ค่าโดยสารผู้ใหญ่ 50 NTD และเด็ก 25 NTD

สำหรับที่นี้แนะนำว่าควรมาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ อากาศคงจะดีกว่านี้มาก

บรรยากาศคงจะสวยมาก แต่ในช่วงกลางวันร้อนตับแตกเลยจ้า

ซึ่งในแพลนจริงๆ ที่นี้จะเป็นที่สุดท้ายของวันนี้

มานั่งเล่น ดูแสงแย็นฟรุ้งฟริ้ง ไรงี้

แต่ต้องย้ายให้เร็วขึ้นเพราะนุ้ยอยากไปขึ้นเขาหัวช้างในตอนเย็น

อยากเห็นเมืองไทเปยามค่ำคืน


กินอิ่มเดินเล่นกันเพลินมาก ก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ว

ปลายทางต่อไปคือ Elephant Mountain หรือเขาหัวช้างนั่นเอง

การเดินทาง MRT สีแดง ลงสถานี Xiangshan Station ออกประตู 2 ไปเรื่อยๆ เลยคะ

จะมีคนเดินไปตามเส้นทางเดียวกับเราเยอะมาก

ก่อนขึ้นพี่ก็ชิลนะ จิบๆ เดินขึ้นเขาแค่นี้เอง

แต่เดินได้สักพัก ฟ้าก็เริ่มมืด เริ่มเปลี่ยนสี เร่งสปีทเต็มที วิ่งซิคะ รออะไรอยู่

บอกเลยว่า เหนื่อยมาก ….. แต่พอขึ้นมาถึงด้านบน ทุกอย่างก็โอเค เพราะวิวไทเป ย่ามค่ำคืนสวยมาก

แต่ผู้คนบนเขาก็เยอะมากเช่นกัน มีจุดให้เลือกชมกันหลายจุดเลยทีเดียว

เดินไปเรื่อยๆ ตามใจชอบนะ ว่าจะนั่งดูกันจุดไหน

ใช้เวลาเดิน เวลาถ่ายรูปอยู่ด้านบน 2 ชั่วโมงกว่า ดูให้คุ้มกับการเหนื่อย

พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หิวนี่แหละ

ดูเวลา .. อ้าว !!! จะ 2 ทุ่มแล้วเหรอเนี๊ยะ

ก็ชวนกันกลับ …ท้องนี่ร้องไม่เป็นจังหวะแล้ว แต่ๆ ทุกอย่างยังไม่จบ

ชายต้นยังไม่ยอม พาไปถ่ายรูปอีกจุดก่อนจะไปหาอะไรกิน มาได้มุมนี้ แต่เสียดายที่ฟ้ามืดแล้ว

ถ่ายรูปเล่นอยู่ไม่นานนัก เวลาที่รอคอยก็มาถึง ได้เวลาไปกินของอร่อยๆ แล้ว

วันนี้เราเลือกชาบู มีคนบอกว่าชาบูไต้หวันอร่อย อร่อยทุกร้าน เจอร้านไหนก็ไปลองกันได้เลย

แต่เราเลือกร้านนี้ Mala Yuanyang Hotpot ตั้งอยู่ในบริเวณ ตลาดกลางคืน ซีเหมิ่นติง

ช่างพอเหมาะพอเจาะ นอกจากได้หม่ำแล้วยังได้เดินเล่นอีกด้วย

การเดินทาง MRT Ximen, Exit 6 ออกมา เลี้ยวขวาเข้าไปในส่วนของซีเหมินติง เลย

เดินตรงมาเรื่อยๆ จนถึง 4 แยก จะเจอตึกนี้ ขึ้นมาบนชั้น 2

ช่วงกลางวัน เวลา 11.30-16.00 น. ราคา 498 TWD
ช่วงเย็น เวลา 16.000-05.00 น. ราคา 598 TWD
วันหยุด เวลา 11.30-05.00 น. ราคา 598 TWD

ราคานี้ยังไม่รวมค่าบริการ 10% ถ้าหากมาคนเดียว คิดเพิ่มอีก 100 TWD รายละเอียดตามป้ายนี่เลย

