สวัสดีค่ะ แมวน้ำ Seally-go-round ค่ะ

รีวิวนี้จะพูดถึงเรื่องราวของสุนัขตัวนึง ที่หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ และเรื่องราวอันน่าประทับใจ ของ สุนัขพันธุ์ Akita

ที่ชื่อ ' ฮาจิโกะ ' ที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้านายจนวันสุดท้ายของชีวิต


เรื่องราวย่อๆ ของ เจ้า Hachiko ...

.....ศาสตราจารย์อูเอโนะ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ที่ม.โตเกียว ไปซื้อสุนัขพันธุ์ Akita มาเลี้ยง จาก เมืองAkita ตั้งชื่อว่าเจ้า ฮาจิ หรือ ฮาจิโกะ ซึ่งซื้อมาในราคา ¥30 ซึ่งถือว่า แพงมาก เมื่อเทียบกับเงินเดือนข้าราชการสมัยนั้นโดยเฉลี่ยประมาณ ¥20 เอง

อ.อูเอโนะเอาเจ้าฮาจิโกะมาเลี้ยงที่บ้านที่โตเกียว โดยทุกเช้าเจ้าฮาจิโกะจะเดินไปรับส่งอาจารย์ที่สถานีชิบูย่าไปทำงานทุกเช้า จนวันนึงอาจารย์เกิดล้มป่วย เส้นเลือดในสมองแตกจนเสียชีวิตที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเจ้าฮาจิโกะไม่รู้ว่านายได้จากไปแล้ว

แต่ด้วยความจงรักภักดี ฮาจิก็มารอนายของมันที่เดิมทุกวันๆ ทั้งที่ในระหว่างนั้น มีคนเอาไปช่วยเลี้ยงต่อ

แต่ฮาจิก็ยังคงมารอนายที่เดิมทุกวันๆ ยาวนานเป็นเวลา 9 ปี และหมดลมหายใจตรงที่มันเฝ้ารอเจ้านายกลับมานั่นเอง

(ฮือๆ ตะเตือนใต...T T)

คนในละแวกชิบูย่าตอนนั้นสังเกตว่าเจ้าฮาจิมารอแบบนี้ทุกวันๆ ก็เลยเป็นข่าวใหญ่โต ลงข่าวนสพ. จนเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

เรื่องราวอันน่าประทับใจปนเศร้าของฮาจิโกะกับเจ้านาย อยู่ในใจคนญี่ปุ่นและคนทั่วโลก จนมีการหยิบเรื่องราวนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Hachi (แมวน้ำขอสารภาพว่ายังไม่กล้าดู เป็นคนเซนซิทีฟเรื่องหมามาก กลัวอินน้ำตาแตก😂)

ด้วยความที่แมวน้ำเองเองเป็นคนรักและเอ็นดูหมาเป็นทุนอยู่แล้ว การมาโตเกียวครั้งนี้ จึงมีภารกิจมาตามหาฮาจิโกะในสถานที่ต่างๆในโตเกียวจะเป็นที่ไหนบ้างนั้น...


...เดี๋ยวเราออกไปตามหาเจ้าฮาจิโกะกัน 🐶


เริ่ม ภารกิจตามหา...Hachiko🐶

[1] สถานีรถไฟ Shibuya

อย่างที่เกริ่นไปว่า เจ้าฮาจิโกะ จะมารับส่งอ.อูเอโนะทุกวันที่สถานี Shibuya และเฝ้ารอเจ้านายกลับมาตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่นายเสียชีวิตแล้วไม่ได้กลับบ้าน ฮาจิโกะก็ยังเฝ้ารอและสิ้นใจ ณ จุดที่รอนายของมัน นี่จึงเป็นที่มาของ อนุสาวรีย์ฮาจิโกะ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าสถานีชิบูย่า ถือเป็น Landmark หรือจุดนัดพบของแยกชิบูย่าไปแล้ว

ตอนที่แมวน้ำไปคือช่วงวันพ่อที่ผ่านมา หลายแห่งในโตเกียวก็เริ่มประดับไฟกันแล้ว สังเกตที่ด้านหลังฮาจิโกะมีซานต้าด้วย^^

เผื่อใครที่ได้มาเที่ยวที่แหล่งช็อปปิ้งย่านชิบูย่า ก็แวะมาหาฮาจิโกะได้

ดูพี่ยุ่นวัยรุ่นแกเล่นกับฮาจิโกะ

กำแพงฮาจิโกะ

วันนั้นเห็นรถบัสฮาจิโกะด้วย แต่ไม่ได้ขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเส้นทางกานเดินรถไปไหนบ้าง เพิ่งมาอ่านเจอข้อมูล Hachiko bus หลังจากกลับมาแล้ว

รายละเอียดที่อ่านเจอตามเครดิตลิ้งนี้เลยค่า

credit : http://www.tiewyeepoon.com/hot-topics/update/tokyo-hachiko-bus/

credit: http://www.gotokyo.org/th/tourists/topics_event/topics/150525/topics.html

