ออสเตรเลีย...ไม่ได้มีแค่ซิดนีย์

บริสเบน เป็นเมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของออสเตรเลีย (อันดับ 2 คือ เมลเบิร์น อันดับ 1 คือ ซิดนีย์) ก่อนที่จะตัดสินใจมาเที่ยวบริสเบนก็หาข้อมูลเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆอยู่สักระยะ สุดท้ายก็เลือกบริสเบนเพราะเป็นเมืองใหญ่ที่สงบ พื้นที่สีเขียวเยอะ ที่ท่องเที่ยวหลากหลาย มีแม่น้ำไหลผ่านกลางตัวเมืองเหมือนกรุงเทพบ้านเรา คนเอเชียน้อย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน (เป็นเรื่องดีที่จะได้สัมผัสกับสังคมคนออสซี่จริงๆ) เวลาที่บริสเบนจะเร็วกว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง ใช้เวลาบินตรงประมาณ 8 ชั่วโมงนิดๆ จากสนามบินเข้าตัวเมืองใช้บริการรถไฟของ Airtrain Australia รถไฟเร็วใช้ได้ ออกจากสนามบินทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีก็ถึงตัวเมืองบริสเบน เราไม่ได้พักในใจกลางเมืองหรือที่เรียกว่า CBD (Central Business District) ถ้าเปรียบในไทยก็คงเหมือนแถวสยามไม่ก็อโศก ที่พักเราอยู่แถวสวน Roma Street Parkland (อารมณ์เดียวกับแถวๆสวนลุมฯ) เป็นสวนสาธารณะที่ติดกับสถานีรถไฟ Roma Street

กลุ่มตึกสูงๆที่เห็นคือ Brisbane CBD เป็นใจกลางเมืองบริสเบน ส่วนที่พักของเราอยู่คนละฝั่ง และมีสวน Roma อยู่ตรงกลาง เดินผ่านสวนนี้ไปก็ถึงพอดี เราจองผ่าน Booking.com เพราะไม่ต้องใช้บัตรเครดิต จ่ายค่าห้องตอนเช็คอินได้เลย สะดวกมาก

หลังจากเก็บของเข้าห้องเรียบร้อญ งีบซัก 30 นาทีเพราะเหนื่อยจากการนั่งเครื่อง เราก็ออกมาเดินเล่นชมเมืองกันสักหน่อย เพราะเห็นท้องฟ้าสดใสมาก แดดไม่ร้อนจนเกินไป ในรูปที่เห็น ฝั่งขวามือคือที่พักของเราคืนละ 2,000 บาทไทย ฝั่งซ้ายมือคือสวน Roma Street กับ The Old Windmill ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1828 (ปีนี้ 2016 ก็เท่ากับว่าเสร้างมาแล้วกว่า 188 ปี) เคยเป็นโรงสีข้าวสาลีโดยใช้พลังงานลม ปัจจุบันเป็นหอสังเกตสภาพอากาศท้องถิ่น เดินผ่านตัวอาคารมานิดหน่อยจะมีสวนสาธารณะเล็กๆชื่อว่า Wickham เราเลยแวะเข้าไปเดินในสวน เหตุผลจริงๆคือต้องการหลบแดด 5555

เดินมั่วๆ และเราก็มาทะลุอีกฝั่งหนึงของสวนก็เจอกับเมืองบริสเบนอยู่ข้างหน้า ถ้าเราเดินตามถนนหันหน้าเข้าหาเมือง ข้างหลังเราก็จะเป็นสวน Roma และสถานีรถไฟ Roma Street ทุกอย่างอยู่ใกล้ๆกันหมดเลย หาไม่ยากเลย ไม่หลงแน่นอน 5555

ระหว่างที่เราเดินตามถนนมุ่งหน้าเข้าสู่ Brisbane CBD ก็จะเจอกับโบสถ์ Albert Street ยืนอ่านป้ายข้างหน้าโบสถ์ก็รู้ว่าที่นี่เริ่มสร้างขึ้นในปี 1888 โดยใช้อิฐแดงเป็นหลัก หลังคามุงด้วยกระเบื้องหินชนวน เป็นไงล่ะ ดูมีสาระ

ภายในโบสถ์ (เปิดให้เข้าชมฟรี ชอบตรงนี้) เห็นแล้วอยากบวช

พอข้ามถนนมา มองกลับไปก็เป็นโบสถ์ Albert Street อยู่ท่ามกลางตึกสูง ดูสง่ามาก

หันหน้ามาก็จเจอกับหอนาฬิกาบริสเบน ตรงนี้เรียกว่าจตุรัส King George ถ้าจะเปรียบกับกรุงเทพให้เห็นภาพง่ายๆคงเป็นลานน้ำพุที่สยามนั่นแหล่ะ