ตอนนุ้ยไปถึงก็เกือบ 3 ทุ่ม แต่คนเยอะมาก นั่งรอคิวกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้นานมากนัก

พอเข้ามาในร้าน ของกินเยอะมาก ทีเด็ดคงอยู่ที่กุ้งและปูสดๆ ตัวใหญ่ๆ

และไอศครีมของ Häagen-Dazs และ Movenpick ที่กินกันได้ไม่อั้น

นี่เป็นเพียงรูปบางส่วนที่นำมาให้ดูนะค่ะ

คือตอนนั้นไม่ไหวจะถ่ายรูปจริงๆ เพราะหิวมาก

จะมีพวกเนื้อสัตวย์ที่ต้องสั่งจากเมนู รอบแรกจะสั่ง 4 ชุด ถ้าหมดสั่งเพิ่ม ได้ตลอดไม่อั๋นนะจ๊ะ

แต่ค่อยๆ สั่งกันนะ ไม่ต้องสั่งมาวางจนล้นโต๊ะ เพราะอย่างอื่นที่ไม่ต้องสั่งจากเมนูเป็นบุฟเฟ่ต์ที่หลากหลาย

เลือกตักกันแบบเพลินเลย ทั้งคาว หวาน เครื่องดื่ม มีเบียร์บุฟเฟ่ต์ด้วยนะเออ คุ้มมากอะ

กินอิ่มก็เดินเล่นต่อนิดหน่อย เพราะมัวแต่กินตลาดเริ่มวาย

ก่อนกลับมาเจอ SPRAY PAINTING บริเวณทางเดินเข้าชอบมาก ยืนดูอยู่นานสองนาน

วาดด้วยดินสอยังอยาก แต่นี่ขั้นเทพ ในทีสุดเราก็ได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้าน ราคา 200 TWD

หลับฝันดีเลยคืนนี้

วันที่ห้า ในไต้หวัน

วันสุดท้ายของทริป วันสุดท้ายในไต้หวัน วันนี้เราเดินทางกลับตอน 2 ทุ่ม ทำให้ช่วงเวลากลางวันเราเที่ยวได้เต็มทีเลย

แต่ก็ยังชิลๆ อยู่ในไทเป ออกไปไหนไกลมากจะตกเครื่องเอาได้

แพลนของวันนี้ตามนี้เลย Chiang Kai Shek Memorial Hall / Longshan Temple / Sun Yat-sen Memorial Hall / ice monster / Tin Tai Fung / MITSUI OUTLET PARK

แม้จะเป็นวันสุดท้ายแต่นุ้ยก็ยังคงตื่นเช้าเหมือนเดิม

ตั้งใจจะไปไปเก็บภาพบรรยากาศเช้าๆ ที่

Chiang Kai-Shek Memorial Hall อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค(中正紀念堂)

การเดินทาง MRT สายสีแดงสถานี Chiang Kai‑shek Memorial Hall, ทางออก 5
เปิด 9.00 – 1800 น.

คือไปตั้งแต่ hall ยังไม่เปิดให้เข้าชม ดูได้แค่บริเวณรอบ ๆ แอบเสียดาย

แต่นุ้ยเชื่อว่า นี่คงไม่ใช้ครั้งเดียวที่นุ้ยจะไปเยือนไต้หวัน

มันยังมีครั้งต่อๆ ไป เพราะไต้หวันยังมีอะไรอีกมากมาย เลย

ในบริเวรจะมี อาคารทั้งหมด 3 หลัง คือ

1.Concert Hall 2.National Theater 3.อาคารของท่าน เจียงไคเช็ค

"อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค" เป็นอีกหนึ่งสัญญลักษณ์ของประเทศไต้หวัน

และสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่มาถึงไต้หวันแล้ว ต้องไปเยือนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งประวัติความเป็นมา

และความสวย อลังการของสาถานที่แห่งนี้

สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชก

* อดีตประธานาธิบดีเจียงไคเชก(Chiang Kai-Shek)เป็นอดีตผู้นำทางการเมืองและการทหารของจีน