คร่าวๆคือฮาจิโกะบัส จะวิ่งรอบๆแถวๆชิบูย่า ค่าโดยสารแค่ ¥100 เท่านั้นเอง ไว้มีโอกาสหน้า (เมื่อไหร่ไม่รู้ ^^') จะมาลองนั่งดูนะ^^

เดี๋ยวเราไปหาฮาจิโกะกันต่ออีกที่ ที่ทำให้ฮาจิโกะสมหวังได้กลับมาพบกับเจ้านายแล้ว^^



[2] TODAI หรือ ม.โตเกียว

...90 ปีแล้วที่เรื่องราวความผูกพันของฮาจิโกะกับอ.อูเอโนะ ที่ต้องพรากจากกัน โดยอีกฝ่ายที่จากไปก่อนก็ไม่ล่วงรู้ได้เลยว่ายังมีสุนัขผู้ซื่อสัตย์เฝ้าคอยการกลับมาของนายของมัน

ทาง ม.โตเกียวภาควิชาเกษตร จึงได้สดุดีคุณงามความดีของศาสตรจารย์อูเอโนะที่ทำคุณประโยชน์ให้ทางมหาวิทยาลัย และเนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี ของการจากไปของอาจารย์ และครบ 80 ปีของการตายของฮาจิโกะ ด้วยการสร้างอนุสาวรีย์ การได้มาพบกันอีกครั้งของ เจ้าฮาจิโกะ และศาสตราจารย์อูเอโนะ ที่หน้าภาควิชาเกษตร ในมหาวิทยาลัยโตเกียว หรือ Todai นี่เอง

การเดินทางมาที่ ม.Todai นี้ สามารถเดินทางได้สะดวกโดยรถไฟใต้ดิน

1) สาย Oedo line ลงที่ สถานี E8 Hongo-Sanchome หรือ

2) สาย Namboku Line ลงที่สถานี N12 Todaime

มีสองสายให้เลือก แล้วแต่สะดวกเส้นไหนมากกว่าค่ะ

ส่วนแมวน้ำใช้สายOedo เลย ลงที่ สถานี E8

ระหว่างทางเดินไปหาฮาจิโกะ เจอกลุ่มนักศึกษามารวมตัวกันทำอะไรสักอย่าง

(ใครทราบช่วยชี้แนะให้ด้วยนะคะ)

ประตูนี้ที่นักเรียนมัธยมญี่ปุ่นใฝ่ฝันจะได้ผ่านเข้าไป เพราะการเข้าเรียนที่โตไดได้นั้น หมายถึง การการันตีอนาคตการทำงานได้เป็นอย่างดี

ในช่วงที่แมวน้ำไปเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เข้าสู่ฤดูหนาว หรือ ราวต้นเดือนธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่ใบต้นแปะก๊วย เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง สวยงามมาก แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวนในปีนี้ ทำให้ใบแปะก๊วยเหลืองช้ากว่าปกติ แล้วยิ่งเจอฝนด้วย ก็ทำให้ใบร่วงไปเยอะเลย เห็นในรูปปีก่อนๆใบดกเหลือง สวยกว่านี้อีก


เดินต่อไปจนถึงประตูอีกบานนึง (จากสถานีประมาณเกือบกิโลนึงได้)

หลังประตูนี้ เราจะได้พบกับ...'อนุสาวรีย์ของฮาจิโกะกับอ.อูเอโนะ'

90 ปีที่พรากจากกัน บัดนี้ ฮาจิโกะได้มาเจอเจ้านายแล้ว เย่ๆ ดูท่าทางฮะจิดีใจใหญ่เลย ^^

ใครที่เลี้ยงหมาคงจะเข้าใจความรู้สึกดีว่า เจ้าหมาที่เฝ้ารอการกลับมาของเจ้านายตลอดเวลา พอมาเจอกันมันจะแสดงอาการดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก

(เหมือนเจ้าแสบหลายๆตัวที่บ้าน แค่ออกไปกินข้าวนอกบ้านแป๊บเดียวไม่ถึงสองชั่วโมง กลับมาเจอ ดีใจโอเว่อร์แทบจะสิ้นสติ ^^)

ซาบซึ้ง ประทับใจ ปลื้มปริ่ม

แม้ว่าการกลับมาเจอกันครั้งนี้ของทั้งคู่จะเป็นแค่เชิงสัญลักษณ์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเติมเต็มความรู้สึกของผู้ที่ได้รู้เรื่องราวของสุนัขผู้ภักดีกับเจ้านาย ให้รู้สึกดีอิ่มเอม เหมือนได้ดูละครที่จบแบบHappy Ending ...เพราะการรอคอยใครสักคนโดยไม่มีกำหนด มันทรมานมากนะ...T T

ผ่านไป 2 ที่แล้ว ที่ๆ 3 เราจะไปหาร่างตัวจริงของฮาจิโกะกัน เคยเห็นแต่รูปหล่อโลหะของฮาจิ แล้วฮาจิโกะตัวจริงหน้าตาเป็นยังไง สีอะไร แล้วตัวใหญ่มั้ยน้า.....


3) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
(National museum of Nature and Science) ณ สวนอูเอโนะ

สวนอูเอโนะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุงโตเกียวที่คนญี่ปุ่นนิยมมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจกัน ยิ่งช่วงหน้าซากุระบาน นี่สวยหวานบานสะพรั่งไปทั้งอูเอโนะเลย

วันนี้มาวันอาทิตย์ คนเยอะพอสมควร แล้วก็มีคนเล่นดนตรีเปิดหมวกในสวนด้วย

ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแม้จะผ่านไปสองอาทิตย์แล้ว ช่วงต้นเดือนธ.ค.ก็ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นประปราย


ภายในสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่และร่มรื่นกลางกรุงโตเกียวแห่งนี้ หารู้ไม่ว่ามีพิพิธภัณฑ์เจ๋งๆตั้งอยู่ นั่นคือ 'พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National museum of Nature and Science)' ค่าเข้าชม ¥600


ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ที่เป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต ไล่ไปตั้งแต่ ไดโนเสาร์ ซากสัตว์สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและใต้น้ำ และร่างสตัฟของสัตว์ต่างๆ

ที่นี่ควรค่า และคุ้มค่าต่อการพาลูกหลานมาเข้าชมอย่างยิ่ง (ไม่ขอลงรูปมาก อยากให้ลองชมด้วยตาท่านเอง)

น่าสังเกตตรงที่คนญี่ปุ่นนิยมพาบุตรหลานมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ คะเนจากการเข้าชมแล้ว คิดว่ารายได้จากค่าเข้าชมน่าจะพอที่จะปรับปรุงและพัฒนาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ

อยากเห็นการพัฒนาพิพิธภัณฑ์และความสนใจเข้าชมและศึกษาหาความรู้ในพิพิธภัณฑ์ในเมืองไทยบ้างจัง

มาถึงโซนสัตว์สตาฟกันบ้าง มีร่างของสัตว์ประเภทต่างๆโชว์ให้ดูมากมาย อย่างตู้นี้

อุ๊ยๆๆ มีเพื่อนเราด้วย....แมวน้ำ^^

แล้วก็ นกกระเรียนญี่ปุ่น อยากไปเห็นตัวเป็นๆบ้างจัง ถ้าบินอยู่กลางหิมะขาวนี่คงสวยน่าดู^^

เจอแล้ว 'ฮาจิโกะ' ตัวจริง หน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง น่ารักน่ากอดจัง ตัวสีขาวร่างใหญ่ ที่เค้านำร่างฮาจิโกะมาสตาฟไว้ที่นี่ก็เพื่อที่เวลาผู้ปกครองคนญี่ปุ่นพาบุตรหลานมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ จะได้ถ่ายทอดเรื่องราวความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีของฮาจิโกะปลูกฝังให้ลูกๆหลานๆได้ซึมซับกันตั้งแต่เล็กๆ ^^


ครบทั้ง 3 ที่ แล้วถือว่า ภารกิจตามหาฮาจิโกะในโตเกียว..สำเร็จ Mission Complete!!!

ถึงแม้มีเวลาน้อย เพราะมาแค่ 3 คืน 3 วันกว่าๆ แต่ก็ได้มาหาได้ครบตามที่ตั้งใจ ^^

(จริงๆถ้าให้ครบต้องไปถึง Akita ที่ๆ อ.อูเอโนะไปซื้อฮาจิโกะมาเลี้ยง แต่ไม่ไหวทริปเรามาแค่โตเกียวเอาแค่โตเกียวพอ ....แต่ทริปหน้าก็ไม่แน่นะ ^^)

ลากันไปด้วยภาพทางออกของพิพิธภัณฑ์ค่ะ 🐶

แมวน้ำเชื่อว่าเรื่องราวของฮะจิโกะที่นำมาเขียนนี้ หากได้รู้จักเรื่องราวอันน่าประทับใจของฮาจิโกะกับคุณอูเอโนะ ก็จะสัมผัสได้ถึงความผูกพันระหว่างคนกับสุนัข ที่ใครเลี้ยงสุนัขน่าจะเข้าใจและอินกับเรื่องแบบนี้แน่นอน การรอคอยของฮะจิโกะมันแสดงถึงความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ^^ ..."Dogs are man's best friend"

พบกันใหม่รีวิวครั้งหน้าค่ะ ^^


ติดตามเพจแม่ครัวแมวน้ำ ไปเที่ยว -ไปกิน-ไปทำกับข้าว กันได้ที่ facebook : Seally-go-round ตามลิ้งนี้ค่ะ

https://m.facebook.com/seallygoround/?fref=ts

Seally-Go-Round

 วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.58 น.

ความคิดเห็น