ให้อารมณ์ลานคนเมืองมากๆ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ มีคนมาแสดงเปิดหมวก ดูมีเสน่ห์ มีชีวิตชีวาไปอีก


ข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ทั้งของกิน ของฝาก ต่างๆนานาของเมือง ให้เห็นภาพชัดๆก็คงจะเป็นสยาม สแคว์


ชอบคนที่นี่แต่งตัวมาก ดูสบายๆ เสื้อยืด ขาสั้น รองเท้าผ้าใบ จบ เราดูแผนที่หาที่เที่ยว เดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ เพื่อไปอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารและผู้เสียเสียชิตชาวออสเตรเลียจากสงครามโลกครั้งที่ 2


ANZAC Memorial Square เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของบริสเบนมาตั้งแต่ปี 1930 ที่นี่เป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่พลีชีพในการสู้รบต่างแดนในช่วงสงครามโลก และทหารที่พลีชีพในเหตุการณ์ความขัดแย้งอื่นๆ บริเวณจุดศูนย์กลางของอนุสรณ์จะมีกระถางคบเพลิงตั้งไว้ โดยเปลวไฟจะไม่มีวันดับ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าดวงวิญญาณของเหล่าทหารและเหยื่อของสงครามถูกจดจำไม่มีวันลืม และอีกความหมายหนึ่งคือความเจริญรุ่งเรืองของออสเตรเลียจะสว่างไสวไม่มีวันดับเหมือนเปลวเพลิง

ฝั่งตรงข้ามกับ ANZAC Square จะมีสวนเล็กๆที่ชื่อว่า Post Office Square มีต้นไม้และนกน่าตาแปลกๆอยู่ด้วย แถวนี้มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟน่านั่งเต็มไปหมด เหมือนเป็นแหล่งพักผ่อนของพนักงงานออฟฟิศมากกว่า เพราะตรงนี้อยู่ท่ามกลางตึกสำนักงานเหมือนแถวสาทรบ้านเรา


เรานั่งพักกันที่สวนสักพัก จิบน้ำเบาๆ มองดูคนเดินผ่านไปมา แล้วเราก็เดินผ่านสวนไปก็ต้องถึงกับตะลึงในความอลังการของ Cathedral of St Stephen หรือมหาวิหารเซนต์สตีเฟนที่อยู่ข้างหน้า

เข้าฟรีอีกแล้ว คือดีต่อใจมาก

ข้างในคือดีงาม มหาวิหารเซนต์สตีเฟนที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอาสนวิหารนักบุญสตีเฟน ซึ่งนักบุญสตีเฟนเป็นใคร ไม่รู้เหมือนกัน 5555 แต่น่าจะสำคัญมาก เพราะมีวิหารลักษณะเดียวกันนี้ที่เยอรมนี ออสเตรียและฮังการี

เดินสำรวจจนทั่วก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของโบสถ์ ไปอ่านเจอมาใน Lonely Planet แนะนำว่าเงาสะท้อนของกลุ่มตึกด้านหลังจะตกกระทบลงมาที่ตัวโบสถ์ เป็นมุมที่สวยแปลกตาไปอีกแบบ

เดินมาตามถนนทางด้านหลังของ Cathedral of St Stephen จะเป็นถนน Eagle Street ข้ามถนนแล้วเดินตามป้ายบอกทางไปท่าเรือ Eagle Street

ท่าเรือ Eagle Street เป็นท่าเรือหลักของเมืองบริสเบน ใครอยากนั่งเรือกินลมชมวิวก็มาที่นี่เลย ส่วนเราขอเดินชมวิวริมแม่น้ำก่อนละกัน


ริมแม่น้ำบริสเบนจะมีทางเดินไว้ให้ สวยงามมาก ริมทางเดินก็เป็นที่ตั้งของร้านอาหารต่างๆ ได้มานั่งดินเนอร์ยามค่ำที่นี่คงจะโรแมนติกไม่ใช่น้อย

เราใช้เวลาเดินเล่นใน Brisbane CBD รวมๆแล้วเกือบ 3 ชั่วโมงได้ เพลินมาก มีอะไรให้ดูเรื่อยๆ การวางผังเมืองก็ดี แบ่งเป็นโซนๆไป วันนี้ขอไปดูแผนที่ใหม่ก่อน ดูว่าถ้าข้ามสะพาน Story Bridge ที่เห็นในรูปไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำบริสเบนจะมีอะไรให้สำรวจบ้าง


We Travel

 วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.35 น.

ความคิดเห็น