ในยุคต้นศตวรรษที่ 19 ภายใต้พรรคชาตินิยมจีน(Chinese Nationalist Party) ก๊กมินตั๋ง(Kuomintang, KMT)

แต่พ่ายแพ้ให้กับประธานเหมาเจ๋อตง(Mao Zedong)ในสงครามกลางเมืองจึงหลบมาอยู่ที่เกาะไต้หวัน

ก่อตั้งรัฐบาลใหม่และพัฒนาไต้หวันจนก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน จึงเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งของประเทศไต้หวัน

ไฮไลท์ ของที่นี้จะเป็นอาคารเชีงไคเชค เป็นอาคารสีขาวทั้ง 4 ด้านมีหลังคาทรง 8 เหลี่ยมสีน้ำเงิน

สถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางของจตุรัสเสรีภาพ(Freedom Square)

มีบันไดด้านหน้า 89 ขั้นเท่ากับอายุของท่านประธานาธิบดี

โดยภายในจะมีรูปปั้นทำจากทองสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งขนาดใหญ่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากรูปปั้นของท่านในที่อื่นๆ

เราไปต่อกันที่วัด Longshan Temple(龍山寺)

การเดินทาง MRT สายสีน้ำเงิน สถานี Longshan Temple ออกประตู 1

วัดหลงซานเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในไทเป ชื่อไทยว่าวัดเขามังกร

เป็นวัดสวยงามที่สุดในไต้หวัน สร้างขึ้นเมื่อปี 1738 ตอนนี้ก็อายุ 200 กว่าปีแล้วนะ

ตามประวัติบอกว่า วัดนี้เคยโดนทิ้งระเบิดเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

บริเวณทั่วไปของวัดเสียหายยับเยิน แต่พระโพธิสัตว์กวนอิมกลับไม่ได้รับความเสียหายเลย

จึงยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น

เมื่อเราเข้าไปด้านในวัด ให้เดินเข้าทางด้านขวา นะคะ จะมีธูปบริการฟรี

ซึ่งจะใช้ไหว้ทั้งหมด 7 จุดด้วยกัน

ด้านในวัดวิจิตรงดมาก ผู้คนที่ศรัทธาเดินทางมาไหว้พระกันแบบล้นหลาม

สัมผัสได้ถึงแรงศรัทธาที่มีมากจริงๆ ของคนที่นี้

และถ้าใครจะขอพรเรื่องความรัก จุดที่ 7 นะคะ จุดสุดท้ายเลย

ขอพรกันเต็มที่แล้ว เราไปต่อกันที่อนุสรณ์สถานอีกหนึ่งที่ ที่สำคัญมากๆ ของไต้หวัน คือ

Sun Yat-sen Memorial Hall อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซน(國父紀念館)

การเดินทาง MRT สายสีน้ำเงิน Sun Yat Sen Memorial Hall, Exit 3

อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซน ถือเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอีกหนึ่งแห่งในไต้หวัน

สร้างขึ้นเพื่อรำลึกและเทิดทูนท่านซุนยัดเซน ที่ได้รับการยกย่องจากชาวไต้หวันว่าเป็นบิดาแห่งชาติ

ซึ่งท่านเป็นผู้นำการปฏิวัติซินไฮ่เมื่อปี 1972

ที่สามารถล้มล้างระบบกษัตริย์ในราชวงศ์ฉิง(Qing Dynasty)ได้สำเร็จ

และก่อตั้งประเทศจีนใหม่เป็น สาธารณรัฐจีน(Republic of China)

รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง(Kuomintang, KMT)ร่วมกับท่านเจียงไคเชก

ที่สร้างชาติไต้หวันจนเจริญเติบโตมาอย่างในทุกวันนี้

รูปปั้นท่านซุนยัดเซน

อาคารแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ. 1972 อาคารเป็นแบบสถาปัตยกรรมสไตล์จีนสมัยใหม่

ที่เป็นการผสมผสานระหว่างแนวคิด Modern กับพระราชวังจีนในสมัยราชวงศ์ถัง

นอกจากรูปปั้นของท่านแล้ว ภายในยังมีการจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ของท่าน

ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา การศึกษา สังคม วัฒนธรรม และศิลปะ

และมีทหาร มาผลัดเปลี่ยนมาเฝ้าทุกชั่วโมง ขั้นตอนการเปลี่ยนอลังการ และดึงดูดความสนใจมากๆ เลยคะ

มาถึงไต้หวันทั้งทีจะไม่กินไอติมเกล็ดหิมะสักหน่อยก็กะไรอยู่

อันที่จริงนุ้ยเล็งไว้หลายร้านมาก แต่เลือกเอาที่สะดวกกับเวลาและการเดินทาง

ไหนๆ วันนี้ตอนนี้มาอยู่บริเวณนี้แล้ว ก็ลองร้านนี้ละกัน Ice Monster

การเดินทาง MRT สายสีน้ำเงิน Sun Yat Sen Memorial Hall, Exit 5 เดินตรงไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ขวามือ

ซึ่งตอนนี้นุ้ยอยู่ที่ Sun Yat Sen Memorial Hall อยู่แล้ว ก็แค่เดินกลับไปที่สถานี แล้วออกทาง Exit 5

ซึ่งอยู่คนคนละฝั่งถนนเท่านั้น

ร้านจะเปิดตอน 10.00 น. ตอนนุ้ยไปถึง ร้านยังไมเปิด เดินเล่นอยู่แถวร้านมีร้านของฝากอยู่หลายร้าน

แต่พอเดินกลับมาอีกที คนเต็มร้านเลยคะ

ตอนไป ไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาก ไป 3 คน ก็สั่งเลย 3 ถ้วย

ตอนมาเสิร์ฟ ตาค้างสิคะ โต๊ะข้างๆ ก็ตาค้างไปพร้อมเราว่า สั่งมาได้ไง 3 ถ้วย

ที่จริงอยากกินหลายรสกว่านี้นะ

เพื่อนเราสั่งสตอเบอรี่ นางชอบมาก กินไม่เหลือสักหยด

ของนุ้ยสั่งเมนูนี้ อร่อยมากเหมือนกัน รสกาแฟ มีเจลลี่กาแฟมาด้วย

นายต้นสั่งมะม่วง แต่แถมสั่งเป็นน้ำแข็งใสอีกนะ ปรากฎต้นกินไม่ได้ เพราะไม่ชอบรสชาติมะม่วงแบบนี้

รสชาติจะติดเปรี้ยวๆ ไม่เหมือนน้ำดอกไม้บ้านเรา นุ้ยก็เลยต้องเป็นคนกิน แต่กินไม่หมดนะ

ซอสมะม่วงที่อยู่ด้านล่างอร่อยมาก แต่เนื้อมะม่วง ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่

เรื่องกินยังไม่หมด ไหนๆ มาถึงไต้หวัน จะไม่กินอาหารที่ติดท็อปอย่างเสี่ยวหลงเป่า Tin Tai Fung ก็กะไรอยู่นะ

ร้าน Din Tai Fung มีหลายสาขามาก ๆ วันนี้นุ้ยไปสาขา Taipei 101

การเดินทาง MRT สายสีแดง Taipei 101, Exit 4

แต่ของนุ้ยใช้วิธีการเดินจากคะ ออกจาก ice monster กลับมาที่ Sun Yat Sen Memorial Hall

เดินต่ออีกนิดหน่อย หลายคนอาจจะสงสัยทำไมต้องเดิน ทำไมไม่นั่ง MRT หรือแท็กซี่ งกหรือเปล่า

ตอบเลยว่าไม่ได้งกจ้า … แต่จาก Sun Yat Sen Memorial Hall เห็นตึก Taipei 101 ชัดเจนมา พอลองคำนวณเส้นทางดู

เดินแค่ไม่กี่นาทีมันคุ้มมากกับการได้ดูเมืองแบบช้า ดูโน่นนี่นั่น เห็นการใช้ชีวิตของคนที่นั่น

เดินมาสักพักก็ถึงแล้วร้านจะอยู่ด้านหน้าเลย

ถ้าใครนั่ง MRT ออกประตู 4 มาปุ๊บก็เจอเลย ร้านใหญ่มาก คนแน่นเชียว

มาถึงก็ไปรับคิวกันให้เรียบร้อยนะคะ ตอนรับคิวเราจะได้ ใบออเดอร์มา ให้เราเลือกกันตามชอบเลย

ไม่ต้องกลัวว่าอ่านไม่ออก แปลไม่ถูก เพราะจะมีเมนูให้ ในเมนูมีทั้งรูป ชื่อ และตัวเลขกำกับ

แล้วก็เลือกๆ เลือกเพลินไปนิด ได้มาเต็มโต๊ะเลย

ระหว่งรอแอบไปส่องหนุ่ม ๆ กำลังห่อ เสี่ยวหลงเป่า ที่นี้ เขาห่อให้เห็นกันเต็มๆ เลยนะ ในตู้กระจก

ในเมนูจะมีให้เราเลือกว่า แบบ 5 ชิ้น หรือ 10 ชิ้น

ของนุ้ยเลือกมา 5 ทุกอย่างเลย กลัวกินไม่หมด

อร่อยทุกอย่างเลยคะ สำหรับราคา ทั้งหมด รวม 1,176 TWD /3 สรุปคนละ 392 TWD

Pork Xiaolongbao ราคา 105 TWD

Crab Roe Pork Xiaolongbao ราคา 185 TWD

ข้าผัดกุ้งกับไข่ราคา 230 TWD

Steamed Shrimp and Pork Dumplings ราคา 130 TWD

Steamed Shrim and Pork Shao Mai ราคา 180 TWD


Spicy pickled Cucumber ราคา 70 TWD

Shrimp and Pork Wonton soup ราคา 170 TWD

ต่อด้วยบรรยากาศในร้านอีกสักหน่อย

กินอิ่มหนังท้องตึงมากๆ แต่จะไม่ช้อปสักหน่อยก็กะไรอยู่

วันนี้เราไปช้อปซะไกลเชียว MITSUI OUTLET PARK ได้ยินมาว่ารองเท้า ONITSUKA ถูกที่สุด

การเดินทาง ไปที่อาคาร Taipei West Bus Station Terminal A นั่งรถบัส หมายเลข 1210

ใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาที รถจะจอดบริเวณด้านหน้าเลย จะมีเสียงเรียกจากคนขับรถบัสด้วย

ขากลับก็มานั่งรอรถ ตรงป้ายรถบัส หน้าห้างได้เลย สายเดิมนะคะ

ถือเป็นห้างที่ใหญ่ มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายเลย แต่เวลาเหลือน้อยมาก ไม่ได้ถ่ายรูปเลย

กลัวจะตกเครื่องเร่งๆ ฝีเท้า หาแต่เป้าหมายอย่างเดียว

จนในทีสุดมาเจอ ONITSUKA ตามที่ตั้งใจ ราคาถูกจริงๆ แต่นุ้ยว่ามีแบบค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่

ถือว่าโชคดีไม่ต้องเสียเงินช้อป แต่ก็มาตกหลุมที่ Nike มีแบบเยอะพอควรเลย

ราคา ก็ไม่ได้ถูกมานะ มีหลายราคา

นุ้ยได้มา 1 คู่ราคา 790 TWD อาจจะเป็นรุ่นเก่ามั้งถึงได้ถูกขนาดนี้ แต่นุ้ยเน้นที่ชอบ

และใส่สบาย ก็เลยจัด ช้อปเสร็จรีบทำเรื่อง ขอคืนภาษี จะอยู่มุมข้างบันไดตรงประชาสัมพันธ์

เสร็จแล้วห้ามรีรออะไรคะ รีบเดินทางกลับเข้าไทเป ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่พัก แล้วก็รีบเดินทางกลับ

การเดินทางจากไทเป เข้าสนามบินเถาหยวน

ให้นั่งรถบัสสาย 1819 ที่ Taipei West Bus Station , Terminal A ไป Taoyuan Airport ค่าโดยสาร

ราคาคนละ 125 TWD ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที

ตอนขึ้นรถคนขับรถจะถามว่า ไป Teminal 1 หรือ 2 จำให้ดีนะคะว่ากลับด้วยสายการบินไหน

เทอร์มินอลไหน เพราะ อยู่ห่างกันพอควร หากเวลากระชั้นชิด อาจจะตกเครื่องได้

มาถึงสนามบิน ก็รีบเช็คอิน มีเวลาเดินเล่นนิดหน่อย

บะบ๊ายไต้หวัน …. แล้วเราต้องได้เจอกันอีกแน่ ๆ

.

สรุปค่าใช้จ่ายในทริป

ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก่อนเดินทาง

ค่าตั๋วเครื่องบิน คนละ 7,840 บาท

ค่าที่พักคืนแรก Spring Ground 3,472 บาท หาร 3 คนละ 1,158 บาท

ค่าที่พัก คืน 2-4 Sleep Taipei รวม 6,878 บาท หาร 3 คน สรุปคนละ 2,292 สำหรับ 3 คืน

ค่าประกันการเดินทาง คนละ 500 บาท (ก่อนเดินทางมีพายุเข้าไต้หวัน กันดีกว่าแก้คะ)

รวมค่าใช้จ่ายก่อนการเดินทาง คนละ 11,790 บาท

** บางคนหาราคาได้ถูกกว่านี้ เพราะมีโปรออกมาบ่อยๆ แต่ของนุ้ยสำหรับ EVA Air

นุ้ยว่าโอเคเพราะจองล่วงหน้าแค่เดือนกว่าๆ

—————-

แต่ค่าใช้จ่ายของทุกวันนุ้ยจะรวมเป็น 2 คน แล้วหาร 2 นะคะ เพราะนุ้ยกับต้นใช้เงินในการทานอาหารรวมกัน

ค่าใช้จ่ายใช้วันที่ 1

1.ซื้อของกิน เซเว่น ที่สนามบิน 182 TWD/2

2.ค่ารถ U Bus คนละ 30 TWD

3.ค่ารถ THSR ไปไทจง 1030 TWD (เราเห็นปกติมัน 540 ต่อคน แต่ก็งงว่าทำไ

มของเราแค่คนละ 515 อาจะเป็นเพราะซื้อพร้อมกันหลายคนหรือเปล่า)

4.เหมาแท็กซี่ 3,600 TWD (หาร 3 คนละ 1200)

5.อาหารเที่ยง 320 TWD/2

6.ไอติม 50 TWD/2

7.อาหารเย็น 690 TWD (หาร 3 คนละ 230)

8.เครื่องดื่ม 80 TWD/2

รวมวันแรก 4,582 TWD หาร 2 สรุปคนละ 2,291 TWD

—————————-

ค่าใช้จ่ายใช้วันที่ 2

1.ค่าอาหารเที่ยง 7-11 รวม 182TWD/2

2.ค่าเข้า Cingjing farm คนละ 160 TWD

3.ลูกชิ้น 30 TWD/2

4.ค่ารถบัสจาก ที่พักไป THSR Taichung คนละ 240 TWD

5.ค่า THSR เข้าไทเป นุ้ยลงสถานี Banqiao เพราะใกล้ที่พัก คนละ 670 TWD

6. Easy card คนละ 1,300 บาท รวมค่าบัตรแล้ว

7.ซื้อของกิน Shihlin Night Market รวม 100 TWD/2

รวมค่าใช้จ่าย 5,302 TWD หาร 2 สรุปคนละ 2,561 TWD

————————

ค่าใช้จ่ายใช้วันที่ 3

(เริ่มใช้ easy card ถ้าหากข้อไหนมี * ข้อนั้นใช้ easy card จ่าย รวมถึง การเดินทางด้วยรถบัส และ MRT ด้วย .. นุ้ยจะสรุปเฉพาะยอดเงินที่จ่ายเงินสดนะคะ)

1.อาหารเช้า 7-11 รวม 85 TWD/2 *easy card

2.ค่ารถไปเย่หลิว คนละ 96 TWD *

3.ค่าเข้าอุทยานเย่หลิว คนละ 80 TWD*

4.อาหารเที่ยง 70 TWD/2

5. กินของอร่อยที่จิ่วเฟิ่น 555 TWD/2

6.ค่ารถจากจิ่วเฟิ่นเข้าไทเปคนละ 102 TWD*

7.ซูชิ Take Out 340 TWD/2*

ปล. นุ้ยจำราคารถจาก Yehliu – Keelung – Jiufen ไม่ได้จริงๆ แต่ใช้ easy card ทั้งหมด

สรุปวันนี้ใช้จ่ายเงินสดไปรวม 785 TWD หาร 2 สรุปคนละ 393 TWD

————————–

ค่าใช้จ่ายใช้วันที่ 4

1.อาหารเช้าและเที่ยงที่ชีวิตวนเวียนในเซเว่น 163TWD/2*

2.กินขนม Tamsui Lover's Bridge รวม 120 TWD/2

3.Mala HotPot คนละ 658 TWD

สรุปวันนี้ใช้จ่ายเงินสดไปรวม 1,436 TWD หาร 2 สรุปคนละ 718 TWD

—————————–

ค่าใช้จ่ายวันที่ 5

1.Ice monster รวม 430TWD /2

2.Din Tai Fung รวม 1,176 TWD /3 สรุปคนละ 392

สรุปวันนี้ใช้จ่ายเงินสดไปรวม 1,214 TWD หาร 2 สรุปคนละ 607 TWD

—————————

สรุป 5 วัน สำหรับ 1 คน 2,291+2,561+393+718+607 =6,570 TWD

เมื่อร่วมกับค่าตั๋วเครื่องบินค่าที่พักแล้ว 11,790 + 6,570= 18,360 TWD สำหรับ 1 คน

ไม่ร่วมค่าไร้สาระช้อปปิ้งต่างๆ กับของที่ซื้อขนกลับบ้าน เงินที่เหลือใน Easy card

นุ้ยเหลือกลับมาทั้งคู่ แต่กี่บาทจำไม่ได้

แต่จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายรายวันจะเยอะ 2 วันแรก

เพราะมีค่าเดินทางที่ค่อนข้างเยอะ หากใครมีเวลาถ้าจะไปเที่ยวทาง Sun moon Lake และ Cingjing farm

ควรไปอย่างน้อย ทีละคืนนะค่ะ จะได้เซฟเรื่องการเหมารถแท็กซี่ เพราะแต่ละจุดมีรสบัถบริการ

รวมถึง pass ต่างที่ทำให้เราประหยัดไปได้เยอะเลย

อีกทั้งค่า THSR สูงพอตัว แต่ซื้อเวลาได้เยอะ ไหนๆ ก็จ่ายเยอะแล้ว นอนแถวนั้นหลายๆ คนเนอะคุ้มกว่า

———————-

สำหรับนุ้ย นุ้ยคิดว่าเป็นเงินที่เยอะพอควรเลยทีเดียว แต่ถ้าแลกกับประสบการณ์ และความสุขที่ได้รับมา มันก็คุ้มค่า

ขอบคุณเพื่อนที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ หวังข้อมูลทั้งหมดจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน

และสามารถแวะไปทักทายพูดคุยสอบถามกันได้เพิ่มเติมที่

https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels/

หากมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ต้องขออภัยด้วย และมาแจ้งได้เลยนะ จะได้แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง

—————————-

ทริปนี้จองตั๋วเครื่องบินราคาถูกกับ Jetradar

iOS App https://goo.gl/bVvcTj

Android App https://goo.gl/d8qEzG

เว็บไซต์ https://goo.gl/AVLke8

—————————

จองที่พัก Hotellook

th.hotellook.com

แฟนพาเที่ยว

 วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.25 น.

ความคิดเห็น